หมอสูติคู่มือถือคุณ

หมอสูติคู่มือถือคุณ หมอสูติคู่มือถือคุณ ทันสมัย อัพเดท เชื่อถือได้ สำหรับทุกคน

เราหลายๆคนอาจเคยถูกถามถึงเรื่องนี้จากคนท้องอายุมาก (>35ปี) ไม่ว่าจะท้องเองหรือไปรักษามีบุตรยากมากันใช่ไหม ?เพราะอาจได้เค...
18/10/2025

เราหลายๆคนอาจเคยถูกถามถึงเรื่องนี้จากคนท้องอายุมาก (>35ปี) ไม่ว่าจะท้องเองหรือไปรักษามีบุตรยากมากันใช่ไหม ?

เพราะอาจได้เคยเห็นข้อมูลที่กล่าวว่า … แม่ท้องที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี และพ่อที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคออทิซึมได้

••••••••

งานวิจัยเชิงระบาดวิทยา (epidemiological studies) และ meta-analyses #จำนวนมากยืนยันว่า advanced maternal age มี #ความสัมพันธ์ (ซึ่งก็เน้นว่าพบว่ามีความสัมพันธ์นะครับ อาจไม่ใช่สาเหตุหลักเพียงอย่างเดียว) กับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของ autism spectrum disorder (ASD) ในบุตร โดยเมื่อเทียบกับมารดาอายุ 25–29 ปี

คนท้องที่มีอายุ ≥35 ปีจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นประมาณ 1.3–1.5 เท่า

ความสัมพันธ์นี้ยังคงมีนัยสำคัญหลังจากควบคุมอายุของพ่อ (paternal age) และปัจจัยทางสังคมเศรษฐกิจแล้ว แม้ความเสี่ยงโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในเชิงสัมบูรณ์ (absolute risk)

กลไกที่อธิบายได้ ได้แก่ de novo mutations, epigenetic alterations, ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่นครรภ์เป็นพิษ หรือ เบาหวานขณะท้อง gestational รวมถึงอิทธิพลจากภาวะทางสังคม ดังนั้นแม้ advanced maternal age จะเป็นปัจจัยบ่งชี้ (risk marker) ที่สัมพันธ์กับ ASD แต่ #อาจไม่ถือเป็นสาเหตุโดยตรง (causal factor) ของโรคดังกล่าว

•••••••

ดังนั่น

“โดยทั่วไป งานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่มีอายุมากขึ้น อาจ มีความเสี่ยงต่อการมีลูกที่เป็นออทิซึม (ASD) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ความเสี่ยงนี้เพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่มาก และส่วนใหญ่เด็กที่เกิดจากคุณแม่อายุมากก็แข็งแรงและพัฒนาการปกติ

สิ่งสำคัญคือการดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ให้ดี เช่น ฝากครรภ์สม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ เสริมโฟเลตและไอโอดีน ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ และพักผ่อนเพียงพอ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อพัฒนาการสมองของลูกมากกว่าปัจจัยอายุที่มากของคนท้อง

อายุเป็นเพียงตัวเลขที่คอยเป็น ‘ตัวบ่งชี้ความเสี่ยง (risk marker)’ ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของโรคออทิซึม เพราะออทิซึมมีหลายปัจจัยร่วม เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพขณะตั้งครรภ์นะครับ”

ราชวิทยาลัยได้ออกคำแนะนำเรื่องการพิจารณาใช้ยาทดแทน Oxytocin ในกรณีที่โรงพยาบาลใดขาด stock ยานี้มานะครับยานี้เป็นยาคู่ห้อ...
16/10/2025

ราชวิทยาลัยได้ออกคำแนะนำเรื่องการพิจารณาใช้ยาทดแทน Oxytocin ในกรณีที่โรงพยาบาลใดขาด stock ยานี้มานะครับ

ยานี้เป็นยาคู่ห้องคลอดมาตลอดกาลนาน ทั้งใช้กระตุ้นคลอด กระตุ้นให้มดลูกหดตัวทั้งเพื่อป้องกันและเพื่อรักษาตกเลือดหลังคลอดครับ

เป็นยาราคาถูก ออกฤทธิ์ไว ประสิทธิภาพดี คุ้นมือหมอพยาบาล บริหารยาง่าย

แต่ตอนนี้อาจกำลังประสบปัญหาขาดตลาดชั่วคราวได้ในบางแห่ง

คำแนะนำนี้จึงเกิดขึ้นครับ

🔹 กรณีใช้ป้องกันตกเลือด

หากไม่มีออกซิโทซิน (oxytocin) ให้ใช้ยาทดแทนในกลุ่ม uterotonic alternatives ได้แก่

1. Carbetocin หรือ Heat-stable carbetocin (HSC) เช่น Duratocin® 100 µg ฉีด IV หรือ IM ยานี้ดีครับ แต่ราคาอาจสูงกว่า และเราคุ้นเคยกับการป้องกันการตกเลือดมาระยะนึง

2. Misoprostol 400–600 µg รับประทาน (PO) ยานี้ก็คุ้นมือ คุ้นชื่อ การใช้กระตุ้นคลอดเน้นมาว่าเป็นการกินนะครับ ไม่สอด ไม่อม และเราต้องไม่ลืมเรื่องข้อห้ามในการใช้ยานี้นะครับ

••••••••

🔹 กรณีใช้เพื่อรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอด
(PPH Treatment)

หากไม่มีออกซิโทซิน ให้ใช้ยาทดแทนตามลำดับดังนี้

1. Heat-stable carbetocin (HSC) เช่น Duratocin® 100 µg IV/IM
• ใช้เป็นตัวเลือกแรกหากมีพร้อมบริการการฉีด ยานี้เดี๋ยวนี้มีกันเยอะขึ้น ออกฤทธิ์ได้ไว เก็บรักษาง่าย แต่ถ้าให้ยานี้มาตอนป้องกันแล้วแต่ต่อมาก็ป้องกันไม่สำเร็จตกเลือดขึ้นมาก็ไปตัวอื่นต่อเลยนะครับ ไม่ให้ซ้ำ

2. Ergometrine 0.2 mg IM/IV
• หลีกเลี่ยงในผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือมีประวัติหลอดเลือดสมอง และผู้แพ้ยา

3. Misoprostol 800 µg ทางทวารหนัก (PR) หรืออมใต้ลิ้น (SL) สังเกตนะครับถ้ารักษาตกเลือดจะเป็นเหน็บก้นหรืออมนะครับ

4. Tranexamic acid (TXA) 1 g ละลายใน 10 mL IV ให้แบบ slow push ภายใน 10 นาที
• ให้ซ้ำได้อีก 1 g ภายใน 3 ชั่วโมง หากยังมีเลือดออกต่อเนื่อง ขนาดยานี้เราถือตามนี้นะวันนี้ของราชวิทนะครับ อาจแตกต่างกับองค์กรอื่นได้นิดหน่อย

••••••••

🔹 Non-pharmacologic Measures

• ควบคุมการหดรัดตัวของมดลูกทุก 15 นาทีในชั่วโมงแรก
• ใช้ calibrated drape วัดปริมาณเลือด
• เฝ้าระวังและประเมิน vital signs อย่างใกล้ชิด
• มี PPH emergency team standby ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้วย trend การมีชีวิตที่ยืนยาวแบบสุขภาพดีที่มีการสื่อสารกันกว้างขวางมากในปัจจุบัน ทำให้หลายๆคนเห็นภาพคนรู้จักมีเครื่องแบ...
16/10/2025

ด้วย trend การมีชีวิตที่ยืนยาวแบบสุขภาพดีที่มีการสื่อสารกันกว้างขวางมากในปัจจุบัน ทำให้หลายๆคนเห็นภาพคนรู้จักมีเครื่องแบบนี้ติดอยู่ที่ต้นแขนและอาจสงสัยว่า… ถ้าใช้บ้างในคนท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเบาหวานหละ นี่คือคำแนะนำที่น่าจะช่วยร่วมตัดสินใจ โดยสุดท้ายอยากให้ได้คุยกับสูติแพทย์ของท่านอีกครั้งว่าคุณเหมาะไหมที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อติดตามระดับน้ำตาลแบบ realtime และแบบเห็น trend

แต่ที่แน่นอนคือ …. คนท้องที่เป็นเบาหวาน การคุมน้ำตาลอย่างตั้งใจ มีการปรับอาหาร ตรวจระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอให้อยู่ในระดับที่แนะนำ #อันนี้ข้อมูลยืนยันว่าดีต่อผลการตั้งครรภ์ ครับ

••••••••••

Continuous Glucose Monitoring (CGM) in Gestational Diabetes

CGM helps track blood sugar patterns throughout the day — showing peaks after meals, nighttime levels, and percent time in range. However, studies show no proven benefit for improving pregnancy outcomes compared to regular fingerstick monitoring.

It may be useful for women who find fingersticks difficult, prefer convenience, or want detailed data. Yet, GDM-specific targets for CGM readings (like Time-in-Range) are still unclear.

Meta-analyses and randomized trials found no significant differences in cesarean rate, large-for-gestational-age births, or neonatal complications between CGM and standard monitoring.

✅ Bottom line: CGM offers comfort and insight, but no proven pregnancy outcomes benefit—best used based on individual preference

💡 การดูแลตัวเองเมื่อ “ตั้งครรภ์และเลี้ยงแมว”หลายคนเลี้ยงแมวเป็นครอบครัวอยู่แล้ว พอรู้ว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มกังวลว่า “จะติดเ...
15/10/2025

💡 การดูแลตัวเองเมื่อ “ตั้งครรภ์และเลี้ยงแมว”

หลายคนเลี้ยงแมวเป็นครอบครัวอยู่แล้ว พอรู้ว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มกังวลว่า “จะติดเชื้อจากแมวไหม?”
ความจริงแล้ว…ถ้าดูแลถูกวิธี สามารถอยู่กับแมวได้อย่างปลอดภัย เพียงแค่รู้จักวิธีป้องกัน “เชื้อท็อกโซพลาสมา” (Toxoplasma gondii)

⚠️ เชื้อท็อกโซพลาสมาคืออะไร?

เป็นเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งที่พบได้ใน “อุจจาระแมว” โดยเฉพาะแมวที่เคยออกไปล่าสัตว์หรือกินอาหารดิบ เช่น เนื้อสด ปลา หรือหนู
ถ้าเชื้อนี้เข้าร่างกายคนตั้งครรภ์ อาจแพร่สู่ลูกในท้องได้

👶 ถ้าติดเชื้อขณะตั้งครรภ์จะเกิดอะไรขึ้น?

เชื้อนี้อาจทำให้เกิด “ท็อกโซพลาสโมซิสในทารก”
ผลที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
• แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด
• ศีรษะโต น้ำในสมอง (hydrocephalus)
• การมองเห็นผิดปกติ หรือจอประสาทตาอักเสบ
• พัฒนาการช้าในระยะยาว

ช่วงที่อันตรายที่สุด:
• ถ้าแม่ติดเชื้อ ในช่วงอายุครรภ์ 10–24 สัปดาห์ (ไตรมาสที่ 2 ต้น ๆ)
→ โอกาสติดลูกไม่มากนัก แต่ถ้าติดแล้ว มักรุนแรง
• ถ้าแม่ติดเชื้อ ในช่วงปลายครรภ์ (ไตรมาสที่ 3)
→ ลูกติดเชื้อได้ง่ายกว่า แต่ความรุนแรงมักน้อยลง

ดังนั้น ควรป้องกันตลอดการตั้งครรภ์ จะดีที่สุดเลยครับ

🩺 สิ่งที่สูติแพทย์อยากให้ “คนท้องทาสแมวตั้งครรภ์” เน้นการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย

1. เรื่องแมวและกระบะทราย
• หลีกเลี่ยงการตักอึแมว ถ้ามีคนอื่นช่วยได้จะดีที่สุดครับ
• แต่ถ้าต้องทำเองจริง ๆ ขณะท้องแนะนำให้
• ใส่ถุงมือทุกครั้ง
• ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดหลังทำนานอย่างน้อย 20 วินาที
• เปลี่ยนทรายแมวทุกวัน เน้นว่าอยากให้ทุกวัน (เชื้อจะเริ่มอันตรายหลังผ่านไปเกิน 24 ชม.)
• อย่าให้แมวออกไปนอกบ้าน หรือกินเนื้อดิบเพราะเป็นแหล่งที่จะเอาเชื้อเข้าบ้านนั่นเอง

2. เรื่องอาหาร
• งดอาหารดิบ เช่น ลาบ เนื้อหมูดิบ ปลาดิบ หรือเนื้อย่างไม่สุก
• ผักผลไม้ต้องล้างให้สะอาดก่อนกิน
• ใช้เขียงมีดแยกสำหรับอาหารดิบและสุก
• ล้างมือก่อนกินอาหารทุกครั้ง

3. เรื่องทำสวนหรือดิน
• ใส่ถุงมือเวลาทำสวนหรือจับดิน เพราะอาจมีอุจจาระแมวอยู่ในดิน
• ล้างมือให้สะอาดหลังทำเสร็จทุกครั้ง
• ถ้ามีสนามหญ้าหรือกระบะทรายเด็ก ให้ปิดคลุมไว้ป้องกันแมวมาใช้เป็นห้องน้ำโดยที่เราอาจไม่ทันรู้ตัว

🐾 เรื่องที่อยากให้สบายใจเวลาอยู่ใกล้แมว
• การ “กอด ลูบตัว หรือเล่นกับแมว” โดยทั่วไปไม่ทำให้ติดเชื้อ
• แมวที่เลี้ยงในบ้าน กินอาหารสำเร็จรูป ไม่ล่าสัตว์ → ความเสี่ยงต่ำมาก
• สิ่งสำคัญคือ “หลีกเลี่ยงการสัมผัสอุจจาระแมวโดยตรง”

💬 สรุปสั้น ๆ สำหรับคุณแม่ท้องที่เป็นทาสแมว

“อยู่กับแมวได้ ปลอดภัยได้ แค่ล้างมือ กินสุก อยู่สะอาด หลีกเลี่ยงอึแมว” นะครับ

ตอนเริ่มหลังตรวจภายในถ้าปากมดลูกเปิดน้อยๆ ได้ยากระตุ้นมดลูกก็พอยาเข้าเส้นไป  #ยานี้ออกฤทธิ์เร็วครับ แต่อาการจะยังไม่มาก ...
14/10/2025

ตอนเริ่มหลังตรวจภายในถ้าปากมดลูกเปิดน้อยๆ ได้ยากระตุ้นมดลูกก็พอยาเข้าเส้นไป #ยานี้ออกฤทธิ์เร็วครับ แต่อาการจะยังไม่มาก ไม่รุนแรง ชิว ชิว …. มดลูกเริ่มตึงๆ สิบนาทีมาครั้ง ห้านาทีมาครั้งไปซักชั่วโมงนึง สรุปชั่วโมงแรก โลกงดงาม สดสวย การคลอดนี้คงสดใส 🎉

พอเข้าชั่วโมงที่ 2-4 คราวนี้มดลูกจะมาแข็งบ่อยขึ้น ถ้ามาสม่ำเสมอพยาบาลก็จะคงย้ำเกลือไว้แบบเดิม แต่ถ้ามาไม่สม่ำเสมอ อาจต้องเพิ่มยากระตุ้น … มดลูกจะบีบแรง ปวดลงท้องน้อย มีมูกเลือดออก ปวดหลังขึ้นเวลามดลูกบีบ แต่ก็ยังหายใจหายคอได้สบายระดับนึงครับ โลกยังสดใส หรือหม่นลงก็นิดเดียว 🎊

ชั่วโมงที่ 5-7 คราวนี้จะเป็นจุดชี้เป็นชี้ไม่เป็นละครับ มดลูกทั่วไปจะเจ็บถี่เลยทีนี้ แข็งทุกๆ3 นาที แข็งทีนึงนานเกือบนาที หายใจหายคอไม่สะดวกสบายละ ปวดท้อง ปวดหลัง มูกเลือดเยอะ รู้สึกเหนื่อยขึ้นนิดนึง บางทีช่วงนี้หมออาจมาตรวจแล้วเจาะถุงน้ำครับ แต่ถ้าตรวจแล้วปากมดลูกไม่เปิดเลย บางที่ประเมินแล้วอาจไม่ไปต่อหรือบางที่ก็อาจสามารถรออีกสองสามชั่วโมง เป็นรายๆไป

ชั่วโมงที่ 7-9 ผมคิดว่านี่คือ Peak ของการกระตุ้นคลอดครับ เจ็บถี่มาก เจ็บแรงมาก นอนบิดไปมา หรือต้องฝึกการหายใจเลยทีเดียว เพราะตอนท้องแข็งจะรู้สึกหายใจไม่เหมือนตอนท้องนุ่มๆครับ ปากมดลูกจะเปิดเร็วขึ้นมาก ช่วงนี้หลายๆคนท้องจะได้ยาช่วยระงับปวดโดยหมอจะประเมินว่าเข้าสู่ช่วงปากมดลูกเปิดเร็วแล้ว แต่ก็จะยังไม่คลอดใน 2-4 ชั่วโมงยี้ก็จะรีบให้ยาครับ

ชั่วโมงที่ 10-12 ตรงนี่ก็ท้องแข็งแบบเดิม เจ็บจนชิน หลายๆคนจะนิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าเพราะเจ็บจนชินครับ เข้าใจละว่าตอนท้องแข็งต้องทำยังไง แล้วยาแก้ปวดก็จะค่อยๆหมดไป ความเจ็บกลับมารุนแรงอีกครั้ง

แล้ววววววว…..

ก็จะเข้าสู่ระยะปากมดลูกเปิดเต็มที่ แล้วเบ่งต่ออีก 1-2 ชั่วโมง ก่อนเจอหน้าลูกของคุณครับ 🎏❤️🎈💕🏆

•••••••••

หมอสูติเล่าก็จะน่าประมาณนี้ครับ หากหมอหรือพยาบาลรวมถึงคุณแม่จะช่วยเล่าช่วยเสริมร่วมกันก็เริ่มต่อกันได้เลยครับ

#กระตุ้นคลอดด้วยยา ^^

🧡 วิตามินเอกับคุณแม่ตั้งครรภ์: ยังจำเป็นต่อพัฒนาการลูก แต่ต้องรู้ขนาดที่ “พอดี”ผู้หญิงหลายคนเคยได้ยินว่าวิตามินเอจะทำให้...
14/10/2025

🧡 วิตามินเอกับคุณแม่ตั้งครรภ์: ยังจำเป็นต่อพัฒนาการลูก แต่ต้องรู้ขนาดที่ “พอดี”

ผู้หญิงหลายคนเคยได้ยินว่าวิตามินเอจะทำให้ลูกพิการ จนหลีกเลี่ยงวิตามินเอ ทั้งที่จริงแล้ว วิตามินเอมีความสำคัญมากต่อการตั้งครรภ์ เพียงแต่ต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป และไม่รับในส่วนประกอบที่อันตรายนั่นเอง

🌱 ประโยชน์ของวิตามินเอ
วิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการ
• พัฒนาอวัยวะของทารกหลายๆด้าน เช่น ดวงตา หัวใจ ปอด สมอง และระบบประสาท เห็นไหมครับว่าประโยชน์และสำคัญไม่น้อย ขาดไปอาจไม่ดีเลย
• เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายแม่และลูกต้านการติดเชื้อได้ดีขึ้นด้วย
• ดูแลสุขภาพของเยื่อบุผิว เช่น ผิวหนัง เยื่อบุตา และเยื่อบุทางเดินหายใจ
• อาจช่วยป้องกันภาวะ “ตาบอดกลางคืน” ในหญิงตั้งครรภ์ได้

WHO และ ACOG จึงยืนยันว่า Vitamin A มีความสำคัญโดยบอกไว้ว่า หากหญิงตั้งครรภ์ได้รับอาหารครบถ้วนหรือรับวิตามินก่อนคลอดตามปกติ จะเพียงพอต่อความต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินเอเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าถ้าทานได้ครบหมู่ปริมาณจะเพียงพอ

••••••••

คราวนี้ถึงจุดสำคัญคือ ….
⚠️ ตัวที่อันตรายและควรหลีกเลี่ยง

อันตรายของวิตามินเอเกิดจากการได้รับ “มากเกินไป” โดยเฉพาะในรูปแบบ เรตินอล (retinol) หรืออนุพันธ์ของมันที่เรียกว่า เรตินอยด์ (retinoids) ซึ่งพบได้ใน
• ยา isotretinoin (ยารับประทานรักษาสิว): ห้ามใช้เด็ดขาดในหญิงตั้งครรภ์ เพราะก่อความพิการแต่กำเนิดของใบหน้า หัวใจ และสมองของทารก

การรักษาสิวในคนท้องทำได้นะครับ มีการรักษาหลายแบบ แต่หลีกเลี่ยงยาตัวนี้ชื่อนี้ครับ

• ครีมหรือเซรั่มที่มีกรดวิตามินเอ เช่น tretinoin, retinol: แม้ซึมผ่านผิวน้อย แต่เพื่อความปลอดภัยควรหลีกเลี่ยงตั้งแต่เริ่มวางแผนมีบุตรไว้ก่อนครับ

การได้รับวิตามินเอขนาดสูงในช่วงไตรมาสแรกสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารกในหลายระบบ เช่น ระบบประสาทและโครงกระดูก สำหรับคำว่าระดับสูง สูงแค่ไหนเดี๋ยวมาเล่าต่อกันครับ

📏 ปริมาณที่เหมาะสมและระดับที่ปลอดภัย

หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินเอประมาณ 770 ไมโครกรัมเรตินอลเทียบเท่า (RAE) หรือราว 2,500 IU ต่อวัน เพื่อรองรับการสร้างอวัยวะของทารก และ ไม่ควรเกิน 3,000 µg RAE (10,000 IU ต่อวัน) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ปลอดภัย

CDC และ RCOG แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่มีวิตามินเอมากกว่า 5,000–8,000 IU ต่อวัน และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีวิตามินเอสูงมาก เช่น ตับ ตับบด และน้ำมันตับปลา เพราะอาจทำให้ได้รับวิตามินเอเกินขนาดโดยไม่รู้ตัว

••••••••

💊 วิธีเลือกวิตามินก่อนคลอดอย่างปลอดภัย

✅ เลือกสูตรที่มีวิตามินเอในรูป “เบต้าแคโรทีน” ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ร่างกายจะเปลี่ยนเท่าที่ต้องการ ไม่สะสมจนเกิดพิษ
✅ อ่านฉลากทุกครั้ง เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุปริมาณวิตามินเอไม่เกินเกณฑ์แนะนำ และไม่รับประทานซ้ำหลายชนิด
✅ วิตามินก่อนคลอดมาตรฐานกินวันละ 1 เม็ดเพียงพอแล้ว
✅ หยุดใช้ยาและครีมที่มีกรดวิตามินเอ ที่ระบุว่ามีสารที่เล่าประมาณอย่างน้อย 1 เดือนก่อนเริ่มตั้งครรภ์
✅ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองคุณภาพ (USP, NSF, หรือ อย.) เพื่อมั่นใจว่าไม่มีการปนเปื้อนโลหะหนักหรือสารต้องห้าม

🔍 ดังนั่น
วิตามินเอไม่ใช่ของอันตราย แต่ “ขนาดที่มากเกินไป” ต่างหากที่เสี่ยงสำหรับคนท้อง

การได้รับจากอาหารธรรมชาติ เช่น ผักผลไม้สีเหลือง–ส้ม ไข่ และนม รวมถึงวิตามินก่อนคลอดทั่วไป ถือว่าปลอดภัยและเพียงพอ
เพียงรู้หลัก “ไม่เสริมเกิน – ไม่ใช้ยาเรตินอยด์” ก็สามารถได้รับประโยชน์จากวิตามินเอต่อสุขภาพแม่และลูกได้เต็มที่ครับ

🌸 ผื่นคันในครรภ์ (PUPPP: Pruritic Urticarial Papules and Plaques of Pregnancy) 🌸มักเกิดบ่อยช่วงไตรมาสที่ 3 หรือก็คือสามเ...
13/10/2025

🌸 ผื่นคันในครรภ์ (PUPPP: Pruritic Urticarial Papules and Plaques of Pregnancy) 🌸
มักเกิดบ่อยช่วงไตรมาสที่ 3 หรือก็คือสามเดือนท้ายของการท้อง โดยเฉพาะจะพบบ่อยในครรภ์แรกหรือครรภ์แฝดนะครับ

จุดเด่นเลยคือ คันมากกกกกกกกก มากกกกกกก โดยจะเริ่มจากผื่นแดงคันบริเวณท้อง (โดยเฉพาะตามรอยแตกของผิว) แล้วลามไปที่ต้นขา แขน หรือหน้าอก
ขอดีของความคันนี้คือจะไม่อันตรายต่อแม่และลูก แต่อาจคันรบกวนมาก

💊 แนวทางการรักษา PUPPP

✅ 1. ยาทาภายนอก (Topical corticosteroids) ช่วยลดการอักเสบและอาการคัน
• Hydrocortisone cream 1% ทาบาง ๆ วันละ 2–3 ครั้ง
• Triamcinolone 0.1% cream ใช้ในรายที่คันมาก (หลีกเลี่ยงทาบริเวณกว้างหรือเป็นเวลานาน อาการทุเลาลงควรหยุดใช้ยา ไม่ใช้ยาเพื่อการป้องกัน)

✅ 2. ยาแก้แพ้ (Antihistamines) ช่วยลดอาการคัน
• Chlorpheniramine (CPM) 4 mg รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง (ปลอดภัยในไตรมาสหลัง แต่ระวังง่วงนิดนึงนะครับ)
• Loratadine 10 mg วันละ 1 ครั้ง (ตอนเช้า) →ตัวนี้ไม่ค่อยง่วง และถือว่าปลอดภัยในครรภ์ (Pregnancy Category B)

✅ 3. ยาทา/ผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการคัน (Soothing agents)
• คาลาไมน์โลชั่น (Calamine lotion)
• เจลว่านหางจระเข้ (Aloe vera gel)

✅ 4. ยากินสเตียรอยด์ (Systemic corticosteroid) แนะนำให้เก็บไว้ใช้เฉพาะรายที่อาการคันมากและไม่ตอบสนองต่อยาทา
• Prednisolone 20–40 mg/day นาน 5–7 วัน แล้วค่อย ๆ ลดขนาดยาลง สำหรับตัวเลือกนี้ควรอยู่ภายใต้การดูและสั่งยาโดยแพทย์ครับ เพราะโดยทั่วไป prednisolone จะไม่ขายได้ตามร้านทั่วไปใช่ไหมครับ

🩸 “ตั้งครรภ์…ทำไมไขมันในเลือดถึงสูงขึ้น?”หลายคนตกใจเมื่อไปเจาะเลือดแล้วพบว่า คอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นมาก ทั้ง...
13/10/2025

🩸 “ตั้งครรภ์…ทำไมไขมันในเลือดถึงสูงขึ้น?”

หลายคนตกใจเมื่อไปเจาะเลือดแล้วพบว่า คอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นมาก ทั้งที่ก่อนตั้งครรภ์ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย จริง ๆ แล้วนี่คือการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวหรือตลอดกาล ❤️ วันนี้เพจจะอาสาเล่าให้ฟัง

ในช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายแม่ต้องเก็บพลังงานไว้สำหรับทั้งตัวเองและลูกในครรภ์ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 2–3 ฮอร์โมนหลายชนิด ทั้ง เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนจากรก จะช่วยกระตุ้นให้ตับสร้างไขมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้ลูก

ดังนั้น… จึงทำให้ในร่างกายคนท้องจะมี
• คอเลสเตอรอลและไขมันดี (HDL) จะค่อย ๆ สูงขึ้น
• ไตรกลีเซอไรด์มักเพิ่มขึ้นและขึ้นได้มากที่สุดในช่วงใกล้คลอด

ทั้งหมดนี้เป็น “กลไกธรรมชาติ” เพื่อเลี้ยงดูทารกที่อยู่ในท้องครับ

🕰️ แล้วหลังคลอดล่ะ? หายไหมหรือไขมันนี้จะอยู่ไปด้วยกันอีกนานแค่ไหน

ข่าวดีคือพอหลังคลอด ไขมันในเลือดจะค่อย ๆ และน่าจะกลับเข้าสู่ระดับปกติ
• ไตรกลีเซอไรด์ มักลดลงภายใน 2–4 สัปดาห์
• คอเลสเตอรอลและ LDL/HDL จะกลับสู่ระดับก่อนตั้งครรภ์ในช่วงประมาณ 6–12 สัปดาห์
ยิ่งไปกว่านั้นการให้นมลูกยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นอีกด้วยครับ

✅ คำแนะนำ

ไม่ควรตกใจหากผลไขมันในเลือดช่วงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดใหม่ๆออกมาสูง เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวของการตั้งท้องครับ

ดังนั้นถ้าต้องการตรวจเจาะเลือดตรวจสุขภาพหลังคลอด ควรรอตรวจไขมันหลังคลอดอย่างน้อย 6–8 สัปดาห์ เพื่อให้ผลแม่นยำขึ้นนะ

สรุป

“คนท้องไขมันในเลือดสูงขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติของธรรมชาติ
หลังคลอดประมาณ 2–3 เดือน ทุกอย่างจะค่อย ๆ กลับสู่ภาวะเดิม” โดยจะสำเร็จได้ดีด้วยการดูแลเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย ให้เพียงพอครับ ไขมันในเลือดผิดปกตินี้จะได้เลิกอยู่กับเราไปในที่สุดครับ

คนไข้ผ่าคลอดคลื่นไส้อาเจียนเยอะ … อาจไม่ใช่เรื่องที่หมอดมยาต้องแก้ไขคนเดียว  #หมอสูติอาจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย นะครับ🩺 ท...
12/10/2025

คนไข้ผ่าคลอดคลื่นไส้อาเจียนเยอะ … อาจไม่ใช่เรื่องที่หมอดมยาต้องแก้ไขคนเดียว #หมอสูติอาจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย นะครับ

🩺 ทำไมคนไข้ถึงคลื่นไส้อาเจียนระหว่างเย็บแผลที่มดลูกขณะผ่าตัดคลอด

ระหว่างผ่าตัดคลอด โดยเฉพาะขั้นตอน เย็บซ่อมแผลมดลูก สูติแพทย์มักพบว่าคนไข้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด เหงื่อออก หรือบางครั้งความดันตกชั่วคราว หลายคนเข้าใจว่าเกิดจาก “ความดันตกจากยาชา” แต่ความจริงแล้ว สาเหตุหลักคือการกระตุ้นเส้นประสาทอัตโนมัติจากการขยับที่ทีมแพทย์ #ขยับหรือดึงมดลูก (uterine manipulation reflex)

••••••••

🧠 กลไกการเกิดอาการ

เมื่อมดลูกถูกดึง เคลื่อน หรือเย็บ จะกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกจาก

• เส้นประสาทซิมพาเทติกจาก inferior hypogastric plexus (T10–L1)
• เส้นประสาทพาราซิมพาเทติกจาก pelvic splanchnic nerves (S2–S4)

สัญญาณเหล่านี้ถูกส่งเข้าสู่ไขสันหลังและศูนย์กลางในสมอง แล้วกระตุ้น vagal reflex ทำให้เกิด

• คลื่นไส้ อาเจียน
• หน้ามืด เหงื่อออก
• ชีพจรช้าชั่วคราว และความดันตกได้

จึงเป็นอาการแบบ reflex-mediated ไม่ใช่เพราะยาชาออกฤทธิ์เกิน หรือเพราะเสียเลือดมากเสมอไปนะครับ บางรายรุนแรงมากจนต้องหลุดการผ่าตัดและขอเวลานอกให้อาเจียนกันเลยก็เห็นได้บ่อย

••••••••

🧵 เย็บมดลูกแบบ “ในช่องท้อง” กับ “ยกมดลูกออกมาเย็บนอกช่องท้อง” วิธีการเย็บที่มีใช้กันให้เห็นได้ทั้งสองแบบ ทั้งสองวิธีมีข้อเด่นข้อด้อยแตกต่างกันบ้างแบบนี้ครับ

1. การเย็บมดลูกในช่องท้อง (in situ repair)
• มดลูกยังอยู่ในอุ้งเชิงกรานตามตำแหน่งเดิม
• ข้อดีคือไม่กระตุ้นเส้นประสาทและ peritoneum มาก
→ ผู้ป่วยมักไม่เกิดคลื่นไส้อาเจียนเท่ากับแบบยกออกมา

2. การยกมดลูกออกมาเย็บนอกช่องท้อง (exteriorized repair)
• #มดลูกถูกดึงออกมาวางบนหน้าท้อง เพื่อให้มองเห็นและเย็บง่าย
• การดึงรั้งและบิดของมดลูกจะกระตุ้นเส้นประสาทอัตโนมัติอย่างมาก
→ มักเกิด reflex vagal stimulation
→ #คนไข้จึงมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือหน้ามืดได้บ่อย
• หลังเย็บเสร็จและนำมดลูกกลับเข้าช่องท้อง #อาการมักจะหายเอง

•••••

⚕️ แนวทางจัดการ

• หยุดการขยับหรือดึงมดลูกชั่วคราว หรือรุนแรงในรายที่ยกมดลูกออกมาอาจแนะให้เอากลับไปในช่องท้อง
• แจ้งวิสัญญีแพทย์ทันที
• ให้สารน้ำเพิ่มและออกซิเจน
• ถ้ามีชีพจรช้าร่วม ให้ Atropine 0.4–0.6 mg IV
• เมื่ออาการดีขึ้นจึงดำเนินการเย็บต่อ

••••••••

🩸 ดังนั้นอาการคลื่นไส้ อาเจียนระหว่างเย็บมดลูก ไม่ได้เกิดจากความดันตกเพียงอย่างเดียว แต่เป็น uterine traction reflex จากการกระตุ้นเส้นประสาทอัตโนมัติ โดยเฉพาะในกรณีที่ ยกมดลูกออกมาเย็บนอกช่องท้อง ซึ่งกระตุ้นได้แรงกว่า

มีคำแนะนำสากลออกมาใหม่ …. เพื่อให้คนท้องหลังผ่าคลอดฟื้นตัวได้ไวและลดภาวะแทรกซ้อนหลัวผ่าคลอด มีหลายๆอย่างที่ควรทำ และ 2 ส...
11/10/2025

มีคำแนะนำสากลออกมาใหม่ …. เพื่อให้คนท้องหลังผ่าคลอดฟื้นตัวได้ไวและลดภาวะแทรกซ้อนหลัวผ่าคลอด มีหลายๆอย่างที่ควรทำ และ 2 สิ่งที่อยากให้พวกเราพิจารณานั่นคือ

#จิบน้ำได้ตั้งแต่ในห้องพักฟื้น (กรณีที่การผ่าตัดไม่มีภาวะแทรกซ้อนและสัญญาณชีพในห้องพักฟื้นปกติ)

#ถอดสายสวนปัสสาวะหลังผ่าได้ตั้งแต่6ชั่วโมง ไม่ต้องรอข้ามวันหรือข้ามคืนแล้วนะ

••••••••

ERASCS

ธาตุเหล็ก หมอยังแนะนำให้กินต่อเนื่องในช่วงหลังคลอดและให้นมบุตรนะครับ••••••••แม่หลังคลอดที่ปกติ ไม่ซีด (hct > 30)  #กินยา...
11/10/2025

ธาตุเหล็ก หมอยังแนะนำให้กินต่อเนื่องในช่วงหลังคลอดและให้นมบุตรนะครับ

••••••••

แม่หลังคลอดที่ปกติ ไม่ซีด (hct > 30) #กินยาบำรุงเลือดต่อ3เดือน

แม่ที่พบภาวะซีด #กินยาบำรุงเลือดต่อ6เดือน และไปตรวจติดตามด้วยว่าภาวะซีดดีขึ้นหรือยัง

••••••••

ธาตุเหล็ก ไม่อันตรายต่อทารกแรกเกิด ออกมาทางน้ำนมบ้างแต่ไม่มาก

น้ำมะนาวมีส่วนประกอบหลักคือ กรดซิตริก (citric acid) และวิตามินซีเล็กน้อย ซึ่ง •  #ไม่มีผลโดยตรงต่อการดูดซึมกลูโคสในลำไส้...
11/10/2025

น้ำมะนาวมีส่วนประกอบหลักคือ กรดซิตริก (citric acid) และวิตามินซีเล็กน้อย ซึ่ง
• #ไม่มีผลโดยตรงต่อการดูดซึมกลูโคสในลำไส้
• #ไม่รบกวนเอนไซม์ที่ใช้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

••••••••

⚠️ ข้อควรระวังในการเตรียมเครื่องดื่ม
• ใช้ มะนาวสด หรือบีบน้ำเล็กน้อยเท่านั้น
• ห้ามเติม น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำผลไม้ หรือโซดาเพื่อให้รสกลมกล่อมยิ่งขึ้น
• ปริมาณที่แนะนำคือ ไม่เกิน 1–2 ช้อนชา (5–10 มล.) ของน้ำมะนาวสดในสารละลายกลูโคส 300 มล. ดังนั่นไม่ต้องนำมะนาวมาเยอะนะครับ 5-10 มล น่าจะกำลังพอ

• สำคัญมากอีกอย่างคือ #ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น น้ำมะนาวพร้อมดื่มหรือผงมะนาว เพราะอาจมีน้ำตาลผสมครับ

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอสูติคู่มือถือคุณผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram