สถาบันดูแลโรคความเสื่อมของร่างกาย

สถาบันดูแลโรคความเสื่อมของร่างกาย Alertide, D Conntact, D Boon, D ORO, Di Office ดูแลโรคเสื่อมของเซล สายตา กระดูก และ ระบบอวัยวะภายใน

อัน.อานุภาพความรัก แท้นักประจักษ์รักยิ่งใหญ่... หลงรักเลยละ ใครรู้จักไหมคะ ว่าคือต้นอะไร???มีสรรพคุณ อย่างไร ???อยากรู้ไ...
22/10/2020

อัน.อานุภาพความรัก แท้นักประจักษ์รักยิ่งใหญ่...
หลงรักเลยละ ใครรู้จักไหมคะ ว่าคือต้นอะไร???
มีสรรพคุณ อย่างไร ???
อยากรู้ไหมคะ ว่าทำไมถึงหลงรัก !!!

ความดันสูง ทำไมต้องงดเค็มปัจจุบันคนไทย 3 คนจะมีภาวะความดันโลหิตสูง 1 คนและพบว่า ปี 2554 มีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุความดันโล...
26/08/2018

ความดันสูง ทำไมต้องงดเค็ม
ปัจจุบันคนไทย 3 คนจะมีภาวะความดันโลหิตสูง 1 คนและพบว่า ปี 2554 มีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุความดันโลหิตสูง 3,665 คน เมื่อเทียบอัตราป่วย ปี 2553 และปี 2554 พบว่า เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ผู้ป่วยเกินครึ่งไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้

ความดันโลหิตสูงคือความดันที่วัดค่าได้ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ซึ่งโรคนี้ถือว่าเป็นฆาตกรเงียบ เพราะผู้ที่เป็นส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่มีอาการ บางรายอาจมีอาการเตือนบ้าง เช่น ปวดมึนบริเวณท้ายทอย วิงเวียน ปวดศีรษะตุบๆ ความดันโลหิตที่สูงเป็นเวลานานจะเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจวายเฉียบพลัน อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย เป็นต้น ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงมาก

การเฝ้าระวังตนเองเพื่อป้องกันหรือควบคุมความดันโลหิต จำเป็นต้องคอยตรวจวัดความดันโลหิตตนเองเป็นประจำ และดูแลสุขภาพชีวิตประจำวันด้วย หลัก 3 อ 2 ส คือ อ. 1 ออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ อ. 2 อาหาร ควรกินผัก ผลไม้ไม่หวานมากขึ้นและลดอาหารหวาน มัน เค็ม อ. 3 อารมณ์ รู้จักผ่อนคลายความเครียด ส่วนอีก 2 ส คือ ส. 1 สุรา ควรเลิกดื่ม ส. 2 สูบบุหรี่ ต้องงด

หลายคนสงสัยว่า ทำไมคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง จึงต้องงดอาหารเค็ม สาเหตุเพราะอาหารเค็มมี “โซเดียม” มาก ซึ่งโซเดียมนี้มีคุณสมบัติดูดน้ำได้ดี นอกจากจะมีมากในเกลือแล้วยังมีในผงชูรส สารกันบูด ผงฟูที่ใส่ในอาหารพวกขนมปัง สังเกตได้เมื่อเรากินอาหารเค็ม อาหารใส่ผงชูรสหรืออื่นๆ แล้วเรามักหิวน้ำ ฉะนั้นคุณหมอจึงแนะนำผู้ป่วยที่มีอาการบวมให้งดอาหารเค็มเพราะทำให้น้ำคั่งในร่างกายมากขึ้น น้ำเลือดเพิ่มขึ้นแต่ท่อหลอดเลือดกว้างเท่าเดิม แถมบางคนยังแคบ ตีบ แข็ง และเปราะอีก ทำให้เกิดแรงดันในหลอดเลือดสูงขึ้น เส้นเลือดแตกหรือฉีกขาดได้

มีการศึกษาพบว่า การกินเกลือหรือโซเดียมมาก นอกจากจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นแล้ว ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย ซึ่งวิธีจำกัดโซเดียมเข้าสู่ร่างกาย มีเคล็ดลับง่าย ๆ ดังนี้

1. ลดการเติมเครื่องปรุงในอาหาร เช่น ผงปรุงรส น้ำปลา ซีอิ้ว เกลือ ซอส หรืออื่นๆ

2. หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก กุนเชียง หมูยอ หรืออื่นๆ หากจำเป็นควรเลือกชนิดที่มีโซเดียมน้อยโดยอ่านจากฉลากโภชนาการ

3. ลดความถี่และปริมาณการกินอาหารที่มีน้ำจิ้ม เช่น สุกี้ หมูกระทะ และลดกินน้ำพริกกะปิหรืออาหารที่ใส่เกลือ หรือผงชูรสมาก

4. ลดกินของว่างที่มีเกลือหรือโซเดียม เช่น ข้าวเหนียวกะทิ ข้าวหลาม ผลไม้แช่อิ่ม หรือดอง ขนมที่ใส่ผงฟูทุกชนิด เช่น เค้ก คุกกี้ โดนัท และอื่นๆ

ปรับลิ้นสักนิดโดยกินอาหารอ่อนเค็ม ปรุงรสด้วยสมุนไพรหรือเครื่องเทศ ใช้รสเปรี้ยวหรือเผ็ดนำ จะช่วยให้รสชาติอาหารดีขึ้นได้ และส่งผลให้ควบคุมความดันโลหิตได้ด้วย

-------------------------------
เรียนรู้วิธีบำบัดตัวเองฟรี…ผ่านไลน์แอด

ปรึกษาอาการ แนวทางการฟื้นฟู และป้องกัน

กรุณากดที่ลิงค์นี้นะค่ะ 👇
https://line.me/R/ti/p/%40ffo4036f

โทร 098 874 4569 (คุณอุไรวรรณ)
----------------------------------
#แชร์เป็นวิทยาทาน
อย่าลืมแชร์และชวนเพื่อนเรียนรู้พร้อมกัน

 #เจ็บคอ   #สาเหตุ   #อาการ   #วิธีรักษา  #ป้องกัน และการดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการเจ็บคออาการเจ็บคอ เป็นอีกหนึ่งอาการที่น...
24/08/2018

#เจ็บคอ #สาเหตุ #อาการ #วิธีรักษา #ป้องกัน
และการดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการเจ็บคอ

อาการเจ็บคอ เป็นอีกหนึ่งอาการที่นำมาซึ่งความทรมานไม่น้อยทีเดียว เพราะทำให้กลืนน้ำลายหรือกลืนอาหารแล้วรู้สึกเจ็บคอได้ตลอด ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และในบางครั้ง อาการเจ็บคอยังพ่วงมาพร้อมอาการไอ มีเสมหะและเป็นไข้ได้อีกด้วย วันนี้เราไปติดตามกันว่าอาการเจ็บคอเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีวิธีรักษาป้องกันได้อย่างไรบ้าง

ทำความรู้จักกับอาการเจ็บคอ

เจ็บคอ (Sore Throat) คือ อาการที่เกิดการระคายเคืองบริเวณคอ ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา และไม่เพียงเท่านั้นอาการเจ็บคอ สามารถที่จะทำให้การใช้ชีวิตเป็นไปด้วยความลำบาก ทั้งนี้อาการเจ็บคออาจจะทำให้เกิดข้อจำกัดต่อการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร หรือแม้แต่พฤติกรรมต่อการใช้ชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน

สาเหตุของอาการเจ็บคอ

สาเหตุของอาการเจ็บคอ มีสาเหตุหลักอยู่ 2 ประเภท ซึ่งก็มีดังนี้

1. เกิดจากการติดเชื้อต่างๆ

การติดเชื้อจะทำให้เกิดอาการอักเสบหรือคอเจ็บขึ้นได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจ และการติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการคอเจ็บนั้น ยังสามารถแบ่งเชื้อซึ่งเป็นตัวการของโรคได้อีกดังนี้

เชื้อรา อาการเจ็บคอสามารถเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อรา แต่สามารถพบได้ในปริมาณที่น้อย เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เชื้อไวรัส ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บคอได้มากที่สุด ซึ่งเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการเจ็บคอได้นั้นก็มีดังนี้

เชื้อ Coronaviruses คือ โรคหวัด
เชื้อ Influenza คือ โรคไข้หวัดใหญ่
เชื้อ Measles คือ โรคหัด
เชื้อ Varicella คือ โรคอีสุกอีใส
เชื้อ Mumps คือ โรคคางทูม
เชื้อ Parainfluenza คือ คอตีบเทียม
เชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อแบคทีเรียจนทำให้เกิดอาการเจ็บคอนั้น สามารถที่จะพบได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยหนุ่มสาว แต่จะพบน้อยในวัยผู้สูงอายุ โดยเชื้อแบคทีเรียที่สามารถทำให้ติดเชื้อได้ก็มีดังนี้

เชื้อ Streptococcuspyogenes คือ โรคคออักเสบ
เชื้อ Corynebacterium คือ โรคคอตีบ
เชื้อ Bordetella คือ โรคไอกรน

2. สาเหตุที่ไม่ใช่การติดเชื้อ

นอกจากการติดเชื้อต่างๆ อันนำมาซึ่งอาการเจ็บคอแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกเช่นกันที่ทำให้เกิดอาการเจ็บคอได้ ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นได้แก่

การใช้เสียงมากเกินไป โดยอาจจะเป็นการตะโกนหรือใช้ระยะเวลาในการพูดคุยมากเกินไป
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ไม่เพียงแค่การดื่มแอลกอฮอล์แต่เพียงเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงการสูบบุหรี่มากเกินไปอีกด้วย เพราะการสบบุหรี่จะทำให้เกิดการระคายคอได้มากยิ่งขึ้น
กรดไหลย้อน โดยจะเกิดจากกรดที่อยู่ในกระเพาะไหลย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหาร กรดไหลย้อนที่เกิดขึ้นสามารถที่จะทำให้เกิดอาการแสบร้อนขึ้นที่ลำคอได้นั่นเอง
อากาศ สามารถที่จะส่งผลต่อการทำให้เกิดอาการเจ็บคอได้ โดยเฉพาะอากาศแห้งเมื่อไม่ได้มีความชุ่มชื้น เพราะจะทำให้เกิดการเสียดสีในลำคอและทำให้เกิดอาการระคายคอได้

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิดก็มีสิทธิ์ทำให้เกิดอาการระคายคอจนทำให้เจ็บคอได้เช่นกัน เช่น ยาลดความดันโลหิต
อาการเจ็บคอเป็นอย่างไร?

ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอ ลักษณะอาการจะสังเกตได้ดังนี้

เสียงแหบ
ต่อมทอนซิลโต
มีอาการเจ็บคอมากขึ้นในขณะที่กลืนอาหาร หรือดื่มน้ำ
อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าวถือเป็นอาการพื้นฐานของอาการเจ็บคอทั้งสิ้น และในขณะเดียวกัน ก็ยังมีอาการอื่นๆ ที่เกิดร่วมกับอาการเจ็บคอ ซึ่งอาการที่จะเกิดร่วมกับอาการเจ็บคอนั้นยังสามารถเกิดได้จากการติดเชื้อได้อีกด้วย โดยมีอาการที่สามารถสังเกตได้ดังนี้

คลื่นไส้
ปวดศีรษะ
มีน้ำมูก
ท้องเสีย
ตาแดง
ภาวะแทรกซ้อนของอาการเจ็บคอ

อาการเจ็บคอสามารถที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้เช่นเดียวกัน โดยภาวะแทรกซ้อนมักเกิดขึ้นในเด็กและผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งร่างกายผู้ป่วยจะมีภาวะขาดอาหารและน้ำ เนื่องจากเมื่อเกิดอาการคอเจ็บขึ้นแล้ว อาจจะทำให้การกลืนอาหารหรือดื่มน้ำเป็นไปด้วยความยากลำบาก และเมื่อร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำนั่นเอง

การวินิจฉัยอาการเจ็บคอ

สำหรับการวินิจฉัยอาการเจ็บคอก็จะเหมือนกับการวินิจฉัยโรคทั่วไป โดยใช้วิธีการดังนี้

การสอบถามประวัติผู้ป่วย
การตรวจร่างกาย
การตรวจลำคอ
การตรวจต่อมน้ำเหลือง
การตรวจเลือด
การตรวจสารคัดหลั่ง
การตรวจปัสสาวะ
การเอกซเรย์ปอด
วิธีรักษาอาการเจ็บคอ

สำหรับการรักษาอาการเจ็บคอนั้นสามารถที่จะใช้วิธีต่างๆ ในการรักษาอาการเจ็บคอได้ โดยมีทั้งวิธีรักษาที่แบ่งไปตามการติดเชื้อชนิดต่างๆ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยรักษาอาการเจ็บคอให้ดีขึ้น โดยแนวทางในการรักษาก็สามารถทำได้ดังนี้

1. การรักษาอาการเจ็บคอจากเชื้อไวรัส

สำหรับอาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อไวรัสสามารถที่จะหายได้เองภายใน 5-7 วัน นอกจากนี้ แนะนำให้หมั่นกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อให้อาการเจ็บคอทุเลาลง โดยใช้เกลือปริมาณ 1/2 ช้อนผสมลงในน้ำอุ่น 1 ถ้วย จากนั้นนำมาอมกลั้วคอ แต่หากใครไม่ชอบรสเค็ม ก็อาจเติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อยเพื่อปรับรสชาติให้กลมกล่อมขึ้นได้

2. การรักษาอาการเจ็บคอจากเชื้อแบคทีเรีย

หากมีอาการเจ็บคอซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนานเกินกว่า 7 วัน แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการติดเชื้อเพิ่มเติม นั่นก็คือ ยา Amoxicilin

3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

ในช่วงที่ยังมีอาการเจ็บคอ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกรับประทานอาหารถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารอ่อนๆ หรืออาหารที่ไม่มีรสชาติจัดจ้านมากจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณลำคอมากไปกว่าเดิม

4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ร่างกายติดเชื้อจนเกิดอาการเจ็บป่วยได้ก็คือ ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ ซึ่งการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอหรือการนอนดึกบ่อยๆ ก็มีส่วนให้เกิดปัญหาสุขภาพดังกล่าวได้ โดยเฉพาะอาการเจ็บคอที่เกิดจากการติดเชื้อต่างๆ การนอนพักผ่อนจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น จึงควรใส่ใจนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการนอนดึก ก็จะช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้นได้เร็ว และยังทำให้สุขภาพร่างกายโดยรวมแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

วิธีรักษาอาการเจ็บคอรูปแบบอื่นๆ

ดื่มน้ำเปล่าอุ่นๆ ให้มาก นับเป็นเครื่องดื่มที่หาง่ายและมีประโยชน์อย่างมากทีเดียว เพราะน้ำเปล่าจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ลำคอ ช่วยลดอาการคอแห้งและระคายเคือง ที่สำคัญยังสามารถช่วยกำจัดเชื้อและเสมหะได้ง่ายมากขึ้นด้วย
ดื่มชา เป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้เป็นอย่างดี เพราะน้ำชาส่วนใหญ่ล้วนทำมาจากสมุนไพร ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี
กลั้วคอด้วยสูตรน้ำขิง หากมีอาการเจ็บคอมาก แนะนำให้กลั้วคอด้วยน้ำขิงสูตรนี้เลย วิธีผสมคือ ใช้น้ำขิง 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา โดยนำมาผสมในน้ำร้อน 1/2 ถ้วย จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไปผสม 1/2 ซีก นำมากลั้วคอสักครู่ สูตรนี้จะประกอบด้วยตัวยาที่จะช่วยรักษาอาการเจ็บคอได้ดีทีเดียว เพราะน้ำผึ้งมีคุณสมบัติเปรียบดั่งยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะช่วยกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้
อมลูกอม อย่างที่เห็นกันในปัจจุบันว่ามีลูกอมแก้เจ็บคอหลากหลายชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ซึ่งลูกอมเหล่านี้มักมีส่วนประกอบของยาชาเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอให้ดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่องหรือใช้มากเกินไป เพราะอาจส่งผลทำให้บางอาการที่ร้ายแรงไม่อาจแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจนได้
ใช้สเปรย์ฉีดพ่น สเปรย์พ่นคอเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถนำมาใช้พ่นรักษาอาการเจ็บคอได้ โดยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลำคอจึงช่วยบรรเทาอาการได้ดีทีเดียว แต่ควรใช้ในปริมาณที่พอดีหรือควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้
ทานซุปไก่ เป็นวิธีรักษาที่ใช้กันมาโดยตลอด เนื่องจากในน้ำซุปจะมีโซเดียมที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านการอักเสบภายในลำคอได้ดียิ่งขึ้น และหากกลืนอาหารลำบาก การเลือกทานซุปไก่ร้อนๆ จะช่วยให้การทานอาหารคล่องขึ้นมากทีเดียว แถมทำให้อุ่นสบายท้องด้วย
วิธีป้องกันอาการเจ็บคอ

เนื่องจากอาการเจ็บคอส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากการติดเชื้อ เพราะฉะนั้น การลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อย่อมทำให้ห่างไกลจากอาการเจ็บคอได้มากขึ้นแน่นอน โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้

เลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
ใช้หน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะ
หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ
ฉีดวัคซีนให้ครบ
วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการเจ็บคอ

สำหรับวิธีดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการเจ็บคอ คุณสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

พักผ่อนให้เพียงพอ และอาจจะต้องพักมากกว่าปกติ คือ 11-13 ชั่วโมง
ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
พยายามที่จะดื่มน้ำให้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้
รับประทานวิตามินซีให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากเนย นม หรืออาหารทอดๆ มันๆ เพราะจะทำให้เกิดเสมหะมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคัน และระคายเคืองคอได้อีกด้วย
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมาก เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองคอด้วยเช่นเดียวกัน
แม้ว่าอาการเจ็บคอ จะไม่ใช่โรคอันตรายร้ายแรง แต่เมื่อใดที่เกิดอาการเจ็บคอแล้ว ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกทรมานและเบื่ออาหารได้ ทำให้กินอาหารหรือกลืนอาหารลำบาก ดังนั้น การรู้เท่าทันโรคและรีบรับมือดูแลรักษาให้หายโดยเร็ว จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพิกเฉยแต่อย่างใด

-------------------------------
เรียนรู้วิธีบำบัดตัวเองฟรี…ผ่านไลน์แอด

ปรึกษาอาการ แนวทางการฟื้นฟู และป้องกัน

กรุณากดที่ลิงค์นี้นะค่ะ 👇
https://line.me/R/ti/p/%40ffo4036f

โทร 098 874 4569 (คุณอุไรวรรณ)
----------------------------------
#แชร์เป็นวิทยาทาน
อย่าลืมแชร์และชวนเพื่อนเรียนรู้พร้อมกัน

ทำยังไงก็ไม่อิ่มสะที???ข้าวก็กินแล้ว! ขนมก็กินแล้ว! ท้องตะแตกแล้ว! แต่ก็ไม่อิ่ม???? #หายใจไม่อิ่มความหมาย หายใจไม่อิ่มหา...
09/08/2018

ทำยังไงก็ไม่อิ่มสะที???

ข้าวก็กินแล้ว! ขนมก็กินแล้ว! ท้องตะแตกแล้ว!

แต่ก็ไม่อิ่ม????

#หายใจไม่อิ่ม

ความหมาย หายใจไม่อิ่ม

หายใจไม่อิ่ม (Dyspnea หรือ Shortness of Breath) เป็นลักษณะอาการที่ไม่สามารถหายใจสูดอากาศเข้าไปได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นการหายใจสั้น ๆ หรือรู้สึกหายใจไม่ออก เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นเฉียบพลันในช่วงสั้น ๆ หรืออาจหายใจไม่อิ่มอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำกิจกรรม อยู่ในสภาพอากาศและสถานการณ์ที่ทำให้หอบเหนื่อยหายใจไม่ทัน หรืออาจกำลังป่วยด้วยโรคที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ

โดยทั่วไป หายใจไม่อิ่มมักเกิดจากกิจกรรมที่ใช้แรงหนัก ทำให้ร่างกายหอบเหนื่อยและหายใจไม่ทันหรือหายใจถี่เป็นช่วงสั้น ๆ แล้วอาการจะหายไปเมื่อพ้นจากกิจกรรมเหล่านั้น เช่น การออกกำลังกาย อุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป หรืออยู่บนที่สูง แต่หากเกิดอาการหายใจไม่อิ่มอยู่เสมอ หายใจไม่อิ่มอย่างรุนแรง หรือหายใจไม่อิ่มทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาทันที

อาการหายใจไม่อิ่ม

ลักษณะอาการของการหายใจไม่อิ่ม คือ

หายใจไม่สะดวก รู้สึกเหมือนอากาศไม่พอ
หายใจเป็นช่วงสั้น ๆ หายใจถี่ ไม่สามารถหายใจเข้าลึก ๆ ตามปกติได้
รู้สึกอึดอัด แน่นหน้าอก
หายใจไม่ออก หรือรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ป่วยไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ขาดอากาศหายใจแต่อย่างใด แต่อาจเป็นสัญญาณสำคัญของการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

สาเหตุของอาการหายใจไม่อิ่ม

อาการหายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่ผู้ป่วยหายใจเอาอากาศเข้าไปได้ไม่สมดุลกับปริมาณที่ร่างกายต้องการ อันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้มีอาการหายใจไม่อิ่มปรากฏใน 2 ลักษณะ คือ

อาการหายใจไม่อิ่มที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และอาจเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

ปัจจัยภายนอก

การออกกำลังกาย หรือใช้แรงอย่างหนัก
อุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป
อยู่บนที่สูง ซึ่งมีความกดอากาศต่ำ
เกิดเหตุการณ์ทำให้ตื่นตระหนกตกใจกะทันหัน หรือเกิดความวิตกกังวล
ปัจจัยภายใน

ระบบทางเดินหายใจถูกกีดขวาง หรือมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ เช่น มีเมล็ดผลไม้ติดอยู่ในลำคอ
โรคหอบหืด หลอดลมหดตัวแคบลง เกิดมูกเหนียวภายในทำให้ทางเดินหายใจแคบลง ผู้ป่วยจึงหายใจลำบากและอาจมีเสียงหวีดขณะหายใจ
โรคภูมิแพ้ หรือปฏิกิริยาแพ้ต่อสารอย่างรุนแรง อาการที่อาจพบร่วมด้วย เช่น มีผื่นคัน ผิวหนังบวมแดง
การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ เมื่อเกิดมูกเสมหะอุดตัน ทำให้หายใจติดขัด อาจพบร่วมกับอาการไข้ ไอ หอบเหนื่อย
เกิดลิ่มเลือดอุดตันภายในปอด
ภาวะปอดแตก หรือภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศ
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และภาวะหัวใจวาย
อาการหายใจไม่อิ่มที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง

เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง และอาจเกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน สามารถเกิดจากสาเหตุเดียวกันกับอาการหายใจไม่อิ่มที่เกิดขึ้นกะทันหันได้เช่นกัน อย่างโรคหอบหืด หรือโรคและภาวะเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม (Cardiomyopathy) ที่ทำให้หัวใจมีรูปร่างและขนาดที่เปลี่ยนไป ทำให้สูญเสียประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายตามส่วนต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่อิ่มอย่างต่อเนื่องเรื้อรังหลายเดือน หรือหลายปีได้

นอกจากนี้ อาการหายใจไม่อิ่มที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรังอาจเกิดจากโรคและภาวะอื่น ๆ เช่น

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD)

-เนื้อเยื่อในปอดอักเสบ และเกิดความเสียหาย
-ภาวะความดันหลอดเลือดปอดสูง
-ภาวะอ้วน เนื่องจากมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป โดยเฉพาะบริเวณช่วงอกและช่วงท้อง ทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้หายใจทำงานหนักขึ้น
-สมรรถภาพร่างกายลดลง เช่น ไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้เหนื่อยหอบและหายใจไม่อิ่มได้ง่ายเมื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ
-การตั้งครรภ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบไหลเวียนโลหิตและระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นอาการปกติสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์

การวินิจฉัยอาการหายใจไม่อิ่ม

ไม่ว่าจะเป็นอาการหายใจไม่อิ่มที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หรืออาการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง ล้วนเป็นสัญญาณของอาการป่วยที่รุนแรงได้ ผู้ป่วยจึงควรสังเกตหรือบันทึกลักษณะอาการที่เกิดขึ้น ความถี่ของการเกิด ความรุนแรงของอาการ และอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการหายใจไม่อิ่ม

ผู้ป่วยสามารถปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากแพทย์ได้ โดยควรรีบไปพบแพทย์ทันทีที่มีอาการรุนแรงขึ้น มีอาการหายใจไม่อิ่มปรากฏขึ้นทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หายใจไม่อิ่มอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง มีอาการหายใจไม่อิ่มที่แย่ลงกว่าที่เคยเป็นก่อนหน้า หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น

หายใจมีเสียงหวีด และรู้สึกเหนื่อย
มีไข้สูง ไอ หนาวสั่น
หายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบ
มีอาการแพ้หรือบวมตามอวัยวะ เช่น เท้า และข้อเท้า

เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะตรวจร่างกายเบื้องต้น อย่างตรวจฟังเสียงการเต้นของหัวใจและการทำงานของปอดด้วยหูฟังแพทย์ที่เรียกว่าสเต็ตโทสโคป (Stethoscope) ตรวจหาอาการต่าง ๆ ตามร่างกายภายนอก เช่น อาการขาบวม หรืออาการแพ้อื่น ๆ จากนั้น แพทย์จะซักประวัติทางการแพทย์ เช่น เคยป่วยหรือกำลังป่วยด้วยโรคในระบบทางเดินหายใจ โรคเกี่ยวกับปอดและหัวใจหรือไม่ และสอบถามลักษณะอาการป่วยในเบื้องต้น ซึ่งผู้ป่วยควรสังเกตและจดจำอาการสำคัญ เช่น

อาการหายใจไม่อิ่มเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หรือเกิดขึ้นบ่อย ๆ เป็นระยะ
หายใจไม่อิ่มเกิดจากการทำกิจกรรมใดมาก่อนหน้าหรือไม่ หรืออาการเกิดขึ้นมาเอง
อาการรุนแรงเพียงใด

มีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บหน้าอก หรือไม่สามารถนอนราบลงได้
แพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับการตรวจเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ เพื่อประกอบการวินิจฉัยหาโรคซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหายใจไม่อิ่ม

การตรวจเลือด

ตรวจหาความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง หรือค่าฮีมาโตคริต (Hematocrit) เพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดแดงในการบรรจุออกซิเจน เช่น ในรายที่แพทย์มีข้อสงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคโลหิตจาง
ตรวจวัดปริมาณ ออกซิเจนในเลือด (Oximetry)
ด้วยเครื่องออกซิมิเตอร์ (Oximeter)

ตรวจหาระดับ BNP ในเลือด เพื่อหาระดับสาร BNP (Brain Natriuretic Peptides) ซึ่งจะถูกขับออกมาจากกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อตรวจว่าผู้ป่วยมีของเหลวอยู่ในปอดหรือไม่

การเอกซเรย์ช่วงอก เพื่อตรวจดูบริเวณปอด ตรวจหาร่องรอยการติดเชื้อ การอักเสบ หรือการเกิดรอยแผล เช่น ตรวจหาภาวะปอดบวม ปอดอักเสบ

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการตรวจเช็คการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อดูว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจขาดเลือดหรือไม่

การตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry) เป็นการทดสอบการหายใจด้วยเครื่องมือที่ชื่อ สไปโรมิเตอร์ (Spirometer) ซึ่งจะวัดปริมาตรอากาศที่เข้าและออกจากปอด

การรักษาอาการหายใจไม่อิ่ม

ในเบื้องต้น ผู้ป่วยที่หายใจไม่อิ่มควรสังเกตที่มาที่ทำให้เกิดอาการ หากเป็นสาเหตุทั่วไปที่ไม่เป็นอันตราย เช่น อาการเกิดจากปัจจัยภายนอก ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองและบรรเทาอาการหายใจไม่อิ่มจนกว่าจะกลับมาหายใจได้ตามปกติ เช่น

นั่งหน้าพัดลม หรือปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลงให้ห้องมีความเย็น
ยกหัวขึ้น หรือให้หัวอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าแนวระนาบหรืออยู่ในท่านั่ง เพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น

สูดอากาศบริสุทธิ์ เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวก และกำจัดมลภาวะทางอากาศออกไป

อยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง ห้องโล่ง ๆ ที่ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด หรือเปิดหน้าต่าง มองดูทิวทัศน์ที่สบายตา

ฝึกใช้เทคนิคควบคุมความเครียด ความวิตกกังวล และการรับมือกับปัญหา ด้วยการเปลี่ยนมุมมอง การคิด และการจัดการกับอารมณ์และสถานการณ์ที่ยากลำบาก
รับประทานยาแก้ปวด หรือยารักษาที่ใช้ควบคุมอาการป่วยที่กำลังเผชิญอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

เมื่อไปพบแพทย์ ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจไม่อิ่มจะได้รับการรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ซึ่งแพทย์จะพิจารณารักษาตามอาการและความรุนแรงของโรคต่อไป

ตัวอย่างวิธีการรักษาอาการหายใจไม่อิ่ม ได้แก่

-ให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย
-ให้ยาขยายหลอดลม
-ให้ยาระงับอาการปวดที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น มอร์ฟีน
-ให้ยาคลายกังวล (Anti­anxiety) เพื่อรักษาอาการเจ็บปวดและผ่อนคลายความวิตกกังวลที่ทำให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่ม

ภาวะแทรกซ้อนอาการหายใจไม่อิ่ม

อาการหายใจไม่อิ่มอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ หรืออาจขึ้นเกิดร่วมกับอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

-ไอ
-หายใจมีเสียงหวีด
-เจ็บหน้าอก
-เวียนศีรษะ
-ปวดคอ
-หน้ามืด เป็นลม

ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นร่วมหรือหลังหายใจไม่อิ่ม อาจเป็นอาการและภาวะแทรกซ้อนของโรคที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่

การป้องกันการเกิดอาการหายใจไม่อิ่ม

ไม่สูบบุหรี่ หรือเลิกสูบบุหรี่ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับปอด หัวใจ และระบบทางเดินหายใจ

หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมลภาวะและฝุ่นควัน ซึ่งอาจก่อโรคและสร้างปัญหาในระบบทางเดินหายใจได้

หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานการณ์อันตราย หรือบีบบังคับให้เกิดความเครียดความวิตกกังวล

หากอยู่ในภาวะอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน ควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

หากกำลังเจ็บป่วยด้วยโรคหรือภาวะใด ควรรับประทานยา รับการรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หากต้องทานยาต่อเนื่อง ควรรับประทานอาหารเสริม ด้วยสารอาหารที่เข้มข้น เพื่อฟื้นฟูร่างกายควบคู่กันด้วย
-------------
เรียนรู้วิธีบำบัดฟื้นฟู ตัวเองผ่าน
ไลน์แอด@ คลิก
https://line.me/R/ti/p/%40ffo4036f
ทักทายคุยกับเราได้เลยคะ

ปรึกษาฟรี โทร..09 8874 4569
---------
สาระน่ารู้ แชร์เพื่อเป็นวิทยาทาน ด้วยคะ

 #ปวด  #ชา  #ก้น  #ขา  #กล้ามเนื้อ  #เส้นประสาทล้วนแล้ว เกี่ยวข้องกัน!!☀ปวดและชาที่ก้นร้าวไปยังขาทั้ง 2 ข้าง☀รู้สึกเจ็บเ...
07/08/2018

#ปวด #ชา #ก้น #ขา

#กล้ามเนื้อ #เส้นประสาท

ล้วนแล้ว เกี่ยวข้องกัน!!

☀ปวดและชาที่ก้นร้าวไปยังขาทั้ง 2 ข้าง
☀รู้สึกเจ็บเมื่อใช้มือกดบริเวณก้น
☀ปวดหลังช่วงล่าง

ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อต้องนั่งเป็นเวลานานหรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวลำตัวส่วนล่าง เช่น วิ่ง หรือขึ้นบันได เป็นต้น หากมีอาการรุนแรงมากก็อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้

รีบฟื้นฟูก่อนสาย!!!

ปรึกษาอาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท โทร 098 874 4569

Piriformis Syndrome หรือกลุ่มอาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท เป็นความผิดปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เกิดจากกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิสบริเวณก้นใกล้กับสะโพกไปกดทับเส้นประสาทไซอาติกที่อยู่ใกล้กัน ส่งผลให้รู้สึกปวดบริเวณก้นร้าวไปยังขา หากมีอาการรุนแรงมาก อาจส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการนั่ง เช่น นั่งทำงาน หรือขับรถ เป็นต้น

อาการของ Piriformis Syndrome

พิริฟอร์มิส คือ กล้ามเนื้อที่อยู่ภายในก้นใกล้กับสะโพก มีหน้าที่รักษาสมดุลของสะโพกและช่วยให้ต้นขาเคลื่อนไหวไปยังทิศทางต่าง ๆ ได้ จึงจำเป็นต่อการรักษาสมดุลของร่างกายและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องใช้ลำตัวส่วนล่าง หากกล้ามกล้ามเนื้อชนิดนี้ไปกดทับเส้นประสาทไซอาติก ซึ่งเป็นเส้นประสาทขนาดใหญ่ที่พาดผ่านขาทั้ง 2 ข้าง อาจส่งผลให้เกิดอาการ ดังต่อไปนี้

☀ปวดและชาที่ก้นร้าวไปยังขาทั้ง 2 ข้าง
☀รู้สึกเจ็บเมื่อใช้มือกดบริเวณก้น
☀ปวดหลังช่วงล่าง

ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อต้องนั่งเป็นเวลานานหรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวลำตัวส่วนล่าง เช่น วิ่ง หรือขึ้นบันได เป็นต้น หากมีอาการรุนแรงมากก็อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้

รีบฟื้นฟูก่อนสาย!!!
ปรึกษาโทร 098 874 4569

หรือ เพิ่มเพื่อน ไลน์ @ กดลิ้ง
https://line.me/R/ti/p/%40ffo4036f

07/08/2018

หากพรุ่งนี้ไม่มี…..แม่?

ถ้าเย็นนี้คุณได้ข่าวว่าคุณแม่จากคุณไปแล้ว

คุณคิดว่าคุณแม่จะได้อะไร หรือแค่เพียงแต่ข้าวต้มถ้วยเดียวและน้ำเปล่าครึ่งแก้ว ใส่ถาดเอาไปวางไว้ข้างโลงศพเท่านั้นหรือ แล้วลูกชายลูกหญิงผู้โง่เขลาก็จะไปเคาะข้างโลง

พร้อมกับพูดว่า....

“แม่จ๋าลุกขึ้นมากินข้าวเถอะ แม่จ๋าลุกขึ้นมากินน้ำเถอะ แม่จ๋าพระมาแล้วฟังสวดนะแม่นะ”

แต่ในขณะที่แม่มีชีวิตอยู่ เราจะได้ยินแต่คำว่า
“ลูกจ๋าลูกหิวหรือเปล่า ? ลูกต้องการอะไรหรือเปล่า? ลูกจ๋าลูกไม่สบายหรือเปล่า?”

จะมีลูกซักกี่คนที่จะถามแม่เช่นนั้น หรือจะรอให้แม่ตายไปซะก่อนแล้วค่อยถามอย่างนั้นหรือ เรารักสิ่งใด เราจะถนอมสิ่งนั้น รักษาสิ่งนั้น แล้วมันจะอยู่กับเรานาน ถ้าเรารักแม่ ต้องถนอมน้ำใจท่าน รักษาใจท่าน ถามท่านต้องการอะไร? ท่านอยากไปไหน? ท่านอยากทานอะไร? ท่านเจ็บตรงไหนปวดที่ใด? ตอนที่แม่มีชีวิตอยู่ไม่เคยสนใจท่านเลย แต่พอคุณแม่ตายลงนำร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ไปใส่โลงทองอย่างดี เอาไปไว้วัดแล้วนิมนต์พระมาสวด 7 วัน 7 คืน หวังว่าดวงวิญญาณของแม่จะไปสู่สุขคติโลกสวรรค์ นี่หรือคือสิ่งที่เรามอบให้แม่

จัดห้องนอนให้แม่ ตอนที่แม่มีชีวิตอยู่แม้ครั้งเดียว ยังดีกว่าจัดงานศพใหญ่โตเมื่อแม่สิ้นชีวิต

มอบดอกไม้สักดอกให้แม่ ตอนมีชีวิตอยู่ มีค่ากว่าพวงหรีดหลายร้อยพวงที่ประดับข้างโลงศพแม่

หาน้ำเย็นๆให้แม่ดื่ม ทำอาหารดีๆให้แม่กิน มีค่ากว่าจัดอาหารอันประณีตไปวางข้างโลงศพท่าน

โทรศัพท์หรือจดหมาย ไปถามไถ่ท่านบ้าง ดีกว่าจัดงานบุญใหญ่โตอุทิศให้ท่าน

ทำความดีมีความกตัญญูต่อแม่ ขณะมีชีวิตอยู่ ประเสริฐกว่าการสำนึกบุญคุณได้เมื่อท่านตายจากแล้ว

หากพรุ่งนี้ไม่มี……แม่ ใครจะมาดูแลเรา มาสนใจรักเรา มาเป็นห่วงเป็นใยเราเท่ากับคุณพ่อคุณแม่ ไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ รักใดไหนเล่าเท่าแม่รัก เป็นรักที่บริสุทธิ์ใจ เป็นรักที่ยิ่งใหญ่ เป็นรักที่แท้จริง

อันรักใดไหนเล่าเท่ารักลูก จิตพันผูกสายเลือดสืบเชื่อสาย เป็นความรักบริสุทธิ์ดุจใจกาย เป็นเครื่องหมายประจักษ์รักซื่อตรง

อ่านบทความนี้จบแล้วเย็นนี้ไปกราบตักท่าน ไปดูดวงตาท่านสิว่าท่านมีความสุขหรือมีความทุกข์ ไม่ ต้องอายในการทำความดี มีอะไรช่วยท่านได้ช่วยเลยอย่านิ่งดูดาย ถ้าวันนี้ไม่แสดงความกตัญญูต่อท่าน อาจจะไม่มีโอกาส ตอนที่แม่มีชีวิตอยู่ แล้วจะไปอ้อนวอนตอนที่แม่มีแต่ร่างซึ่งไร้วิญญาณแล้วคงไม่มีความหมาย น้ำเย็นๆสักแก้วเอาไปให้ท่านดื่ม เสื้อผ้าดีๆสักชุด เป็นลูกที่ดีสักคน สามารถต่อชีวิตแม่ได้เป็นปี ๆ อย่าเอาไปให้ท่านดื่มตอนที่ท่านไม่มีชีวิตแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไร

ให้ของขวัญแก่แม่นับแต่นี้ ด้วยทำดีต่อพ่อแม่ตอนแก่เฒ่า

ให้ท่านได้ประจักษ์รักของเรา ดีกว่าเฝ้าทำบุญให้เมื่อวายชนม์

อย่าให้ความสำคัญกับแม่ผู้มีพระคุณเฉพาะในวันแม่ 12 สิงหาคม เท่านั้น แต่จงทำทุกวันให้เป็นวันแม่ เหมือนกับความรักที่แม่มีให้ลูกทุกๆวันตั้งเกิดจนตาย หมั่นดูแลรักษาจิตใจของท่านให้ดี เพราะเราสามารถมีแม่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้

อย่าปล่อยให้หญิงแก่ๆ คนหนึ่งที่รักเรามากที่สุดในโลก ต้องอยู่ในความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาที่โหดร้าย ต้องตรมใจตายเพราะลูกๆที่เธอรักแต่ไม่รัก
เธอ………………หากพรุ่งนี้ไม่มี………..แม่?

ขอบูชาและเทิดทูนพระคุณแม่ของแผ่นดิน ขออุทิศความดีจากบทความนี้ให้แด่คุณแม่ทุกๆคน

ถ้าผู้ได้ริแช่งด่าว่าทำร้ายบุพการีทีมีพระคุณกับเรา อย่าหวังเลยว่าจะชีวิตนี้จะเจริญ

ข้อมูลจาก postyim

ทำไมถึงได้ง่วง อย่างนี้คำว่า     “หนังท้องตึง หนังตาหย่อน” น่าจะใช้ไม่ได้ในกรณีนี้  #ง่วงนอนทั้งวัน  #แถมยังพร้อมจะหลับไ...
05/08/2018

ทำไมถึงได้ง่วง อย่างนี้

คำว่า “หนังท้องตึง หนังตาหย่อน”

น่าจะใช้ไม่ได้ในกรณีนี้

#ง่วงนอนทั้งวัน #แถมยังพร้อมจะหลับได้ทุกที่!

ง่วงนอนทั้งวัน แถมยังพร้อมจะหลับได้ทุกที่ นี่อาจเป็นอาการของโรคลมหลับ ละเลยไปอาจร้ายแรงเกินควบคุม

อาการง่วงเหงาหาวนอน ดูผิวเผินแล้วไม่น่ากังวลอะไร แต่ถ้าหากง่วงมาก ๆ จนผล็อยหลับง่าย ๆ ในเวลากลางวันบ่อยเกินไปละก็ นั่นอาจเป็นสัญญาณของ "โรคลมหลับ" ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะอาการของโรคนี้ ทั้งรบกวนชีวิตเวลาตื่นนอน และส่งผลเสียต่อการนอนหลับในเวลากลางคืนด้วย มาทำความรู้จักว่า โรคลมหลับ เกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร และมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง

โรคลมหลับ คืออะไร

โรคลมหลับ (Narcolepsy) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับโดยตรง โดยจะทำให้เรามีอาการง่วงนอนมากผิดปกติ และผล็อยหลับไปในเวลากลางวันโดยไม่รู้ตัว หรือในบางครั้งก็อาจจะมีคล้ายกับการหลับ อย่างเช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง คอตก ในขณะที่อารมณ์เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ผู้ป่วยก็มักจะรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็อาจทำให้อาการยิ่งรุนแรงจนเกินที่จะควบคุม และทำให้ผู้ป่วยเป็นอันตรายได้หากผล็อยหลับในขณะที่กำลังขับขี่ยานพาหนะ หรือทำงานกับเครื่องจักร

โรคลมหลับ เกิดจากอะไร

โรคลมหลับยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดที่ชัดเจน แต่เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจาก

***ความผิดปกติของสารเคมีใน #สมอง กลุ่มสารสื่อประสาทไฮโปเครติน (Hypocretin) ทำให้สมองไม่สามารถควบคุมวงจรการนอนหลับให้เป็นปกติได้***

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางรายก็ได้สันนิษฐานไปอีกว่าโรคลมหลับอาจเกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยภายนอกบางอย่าง เพราะมีการพบว่าผู้ป่วยมักจะมีคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้ด้วยเช่นกัน

ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างชายและหญิงแล้ว โรคลมหลับมักจะเกิดขึ้นกับเพศชายได้มากกว่าเพศหญิง ส่วนใหญ่มักจะพบในกลุ่มคนวัยรุ่นอายุ 15-25 ปี รองลงมาคือกลุ่มวัยทำงานอายุ 35-45 ปี แต่อาการโรคลมหลับก็สามารถเกิดขึ้นกับเด็กอายุ 5-6 ขวบ หรือผู้สูงอายุได้เช่นกัน

โรคลมหลับ อาการเป็นอย่างไร

อาการหลัก ๆ ของโรคลมหลับที่สามารถเห็นได้ชัดก็คืออาการอ่อนเพลียตลอดเวลา และอาจหลับได้ตลอดเวลา แต่นอกจากนี้ก็ยังสามารถพบอาการอื่น ๆ ได้ดังนี้

1. หลับแบบเฉียบพลัน (Sleep attacks)

อาการดังกล่าวเป็นอาการง่วงหลับไปแบบทันทีในขณะที่กำลังกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ โดยเป็นการหลับแบบตากระตุก ซึ่งคนปกติเวลาที่นอนหลับจะหลับแบบตาไม่กระตุก ทั้งนี้อาการหลับเฉียบพลันจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีหากอยู่ในท่าที่ไม่สะดวก เช่น ยืน หรือนั่ง แต่ก็อาจจะหลับไปได้เป็นชั่วโมงหากอยู่ในท่านอน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะรู้สึกสดชื่นเหมือนคนตื่นนอนปกติ แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็จะหลับอีก เป็นวงจรแบบนี้ไปทั้งวัน อีกทั้งอาการหลับแบบเฉียบพลันยังส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่อยากเคลื่อนไหวร่างกาย ชอบนั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวันอีกด้วย

2. กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Cataplexy)
อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือหมดแรงฉับพลันในโรคลมหลับนั้นส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่ออารมณ์เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ ประหลาดใจ กลัว หรือหัวเราะอย่างหนัก อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีและผู้ป่วยจะรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาที่เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทั้งนี้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มมีการสำแดงของโรคลมหลับ และสามารถเกิดขึ้นได้กับกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย ที่พบบ่อยก็มักจะเป็นศีรษะตก ขากรรไกรตก แขนตก เข่าอ่อน พูดตะกุกตะกัก มองเห็นภาพซ้อน ในกรณีที่เป็นมาก อาจจะถึงขั้นล้มลงกับพื้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้

แต่โดยส่วนใหญ่แล้วอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในผู้ป่วยโรคลมหลับมักจะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือเป็นชั่วครู่ก็หาย แต่ก็สามารถสังเกตได้เบื้องต้น ดังนี้

- อาการเข่าอ่อนเล็กน้อย ทำให้ต้องยืนพิงเสา หรือยืนพิงกำแพง
- พูดตะกุกตะกัก หรือมีการมองเห็นภาพซ้อนโดยไม่เคยมีปัญหาสายตาก่อนหน้านี้
- มือไม้อ่อนจนทำให้ถ้วยหรือจานตกจากมือ หรือน้ำหกจากถ้วยที่ถืออยู่
3. เกิดภาพหลอน (Hallucinations)
โรคลมหลับนอกจากจะทำให้มีอาการนอนหลับที่ผิดปกติแล้วก็ยังอาจทำให้เกิดอาการภาพหลอนได้ ผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนว่าความฝันนี้เป็นความจริง สามารถมองเห็น ได้ยิน ดมกลิ่น หรือลิ้มรสชาติได้ โดยอาการที่เกิดขึ้นเรียกว่า "ฝันเสมือนจริง" สามารถเกิดได้ทั้งในขณะที่นอนหลับ หรือตอนเคลิ้มหลับ แม้แต่ตอนที่ตื่นนอนก็อาจจะเห็นได้เช่นกัน

ทั้งนี้ภาพหลอนที่ผู้ป่วยมักจะเห็นได้แก่ วงสีต่าง ๆ สัตว์ วัตถุที่มีขนาดคงที่หรือขนาดเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ หรือเป็นภาพธรรมชาติทั่วไป ขณะที่ผู้ป่วยบางคนอาจเห็นภาพน่ากลัว อย่างเช่น ผีสาง หรือสัตว์ประหลาด เป็นต้น หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการหลอนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง อาทิ เสียงเพลง เสียงน้ำ เสียงลม เสียงขู่กรรโชก ฯลฯ

ในบางรายอาจมีความรู้สึกหลอน (cenesthopathic feeling) ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อยในกลุ่มผู้ป่วยโรคลมหลับ โดยจะรู้สึกเหมือนมีคนมาแตะต้องหรือลูบคลำร่างกาย รู้สึกเหมือนแขนขาอยู่ผิดที่ผิดทาง รู้สึกตัวเบาเหมือนลอยอยู่บนอากาศ และมองเห็นตัวเองนอนอยู่ หรือมีความรู้สึกมีคนกระโดดลงมาทับหรือนั่งทับตนเอง

อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่นาน และจะหยุดลงพร้อมกับอาการอวัยวะบางส่วน เช่น แขนหรือขากระตุก ทว่าอาการหลอนไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคลมหลับเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นกับคนที่นอนไม่พอหรือนอนผิดเวลาได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยด้วย

4. อาการผีอำ (Sleep Paralysis)

ผู้ป่วยด้วยโรคลมหลับมักจะเคยเจออาการคล้ายกับผีอำ โดยจะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายหรือไม่สามารถพูดได้แม้จะเป็นในเวลาที่นอนหลับหรือตื่นนอน แต่อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีแล้วก็จะกลับมาเป็นปกติค่ะ

5. นอนไม่หลับ

หลายคนที่ต้องประสบกับอาการของโรคลมหลับมักจะนอนไม่หลับในเวลากลางคืน เนื่องจากฝันเสมือนจริงที่เกิดขึ้นไปรบกวนเวลานอนหลับ ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้ผล็อยหลับได้บ่อยขึ้นในเวลากลางวัน

6. ไม่มีสมาธิ

เมื่อกลางคืนไม่สามารถนอนหลับได้สนิท และกลางวันมักจะผล็อยหลับบ่อย ผู้ป่วยโรคนี้ก็จะเริ่มไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่าง ๆ เนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และจะส่งผลเลวร้ายไปถึงปัญหาเรื่องความจำ และภาวะอารมณ์จนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้

โรคลมหลับ วินิจฉัยได้อย่างไร

การวินิจฉัยโรคลมหลับในขั้นต้นสามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยอาการที่เข้าข่ายว่าเป็นโรคลมหลับมีดังนี้

1. อาการง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวัน ร่วมกับอาการนอนหลับแบบเฉียบพลัน หรืออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง

2. อาการนอนหลับแบบตากระตุก โดยอาการนอนหลับแบบนี้จะต้องสังเกตในขณะที่เกิดอาการนอนหลับแบบเฉียบพลัน ซึ่งถ้าหากในขณะที่หลับไปอย่างเฉียบพลันนั้น มีอาการกระตุกของเปลือกตาทั้ง 2 ข้างจากการเคลื่อนไหวของดวงตา หายใจไม่สม่ำเสมอและช้า และปลุกให้ตื่นได้ง่ายกว่าการนอนหลับแบบปกติ

หากพบว่ามีอาการตรงกับ 2 ข้อข้างต้น ก็ควรไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับเพื่อตรวจชัดเจนอีกครั้ง ซึ่งวิธีการตรวจโรคลมหลับสามารถทำได้ด้วยการตรวจการนอนหลับ (Polysomnogram) และการตรวจความง่วงนอน (multiple sleep latency test - MSLT) ซึ่งการตรวจด้วยวิธีเหล่านี้ผู้ป่วยจะต้องได้รับการประเมินว่าอาการง่วงนอนบ่อย ๆ นั้นไม่ใช่อาการของโรคร้ายแรง จึงจะสามารถตรวจการนอนหลับได้

โรคลมหลับ รักษาได้อย่างไรบ้าง

เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติในระบบประสาท จึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงควบคุมอาการไม่ให้รุนแรง และไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ทั้งนี้การรักษาสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม

การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะสามารถช่วยอาการทุเลาลงได้ โดยผู้ป่วยควรจะจัดตารางชีวิตใหม่ เริ่มจาก

- เพิ่มการงีบหลับอย่างน้อยวันละ 10-15 นาที เพื่อลดความง่วงที่เกิดขึ้น
- จัดตารางการนอนหลับของตัวเองในแต่ละวัน ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้อาการโรคลมหลับส่งผลเสียต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารให้ตรงเวลาอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน และไม่สูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจเป็นอันตรายหากเกิดอาการขึ้น ได้แก่ การขับขี่ยานพาหนะ การทำงานกับเครื่องจักร การทำอาหาร หรือการยกของหนัก เป็นต้น

2. การรักษาด้วยการใช้ยา

การใช้ยาในการรักษามีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาภาวะง่วงนอนมากกว่าปกติ และการผล็อยหลับ โดยแพทย์มักใช้ยาในกลุ่มกระตุ้นประสาทอย่าง ยาเมทิลเฟนิเดต (Methylphenidate), แอมเฟตามีน (Amphetamines) หรือ โมดาฟินิล(Modafinil) เพื่อให้รู้สึกตื่นตัว และจะใช้ยาในกลุ่มต้านเศร้าอย่าง ยาเวนลาฟาซีน (Venlafaxine) เพื่อรักษาอาการผล็อยหลับ ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัดค่ะ

โรคลมหลับเป็นโรคที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างหนักแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพที่มาจากการนอนหลับไม่เพียงพออีกด้วย ที่สำคัญโรคนี้ยังไม่สามารถป้องกันได้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการตามที่ว่ามาข้างต้นก็ควรรีบไปพบแพทย์อย่างด่วน จะได้ทำการรักษากันได้อย่างทันท่วงทีค่ะ
----------------------
เรียนรู้วิธีบำบัดตัวเองฟรี…ผ่านไลน์แอด
ติกตามข้อมูล คลิก
https://line.me/R/ti/p/%40ffo4036f

อาหารเสริมบำรุงสมองเพิ่มความจำ การเรียนดีขึ้น เพื่อส่งเสริมการสร้างการเรียนรู้ มีสมาธิความจำดีขึ้น ป้องกันอัลไซเมอร์ ขี้หลง ขี้ลืม ในวัยผู้ใหญ่ เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานสมองหนัก ผู้ป่วยจากระบบประสาท

อีกหนึ่งทางลือก สำหรับการดูแลสมอง
!!อเลอไทด์ ALERTIDE"

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุง สมองและระบบประสาท

“ดูแลสมอง...กับนวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส”

ปรึกษาอาการ และ แนวทางการฟื้นฟู เป็นการส่วนตัวกับผู้เชี่ยวชาญ
กรุณากดที่ลิงค์นี้นะค่ะ 👇
https://line.me/R/ti/p/%40ffo4036f

โทร 098 874 4569 (อุไรวรรณ)
----------------------------------
#แชร์เป็นวิทยาทาน
อย่าลืมแชร์และชวนเพื่อนเรียนรู้พร้อมกัน

Open the Friends tab in your LINE app, tap the add friends icon inthe top right, select "QR code," and then scan this QR code.

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

+66988744569

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สถาบันดูแลโรคความเสื่อมของร่างกายผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram