D-Boonดูแลกระดูกและข้อ โดยคุณเชอรี่ 082-7167362

D-Boonดูแลกระดูกและข้อ โดยคุณเชอรี่ 082-7167362 ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก D-Boonดูแลกระดูกและข้อ โดยคุณเชอรี่ 082-7167362, การแพทย์และสุขภาพ, 19/112 ถ. นวลจันทร์ แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม, Bangkok.

D-NOON สมุนไพรแท้เกรดพรีเมี่ยมส่วนประกอบที่สำคัญ?1.คอลลาเจนจากปลาทะเล (Hydrolyed Fish Collagen)2.สารสกัดจากเปลือกสน (Pin...
03/10/2017

D-NOON สมุนไพรแท้เกรดพรีเมี่ยม
ส่วนประกอบที่สำคัญ?

1.คอลลาเจนจากปลาทะเล (Hydrolyed Fish Collagen)
2.สารสกัดจากเปลือกสน (Pine bark extract ) MSM
3.วิตามิน ซี (Vitamin C)
4.สารสกัดจากขมิ้น (Turmeric Extract)
5.วิตามิน ดี 3 (Vitamin D 3)
6.แคลเซียม คาร์บอเนต (Calcium Carbonate )

>>เหมาะสำหรับ

~ โรคข้อเข่าเสื่อม
~ โรคกระดูกพรุน
~ โรคข้ออักเสบ,รูมาตอย,เก๊าท์
~ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน, กระดูกทับเส้นประสาท
~ นิ้วล็อค โรคฮิตของคนทำงาน
~ กลุ่มนักกีฬา
~ ผู้ที่ต้องการเพิ่มความสูง
~ ช่วยเรื่องความเสื่อมของอวัยวะต่างๆในร่างกาย
~ ผู้ที่ปวดเมื่อยตามกระดูก ข้อเข่า สันหลัง ไหล่บ่า คอ
~ วัยหมดประจำเดือน ขาดแคลเซียม
~ อาชีพที่ต้องยืนนาน

ขนาดบรรจุ : 30 แคปซูล
เลขที่ อย.10-1-06045-1-0038

Dboon #สมุนไพรสกัดนำเข้า เกรดพรีเมี่ยม ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัย มีอย.
โทรปรึกษาฟรี คุณเชอรี่ 082-7167362
https://line.me/R/ti/p/%40dbb1

ตรวจยังไงถึงรู้ว่าเป็นนิ้วล๊อคการวินิจฉัยนิ้วล็อคหากพบว่าเกิดอาการข้อต่อตรงนิ้วแข็งหรือล็อค ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจมือ...
03/10/2017

ตรวจยังไงถึงรู้ว่าเป็นนิ้วล๊อค

การวินิจฉัยนิ้วล็อค
หากพบว่าเกิดอาการข้อต่อตรงนิ้วแข็งหรือล็อค ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจมือและวินิจฉัย และหากข้อต่อนิ้วเกิดอาการแสบร้อนหรืออักเสบก็ควรรักษาทันที เนื่องจากอาการดังกล่าวเป็นสัญญาณบอกว่าผู้ป่วยอาจติดเชื้อได้ โดยแพทย์ที่ทำการวินิจฉัยอาการนิ้วล็อคมักเป็นแพทย์ทั่วไป แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และอายุรแพทย์

การวินิจฉัยนิ้วล็อคนั้นไม่ต้องทำการตรวจด้วยการเอกซเรย์หรือการตรวจในห้องปฏิบัติการ ขั้นแรกแพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติการรักษาของผู้ป่วยและการตรวจร่างกายปกติ โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยลองกำมือแบมือ เพื่อดูว่าผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บบริเวณใด สามารถกำมือแบมือได้ตามปกติหรือไม่ และเกิดอาการนิ้วล็อคตรงไหน ทั้งนี้ แพทย์อาจคลำมือผู้ป่วยเพื่อดูว่าเกิดก้อนที่มือหรือไม่ โดยก้อนบนมือที่เกี่ยวข้องกับอาการนิ้วล็อคนั้นจะเคลื่อนไปตามที่นิ้วมือเคลื่อนไหว เพราะก้อนดังกล่าวยึดอยู่กับเอ็นที่ติดกับนิ้

การรักษานิ้วล็อค

ผู้ที่เกิดอาการนิ้วล็อคบางรายอาจมีอาการดีขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องรับการรักษา อย่างไรก็ตาม วิธีรักษาอาการนิ้วล็อคนั้นมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ดังนี้

การบำบัด อาการนิ้วล็อคสามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่นอกเหนือไปจากการรับประทานยา ดังนี้
พักผ่อน พักมือจากการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือออกแรงหรือแบกน้ำหนักมาก ๆ ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน โดยเว้นกิจกรรมดังกล่าวเพื่อพักการใช้งานมืออย่างน้อย 3-4 สัปดาห์
ประคบร้อนหรือเย็น ผู้ที่มีอาการนิ้วล็อคบางรายอาจใช้วิธีประคบเย็นที่ฝ่ามือ ซึ่งช่วยให้อาการนิ้วล็อคดีขึ้น นอกจากนี้ การแช่น้ำอุ่นก็บรรเทาอาการให้ทุเลาลงโดยเฉพาะหากทำในช่วงเช้า
ใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว การใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว (Splinting) จะช่วยดามนิ้วให้ตรง ไม่งอหรือเหยียดเกินไป อีกทั้งช่วยให้นิ้วได้พัก หากเกิดอาการนิ้วล็อคหรือนิ้วแข็งตอนเช้าเป็นประจำ แพทย์จะให้ใส่อุปกรณ์ดังกล่าวดามนิ้วไว้ตลอดคืน เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้นิ้วเกร็งหรืองอเข้าไปเองขณะที่ผู้ป่วยหลับ แม้วิธีนี้จะช่วยให้อาการนิ้วล็อคดีขึ้นสำหรับผู้ป่วยบางราย แต่การใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้วก็อาจได้ผลน้อยกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้ป่วยต้องการวิธีรักษาที่เห็นผลในระยะยาว
ออกกำลังกายยืดเส้น แพทย์อาจจะแนะนำให้ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยให้นิ้วเคลื่อนที่ได้ปกติ
การรักษาด้วยยา ผู้ที่เกิดอาการนิ้วล็อคสามารถรับประทานยาที่ต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยานาพรอกเซน (Naproxen) เพื่อบรรเทาอาการปวด แต่ยาดังกล่าวไม่สามารถบรรเทาอาการบวมตรงปลอกหุ้มเอ็นนิ้วได้
การศัลยกรรมและกระบวนการทางการแพทย์อื่น ๆ ผู้ที่เกิดอาการนิ้วล็อครุนแรง หรือวิธีรักษาด้วยยาและการบำบัดใช้ไม่ได้ผล อาการไม่ดีขึ้น อาจต้องได้รับการรักษาด้วยการศัลยกรรมและกระบวนการทางการแพทย์วิธีอื่น ดังนี้
การฉีดสารสเตียรอยด์ การรักษาอาการนิ้วล็อคด้วยวิธีนี้เป็นการฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ซึ่งช่วยลดอาการบวมอักเสบของเอ็น และช่วยให้เอ็นนิ้วสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ โดยแพทย์อาจจะผสมยาชาในการฉีดสารดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดอาการเจ็บเมื่อทำการรักษา จัดเป็นวิธีรักษาที่พบได้ทั่วไป หลังจากฉีดสารสเตียรอยด์แล้ว แพทย์อาจให้ใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว 2-3 วันเพื่อให้นิ้วได้พัก อาการนิ้วล็อคจะดีขึ้นภายในไม่กี่วันหลังจากรับการรักษา โดยทั่วไปมักอาการดีขึ้นหลังฉีดไปได้หลายสัปดาห์ การฉีดสารสเตียรอยด์เป็นวิธีรักษาที่ได้ผลประมาณ 50-80 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจได้ผลน้อยกว่าหากผู้ที่รับการรักษาป่วยเป็นโรคอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการรักษาบางรายอาจเกิดปัญหาอื่นขึ้นมาหลังได้รับสเตียรอยด์ ซึ่งอาจต้องมารับการฉีดสเตียรอยด์ครั้งที่ 2 อีกครั้งเมื่อปัญหานั้นหายไป แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะน้อยกว่าการฉีดครั้งแรก ความเสี่ยงจากการฉีดสเตียรอยด์เพื่อรักษานิ้วล็อคปรากฏเพียงเล็กน้อย โดยผู้ที่รับการรักษาอาจผิวบางหรือสีผิวเปลี่ยนตรงบริเวณที่ฉีดสเตียรอยด์เข้าไป
การผ่าตัด หากการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยผ่าตัดเพื่อรักษาอาการนิ้วล็อค โดยศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดส่วนที่ปลอกหุ้มเอ็นของนิ้วเกิดปัญหา และทำให้เอ็นนิ้วกลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติ โดยแพทย์จะพิจารณาว่าผู้ป่วยควรได้รับการผ่าตัดจากระดับความรุนแรงของอาการและผลกระทบจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ การผ่าตัดสามารถรักษาอาการนิ้วล็อคได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้อยรายที่จะเกิดปัญหาหลังรับการผ่าตัด โดยทั่วไปผู้ป่วยไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล ทั้งนี้ แพทย์จะให้ยาชาก่อนผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บแผลผ่าตัดที่มือหลังจากฟื้นขึ้นมา การผ่าตัดรักษานิ้วล็อคประกอบด้วยการผ่าตัดแบบเปิด และการผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือพิเศษ ดังนี้

1.การผ่าตัดแบบเปิด (Open Trigger Finger Release Surgery) แพทย์จะเริ่มฉีดยาชา ที่ฝ่ามือผู้ป่วย และผ่าตามแนวปลอกหุ้มเอ็นที่นิ้วให้เปิดกว้างออก หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว แพทย์จะเย็บแผลและปิดด้วยผ้าพันแผลให้เรียบร้อย

2.การผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือพิเศษ (Percutaneous Release) แพทย์จะฉีดยาชาที่มือผู้ป่วยเช่นเดียวการผ่าตัดแบบเปิด แต่การผ่าตัดด้วยเครื่องมือพิเศษนี้จะไม่ได้กรีดมีดผ่าตัดลงไปเหมือนวิธีแรก แต่จะสอดเข็มแทงเข้าไปบริเวณโคนนิ้วที่เกิดอาการล็อค และใช้ปลายเข็มสะกิดเอ็นนิ้ว โดยแพทย์อาจจะทำการผ่าตัดพร้อมด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ เพื่อดูว่าปลายเข็มที่สอดเข้าไปใต้ผิวหนังนั้นเกี่ยวปลอกหุ้มเอ็นที่ต้องการโดยไม่ไปทำลายเอ็นหรือเส้นประสาทส่วนอื่นหรือไม่ แม้การผ่าตัดด้วยเครื่องมือพิเศษนี้จะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเหมือนการผ่าตัดแบบเปิด แต่ถือว่าค่อนข้างเสี่ยงกว่าและอาจได้ผลน้อยกว่า เนื่องจากหลอดเลือดแดงและเส้นประสาทที่สำคัญอยู่ใกล้ปลอกหุ้มเอ็นมาก ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับความเสียหายได้ง่าย การผ่าตัดแบบเปิดจึงเป็นวิธีผ่าตัดรักษานิ้วล็อคที่ได้รับเลือกมากกว่า
สำหรับเด็กที่เกิดอาการนิ้วล็อคนั้น จะดีขึ้นเองเมื่อเด็กโตขึ้นโดยไม่ต้องได้รับการรักษา โดยเด็กอาจใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้วหรือออกกำลังกายมือเพื่อช่วยยืดเส้น การรักษาด้วยการฉีดสเตียรอยด์มักไม่ใช้รักษาอาการนิ้วล็อคที่เกิดในเด็ก แต่หากเด็กจำเป็นต้องได้รับการรักษา แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดแทน

อีกหนึ่งวิธีรักษานิ้วล๊อคสามารถทานอาหารเสริมที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรงโดยตรง โดยปราศจากสารเคมีที่ไม่ควรนำสะสมในร่างกายเพื่อความปลอดภัย และช่วยให้ผู้ป่วยหายจากอาการนิ้วล๊อค และสามารถใช้งานได้ตามปกติ
ด้วย
Dboon #สมุนไพรสกัดนำเข้า เกรดพรีเมี่ยม ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัย มีอย.
โทรปรึกษาฟรี คุณเชอรี่ 082-7167362

อาการของนิ้วล็อคเป็นยังไง..??นิ้วล็อคมักเกิดขึ้นกับนิ้วโป้ง นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ทั้งนี้ อาการนิ้วล็อคอาจเกิดขึ้นกับนิ้ว...
03/10/2017

อาการของนิ้วล็อคเป็นยังไง..??

นิ้วล็อคมักเกิดขึ้นกับนิ้วโป้ง นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ทั้งนี้ อาการนิ้วล็อคอาจเกิดขึ้นกับนิ้วหลายนิ้วได้ในเวลาเดียวกัน หรืออาจเกิดขึ้นได้กับนิ้วมือทั้ง 2 ข้างด้วย โดยอาการนิ้วล็อคจะเกิดขึ้นเมื่อนิ้วใดนิ้วหนึ่งพยายามงอในขณะที่มือต้องออกแรงทำบางอย่าง เมื่อนิ้วล็อค อาจจะเกิดอาการดังนี้

รู้สึกดังกึกเมื่อต้องงอหรือยืดนิ้ว
เกิดอาการนิ้วแข็ง ซึ่งมักเกิดขึ้นตอนเช้า
รู้สึกตึงและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างนูนขึ้นมาตรงโคนของนิ้วที่ล็อค
นิ้วล็อคเมื่องอนิ้ว ซึ่งเกิดขึ้นทันทีที่ยืดนิ้วกะทันหัน
นิ้วล็อคเมื่องอนิ้วโดยไม่สามารถยืดนิ้วกลับมาได้
สาเหตุของนิ้วล็อค
เอ็นคือพังผืดที่ยึดกล้ามเนื้อและกระดูกไว้ด้วยกัน ซึ่งเอ็นและกล้ามเนื้อที่มือและแขนจะช่วยให้นิ้วมืองอและยืดได้ โดยเอ็นแต่ละส่วนถูกล้อมรอบไว้ด้วยปลอกหุ้มเอ็น อาการนิ้วล็อคจะเกิดขึ้นเมื่อปลอกหุ้มเอ็นตรงนิ้วอักเสบหนาตัวขึ้น ซึ่งทำให้เอ็นและปลอกหุ้มเอ็นตรงนิ้วไม่สามารถยืดหรืองอได้ตามปกติ

ปัจจัยที่เสี่ยงให้เกิดอาการนิ้วล็อคนั้น ได้แก่

การถือหรือแบกของนาน อาชีพหรือกิจกรรมที่ต้องใช้มือทำและทำให้มือรับน้ำหนักเป็นเวลานาน รวมทั้งทำซ้ำบ่อย ๆ เช่น ทำสวน ตัดแต่งต้นไม้ ใช้ไขควงทำงาน หรือใช้อุปกรณ์ที่ต้องออกแรงกด กิจกรรมลักษณะนี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดอาการนิ้วล็อค ผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเกิดอาการนิ้วล็อค ซึ่งเกิดจากการใช้นิ้วมือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงหรือลงน้ำหนักเยอะรวมทั้งทำกิจกรรมนั้นซ้ำๆ มักเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพชาวนา ชาวไร่ พนักงานโรงงาน ผู้ใช้แรงงาน และนักดนตรี เนื่องจากหน้าที่ของอาชีพเหล่านี้ทำให้ต้องใช้มือทำงานในลักษณะที่กล่าวมา นอกจากนี้ ผู้ที่สูบบุหรี่ก็สามารถเกิดอาการนิ้วล็อคได้ โดยนิ้วโป้งจะล็อค เพราะต้องใช้งานในการจุดไฟแช็คบ่อย อย่างไรก็ดี อาการนิ้วล็อคมักพบได้ทั่วไปในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นบ่อยที่สุดกับผู้ที่มีอายุ 40-60 ปี
ปัญหาสุขภาพ บางครั้งอาการนิ้วล็อคอาจเกี่ยวข้องกับการป่วยด้วยโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบบริเวณเนื้อเยื่อที่มือ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) โรคเกาต์ เบาหวาน โรคอะไมลอยด์โดซิส (Amyloidosis) และโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ก็เสี่ยงต่อการเกิดอาการนิ้วล็อค โดยผู้ป่วยจะเกิดอาการของโรคที่ตนป่วยขึ้นร่วมด้วย

Dboon #สมุนไพรสกัดนำเข้า เกรดพรีเมี่ยม ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัย มีอย.
โทรปรึกษาฟรี คุณเชอรี่ 082-7167362

พร้อมส่งทุกออเดอร์ ปวดคอ สะบัค คอ บ่า ไหล่ กระดูกทับเส้น เก๊าท์ รูมาตอยด์ นิ้วล๊อค ข้อเข่าเสื่อม ข้ออักเสบทุกออเดอร์จากผ...
03/10/2017

พร้อมส่งทุกออเดอร์ ปวดคอ สะบัค คอ บ่า ไหล่ กระดูกทับเส้น เก๊าท์ รูมาตอยด์ นิ้วล๊อค ข้อเข่าเสื่อม ข้ออักเสบ

ทุกออเดอร์จากผู้ใช้จริงและเห็นผลจริง สั่งออเดอร์ฺได้ตลอดค่ะยินดีให้คำปรึกษาเพื่อแนะนำการทานที่เหมาะสม

Dboon #สมุนไพรสกัดนำเข้า เกรดพรีเมี่ยม ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัย มีอย.
โทรปรึกษาฟรี คุณเชอรี่ 082-7167362
https://line.me/R/ti/p/%40dbb1

ปวดหัว ปวดบ่า ปวดคอ คอเสื่อม ปวดร้าวขึ้นศรีษะ เหมือนเป็นไมเกรน.. !! ปวดคอ หนักๆ บนบ่าตลอดเวลา บ้างก็บ่นว่าเหมือนมีอะไรนั...
03/10/2017

ปวดหัว ปวดบ่า ปวดคอ คอเสื่อม ปวดร้าวขึ้นศรีษะ เหมือนเป็นไมเกรน.. !!

ปวดคอ หนักๆ บนบ่าตลอดเวลา บ้างก็บ่นว่าเหมือนมีอะไรนั่งบนบ่า บ้างก็เหมือนมีอะไรขี่คออยู่ นี่เป็นคำบ่นจากเคสที่มีอาการปวดบ่า ปวดคอนะคะ จริงๆ แล้วอาการที่รู้สึกเช่นนี้มาจากกล้ามเนื้อบ่า ซึ่งมีจุดเกาะที่กระดูกคอ โยงลงมาที่บ่านั้น เกร็งตัวค้างอยู่ตลอดเวลา (muscle holding เป็นอาการที่เกร็งค้างไม่มีการคลายตัวออก เคสจึงรู้สึกหนักตลอดเวลา)

• ปวดก้านคอร้าวไปที่กระบอกตา เหมือนตาจะปิดตลอดเวลา บางครั้งตาพล่ามัว มองไม่ชัด ลืมตาไม่ขึ้น และบางครั้งก็มีหูอื้อด้วย อาการปวดร้าวเข้ากระบอกตานี้พบบ่อยมากค่ะ ปวดก้านคอพร้อมปวดกระบอกตา เนื่องจากเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงในกระบอกตาผ่านเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ซึ่งเชื่อมกับกล้ามเนื้อบริเวณก้านคอ และที่สำคัญอาการนี้เป็นอาการปวดร้าวจากความตึงหรือเกร็งตัวมากกว่าปกติของกล้ามเนื้อใต้ฐานกระโหลก (refer pain of suboccipital muscle) กล้ามเนื้อมัดนี้จะเกร็งตัวตลอดเวลาที่เรานั่งทำงานก็ว่าได้ค่ะ เพราะเวลาเรานั่งจ้องจอคอมฯ หรือเพ่งกับงานอะไรบางอย่างบนโต๊ะ คอจะก้มไปด้านหน้า คางจะยื่น นี่เป็นท่าที่กล้ามเนื้อมัดนี้ เกร็งค้างอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ

• ปวดก้านคอร้าวขึ้นขมับ ขึ้นกระโหลกศีรษะ หนักหัว ตึงไปทั้งหัวเหมือนเป็นไมเกรน อาการนี้เป็นปัญหากับหลายๆ เคสค่ะ บางเคสเข้าใจว่าตัวเองเป็นไมเกรนมากว่า 3-4 ปี แต่ก็พึ่งมาพบสาเหตุที่ชัดเจนกับอาการของตัวเองที่เป็นค่ะ อาการปวดร้าวขึ้นขมับหรือปวดร้าวขึ้นศีรษะนี้ เป็นอาการหนึ่งที่เกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อของคอ แล้วไปกดหรือบีบรัดการไหลเวียนของเส้นประสาท (Greater occipital nerve) จึงรู้สึกร้าวขึ้นที่ศีรษะ บางเคสปวดขมับเหมือนเป็นไมเกรน การแยกอาการนี้ออกจากไมเกรนไม่ยากเลยค่ะ สาเหตุของไมเกรนนั้นเกิดจากเส้นประสาทที่อยู่ในผนังหลอดเลือดไวต่อการรับรู้ จะทำให้เกิดอาการปวดศรีษะข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งอาการปวดจะรุนแรงมาก อาจมีร่วมกับอาเจียน ฯลฯ และอาจถูกกระตุ้นด้วยสี แสง หรือความร้อน เป็นต้น แต่การปวดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อนั้น อาจไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงต่อไมเกรน แต่ผลโดยอ้อมแล้วหากยิ่งมีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อก้านคอหรือฐานกระโหลก ก็อาจส่งผลให้อาการของไมเกรนถูกกระตุ้นได้ง่าย อาการปวดจากกล้ามเนื้อหรือข้อต่อกระดูกคอมีปัญหานั้นมักชัดเจนเมื่อเครียด เมื่อทำงานต่อเนื่องนาน เช่น เช้าๆ ไม่มีอาการ แต่พอบ่าย/เย็นมักปวดขึ้นมา ทั้งนี้ก็เนื่องจากกล้ามเนื้อมีการเกร็งตัวจากการทำงานตลอดทั้งวัน หากร่วมกับท่าทางที่ไม่ถูกต้องด้วยแล้วก็มักกระตุ้นให้มีอาการปวดมากกว่าปกติ แต่บางเคสที่ข้อต่อคอยึดติดนานๆ การนอนในท่าที่ไม่ถูกต้อง ที่นอนไม่เหมาะสม ก็มักจะมีอาการตอนเช้าๆ หลังจากตื่นนอนได้เช่นกัน
tales-from-body-10-1

• ตื่นมาเหมือนคนคอตกหมอนบ่อยๆ รู้สึกขัดที่ก้านคอ พาลให้ปวดหัวตอนเช้าๆ หันคอ เอี้ยวคอไม่สุด ปวดเมื่อเคลื่อนไหว แต่พอสายๆ หรือทำโน่นทำนี่อาการขัดๆ ก็บรรเทาลง เคสที่มีอาการเหมือนข้อนี้ มักเสียเงินไปกับการเปลี่ยนที่นอนหรือเปลี่ยนหมอนบ่อยมากค่ะ บางเคสบอกผู้เขียนว่าเขามีหมอนเป็นสิบใบสลับกันนอนอยู่ ฟังแล้วก็สงสารค่ะ ท่านใดที่ไม่ปวดจะไม่ทราบเลยว่าความทรมานของร่างกายนั้นทำให้ต้องดิ้นรนทุกทาง หากมีทางไหนที่พอจะบรรเทาได้ก็จะหาหนทาง แต่การแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนหมอนนั้นอาจไม่ใช่การแก้ที่ตรงจุดซะทีเดียวค่ะ ลักษณะของอาการปวดในข้อนี้เกิดจากการยึดติดของข้อต่อกระดูกคอ (Hypomobility of Cervical facet joint) เริ่มต้นก็มาจากกล้ามเนื้อที่เกร็งค้าง การไม่สมดุลของการทำงานของกล้ามเนื้อด้านหลัง/กล้ามเนื้อหน้าอก (Muscle imbalance) จึงทำให้ข้อต่อคอ แบกรับน้ำหนักมากกว่าปกติ และก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาค่ะ

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นคำบอกเล่าจากร่างกายหลายๆ เคสที่มาพบผู้เขียนเองค่ะ ท่านเชื่อไหมว่า หลายเคสมีอาการทั้งหมดที่ได้กล่าวมา และต้องทรมานมากกับอาการที่เป็นอยู่ บางเคสทานยาต่อเนื่องมาเป็น 3-4 ปี แทนที่จะดีขึ้น อาการกลับรุนแรงมากขึ้น และทุกครั้งที่ทานยาแก้ปวดก็ต้องทานยาเคลือบกระเพาะก่อน เพราะยาที่ทานอาจมีผลข้างเคียงไปกัดกระเพาะอาหาร ฟังแล้วเหนื่อยแทนเลยค่ะ แต่ก็ยังดีใจและปลื้มใจที่เราสามารถช่วยเหลือเขาได้ ทำให้อาการที่สร้างความทรมานกับเขาหายไปได้ อาการปวดต่างๆ ที่กล่าวมานั้นอาจมีอาการที่แสดงออกคล้ายๆ กัน แต่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้กล้ามเนื้อคอ บ่า มีปัญหานั้นกลับแตกต่างกันออกไป จึงทำให้การวางแผนการรักษาแตกต่างกันออกไปด้วย บางเคสมาจากการลงน้ำหนักที่ฝ่าเท้าไม่สมดุล ทำให้เกิดการบิดหมุนที่ขา สะโพก กระดูกสันหลัง มีผลให้กระดูกคอบิด และส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณก้านคอเกร็งตัวตลอดเวลา , บางเคสเกิดจากกระดูกสันหลังคด แต่เคสไม่ทราบว่าตัวเองหลังคด , บางเคสก็มาจากกล้ามเนื้อที่เป็นฐานให้กระดูกคอ คือช่วงสะบัก (Middle trapezius / Rhomboid muscle) อ่อนแรงจึงทำให้ไหล่งุ้มเกิดแรงกดอัดที่กระดูกต้นคอมากกว่าปกติ ฯลฯ

แม้อาการปวดที่ดูจะเหมือนกัน แต่มีต้นตอของสาเหตุที่ต่างกันนี่ล่ะคะ จึงทำให้แผนการรักษาต้องแตกต่างกันออกไป ที่สำคัญที่สุดเคสเองต้องรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีปัญหานั้นมาจากส่วนไหนเป็นเหตุ และการแก้ไข ดูแล รักษาไม่เพียงทำให้อาการที่เป็นดีขึ้นแต่ต้องทำให้ต้นตอของอาการที่เป็นหายขาดด้วยการทำโครงสร้างร่างกายให้สมดุล อันเป็นสิ่งสำคัญที่เราตระหนักมากค่ะ

Dboon #สมุนไพรสกัดนำเข้า เกรดพรีเมี่ยม ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัย มีอย.
โทรปรึกษาฟรี คุณเชอรี่ 082-7167362

หนุ่มสาววัยทำงานทั้งหลาย มีอาการเหล่านี้หรือไม่..?      ปวดกระดูกคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ ร้าวลงไปที่แขน รวมถึงมีอาการชาและอ่อน...
03/10/2017

หนุ่มสาววัยทำงานทั้งหลาย มีอาการเหล่านี้หรือไม่..?

ปวดกระดูกคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ ร้าวลงไปที่แขน รวมถึงมีอาการชาและอ่อนแรง บางรายเป็นมากถึงขั้นยกแขนไม่ขึ้นเดินลำบาก พึงระวังไว้ เพราะอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนของโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลังได้

สาเหตุและอาการของโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม

อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในภาวะที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือภาวะที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ ในส่วนที่เกิดจากอุบัติเหตุก็ตรงไปตรงมา มีการบาดเจ็บและทำให้หมอนรองกระดูกบริเวณต้นคอมีการเคลื่อนหรือกดทับไม่ว่าจะเป็นไขสันหลังหรือเส้นประสาท สำหรับกลุ่มที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุที่พบได้บ่อยๆ คือกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเรื่องของการใช้คอ ใช้กล้ามเนื้อแผ่นหลังที่ผิดลักษณะ เช่น การนั่งเล่นไอแพดนานๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ กลุ่มนี้มักมีปัญหาเรื่องปวดคอ บ่า ไหล่ และจะมีอาการปวดแปล๊บเหมือนไฟช็อตลงไปที่แขน มีอาการชา บางรายอาจอ่อนแรง ทำให้เสียความสามารถในการทำงาน

แนวทางการรักษาโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม

การรักษา ในปัจจุบันมีเครื่องมือที่ทันสมัยและช่วยให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ วินิจฉัยได้ง่ายและชัดเจนมากขึ้น การรักษาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่อาการไม่รุนแรงมากนัก สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยการทานยา และทำกายภาพบำบัด

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ทานยาแล้วไม่ดีขึ้นทำอย่างไรก็ไม่หาย กลุ่มนี้จะมีนวัตกรรมการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดที่เข้ามาช่วยในการรักษา เช่น การรักษาโดยผ่านคลื่นความร้อน หรือการฉีดยาเข้าไปเหนือเส้นประสาทที่บริเวณคอ



การรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Nucleoplasty)

หลักการของการรักษาวิธี Nucleoplasty หรือการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงเข้าไปที่หมอนรองกระดูกมีอยู่ 3 หลักการ

ลดแรงดันของหมอนรองกระดูกสันหลัง
เข้าไปสลายเส้นประสาทที่งอกเข้ามาตรงแกนกลางของกระดูกสันหลังซึ่งเป็นเส้นประสาทที่จะทำให้เกิดอาการปวด ปกติจะมีเส้นประสาทอยู่รอบๆหมอนรองกระดูกสันหลัง แต่อยู่ที่ขอบจะไม่งอกเข้ามาข้างใน คลื่นวิทยุความถี่สูงจะเข้าไปตัดหรือเข้าไปสลาย ทำลายเส้นประสาทที่งอกเข้ามาในแกนกลางของหมอนรองกระดูกสันหลัง
เข้าไปปรับโมเลกุล ปรับโครงสร้างของหมอนรองกระดูกสันหลังทำให้การผลิตสารที่สื่อความเจ็บปวดออกมาน้อยลง เป็นวิธีในการรักษา
ใครที่เหมาะในการรักษาโดยวิธี Nucleoplasty

คือ ผู้ป่วยที่เป็นหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมแล้วก็มีการเคลื่อนออกมาแต่ไม่มาก (Herniated Nucleus Pulposus : HNP) แต่คนไข้มีอาการปวดมากรักษาด้วยยา ด้วยกายภาพบำบัด การปรับกิจวัตรประจำวันแล้วยังไม่หาย มาตรวจด้วย MRI เพื่อดูหมอนรองกระดูกที่ยื่นออกมา หรือว่าหินปูนที่อยู่ตามขอบบน ขอบล่างของหมอนรองกระดูกสันหลัง ก็ไม่ได้กดทับเส้นประสาทอย่างมีนัยสำคัญ แต่มีอาการปวดมาก คนไข้กลุ่มนี้ก็จะได้ประโยชน์ทางการรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่

ข้อดีของวิธี Nucleoplasty
- ไม่ต้องใช้ยาดมสลบ
- เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการผ่าตัด
- ลดระยะการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
- การฟื้นตัวหลังผ่าตัดรวดเร็ว สามารถกลับบ้านได้ทันที หรือนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพียง 1 คืน
- อาการที่เจ็บปวดจะบรรเทาไปอย่างรวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ ในผู้ป่วยส่วนใหญ่

กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษาด้วยการผ่าตัด คือ

- มีอาการเป็นมานานมากกว่า 6 สัปดาห์ และเป็นถี่มากขึ้น ความรุนแรงของการปวดมากขึ้น

- ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีอื่น หรือคนไข้ต้องทนทุกข์ทรมาน อาการปวดนั้นเรื้อรัง

- มีอาการอ่อนแรงของข้อต่อ เช่น ข้อมือ ข้อศอก หัวไหล่

- เป็นกลุ่มอาการกดทับไขสันหลังคือ คนไข้จะเสียความสามารถในการใช้มือ และเสียความสามารถในการทรงตัว

- ภาวะการติดเชื้อหรือเนื้องอก

วิธีดูแลด้วยตัวเองง่ายๆ ให้ห่างไกลโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม

หากไม่อยากทนทุกข์ทรมานจากภาวะหมอนรองกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาทหรืออาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณรอบๆ คอ บ่า และไหล่ ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า นั่ง 1 ชั่วโมง แล้วลุกยืน 1 นาที ไทม์สเตรชชิ่ง (Time Stretching) ยืดและเหยียดกล้ามเนื้อ ตามคำแนะนำของแพทย์ ถ้าจำเป็นต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ควรหันหน้าให้ตรงกับจอ โต๊ะทำงานจะต้องมีที่พักข้อมือ เรียกว่า แฮนด์เลส (Hand rest) และจอมอนิเตอร์จะต้องอยู่ระดับสายตา การนั่งต้องนั่งให้เต็มก้นและมีพนักพิง ถ้าทำได้แบบนี้จะสามารถทำให้ท่านห่างไกลจากภาวะปวดคอ บ่า ไหล่ Office Syndrome หรือที่รุนแรงกว่านั้นก็คือ หมอนรองกระดูกคอหรือกระดูกคอเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทได้

Dboon #สมุนไพรสกัดนำเข้า เกรดพรีเมี่ยม ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัย มีอย.
โทรปรึกษาฟรี คุณเชอรี่ 082-7167362
https://line.me/R/ti/p/%40dbb1

วิธีปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อนส่งแพทย์ ของอาการเส้นเลือดในมองแตก..ผู้ป่วยลมชักมักพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่การเข้าไปช่วยเหลือปฐมพ...
03/10/2017

วิธีปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อนส่งแพทย์ ของอาการเส้นเลือดในมองแตก..

ผู้ป่วยลมชักมักพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่การเข้าไปช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น หลายคนยังคงไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้าง มีเรื่องราวของโรคลมชักมาฝาก รวมไปถึงวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในผู้ป่วยลมชัก

โรคลมชัก เกิดจากกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติที่ถูกปล่อยออกมาจากเซลล์ประสาทสมองด้านนอก มีผลทำให้เกิดความผิดปกติอันจะ เห็นได้จากการเกร็งกระตุกของร่างกาย แขน ขา อาจเป็นตลอดเวลาหรือเป็นช่วง ๆ และผู้ป่วยเองไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งสามารถพบได้ในประชาชนทั่วไปประมาณ 0.6-1%

โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชัก สามารถแบ่งออกได้เป็น ความผิดปกติภายในกะโหลกศีรษะ เช่น การบาดเจ็บภายในกะโหลกศีรษะ เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ มีเนื้องอกในสมอง หรือมีการติดเชื้อในสมอง ส่วนความผิดปกติภายนอกกะโหลกศีรษะที่พบได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะผิดสมดุลของเกลือแร่ เช่น โซเดียม แคลเซียม

ส่วนอาการลมชักที่เกิดขึ้นนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ อันประกอบไปด้วย
ระยะก่อนชัก เป็นช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการนำก่อนที่จะชัก โดยอาจมองเห็นแสงสีวูบวาบรอบ ๆ สิ่งของหรือดวงไฟ ในผู้ป่วยบางราย ญาติอาจสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยเคี้ยวปาก หรือกะพริบตา ถี่ ๆ โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 2-3 นาที
ระยะชัก เป็นระยะที่มีอาการชักอย่างเต็มที่ โดยทั่วไปมักจะใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาที และมักจะหยุดชักได้เอง
ระยะหลังชัก หลังจากที่ผู้ป่วยหยุดชักแล้วจะมีอาการซึมลง หลับ ตอบสนองช้า หรือมีอาการสับสนได้ และมักใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที จึงจะค่อย ๆ ตื่นกลับเป็นปกติ

ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะชัก อาจจะรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ได้ แต่ส่วนมากแล้วจะมีอาการเกร็ง หรือกระตุก หรือทั้งเกร็งและกระตุกไปพร้อมกัน โดยการเกร็งหรือกระตุกนั้นอาจเกิดขึ้นเพียงบางส่วนตามแขน ขา หรือเกิดขึ้นทั้งตัวก็ได้ นั่นทำให้การเข้าปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่กำลังชักเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก หลักสำคัญก็คือ ต้องป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บขณะชัก ซึ่งวิธีการปฐมพยาบาลให้เริ่มต้น ดังนี้
1. จัดผู้ป่วยให้นอนลงและดูแลพื้นที่รอบข้างให้โล่ง ปราศจากของมีคมต่าง ๆ เครื่องเรือนที่ผู้ป่วยอาจจะกระแทกได้ขณะที่ชัก พร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น
2. หากเป็นไปได้ให้หาหมอน หรือผ้ามารองศีรษะหรือลำตัวผู้ป่วย
3. จับลำตัวของผู้ป่วยตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง แนะนำให้ตะแคงซ้าย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสำลักอาหารหรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ ลงในหลอดลม
4. ปรับหรือคลายเสื้อผ้าและเครื่องประดับของผู้ป่วยออกให้หลวมโดยเฉพาะคอเสื้อ และสร้อยคอเปิดทางเดินหายใจ
5. เฝ้าระวังและอยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลาจนกว่าผู้ป่วยจะหยุดชักหรือมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มาช่วยเหลือ
6. เมื่อผู้ป่วยหยุดชักแล้วให้จัดผู้ป่วยอยู่ในท่าพักโดยจัดให้ผู้ป่วยนอนตะแคง ไปด้านใดด้านหนึ่ง พร้อมกับงอเข่าและตะโพกของขาที่อยู่ด้านบน ใช้แขนด้านใดด้านหนึ่งรองศีรษะ

นอกจากนี้แล้ว การเข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ยังมีข้อห้ามที่เป็นข้อแนะนำอย่างยิ่งสำหรับการเข้าช่วยเหลือ
1. ห้ามใช้อุปกรณ์เช่น ไม้ ช้อน ผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิ้วมือของผู้เข้าช่วยเหลือ งัดและใส่เข้าไปในปากของผู้ป่วยเด็ดขาด เพราะไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหยุดชักได้ และยังอาจจะเกิดอันตรายกับผู้ป่วยมากขึ้นเพราะวัตถุเหล่านั้นอาจจะหักหรือ ขาด และตกลงไปในหลอดลม ผู้ป่วย รวมทั้งนิ้วมือของผู้ช่วยเหลืออาจจะเกิดบาดแผลรุนแรงหรือ ขาดได้
2. อย่าพยายามรัด ตรึงผูก หรือพยายามทำให้ผู้ป่วยหยุดชัก เพราะผู้ป่วยไม่สามารถห้ามตัวเองได้และโดยทั่วไปมักจะหยุดชักได้เองในเวลา อันสั้น
3. ห้ามไม่ให้ป้อนยา น้ำ หรืออาหารระหว่างที่ผู้ป่วยชักเด็ดขาดเพราะจะทำให้สำลักลงปอดได้
4. ห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างที่มีการชักเด็ดขาดเพราะอาจทำให้เกิด อุบัติเหตุ เมื่อเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มาถึงหากผู้ป่วยยังชักอยู่จะมีการให้ยาทางเส้น เลือดดำเพื่อทำให้หยุดชัก และนำส่งโรงพยาบาลเพื่อดูแลรักษาต่อไป
ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พัฒนาอย่างไม่่หยุดยั้งทำให้มีการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์สื่อสารไร้สายต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม คลื่นวิทยุ สัญญาณโทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ไม่ได้ส่งผลกระตุ้นทำให้เกิดการชักได้

ผู้ป่วยชักที่ไม่ได้รับการปฐมพยาบาลหรือได้รับการปฐม พยาบาลที่ไม่ถูกต้อง จะส่งผลทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บจากสิ่งแวดล้อม รอบกายและเกิดการสำลักสิ่งแปลกปลอมลงปอดหรืออุดกั้นทางเดินหายใจได้ และอีกทางหนึ่งที่จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยชักเบื้องต้นได้ คือการติดต่อไปยังเบอร์ 1669 ซึ่งเป็นสายด่วนศูนย์นเรนทรเพื่อทำการแจ้งเหตุและติดต่อเจ้าหน้าที่ทางการ แพทย์ให้การช่วยเหลือและนำส่งโรงพยาบาลโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ นอกจากนี้ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปถึงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุยังให้คำแนะนำต่าง ๆ แก่ผู้แจ้งเหตุ ในการดูแลผู้ป่วยชักเบื้องต้นอีกด้วย.

Dboon #สมุนไพรสกัดนำเข้า เกรดพรีเมี่ยม ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัย มีอย.
โทรปรึกษาฟรี คุณเชอรี่ 082-7167362

ที่อยู่

19/112 ถ. นวลจันทร์ แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม
Bangkok
10230

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ D-Boonดูแลกระดูกและข้อ โดยคุณเชอรี่ 082-7167362ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram