SIRI ศูนย์สุขภาพ/ความงาม

SIRI ศูนย์สุขภาพ/ความงาม SIRI รับปรึกษาความงามและสุขภาพ โทร0968468126

สงกรานต์นี้ บริษัทประกาศหยุด13-16เมย. ใครเดินทางไหนอุ้มขออวยพร ให้มีโชค มีลาภ เดินทางปลอดภัยทุกคนนะคะ
11/04/2018

สงกรานต์นี้ บริษัทประกาศหยุด13-16เมย. ใครเดินทางไหนอุ้มขออวยพร ให้มีโชค มีลาภ เดินทางปลอดภัยทุกคนนะคะ

หลายคนไม่เคยรู้ ดื่มน้ำตอนเช้าทันทีหลังจากตื่นนอน มีประโยชน์แบบนี้รู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำสำคัญต่อร่างกายมาก เราจึงควรดื่ม...
30/03/2018

หลายคนไม่เคยรู้ ดื่มน้ำตอนเช้าทันทีหลังจากตื่นนอน มีประโยชน์แบบนี้

รู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำสำคัญต่อร่างกายมาก เราจึงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ได้ยินมาตลอดกับการดื่นน้ำในตอนเช้า หรือ ดื่มทันทีหลังจากตื่นนอน เคยสงสัยและตั้งคำถามกันไหมว่า? การดื่นน้ำในตอนเช้ามีดี และมีประโยชน์อะไรบ้าง เรามีคำตอบให้สาวๆหายสงสัยกันค่ะ

-การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นการเผาผลาญ และระบบย่อยอาหารให้แข็งแรง

-การดื่มน้ำในตอนเช้าหลังตื่นทันทีช่วยดีท็อกลำใส้ ผิวพรรณผ่องใสโดยไม่ต้องพยายาม

-การดื่มน้ำในตอนเช้าช่วยในการทำความสะอาดทางเดินอาหาร

-การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่

-การดื่มน้ำในตอนเช้าปรัยสมดุลในร่างกาย ต่อมน้ำเหลือง ส่งผลดีต่อระบบภายใน ลดความเสี่ยงอาการอักเสบต่างๆได้ชะงัด

-การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นระบบคุ้มภูมิกันให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพได้ง่ายๆ

-การดื่มน้ำในตอนเช้ากำจัดไขมันส่วนเกินได้มากพอที่จะช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนักได้

-การดื่มน้ำใสตอนเช้านี้ มีประโยชน์ได้ครบด้านจริงๆกับร่างกายของเรา

20/03/2018

♻️ทานอาหารอย่างไรให้ห่างไกลจากความดันโลหิตสูง

วันนี้ทีมงานคันปากไลฟ์ขอนำเอาวิธีทานอาหารให้ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูงมาฝากกันค่ะ

1. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง ในคนที่มีสุขภาพดีเป็นปกติควรรับประทานโซเดียมไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อป้องกันและควบคุมความดันโลหิต แต่สำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควรรับประทานโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยการลดอาหารเหล่านี้ซึ่งมีโซเดียมอยู่ในปริมาณสูง
– สารปรุงแต่งอาหาร ซึ่งได้แก่ ผงชูรส สารกันบูด สารฟอกสี
– อาหารที่ผ่านการถนอมอาหาร เช่น ปูเค็ม ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค็ม ผักดอง อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง หมูแฮม หมูแผ่น หมูหยอง กุนเชียง หมูยอ เบคอน
– เครื่องปรุงที่มีรสเค็ม ได้แก่ เกลือป่น เกลือเม็ด น้ำปลา น้ำบูดู น้ำปลาร้า ซอสปรุงรส ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ เป็นต้น

2. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไขมันจากสัตว์ เพราะไขมันชนิดนี้จะไปอุดตันหลอดเลือด เป็นผลให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นตามไปด้วย หากเป็นไปได้ให้รับประทานเนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อขาว เช่น เนื้อปลา หรือเนื้อไก่ แทนเนื้อแดง เพราะมีคอเลสเตอรอลน้อยกว่า นอกจากนั้นให้เลือกกินปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์และสามารถลดความดันโลหิตลงได้

3. ควรบริโภคผักและผลไม้สดมากขึ้น ผักและผลไม้สด นอกจากจะมีโซเดียมในปริมาณต่ำแล้ว ยังมีใยอาหารที่ช่วยขัดขวางและชะลอการดูดซึมน้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ โดยควรบริโภคผักสดอย่างน้อยวันละ 3 ถ้วยตวง ควรเลือกรับประทานผักผลไม้ให้ครบทุกสี และผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงอีก เช่น ส้ม กล้วย และ แคนตาลูป เป็นต้น

นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่โซเดียมและไขมันสูง ร่วมถึงการหันมารับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้นแล้ว การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันดังต่อไปนี้ ก็จะส่งผลดีต่อโรคความดันโลหิตสูงด้วย คือ
– เลิกสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่มีผลให้ความดันสูงขึ้น และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการแข็งตัวของหลอดเลือด
– ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะมักพบโรคความดันโลหิตสูงในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือคนอ้วนมากกว่าคนผอม
– ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อหลอดเลือดแล้ว ยังช่วยลดน้ำหนักและลดความดันโลหิตได้อีกด้วย
– ลดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และเครื่องดื่มโคล่า ผู้ป่วยไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 2-3 แก้วต่อวัน น้ำอัดลมประเภทโคล่ามีกาเฟอีนประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณที่มีในกาแฟ 1 แก้ว จึงควรลดการดื่มน้ำอัดลมด้วยเช่นกัน

ประโยชน์จากกล้วย 4 วัยกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่ใกล้ชิดคนไทยที่สุด เด็กไทยสมัยก่อนโตมากับกล้วยน้ำว้ากันทั้งนั้น นอกจาก ข้าว...
14/03/2018

ประโยชน์จากกล้วย 4 วัย

กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่ใกล้ชิดคนไทยที่สุด เด็กไทยสมัยก่อนโตมากับกล้วยน้ำว้ากันทั้งนั้น นอกจาก ข้าวสุกบดแล้ว ก็มีกล้วยน้ำว้าเป็นเหมือนอาหารเสริมประจำที่ไม่ต้องซื้อหาเพราะทุกครัวเรือนมีกล้วยปลูกไว้สำหรับเป็นผลไม้ เป็นอาหารและสารพัดขนมกินกันได้ตลอดทั้งปี

การใช้ทำยา/สรรพคุณ/ประโยชน์

- กล้วยดิบ
มีสารฝาดสมานชื่อแทนนิน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและของรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ ช่วยแก้ท้องเสีย

วิธีการกินกล้วยเป็นยาก็ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อกินเป็นยาแก้โรคกระเพาะ ควรนำกล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารในกล้วยมีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะนั้นจะสูญเสียไปหรือหมดฤทธิ์ไปเลยก็ได้ ถ้าโดนความร้อนสูงมากเกินไป กล้วยดิบที่ผ่านการอบอุณหภูมิต่ำแล้ว ให้นำมาบดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชา จะผสมกับน้ำผึ้งหรือไม่ก็ได้ กิน 3 ครั้งก่อนอาหาร กล้วยดิบๆมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและรักษาโรคกระเพาะ ส่วนยาแผนปัจจุบันทุกขนานที่ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารนั้นมีฤทธิ์เพียงป้องกันแต่ไม่ช่วยรักษา กล้วยจึงเป็นยารักษาโรคกระเพาะที่มีราคาถูกที่สุด และหาง่ายที่สุด

- กล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก(กล้วยห่าม)
เปลือกยังสีเขียวอยู่ประปราย เป็นทั้งยาและอาหารที่ดีมากสำหรับคนท้องเสีย เพราะนอกจากจะช่วยแก้ท้องเสียแล้วยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ ช่วยเพิ่มกากเวลาถ่าย กล้วยกึ่งดิบกึ่งสุกยังมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นเวลาใช้กล้วย แก้ท้องเสีย ก็เท่ากับให้ธาตุโพแทสเซียมไปในตัวด้วย ตามธรรมดาคนไข้มักสูญเสียธาตุโพแทสเซียมในเวลาท้องร่วง การกล้วยห่ามจึงเป็นการชดเชยธาตุโพแทสเซียมที่เสียไป เพราะถ้าร่างกายสูญเสียธาตุโพแทสเซียมไปมากๆ ขณะท้องร่วง จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติในคนชราอาจทำให้หัวใจวายตายได้ ยิ่งไปกว่านั้นกล้วยที่เริ่มสุกจะมีสารเซโรโทนินอยู่มาก ช่วยออกฤทธิ์ กระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

- กล้วยสุก
มีสรรพคุณ ตรงกันข้ามกับกล้วยดิบ คือกล้วยสุกกลับเป็นยาระบายแก้ท้องผูก เพราะมีสาร เพ็กติน อยู่มาก ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ กล้วยที่สุกงอมมากๆจะมีฤทธิ์ระบายสูง เพราะมีสารเพ็กติน มากขึ้นนั่นเอง ฤทธิ์ระบายของกล้วยน้ำว้าสุกไม่รุนแรงมากต้องกินเป็นประจำวันละ 5-6 ลูก จึงจะเห็นผล อุจจาระที่ออกมาเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นเหม็น การกินกล้วยสุกก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียด นานๆ เพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่มีแป้งอยู่ถึง 20 -25 % ของเนื้อกล้วย จึงสามารถนำมาเป็นอาหารเสริมให้เด็กเล็กได้ ตามปกติ กระเพาะมีเอนไซม์ย่อยแป้งน้อย การเคี้ยวกล้วยให้แหลกละเอียดจะช่วยแป้งได้มากก่อนกลืนลงกระเพาะ หากกินกล้วยโดยเคี้ยวหยาบๆ จะทำให้ท้องอืด จุกแน่น โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ควรเริ่มให้กินกล้วยสุกเมื่อเด็กเริ่มกินข้าวบดได้ อายุราว 3 เดือน โดยขูดเนื้อกล้วยสุก ( ไม่เอาไส้กล้วยเพราะจะทำให้เด็กท้องผูก ) ให้กินคราวละน้อยๆ ไม่ควรเกินครึ่งช้อนชา วันละครั้ง เพราะเด็กยังมีน้ำย่อยแป้งไม่พออาจเกิดอาการท้องอืดได้ เด็กอายุครบขวบกินกล้วยครั้งละ 1 ลูก วันละครั้งก็พอ

- กล้วยสุกงอม
กล้วยที่สุกเต็มที่จะสร้างสารที่เรียกว่า TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งมีความสามารถที่จะไปต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติ ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ ก็จะเกิดจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้น ยิ่งมีจุดดำนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เกิดภูมิต้านทานมากขึ้น ในการทดลองกับสัตว์โดยศาสตราจารย์ญี่ปุ่นผู้หนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ในการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากผลไม้ต่างๆ โดยใช้ กล้วย องุ่น แอปเปิล แตงโม สับปะรด ลูกแพร์ ลูกพลับ ปรากฏว่ากล้วยให้ผลดีที่สุด มันช่วยทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย และสร้างสารต้านมะเร็ง TNF

คำแนะนำคือให้กินกล้วยวันละ 1-2 ใบเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ และอื่นๆ กล้วยทีมีผิวเหลืองและมีจุดดำๆ หลายๆ แห่งจะมีคุณสมบัติในการเพิ่มเม็ดเลือดขาวได้มากกว่ากล้วยที่มีผิวเขียวถึง 8 เท่า

08/03/2018

วันสตรีสากล 8 มีค.2561

เพราะในอดีต สตรีถูกเอาเปรียบกดขี่ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน จึงทำให้เหล่าสตรีลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์ เสรีภาพ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นไท และมีอิสระที่จะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ให้ถูกกดขี่อีกต่อไป

ความหมายของวันสตรีสากล
วันสตรีสากลหมายถึง "สิทธิสหประชาชาติผู้หญิงและสันติภาพนานาชาติ โดยกำหนดให้ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากล เพื่อให้ผู้หญิงมีความ "ความเท่าเทียมทางเพศ" การพัฒนาได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่และการเสียสละซึ่งก่อให้เกิด "สหพันธ์สตรี." พรรคและรัฐบาลรักษาจะรักษาผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของคนส่วนใหญ่

วันสตรีสากลในประเทศไทย
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้ การควบคุมทรัพยากร เพื่อให้หลุดจากการกีดกันต่างๆ เจตนารมณ์ให้มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายในทุกรูปแบบ และให้สตรีได้มีโอกาสรับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียม ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลกที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับบทบาทและสถานภาพสตรี โดยได้มีการดำเนินการทั้งในแง่กฎหมาย นโยบาย มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ในการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย

วันสตรีสากลของต่างประเทศ
กลุ่มสตรีจากทุกทวีปไม่ว่าจะแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือ การเมืองก็ตาม ได้รวมตัวกันเพื่อฉลองวันสำคัญนี้ เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้อันยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาคความยุติธรรม สันติภาพและการพัฒนา ซึ่งวันสตรีสากล ไม่ได้เป็นเพียงวันที่กลุ่มสตรีทั่วโลกร่วมฉลองกันเท่านั้น แต่เป็นวันที่องค์กรสหประชาชาติได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วย และอีกหลายประเทศได้กำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันหยุดประจำชาติของตน อีกด้วย

แต่ในบางประเทศ อาจจะแตกต่างกันไป ซึ่งเหตุเริ่มจากวันที่กรรมกรสตรีโรงงานทอผ้าในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบกดขี่ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิต ทำให้ตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยมครั้งที่ 2และประกาศให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็น "วันสตรีสากล"

วันที่ใช้ในการจัดกิจกรรมวันสตรีสากล
วันที่ 8 มีนาคม ของทุก เป็นวันที่ใช้ในการจัดกิจกรรมวันสตรีสากล

ยินดีให้คำแนะนำ ปรึกษา ฟรี!!!เพื่อทำการรักษาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพฑ์ รวดเร็วขึ้นติดต่อ /สอบถามโทร:096-846-8126 คุณอุ้ม
08/03/2018

ยินดีให้คำแนะนำ ปรึกษา ฟรี!!!
เพื่อทำการรักษาที่ตรงจุด
และเห็นผลลัพฑ์ รวดเร็วขึ้น

ติดต่อ /สอบถาม
โทร:096-846-8126 คุณอุ้ม

รบกวนช่วยกันทำบุญด้วยการประชาสัมพันธ์นะครับปล.ขั้นตอนคือคนที่รู้ตัวว่าเป็นต้อเนื้อแบบในรูปโทรมาจองคิวที่ 02-926-9957 ในเ...
06/03/2018

รบกวนช่วยกันทำบุญด้วยการประชาสัมพันธ์นะครับ

ปล.ขั้นตอนคือคนที่รู้ตัวว่าเป็นต้อเนื้อแบบในรูปโทรมาจองคิวที่ 02-926-9957 ในเวลาราชการเพื่อมาตรวจที่รพ.ธรรมศาสตร์วันที่ 30มีนาคม 2561 แพทย์ตรวจแล้วเห็นควรลอกจะนัดลอกต้อเนื้อให้พร้อมยาหลังการลอกโดยไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

เนรมิตความงามอย่างครบวงจรด้วยว่านหางจระเข้เชื่อหรือไม่ว่านอกจากสรรพคุณของว่านหางจระเข้ที่เรารู้จักกันดีว่ามันสามารถช่วยร...
06/03/2018

เนรมิตความงามอย่างครบวงจรด้วยว่านหางจระเข้

เชื่อหรือไม่ว่านอกจากสรรพคุณของว่านหางจระเข้ที่เรารู้จักกันดีว่ามันสามารถช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ว่านหางจระเข้ยังมีความโดดเด่นในด้านการดูแลบำรุงผิวพรรณ ไปจนถึงเส้นผมของเราให้สวยงาม หรือจะเรียกได้ว่าเพียงแค่พืชชนิดนี้ตัวเดียว ก็สามารถที่จะช่วยดูแลความงามให้กับเราได้เกือบจะครบวงจร เราจึงจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในท้องตลาดล้วนเริ่มมีการนำเอาสารสกัดจากว่านหางจระเข้มาใช้เป็นส่วนผสมกันมากขึ้นในปัจจุบัน

คุณค่าของว่านหางจระเข้สำหรับการบำรุงจากภายใน
การกินว่านหางจระเข้ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยดูแลสุขภาพความงามของเราให้ดูดีได้จากภายใน เนื่องจากในว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายจำนวนมาก โดยเฉพาะน้ำที่เป็นส่วนประกอบสำคัญช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังของเรา วิตามินที่พบในว่านหางจระเข้ก็มีมากกว่า 12 ชนิด โดยเฉพาะวิตามินอี และซี ที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายสะอาด ส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกของเราดูผุดผ่อง มีน้ำมีนวล และดูสุขภาพดี

คุณค่าของว่านหางจระเข้สำหรับการบำรุงภายนอก
นอกจากการกินแล้ว ว่านหางจระเข้ยังสามารถช่วยดูแลผิวพรรณของเราได้จากภายนอกอีกด้วย เนื่องจากในว่านหางจระเข้มีส่วนประกอบของสารที่ช่วยในการลดการอักเสบ ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งยังช่วยป้องกันผิวหนังของเราจากแสงแดดและความร้อน เปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้กับเซลล์ผิว ช่วยให้เซลล์ผิวลดความเสื่อมสภาพจากการเผาไหม้ของแสงแดด ช่วยทำให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น ช่วยสมานแผลและกระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน

การนำเอาว่านหางจระเข้ไปใช้ในด้านความงาม
เราสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรว่านหางจระเข้ได้จากในท้องตลาด ตั้งแต่เจลว่านหางจระเข้ไปจนถึงครีมบำรุงผิวพรรณ แต่สำหรับใครที่สนใจต้องการใช้ว่านหางจระเข้สดที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางยาอย่างครบถ้วนแล้วละก็ สามารถทำได้ดังวิธีการต่อไปนี้

1.น้ำว่านหางจระเข้
การทำน้ำว่านหางจระเข้ เริ่มต้นด้วยการเลือกใบว่านหางจระเข้มาประมาณ 1-2 ใบ โดยเลือกใบที่มีขนาดใหญ่ อวบอ้วน ซึ่งจะอยู่บริเวณใต้สุดของลำต้น นำใบที่ได้มาล้างทำความสะอาด ปลอกเอาเปลือกสีเขียวๆ ทิ้งไปจนหมด เหลือเพียงแค่ส่วนของเนื้อสีขาวใสด้านใน จากนั้นให้ล้างน้ำทำความสะอาดอีกครั้ง แช่ทิ้งเอาไว้จนยางสีเหลืองถูกล้างออกไปจนหมด จากนั้นให้เตรียมทำน้ำเชื่อมผสมกลิ่นใบเตย แล้วใส่เนื้อว่านหางจระเข้หั่นเป็นชิ้นขนาดเล็กลงไปต้มด้วยกันจนเดือด แล้วยกลง สามารถเก็บแช่ตู้เย็นเอาไว้ดื่มดับกระหาย ที่ได้ทั้งประโยชน์และความสดชื่นอย่างเต็มที่

2.เจลว่านหางจระเข้
การทำว่านหางจระเข้สำหรับใช้พอกผิว ใช้วิธีการเลือกใบเช่นเดียวกับการทำน้ำว่านหางจระเข้ และหลังจากการแช่น้ำทำความสะอาดตัววุ้นจนยางสีเหลืองหายไปหมดแล้ว ให้นำเอาเนื้อที่ได้เข้าเครื่องปั่นจนละเอียด เราก็จะได้เจลว่านหางจระเข้ที่สามารถนำเอาไปใช้พอกหน้า พอกผิวตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เห็นไหมละคะว่าสรรพคุณของว่านหางจระเข้นั้นครอบจักรวาลความงามกันแค่ไหน แถมยังเป็นตัวยาเสริมความงามที่หาได้ง่ายตามบ้านเรือนของเราเอง โดยไม่จำเป็นต้องซื้อหาครีมราคาแพงมาใช้ให้เปลืองเงินอีกด้วย
-------------------------------------------------------------------------
สายด่วนสุขภาพ
โทร:096-8468126
หรือกดลิ้งนี้เพื่อแอดไลน์
https://line.me/R/ti/p/%40sje9047b

7 สิ่งที่ควรและไม่ควรทำกับการกินอาหารคลีน1.ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อยการกินคลีนที่ดีสำหรับผู้ออกกำลังกายและควบคุมอา...
06/03/2018

7 สิ่งที่ควรและไม่ควรทำกับการกินอาหารคลีน

1.ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย

การกินคลีนที่ดีสำหรับผู้ออกกำลังกายและควบคุมอาหาร คือเปลี่ยนจากการกิน 3 มื้อต่อวันเป็น 6 มื้อต่อวัน โดยแบ่งย่อยให้แต่ละมื้อเป็นมื้อเล็กๆ และให้ทั้งหมดมีปริมาณแคลอรีรวมเท่ากับการกินอาหารสามมื้อปกติ วิธีนี้จะส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญและช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกหิวบ่อยจนต้องกินเกินปริมาณ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ช่วยให้ร่างกายถูกกระตุ้นรับการเผาผลาญอยู่เสมอ

2.ควรกินอาหารเช้าเสมอ
โดยมากผู้ที่กินคลีนคือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ผู้คนจำนวนหนึ่งยังมีความเชื่อผิดๆ ว่าการกินอาหารน้อยลงจะช่วยทำให้ผอมได้เร็วขึ้น การหลีกเลี่ยงอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญของวันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สดชื่น ทำให้ง่วงเหงาหาวนอน อ่อนเพลีย และไม่ไม่มีเรี่ยวแรง ยังส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง และเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากความหิวที่รวบเอามาไว้ในมื้อเที่ยงทั้งหมด ส่งผลให้การกินอาหารอย่างขาดสติจนเกินความต้องการของร่างกายได้

3.ควรกินอาหารประเภทโปรตีนทุกมื้อ
โปรตีนมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ คนที่มีปริมาณกล้ามเนื้อมากจะส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี โดยเฉพาะโปรตีนที่เป็นประเภทลีนร่วมกับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน การกินทั้งสองชนิดพร้อมๆ กันจะช่วยลดอัตราการสะสมไขมันในร่างกาย ชะลอการเปลี่ยนแป้งเป็นไขมัน ซึ่งสามารถพบลีนโปรตีนได้ในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ไก่ นมไขมันต่ำและอกไก่ ส่วนคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะอยู่ใน ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ธัญพืชและผักผลไม้

4.ควรมีอาหารคลีนติดตัวอยู่เสมอ
หากอยากเป็นคนสุขภาพดี จะต้องมีการวางแผนกินคลีนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้ที่ต้องออกนอกบ้านทุกวันควรเตรียมอาหารคลีนแบบง่ายๆ ใส่กระเป๋าติดตัวเอาไว้เสมอ เช่น ขนมปังโฮลวีท ทูน่ากระป๋อง ผลไม้ หรือนมไขมันต่ำสักกล่อง เผื่อเอาไว้ในเวลาที่ไม่สามารถหาอาหารคลีนกินได้หรือในยามที่รู้สึกหิวก็จะได้หยิบออกมากินลดความอยากลงไปได้บาง

5.ไม่ควรเลือกกินอาหารแปรรูปบ่อยๆ
อาหารแปรรูปในที่นี้ไม่ได้มีเพียงแต่เมนูอาหารตามสั่งหรืออาหารแช่แข็งในร้านสะดวกซื้อ แต่รวมไปถึงข้าวขัดสี น้ำตาลทรายขาว ผงปรุงรสประเภทต่างๆ ซึ่งล้วนต้องผ่านกระบวนการแปรรูปมาหลายขั้นตอน ทำให้สารอาหารที่มีสลายไปจนแทบไม่เหลือ อีกทั้งเครื่องปรุงยังอุดมไปด้วยโซเดียมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลดน้ำหนัก เมื่อกินเข้าไปบ่อยๆ จะสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวตามมาด้วย

6.ไม่ควรใช้น้ำตาลเทียมทดแทน
แม้ว่าน้ำตาลเทียมจะมีปริมาณแคลอรี่ต่ำหรือเป็นศูนย์จนหลายคนเชื่อว่ามันจ่ะวยลดความอ้วน และลดความอยากอาหารหวานโดยไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อร่างกาย ในความเป็นจริงน้ำตาลเทียมเหล่านี้ผลิตขึ้นจากสารเคมีที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ ซึ่งจะให้โทษต่อร่างกายเมื่อได้รับในปริมาณมาก จนกลายเป็นตัวก่อโรคตามมาในอนาคตได้

7.ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ
แอลกอฮอล์คือเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยน้ำตาลในปริมาณสูง ทำให้มันมีแคลลอรี่มากเช่นเดียวกับเครื่องดื่มน้ำอัดลม แถมยังพ่วงมาด้วยแอลกฮอล์ที่ทำให้เกิดความมึนเมา เมื่อใดก็ตามที่ไร้สติอาหารที่จะหยิบจับเข้าปากก็จะไม่สามารถบังคับได้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่แอลกอฮอล์เข้าคอก็เตรียมตัวเอาไว้ได้เลยว่าคืนนั้นจะต้องมีอาหารทำร้ายสุขภาพตามเข้าไปอีกหลายอย่างแน่นอน

จะเห็นได้ว่าการกินอาหารคลีนคือการกินอาหารในแนวชีวจิต มีความเป็นธรรมชาติสูง แปรรูปน้อย ซึ่งหลายคนยังไม่คุ้นชินกับรสชาติ แต่เมื่อได้ลองลงมือกินแล้วไม่นานเราก็จะคุ้นชินและสามารถกินคลีนได้อย่างมีความสุข พร้อมกับผลลัพธ์ของสุขภาพที่น่าอัศจรรย์ตามมาด้วยค่ะ

4 โรคอันตราย ที่มาพร้อมแดด และอากาศร้อนอบอ้าว1. ลมแดด (ฮีทสโตรก)หลายคนเริ่มคุ้นหูกับคำว่าฮีทสโตรกมากขึ้นกันแล้วใช่ไหมคะ ...
02/03/2018

4 โรคอันตราย ที่มาพร้อมแดด และอากาศร้อนอบอ้าว

1. ลมแดด (ฮีทสโตรก)

หลายคนเริ่มคุ้นหูกับคำว่าฮีทสโตรกมากขึ้นกันแล้วใช่ไหมคะ ฮีทสโตรกเป็นชื่อภาษาอังกฤษของโรคลมแดด หรืออาการที่เป็นลมจากอากาศร้อนจัด ร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน ร่างกายอุณหภูมิสูงขึ้น บวกกับอาการขาดน้ำที่จะมาช่วยหล่อเลี้ยงร่างกาย และช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ นอกจากนี้เป็นเพราะเราสูญเสียน้ำจากร่างกายออกไปทางเหงื่อจำนวนมาก แล้วไม่ได้ดื่มน้ำเข้าสู่ร่างกายเพื่อทดแทนเหงื่อที่เสียไป ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายช็อคจากการขาดน้ำได้เหมือนกัน



2. เพลียแดด

เพลียแดดมีอาการคล้ายลมแดด แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นมีอาการชัก หรือเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไรอาการเพลียแดดก็อันตรายไม่แพ้ลมแดดเท่าไรหรอกค่ะ เพราะอาการเพลียแดด สามารถเป็นได้ตั้งแต่ปวดศีรษะ มึนหัว บานหมุน หน้ามืด อ่อนเพลีย หมดแรง คลื่นไส้ ถึงจะยังไม่หมดสติ แต่การขาดสติสัมปชัญญะไปบางส่วน อาจเกิดอันตรายระหว่างทำงาน หรือทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอยู่ได้ เช่น เพลียแดดระหว่างทำงานกับเครื่องจักรกล หรือเพลียแดดระหว่างขับรถ น่ากลัวใช่ไหมล่ะ



3. ตะคริวแดด

ใครที่เป็นนักวิ่ง หรือชอบวิ่งออกกำลังกาย ไม่ว่าจะวิ่งตอนเช้า กลางวัน หรือเย็น ช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนจัดแบบนี้ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องวิ่งกลางแดดอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นคุณอาจกำลังเสี่ยงต่ออาการ “ตะคริวแดด” ได้ค่ะ ซึ่งลักษณะอาการก็เหมือนกับตะคริวธรรมดาๆ กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง และรู้สึกปวด เจ็บในบริเวณที่เป็นตะคริวเป็นอย่างมากจนวิ่งต่อไปไม่ไหว อาการตะคริวที่พบมักเป็นช่วงขา แขน และหลัง หากมีอาการตะคริวแดดให้รีบหยุดวิ่ง อยู่นิ่งๆ แล้วค่อยๆ ดื่มน้ำ หรือดื่มน้ำผลไม้ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย และชดเชยน้ำ และเกลือแร่ที่เสียไป หากอาการตะคริวไม่ดีขึ้นภายใน 30 นาที- 2 ชั่วโมง ควรหยุดวิ่งไปเลย 1-2 วันค่ะ



4. ผิวหนังไหม้เกรียมแดด

สาวๆ คงไม่ปล่อยให้ตัวเองผิวหนังไหม้เกรียมง่ายๆ หรอก แต่ก็ไม่แน่ใจหากสาวๆ มีแพลนจะไปลัลล้าที่ชายทะเล บางครั้งความสวยของทะเล ความสนุกของกิจกรรมต่างๆ ที่ทะเล อาจทำให้เราลืมดูแลผิว หรือลืมไปว่ากลัวผิวคล้ำดำเสีย จนไม่ได้ทาครีมกันแดด ซึ่งต่อมาก็จะเป็นสาเหตุของผิวหนังไหม้เกรียมแดด ตอนผิวลอกบางคนก็แสบ บางคนก็ไม่แสบ แต่หากใครผิวแสบก็จะโชคร้ายหน่อย เพราะนอกจากผิวจะแดดจัด ผิวบางลงจากผิวลอกแล้ว ยังต้องวุ่นวายกับการหาครีมแก้ผิวไหม้มาทากันอีก ใครที่มีผิวแสบไหม้จากแดด นอกจากเจลเย็นๆ แก้ผิวไหม้ที่มีขายตามร้านต่างๆ แล้ว ว่านหางจระเข้ก็ช่วยทำให้ผิวดีขึ้นได้นะคะ ยิ่งว่านหางจระเข้แช่เย็นด้วย ยิ่งฟินเลยขอบอก

01/03/2018

อาการตากระตุก เขม่นตา เกิดจากอะไร เป็นลางบอกเหตุอะไรได้บ้าง?

หากท่านเป็นคนไทยที่เกิดในครอบครัวที่มีคนเฒ่าคนแก่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับบ้านแล้วละก็ ท่านก็เคยอาจจะได้ยินเรื่องที่เชื่อถือกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว เกี่ยวกับอาการตากระตุกหรือเขม่นตา กับวลียอดฮิต “ขวาร้ายซ้ายดี” กันมาแล้ว เรามาดูกันค่ะว่าแท้จริงแล้ว การกระตุกของตาหรือเขม่นตาเกิดจากอะไร มันคืออะไรกันแน่?พร้อมคำทำนาย

ตากระตุก (Nystagmus) ตามหลักวิทยาศาสตร์นั้น เป็นภาวะที่มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบางส่วนเป็นกลุ่มๆบริเวณตา อาทิเช่น ใต้หนังตา หรือ กล้ามเนื้อรอบลูกตาข้างใดข้างเดียวเท่านั้น เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว อาการกระตุกนั้นจะมีสาเหตุเกิดมาจากอาการเครียดหรือว่ามาจากอาการกังวลใจ แต่ถ้าหากคุณพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนน้อยจนเกินไป อาการเหล่านี้ก็จะหายไปเองครับผม อีกแนวทางในการรักษานั้นก็คือ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดื่มน้ำอัดลม หรือกาแฟ ขอให้ลดๆหน่อย หรือไม่ก็พยายามเลี่ยงครับ เพราะว่าเครื่องดื่มเหล่านี้แหละ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการตากระตุก หรือไม่ว่าจะเป็นความเครียด หรือการสูบบุหรี่ ก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดอาการตากระตุกค่ะ แต่ถ้าหากจะพูดกันถึงเรื่องของความเชื่อที่มีมาช้านานแล้ว ก็จะมีเรื่องคำทำนายของอาการตากระตุก ตาเขม่นทั้งตาซ้ายและตาขวาที่อาจเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าก็เป็นได้ วันนี้เราจะยกตัวอย่างของคำทำนายมาให้ดูกันนะคะ ไปดูกันเลย!

ตากระตุกในตอนเช้า (นับจากตอนตื่นนอนใกล้ๆเช้า)

-ข้างซ้าย จะมีปากเสียงทะเลาะวิวาท หรือจะมีเรื่องให้เดือดร้อนเข้ามา
-ข้างขวา จะมีญาติมิตรจากต่างถิ่นมาเยี่ยมเยือน

กระตุกตอนสายๆ (ช่วงเวลาประมาณเก้าโมงถึงเที่ยง)

-ข้างซ้าย จะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามกับครอบครัวของเรา
-ข้างขวา ญาติมิตรจากต่างแดนนั้น จะนำพาซึ่งโชคลาภมาให้กับเรา

กระตุกตอนบ่าย (ช่วงเวลาประมาณบ่ายโมงถึงสี่โมงเย็น)

-ช้างซ้าย จะมีเพศที่ตรงข้ามกับคุณนั้นกล่าวถึงคุณ หรืออาจจะมาหาคุณเลย
-ข้างขวา การที่คุณคิดอะไรบางอย่างไว้ หรือ การที่คุณจะทำอะไร ก็จะประสบกับความสำเร็จ

กระตุกตอนบ่าย (ช่วงเวลาประมาณสี่โมงถึงห้าโมงเย็น)

-ข้างซ้าย ญาติสนิทมิตรสหายจะมาเยี่ยมเยียนในไม่ช้า
-ข้างขวา จะได้พบกันญาติหรือมิตรสหายที่จากกันไปนานโดยไม่คาดคิด

กระตุกตอนกลางคืน(ช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป)

-ข้างซ้าย จะมีข่าวดีมาเยือนในอีกวันรุ่งขึ้น หรือจะได้โชคลาภจากสิ่งที่ได้ก่อเอาไว้
-ข้างขวา จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันกับคนในครอบครัวของเรา

ทั้งนี้ก็ควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลด้วยนะคะ เพราะว่าอาการตากระตุกนั้น สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้วก็หลักความเชื่อต่างๆ ดังนั้นแล้ว คุณต่างหากที่จะเป็นคนตัดสินใจว่าอันไหนถูกอันไหนผิด สำหรับเกร็ดความรู้นี้ ถ้าอ่านแล้วมีประโยชน์ อย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆอ่านบ้างนะคะ

ข้าวโพด มีประโยชน์มากกว่าที่คิด!!!คุณค่าทางอาหารของ ข้าวโพด-คาร์โบไฮเดรต  “ข้าวโพด”มีคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 72 ข้าวโพด...
01/03/2018

ข้าวโพด มีประโยชน์มากกว่าที่คิด!!!

คุณค่าทางอาหารของ ข้าวโพด

-คาร์โบไฮเดรต “ข้าวโพด”มีคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 72 ข้าวโพดหนัก 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่ไขมัน เมล็ดข้าวโพดมีไขมันอยู่ร้อยละ 4 มีฤทธิ์ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิตสูง
-โปรตีนในข้าวโพดเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ค่ะ เพราะจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายคือไลซีนและทริบโตฟาน ควรรับประทานข้าวโพดร่วมกับถั่วเมล็ดต่างๆ
-วิตามิน อุดมด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 รวมไปถึงเกลือแร่
สรรพคุณของ ข้าวโพด

ข้าวโพด ช่วยบำรุงสายตา
- ในข้าวโพดจะมีสาร เบต้าแคโรทีน (β-carotene) หรือที่เรารู้กันว่าเป็น โปรวิตามินเอ ร่างกายเราจะนำไปใช้สร้างสาร โรดอปซินนะครับช่วยให้ลดอัตราเสื่อมของลูกตาและป้องกันการเป็นโรคต้อกระจกตาด้วย อีกทั้งยังมี โฟเลตซึ่งจะช่วย สร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอในการเสื่อมสภาพของร่างกาย

-ป้องกันโรคหัวใจ ข้าวโพด จะมีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ผูกกับใยที่ละลายกับน้ำดีจากคอเลสเตอรอลในตับของเรา ซึ่งจะช่วยให้คอเลสเตอรอลในร่างกาย สลายไปได้ดีอีกด้วย แถมยังอุดมไปด้วยโฟเลต, วิตามินบีที่ช่วยในการลดระดับของ homocysteine, กรดอะมิโนที่ตามผลิตภัณฑ์ในกระบวนการเมตาบอลิสำคัญ (เรียกว่ารอบการเติมหมู่เมธิ) ระดับสูงของ homocysteine สามารถทำลายเส้นเลือดที่นำไปสู่หัวใจวายโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดันในร่างกาย

-ต้านมะเร็ง นอกจาก ข้าวโพด จะมีสารที่ช่วยในการสร้าง โรดอปซิน ที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ข้าวโพด ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งปอด และเส้นใยในข้าวโพดยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารเพื่อสุขภาพจึงลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่

-ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร เส้นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ ในข้าวโพดจะช่วยให้ดี สำหรับริดสีดวงทวาร จากโรคทางเดินอาหาร หรืออาหารท้องผูก ทุเลาลง เนื่องจาก เส้นใยจะช่วยดูดซับน้ำ และช่วยระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น

-ช่วยบำรุงผิวพรรณ อย่างที่เราทราบกันดีเรื่อง สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในข้าวโพด ทำให้ผิวพรรณของเราไม่เหี่ยวย่น เปล่งปลั่งดูสดชื่นมีชีวิตชีวา

ข้อแนะนำในการรับประทาน ข้าวโพด

ควรล้างให้สะอาดก่อนนำไปต้ม
เทเกลือลงในหม้อต้มสักเล็กน้อยเผื่อขับสารที่มีประโยชน์จาก ข้าวโพด
ต้มข้าวโพดให้สุก อย่างน้อย 30 นาที
ข้อควรระวังสำหรับสาวๆที่จะลดน้ำหนัก

ปริมาณที่แนะนำให้กิน ข้าวโพด ต่อวัน คือ ครึ่งฝักหรือ 1 ฝักเท่านั้น ควรเลือกแบบที่ต้มนะคะ แต่ถ้าใครชอบกิน ข้าวโพดแปรรูป อย่างป๊อปคอร์น คอร์นเฟลกส์ ข้าวโพดคลุก ก็ให้กินแต่พอดีหรือไม่เกิน 1 หน่วยบริโภคหรือปริมาณเท่ากับ 30 กรัมนั่นเอง ซึ่งปริมาณเท่านั้นก็ให้พลังงานถึง 150 กิโลแคลอรี่เลยทีเดยว ถ้าจะให้ดีควรทาน ข้าวโพด ที่ไม่แปรรูปจะดีกว่า

ที่อยู่

Bangkok
10510

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ SIRI ศูนย์สุขภาพ/ความงามผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram