ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk

ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk เครียด ปัญหาชีวิต..ปรึกษาออนไลน์กับ? กรุณาโทรนัดหมายล่วงหน้า
Please make appointment at
064-9945499
Line ID : (มี@ด้วยค่ะ)

หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังเผชิญกับ “บาดแผลทางใจ” หรือ Trauma ที่สะสมอยู่ในจิตใจ ซึ่งสามารถส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์...
07/12/2025

หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังเผชิญกับ “บาดแผลทางใจ” หรือ Trauma ที่สะสมอยู่ในจิตใจ ซึ่งสามารถส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์ และร่างกายได้อย่างลึกซึ้ง โดยรูปแบบที่พบบ่อย ที่หลายคนไม่เคยรู้ มีอะไรบ้างมาดูกัน....

⭐️บาดแผลทางใจ Trauma ที่มักแสดงออกมาในชีวิตประจำวัน

1.ขอโทษตลอดเวลา: มักพูดคำว่า “ขอโทษ” บ่อยครั้ง แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่จำเป็นต้องรับผิด กลายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ

2.รู้สึกผิดเวลาพักผ่อน: เมื่อได้หยุดหรือผ่อนคลาย กลับรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ขี้เกียจ หรือกำลังละเลยหน้าที่

3.อธิบายตัวเองเกินความจำเป็น: ต้องรีบอธิบายเหตุผลหรือแก้ต่าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้คนเชื่อ

4.ตัดสินใจลำบาก: การเลือกอะไรสักอย่างดูเป็นเรื่องยากมาก กังวลว่าจะตัดสินใจผิดพลาดจนไม่กล้าทำอะไร

5.กลัวความสุข: ไม่กล้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มองว่าความสุขเป็นของชั่วคราวที่ไม่ปลอดภัย

6.ชอบหาความวุ่นวาย: รู้สึกไม่ชินเมื่ออยู่กับความสงบ อาจรู้สึกไม่ปลอดภัยจนต้องหาสิ่งมากวนใจเสมอ
พยายามเอาใจคนอื่นมากเกินไป: ยอมทุกอย่างเพียงเพื่อไม่ให้ใครไม่พอใจ

7.สะดุ้งง่าย: ตกใจหรือระแวงมากกว่าปกติ ไวต่อเสียง น้ำเสียง และการสัมผัส

8.สะดุ้งง่าย: ตกใจหรือระแวงมากกว่าปกติ ไวต่อเสียง น้ำเสียง และการสัมผัส

9.ไม่ไว้ใจความหวังดีของคนอื่น: มักสงสัยว่าเบื้องหลังความช่วยเหลือ หรือความหวังดีของผู้อื่น ว่ามีอะไรแอบแฝง

10. เหนื่อยล้าง่าย และเหนื่อยเรื้อรัง: รู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอด แม้นอนหรือพักผ่อนเพียงพอ

11.เกาะติด: กลัวการถูกทิ้ง เลยมักจะยึดติด เกาะติดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด

12.บ้างาน: สู้ทำงานหนักเพื่อทำให้ตัวเองมีคุณค่า

13.กลัวความสำเร็จ: กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าที่จะต้องการมากไปกว่านี้

14.พึ่งพาตัวเอง: ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร

15.เฉยชาทางอารมณ์: มักปิดกั้น และไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นเห็น ไม่อยากให้ใครเห็นด้านอ่อนแอ

16.ยืดติดกับความสมบูรณ์แบบ: กลัวความผิดพลาดจึงพยายามทำให้ดีที่สุดเสมอ ถ้าหากผิดพลาดจะรู้สึกแย่ รับไม่ได้

17.รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร: มีความรู้สึกด้อยค่า รู้สึกว่าตนเองไม่สมควรได้รับสิ่งดี ๆ แม้มีหลักฐานความสำเร็จ

18.ชอบหนีความจริง: เมื่อพบปัญหามักใช้สิ่งอื่นช่วยเบี่ยงเบน แทนที่จะเผชิญหน้า

19.ระแวดระวังร่างกายมากเกินไป: ไหล่ตึง เกร็งท้องเป็นก้อน ไหล่ตึง ระแวงว่าจะถูกทำร้าย ซ้ำเดิม

20.ทำลายตัวเอง: มักเลือกทำลายสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปเสียก่อน เพราะกลัวว่าสุดท้ายสิ่งนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายใจเรา

⭐️สัญญาณเหล่านี้กำลังบอกอะไร?
หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีพฤติกรรมเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของบาดแผลทางใจที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา ซึ่งการรับรู้และเข้าใจตนเองถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ

การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการและฟื้นฟูจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อาการเหล่านี้คือสัญญาณที่สะท้อนว่า บาดแผลทางใจยังคงส่งผลต่อชีวิตประจำวัน การตระหนักรู้และทำความเข้าใจจึงเป็นก้าวแรกสำคัญของการดูแลตัวเอง และอาจต้องการความช่วยเหลือจากคนรอบข้างหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อค่อย ๆ ฟื้นฟูหัวใจให้กลับมาเข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง

ที่มา: รู้ทัน 20 สัญญาณอาการบาดแผลทางใจ ที่คุณอาจแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว! https://share.google/bydEZQEKj7sH9lo4q

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช

ลำไส้ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่มากกว่าการย่อยอาหาร เพราะยังเป็นศูนย์กลางของระบบภูมิคุ้มกัน การดูดซึมสารอาหาร และแม้แต่การคว...
26/11/2025

ลำไส้ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่มากกว่าการย่อยอาหาร เพราะยังเป็นศูนย์กลางของระบบภูมิคุ้มกัน การดูดซึมสารอาหาร และแม้แต่การควบคุมอารมณ์ หากลำไส้ทำงานได้ดี ร่างกายจะสามารถดึงพลังงานจากอาหารมาใช้ได้เต็มที่ และป้องกันสารพิษไม่ให้ซึมเข้าสู่กระแสเลือด แต่หากลำไส้ทำงานผิดปกติ จะเกิดปัญหาทั้งภายในและภายนอกโดยไม่รู้ตัว

⭐️ความแตกต่างระหว่างคนที่ลำไส้ดีและไม่ดี

▪︎การขับถ่าย
ลำไส้ดี: ขับถ่ายเป็นประจำวันละ 1–2 ครั้ง ลักษณะอุจจาระเป็นแท่งนุ่ม ไม่แข็งหรือเหลว

ลำไส้ไม่ดี: ท้องผูกบ่อย ถ่ายยาก หรือมีอาการท้องเสียเป็นระยะ อุจจาระเป็นน้ำ มีเมือก หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ

▪︎ผิวพรรณ
ลำไส้ดี: ผิวสดใส เปล่งปลั่ง ไม่มีผื่นหรือสิวเรื้อรัง

ลำไส้ไม่ดี: ผิวหมองคล้ำ มีสิว ผด หรือผื่นแพ้บ่อย เพราะของเสียสะสมในร่างกายและส่งผลถึงผิวหนัง

▪︎ระบบภูมิคุ้มกัน
ลำไส้ดี: เจ็บป่วยน้อย ภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ไม่แพ้ง่าย

ลำไส้ไม่ดี: เป็นหวัดง่าย แพ้ง่าย มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันบ่อย เช่น ภูมิแพ้ ลำไส้อักเสบ หรืออาการอ่อนเพลียเรื้อรัง

▪︎อารมณ์และสมาธิ
ลำไส้ดี: อารมณ์มั่นคง ไม่หงุดหงิดง่าย สมองปลอดโปร่ง สมาธิดี

ลำไส้ไม่ดี: อารมณ์แปรปรวนง่าย มีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือสมาธิสั้น เนื่องจากลำไส้มีบทบาทในการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งควบคุมอารมณ์

▪︎พลังงานในชีวิตประจำวัน
ลำไส้ดี: มีพลังงานตลอดวัน ไม่อ่อนเพลียหลังมื้ออาหาร

ลำไส้ไม่ดี: รู้สึกเหนื่อย ง่วงหลังมื้ออาหาร หรือรู้สึกหนักท้องง่าย เพราะระบบย่อยทำงานไม่เต็มที่

⭐️ทำไมลำไส้จึงมีผลต่อสุขภาพได้มากขนาดนี้?
จุลินทรีย์ในลำไส้: จุลินทรีย์กว่า 100 ล้านล้านตัวในลำไส้มีผลต่อทั้งระบบย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกัน และสมอง

ผนังลำไส้: หากผนังลำไส้รั่วหรืออักเสบ จะทำให้สารพิษซึมเข้าสู่กระแสเลือด และก่อให้เกิดอาการอักเสบในระบบต่างๆ ของร่างกาย

แกนลำไส้–สมอง: ลำไส้ส่งสัญญาณไปยังสมองผ่านระบบประสาทวากัส (vagus nerve) มีผลต่ออารมณ์ ความเครียด และสมาธิ

⭐️วิธีสังเกตว่าลำไส้ของคุณอาจมีปัญหา
ขับถ่ายไม่เป็นเวลา

•มีกลิ่นปากทั้งที่แปรงฟันแล้ว
•ผิวพรรณแห้งหรือเป็นสิวเรื้อรัง
•รู้สึกหิวบ่อย หรืออยากของหวานตลอดเวลา
•อารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ

ลำไส้ เปรียบเสมือนรากฐานของสุขภาพทั้งกายและใจ คนที่มีลำไส้ดีจะรู้สึกสบายตัว มีพลังงาน และจิตใจแจ่มใส ในขณะที่ลำไส้ที่มีปัญหาจะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพโดยรวมแบบที่เราไม่รู้ตัว การดูแลลำไส้จึงควรเริ่มตั้งแต่พฤติกรรมการกิน นอน พักผ่อน ไปจนถึงการจัดการความเครียด เพื่อให้ร่างกายและจิตใจสมดุลจากภายในอย่างแท้จริง

ที่มา: https://www.sanook.com/health/37793/

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพกาย #ลำไส้

โรคกลัวสังคม เป็นความรู้สึกกังวลเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพบปะผู้คน โดยกลัวว่าจะถูกผู้อื่นมองหรือตัดสินในทางลบ เช่น...
24/11/2025

โรคกลัวสังคม เป็นความรู้สึกกังวลเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพบปะผู้คน โดยกลัวว่าจะถูกผู้อื่นมองหรือตัดสินในทางลบ เช่น ตลก น่าเบื่อ อ่อนแอ ไม่เก่ง จนกระทั่งต้องหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่าง ๆ และส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

⭐️อาการของโรคกลัวสังคม

•กลัว กังวล ทุกข์มาก หรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องพบปะสื่อสารกับผู้คน
•มีอาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ ตัวสั่น ใจสั่น หายใจเร็ว
•คิดเชิงลบเกี่ยวกับการมองหรือตัดสินจากผู้อื่น
•มีปัญหาทางสุขภาพจิตอื่นร่วม เช่น ภาวะซึมเศร้า

⭐️สาเหตุของโรคกลัวสังคม

•พันธุกรรม
•เป็นคนที่วิตกกังวลง่าย
•มีเหตุการณ์ฝังใจในอดีต
•การทำงานของสมองส่วนอารมณ์และสารสื่อประสาทผิดปกติ

⭐️แนวทางการรักษา

•ฝึกสติให้เท่าทันความคิดของตนเอง
•ปรับมุมมองในเชิงบวกและตามความเป็นจริง
•ฝึกกำหนดลมหายใจและผ่อนคลาย
•ฝึกซ้อมการสื่อสารและการแสดงออก
•ไม่หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้กังวล
•ชื่นชมและให้กำลังใจตนเองในความพยายาม
•ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากอาการไม่ดีขึ้น

ที่มา: https://dmh.go.th/news/view.asp?id=2532

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต #กลัวสังคม

⭐️โรคขี้ขโมย มีสาเหตุมาจากอะไร?โรคขี้ขโมย หยิบฉวยของคนอื่น (Kleptomania) อาจเกิดขึ้นจากความผิดปกติทางสมองที่พบสารเซโรโทน...
19/11/2025

⭐️โรคขี้ขโมย มีสาเหตุมาจากอะไร?
โรคขี้ขโมย หยิบฉวยของคนอื่น (Kleptomania) อาจเกิดขึ้นจากความผิดปกติทางสมองที่พบสารเซโรโทนินที่ต่ำลง (จนอาจเสี่ยงภาวะซึมเศร้า) พันธุกรรม และการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมในวัยเด็ก

⭐️โรคขี้ขโมย เป็นอาการทางจิตหรือไม่?
โรคขี้ขโมย ไม่ถือว่าเป็นอาการทางจิต แต่จัดอยู่ในโรคที่เกิดจาดความผิดปกติของสมอง ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ โรคอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ โรคควบคุมการระเบิดอารมณ์ความโกรธของตัวเองไม่ได้ โรคควบคุมพฤติกรรมอยากเผาไฟ เล่นไฟไม่ได้ โรคควบคุมความอยากเล่นการพนันไม่ได้ เป็นต้น

⭐️โรคขี้ขโมย มีอาการอย่างไร?
ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่เป็นโรคขี้ขโมย มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่มปัญหาทางด้านการเงิน แต่จะมีปัญหาทางสภาวะจิตใตที่ต้องการจะปลดปล่อยอะไรออกมาบางอย่าง แล้วแสดงออกผ่านการขโมยของ เมื่อขโมยของได้สำเร็จ ก็จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

ผู้ป่วยโรคขี้ขโมย จะรู้สึกผิดเมื่อขโมยของเสร็จ บางคนถึงกับเอาของไปคืนที่เดิมหลังจากขโมยเสร็จ เพราะไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะขโมยของเพื่อนำไปใช้สอยส่วนตัว จะไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือพูดปดเมื่อถูกจับได้ และการขโมยจะเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน กล่าวคือไม่มีการวางแผนการขโมยมาก่อน เห็นแล้วรู้สึกอยากขโมยขึ้นมาทันที


⭐️ผู้ป่วยโรคขี้ขโมย แตกต่างจากมิจฉาชีพจริงๆ อย่างไร?
มิจฉาชีพมักจงใจขโมยของเพราะความอยากได้อยากมีของชิ้นนั้นๆ เช่น ขโมยมือถือเพราะอยากได้มือถือ หรือเอาไปเปลี่ยนเป็นเงิน นั่นหมายถึงอยากได้เงิน แต่เป้าหมายของผู้ป่วยโรคขี้ขโมย ไม่ได้อยู่ที่สิ่งของ ไม่ได้อยากได้อยากมีสิ่งของชิ้นนั้นๆ แต่เป้าหมายอยู่ที่การ “ขโมย” รู้สึกดีที่ได้ขโมย

หากพบพฤติกรรมชอบขโมยของในวัยเด็ก อาจเกิดจากพัฒนาการของตัวเด็กที่ยังไม่ดีพอ ขาดการอบรมที่ดีจากผู้ใหญ่ แต่หากยังพบพฤติกรรมขี้ขโมยในวัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ ขโมยจนทำให้เป็นปัญหาในการดำเนินชีวิต และไม่สามารถหยุดพฤติกรรมขี้ขโมยด้วยตัวเองได้ อาจสันนิษฐานว่าเป็นโรคขี้ขโมยได้เหมือนกัน

⭐️โรคขี้ขโมย มีวิธีการรักษาอย่างไร
ผู้ป่วยโรคขี้ขโมย สามารถรับการรักษาได้ทั้งจากการใช้ยาบำบัด โดยเพิ่มเซโรโทนีนในสมอง ลดความเสี่ยงของผู้ป่วยจากภาวะซึมเศร้า และวิธีจิตบำบัด อาจจะเป็นการเพิ่มความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กับผู้ป่วยมากขึ้น ให้ผู้ป่วยรับรู้ว่าสิ่งที่ทำไปไม่ใช่เรื่องดี เป็นเรื่องที่ผิด จนผู้ป่วยหยุดทำไปเอง หรืออาจจะเป็นการชวนผู้ป่วยคุยถึงผลร้ายที่อาจจะตามมาภายหลังจากการขโมย ขยายผลร้ายให้เห็นอนาคตหลังจากการขโมยให้เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การสร้างความกลัวจนหยุดอาการอยากขโมยลงได้

ถึงกระนั้น หากพบเจอหรือรู้จักใครที่ชอบขโมยของคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเขาเหล่านั้นเป็นโรคขี้ขโมยเสมอไป อาจเป็นความผิดปกติของทางจิตในรูปแบบหนึ่ง อาจเป็นคนที่ชอบต่อต้านสังคม หรืออยากเรียกร้องความสนใจก็เป็นได้ ดังนั้นหากพบใครมีพฤติกรรมดังกล่าว ควรส่งพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยให้ชัดเจน และรับการรักาอย่างถูกวิธีกันต่อไป

ที่มา: อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต

เคยมั้ยที่ฟ้าหม่นๆ แล้วแอบรู้สึกเหงา เศร้า นั่นเพราะสภาพอากาศมีผลต่อความรู้สึกของเราเมื่ออากาศร้อน หลายคนรู้สึกเครียด ฉุ...
15/11/2025

เคยมั้ยที่ฟ้าหม่นๆ แล้วแอบรู้สึกเหงา เศร้า นั่นเพราะสภาพอากาศมีผลต่อความรู้สึกของเรา

เมื่ออากาศร้อน หลายคนรู้สึกเครียด ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย ในขณะที่ในช่วงฤดูฝนอากาศมีความชื้นสูง ท้องฟ้าเป็นสีเทา หรือในฤดูหนาว หมอกเยอะในตอนเช้า ช่วงเวลากลางคืนยาวนานกว่ากลางวันส่งผลให้รู้สึกเหงา เศร้า หรือหดหู่อย่างไม่มีสาเหตุ

แต่…!!! ถ้าอารมณ์เปลี่ยนไปในทางแย่ลงจนส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นั่นอาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าเรากำลังป่วยเป็น โรคซึมเศร้า หรือมีภาวะเครียดจากสภาพอากาศก็เป็นได้

⭐️ทำความรู้จักโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล ( SeasonalAffective Disorder ; S.A.D) เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละปีโดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการขึ้นในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน อาจมีอาการต่างๆ ได้แก่ซึมเศร้า เหนื่อยล้าและแยกตัวจากสังคม แม้ว่าอาการต่างๆ มักจะหายไปภายในไม่กี่เดือน แต่ก็อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความรู้สึกและการทำหน้าที่ต่างๆ ของบุคคล อย่างไรก็ตาม มีวิธีการที่จะสามารถช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้

⭐️ดูแลใจช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง

1.กินอาหารสุขภาพ

เช่นผัก ผลไม้และโปรตีนที่ช่วยเพิ่มระดับของสารสื่อประสาทเซโรโทนินซึ่งเป็นสารเคมีในสมอง ที่มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอารมณ์ซึ่งถ้าปริมาณลดลงอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ เช่น ผักปวยเล้ง สับปะรด ไก่ ปลาแซลมอล ไข่ ชีส นม เต้าหู้ ถั่วและ เมล็ดธัญพืช ฯลฯ

2. อย่าอยู่ว่างๆ

นั่งๆ นอนๆ จะทำให้หมกมุ่นอยู่กับความคิดและอารมณ์เศร้า หากิจกรรมที่ชื่นชอบหรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกายเพิ่มขึ้นทำ เช่น ทำสวนครัว ทำงานบ้าน เล่นดนตรี อ่านหนังสือ ดูทีวี วาดรูป ฯลฯ

3. หาโอกาสออกไปเดินเล่น

ในวันที่มีอากาศแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เพื่อให้ได้ร่างกายสัมผัสกับแสงแดดอ่อน ๆ บ้างเพราะมีผลงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการได้สัมผัสกับแสงสว่างมีความสัมพันธ์และระดับเซโรโทนินในร่างกาย

4. ออกกำลังกาย

ข้อมูลจากงานวิจัยที่เชื่อถือได้จากประเทศอังกฤษแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายเป็นประจำอาจอย่างต่อเนื่องช่วยเรื่องอาการซึมเศร้าได้ ควรมีการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3-5 วัน ถ้าไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน อาจเริ่มจากกิจกรรมที่ทำเป็นประจำอยู่แล้วให้มีการออกแรงเพิ่มมากขึ้น เช่น การเดินทางไปทำงานด้วยการเดินหรือขี่จักรยาน

5. พบปะสังสรรค์ หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ทางสังคม

เพื่อให้ได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนฝูงหรือทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่

6. ฝึกใจให้ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ

ว่าเป็นแค่เพียงปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไปไม่แน่นอน ประคองใจให้มีสติอยู่กับกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

7. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

เนื่องจากการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องจะมีผลต่อคุณภาพชีวิตและการเกิดภาวะซึมเศร้า พยายามฝึกนิสัยการนอนที่ดี โดยก่อนนอนควรปิดอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ฝึกผ่อนคลายตัวเองด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น การฝึกสมาธิ การฝึกหายใจคลายเครียด การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฯลฯ

8 .หมั่นสังเกตอาการ

การเปลี่ยนแปลงของตนเองถ้ารู้สึกว่าอารมณ์แปรปรวนและเป็นทุกข์มากจนควบคุมตัวเองไม่ได้ควรแสวงหาความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิดหรือไปพบแพทย์ เพื่อจะได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

ที่มา: Department of Mental Health https://share.google/4syEsPaOu0mogp4hB

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต #ซึมเศร้า

๙ เคล็บลับในการรักษาตัวเอง1. หยุดการตำหนิและพูดเชิงลบกับตัวเอง (stop being self-criticism and negative self-talk)ชำระล้า...
09/11/2025

๙ เคล็บลับในการรักษาตัวเอง

1. หยุดการตำหนิและพูดเชิงลบกับตัวเอง (stop being self-criticism and negative self-talk)

ชำระล้างสิ่งที่คั่งค้างในอดีต หยุดมองสิ่งต่างๆ ร้ายไปล่วงหน้า ฝึกฝนการละวางความกลัวลง

2. ตัดสินใจลุกขึ้นมารับผิดชอบชีวิตตัวเอง (power of action-responsibility)

หยุดกล่าวโทษผู้อื่นหรือเรื่องราว คืนอำนาจการเยียวยาสู่มือของเรา เรียนรู้ เชื่อมั่น แล้วลงมือทำ

3. ฝึกฝนการชื่นชมตัวเอง (praise yourself)

บอกรักตัวเอง เรียกชื่อตัวเอง บอกรักตัวเองสื่อสารคำบวกทรงพลัง โดยมองตาตัวเองหน้ากระจกทุกๆวัน

4. รู้จักให้อภัย (forgiveness)

เปิดใจที่จะให้อภัยทุกผู้คนทุกเรื่องราว รวมถึงให้อภัยตัวเอง ให้อภัยพ่อแม่ หลายรายล้วนแต่มีปมซึ่งต้องฝึกฝนการให้อภัยทั้งสิ้น เรียนรู้จากอดีตและพาตัวเองไปข้างหน้า

5. ฝึกเมตตาและอ่อนโยนต่อตัวเอง (self-com-passion and Kindness)

ไม่กดดันตัวเอง เรามักกดดันบีบคั้นตัวเอง ทำให้สายป่านชีวิตตึงมาก

6. ดูแลร่างกาย จิตใจ ออกกำลังกาย ฝึกสติ สมาธิ (wholeness of body , mind and spirit : peaceful state)

และรู้จักผ่อนคลาย (relaxation) เพื่อปล่อยวางความเครียดให้อยู่ในสภาวะแห่งสันติสุขเสมอ

7. ปฎิสัมพันธ์กับกลุ่มที่เกื้อกูล (connect with powerful groups)

คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพกิจกรรมที่เราทำ กำหนดชะตาชีวิตของเรา ลดการเสพสิ่งที่ทำให้เราคิดลบ หม่นหมอง คบหากับกลุ่มกิจกรรมที่เกื้อกูล จะช่วยทำให้เรามีพลังก้าวเดินไปข้างหน้า (ผู้เขียนเข้าร่วมชุมชน Miracle Morning ทำกิจกรรมยามเช้าร่วมกันเสมอ อบอุ่น ทรงพลังมาก)

8. เรียนรู้และลงมือทำ (humble and learn)

โลกยุคใหม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเปิดใจเรียนรู้พัฒนาศักยภาพในเรื่องต่างๆ จะช่วยพัฒนาและเพิ่มการเห็นคุณค่าในตัวเอง

9. ค้นหาจิตวิญาณของเรา (find your Ikigai) หลายคนมีความทุกข์จากการใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่รู้เจตจำนงในการมีชีวิตอยู่ เมื่อเจออุปสรรคจึงล้มลงง่าย การค้นพบอิคิไกของตัวเองจะทำให้เรามีความนับถือตัวเอง (self-esteem) ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก และสร้างประโยชน์ให้ผู้คน ทุกวันนี้สิ่งที่ผู้เขียนมุ่งมั่นส่งต่อสู่สังคม คือ วิชาความสุข การรักตัวเอง เพราะผู้เขียนเชื่อมั่นว่า...

“การเปิดใจเรียนรู้ พัฒนา ศักยภาพในเรื่องต่างๆ จะช่วยพัฒนาและเพิ่มการเห็นคุณค่าในตัวเอง”

การป้องกันดีกว่าการบำบัดรักษา ความสุข และความซึมเศร้าเป็นสองด้านของเหรียญ เมื่อสุขจะไม่ซึมเศร้า

ที่มา: https://dmh.go.th/news/view.asp?id=2454

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต #รักตัวเอง #เห็นคุณค่า

การหาวเป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติของร่างกายที่บ่งบอกถึงความง่วงหรือความเหนื่อยล้า แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการหาวบ่อยๆ หรือหาวถี่...
06/11/2025

การหาวเป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติของร่างกายที่บ่งบอกถึงความง่วงหรือความเหนื่อยล้า แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการหาวบ่อยๆ หรือหาวถี่ผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนของอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายได้ มาดูกันว่าการหาวที่ดูเหมือนธรรมดามีอะไรที่น่ากังวลบ้าง

⭐️5 อันตรายที่ซ่อนอยู่จากการหาวบ่อยเกินไป

1. ภาวะง่วงนอนมากเกินไปในเวลากลางวัน (Excessive Daytime Sleepiness: EDS)
การหาวเป็นอาการหลักของภาวะนี้ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น:

•โรคนอนไม่หลับ (Insomnia): นอนหลับยาก ตื่นบ่อย หรือหลับไม่สนิท ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ
•ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea): ทางเดินหายใจถูกอุดกั้นเป็นระยะๆ ขณะนอนหลับ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอและต้องตื่นขึ้นมาหายใจเป็นช่วงๆ โดยไม่รู้ตัว ทำให้การนอนไม่มีคุณภาพ
•โรคลมหลับ (Narcolepsy): เป็นโรคทางระบบประสาทที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการหลับและการตื่นได้ ทำให้รู้สึกง่วงนอนอย่างรุนแรงและหลับได้ทุกที่ทุกเวลา

หากปล่อยไว้ ภาวะเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ

2. ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
แม้จะฟังดูไม่เกี่ยวกันโดยตรง แต่มีการศึกษาพบว่าการหาวบ่อยครั้งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ เนื่องจากอาจบ่งชี้ถึง:

•ปัญหาการไหลเวียนโลหิต: การไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่ดีพอ ทำให้ร่างกายพยายามปรับสมดุลด้วยการหาว
•ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน: การหาวที่มาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจถี่ เหงื่อออก และคลื่นไส้ อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหัวใจวายได้

หากคุณมีอาการหาวบ่อยๆ ร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ โดยเฉพาะอาการที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด

3. ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
ยาบางประเภทอาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงซึมและหาวบ่อยขึ้น เช่น:

▪︎ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines): ที่ใช้รักษาอาการแพ้
▪︎ยาในกลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs): ที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้า
▪︎ยารักษาอาการเจ็บปวดบางชนิด

หากคุณสังเกตว่าเริ่มหาวบ่อยขึ้นหลังจากเริ่มใช้ยาตัวใหม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำ

4. ปัญหาเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท
การหาวบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคทางระบบประสาทที่ร้ายแรงได้ เช่น:

•โรคลมชัก (Epilepsy): การหาวที่ผิดปกติอาจเป็นอาการนำก่อนเกิดอาการชัก
•โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis): เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อสมองและไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและหาวบ่อยครั้ง
•ภาวะสมองบวมหรือเนื้องอกในสมอง: ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด การหาวที่ผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงแรงกดดันในสมองที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากภาวะสมองบวมหรือเนื้องอก

5. ปัญหาสุขภาพอื่นๆ
นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การหาวบ่อยๆ ยังอาจเกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพอื่นๆ ได้อีก เช่น:

•โรคเบาหวาน: การหาวที่มากเกินไปอาจเป็นอาการหนึ่งของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
•ปัญหาเกี่ยวกับตับ: การทำงานของตับที่ผิดปกติอาจส่งผลต่อการทำงานของสมองและทำให้ง่วงนอนผิดปกติ
•ภาวะขาดน้ำ (Dehydration): ร่างกายที่ขาดน้ำอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและหาวบ่อยขึ้น

⭐️สรุป
การหาวเป็นเรื่องปกติ แต่การหาวที่มากเกินไปหรือหาวผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย หากคุณสังเกตว่าตัวเองหาวบ่อยจนผิดปกติ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เหนื่อยล้าผิดปกติ หายใจไม่สะดวก หรือรู้สึกไม่สบายตัว ไม่ควรละเลยและควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง การรู้เท่าทันและรีบเข้ารับการวินิจฉัยจะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่ถูกต้องและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

ที่มา: อย่ามองข้าม! 5 อันตรายที่ซ่อนอยู่จากการหาวบ่อยเกินไป https://share.google/BjxnVhsvYBBQF9qda

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A vs B ต่างกันอย่างไร? ความรุนแรงและการกลายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติด...
02/11/2025

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A vs B ต่างกันอย่างไร? ความรุนแรงและการกลายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัส ซึ่งสายพันธุ์หลักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ สายพันธุ์ B แม้ว่าจะมีอาการที่คล้ายคลึงกัน แต่ความแตกต่างทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการระบาดของทั้งสองสายพันธุ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ความแตกต่างดังกล่าวส่งผลต่อระดับความรุนแรง การกลายพันธุ์ และศักยภาพในการก่อโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก ดังนั้นการทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B จึงมีความสำคัญในการเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับวัคซีนป้องกัน

⭐️รายละเอียดอาการและภาวะแทรกซ้อน
แม้ว่าอาการเริ่มต้นของทั้งสองสายพันธุ์จะคล้ายกัน เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย แต่ก็มีความแตกต่างในรายละเอียดของอาการ

▪︎อาการของสายพันธุ์ A
•มักมีอาการไข้สูงขึ้นอย่างรุนแรงและเฉียบพลันกว่า
•ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วร่างกายมาก
•มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ ได้สูงกว่า

▪︎อาการของสายพันธุ์ B
•อาการมักค่อย ๆ ปรากฏ ไม่รุนแรงทันทีเหมือนสายพันธุ์ A
•มีไข้ในระดับปานกลาง
•อาจมีอาการน้ำตาไหล หรือตาแดงร่วมด้วยได้

⭐️ความสำคัญของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
เนื่องจากไข้หวัดใหญ่ทั้งสายพันธุ์ A และ B มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว การฉีดวัคซีนจึงเป็นมาตรการสำคัญที่สุดในการป้องกัน เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่กลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ความรุนแรงของเชื้อเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่ใช้ในปัจจุบันจึงเป็นแบบ 3 หรือ 4 สายพันธุ์ (Trivalent/Quadrivalent) ซึ่งจะครอบคลุมไวรัสหลัก ๆ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ชนิด H1N1, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ชนิด H3N2, และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (อย่างน้อย 1-2 สายตระกูล)

สรุป
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความรุนแรงและมีศักยภาพในการกลายพันธุ์ รวมถึงการระบาดใหญ่ได้มากกว่าสายพันธุ์ B แต่ทั้งสองสายพันธุ์ก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีจึงเป็นมาตรการที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของการป่วยหนัก การแพร่ระบาด และการเสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้งสองสายพันธุ์

ที่มา: ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ B ต่างกันยังไง? สายพันธุ์ไหนอันตรายมากกว่า https://share.google/PrnkVmbJL4v417FBi

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช

⭐️8 ผลเสียร้ายแรง! การขยี้ตาบ่อย ทำลายดวงตาและเร่งให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยการขยี้ตาเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติเมื่อเรารู้สึกคัน ...
31/10/2025

⭐️8 ผลเสียร้ายแรง! การขยี้ตาบ่อย ทำลายดวงตาและเร่งให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
การขยี้ตาเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติเมื่อเรารู้สึกคัน ระคายเคือง หรือเมื่อยล้าดวงตา แต่หลายคนอาจมองข้ามว่าการกระทำนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แท้จริงแล้ว การขยี้ตาบ่อยครั้งหรือรุนแรง สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสุขภาพดวงตาและผิวรอบดวงตาได้อย่างคาดไม่ถึง ตั้งแต่ปัญหาสุขภาพไปจนถึงความสวยงาม

ผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างดวงตา
การใช้แรงกดบนดวงตาซ้ำๆ เป็นประจำ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างที่บอบบางของดวงตา ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง

1. ทำลายกระจกตาและก่อให้เกิดโรคกระจกตาโป่งพอง (Keratoconus)
การขยี้ตาด้วยแรงที่มากเกินไปและต่อเนื่องในระยะยาว คือสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกระจกตา กระจกตาอาจอ่อนแอลงและโป่งนูนออกมาคล้ายรูปกรวย ซึ่งเรียกว่าภาวะกระจกตาโป่งพอง ทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นอย่างรุนแรง เช่น สายตาเอียงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และเป็นอันตรายต่อดวงตาในระยะยาว

2. เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
มือของเราเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและสิ่งสกปรก เมื่อเราขยี้ตา เชื้อโรคเหล่านั้นจะถูกถ่ายโอนเข้าสู่ดวงตาโดยตรง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ตาอย่างมาก เช่น ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ หรือแม้แต่การเกิดตากุ้งยิง ดังนั้นจึงควรระวังการขยี้ตาเมื่อมือไม่สะอาด

3. กระตุ้นอาการภูมิแพ้และระคายเคือง
แม้ว่าการขยี้ตาจะรู้สึกเหมือนเป็นการบรรเทาอาการคัน แต่ในความเป็นจริง การขยี้ตาจะไปกระตุ้นให้เซลล์ภูมิคุ้มกันปล่อยสารฮิสตามีน (Histamine) ออกมามากขึ้น ทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดอาการคันและบวมแดงแย่ลง และเข้าสู่วัฏจักรที่ต้องขยี้ตามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่จบสิ้น

4. ทำลายเส้นเลือดฝอยใต้เยื่อบุตา
แรงกดจากการขยี้ตาสามารถทำให้เส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ใต้เยื่อบุตาแตก ซึ่งส่งผลให้เกิด เลือดออกใต้เยื่อบุตา (Subconjunctival Hemorrhage) ทำให้ตาขาวมีรอยแดงเป็นปื้น แม้ว่าอาการนี้จะไม่อันตรายร้ายแรง แต่ก็อาจทำให้เสียบุคลิกภาพ และต้องใช้เวลาหลายวันกว่ารอยแดงจะหายไปเองตามธรรมชาติ

5. เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะต้อหิน (Glaucoma)
ในบางราย การขยี้ตาอย่างรุนแรงและบ่อยครั้ง อาจไปเพิ่มความดันลูกตาได้ชั่วคราว หากทำบ่อยครั้งอาจส่งผลกระทบต่อประสาทตาและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต้อหิน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการตาบอดถาวรที่ควรต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

ผลเสียต่อความงามและผิวพรรณรอบดวงตา
นอกจากผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาโดยตรงแล้ว การขยี้ตายังส่งผลต่อความสวยงามและเร่งให้เกิดปัญหาผิวพรรณรอบดวงตาอีกด้วย

6. ทำให้หนังตาหย่อนคล้อยและเกิดตาปรือ
การขยี้ตาซ้ำ ๆ เป็นประจำจะทำให้กล้ามเนื้อและเอ็นบริเวณที่ยกเปลือกตาบนอ่อนแอลงหรือยืดออก ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะ หนังตาหย่อนคล้อย (Ptosis) ทำให้ดวงตาดูเล็กลง ดูเหมือนง่วงนอนตลอดเวลา หรืออาจบดบังการมองเห็นได้บางส่วน

7. เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย
ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีความบางมากและสร้างคอลลาเจนได้น้อย การถู ไถ หรือดึงผิวหนังซ้ำ ๆ ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เป็นการเร่งให้เกิด ริ้วรอยเหี่ยวย่นและตีนกา บริเวณหางตาได้อย่างชัดเจน

8. ทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา
การขยี้ตาทำให้เกิดการอักเสบและการไหลเวียนของเลือดบริเวณรอบดวงตาไม่สะดวก เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหนังบริเวณนี้จะเกิดรอยคล้ำและคล้ำเสียได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมของใบหน้า ทำให้ดูไม่สดใส

⭐️วิธีบรรเทาอาการคันและเลิกนิสัยขยี้ตา

เพื่อรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีในระยะยาว การหยุดนิสัยการขยี้ตาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรเปลี่ยนไปใช้วิธีบรรเทาอาการคันที่ถูกต้องแทน

•ประคบเย็น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบบริเวณดวงตาเบา ๆ เพื่อช่วยลดอาการคันและบวม
•ใช้ยาหยอดตา: หากมีอาการตาแห้งหรือระคายเคือง ให้ใช้น้ำตาเทียม หรือหากเกิดจากภูมิแพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาหยอดตาแก้แพ้
•ล้างมือให้สะอาด: หากจำเป็นต้องสัมผัสดวงตาจริง ๆ ให้มั่นใจว่าได้ล้างมือด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที เพื่อป้องกันเชื้อโรค
•พักสายตา: หากอาการคันเกิดจากความเมื่อยล้าจากการใช้สายตา ควรหยุดพักสายตา 5-10 นาที โดยการมองออกไปไกล ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา

ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางและมีความสำคัญอย่างยิ่ง การขยี้ตาบ่อยครั้งเป็นนิสัยที่ส่งผลเสียร้ายแรงได้ทั้งต่อสุขภาพกายและความสวยงาม จึงควรหลีกเลี่ยงและหันมาใช้วิธีที่เหมาะสมในการดูแลรักษาความสะอาดและบรรเทาอาการระคายเคืองของดวงตาแทน เพื่อรักษาดวงตาคู่สำคัญนี้ไว้ในระยะยาว

ที่มา: ผลเสียจากการ "ขยี้ตา" ภัยเงียบที่ทำร้ายดวงตา ที่คุณอาจไม่เคยรู้ https://share.google/UoZPbHnsmS8KbIcf3

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพกาย

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ #ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง...
30/10/2025

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช

ร่างกายของเราเป็นเครื่องจักรที่น่าอัศจรรย์ซึ่งทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน แต่น้อยครั้งที่เราจ...
26/10/2025

ร่างกายของเราเป็นเครื่องจักรที่น่าอัศจรรย์ซึ่งทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน แต่น้อยครั้งที่เราจะหยุดฟังเสียงของอวัยวะภายในที่กำลังส่งสัญญาณเตือนหรือร้องขอการดูแล ลองจินตนาการดูว่า หากวันหนึ่งอวัยวะเหล่านี้สามารถพูดคุยกับเราได้ พวกเขาจะบอกอะไรกับเราบ้าง บทความนี้จะพาคุณไปเงี่ยหูฟัง "เสียงกระซิบ" จากอวัยวะสำคัญ เพื่อให้เราหันกลับมาใส่ใจดูแลสุขภาพองค์รวมให้ดียิ่งขึ้น

⭐️เสียงกระซิบจากอวัยวะภายใน: 6 อวัยวะสำคัญอยากบอกอะไรกับคุณบ้าง?
ร่างกายของเราสื่อสารกับเราอยู่เสมอผ่านอาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด หรือความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้น เพียงแต่เราอาจจะละเลยหรือไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสัญญาณเหล่านั้น การสวมบทบาทสมมติว่าอวัยวะต่าง ๆ พูดได้ จะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของร่างกายและตระหนักถึงผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

⭐️เสียงจากอวัยวะสำคัญ: พวกเขาอยากบอกอะไร?
สมอง: ขอเวลาให้ฉันได้พักและจัดระเบียบเสียบ้าง
สมองทำงานหนักตลอดเวลา ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และยังรับข้อมูลไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งวัน สิ่งที่สมองต้องการคือการพักผ่อนอย่างเต็มที่ในตอนกลางคืน เพราะการนอนหลับที่มีคุณภาพจะช่วยให้สมองได้จัดระเบียบความทรงจำ กำจัดของเสีย และเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่ได้อย่างสดใส นอกจากนี้ ควรหาเวลาทำสมาธิหรือกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เพื่อลดความเครียดที่ถาโถมเข้ามา

หัวใจ: ช่วยขยับร่างกายหน่อย ฉันจะได้แข็งแรง
หัวใจคือเครื่องปั๊มเลือดที่ทำงานโดยไม่มีวันหยุด เพื่อส่งออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย แต่การนั่งนิ่ง ๆ เป็นเวลานาน ทำให้หัวใจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หัวใจจึงอยากขอให้คุณลุกขึ้นมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ ได้โปรดลดอาหารเค็ม ๆ มัน ๆ ลงบ้าง เพราะสิ่งเหล่านั้นคือภาระหนักที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักเกินไป

ปอด: ขออากาศบริสุทธิ์ให้ฉันได้หายใจเต็มที่ได้ไหม
ทุกครั้งที่ร่างกายสูดควันพิษเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นควันบุหรี่ ฝุ่น PM2.5 หรือมลภาวะต่าง ๆ มันเหมือนกับการส่งผู้ร้ายเข้ามาทำลายปอดโดยตรง ปอดต้องการอากาศที่สะอาดและบริสุทธิ์เพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนให้ร่างกายมีชีวิตชีวา หากเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับมลภาวะ ก็ควรป้องกันด้วยการใส่หน้ากากอนามัย และหาโอกาสไปพักผ่อนในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์บ้าง

กระเพาะอาหารและลำไส้: ได้โปรดกินให้เป็นเวลา
การกินอาหารไม่ตรงเวลาทำให้ระบบย่อยอาหารต้องปั่นป่วนกับการหลั่งน้ำย่อยออกมาเก้อ เมื่อถึงเวลากิน เธอกลับรีบเร่งเคี้ยวไม่ละเอียด หรือกินอาหารที่ย่อยยากและไม่มีประโยชน์ ทำให้ระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนักมากเกินไป ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงอย่างผักผลไม้ เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และอย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำคือตัวช่วยสำคัญในทุกกระบวนการ

ตับ: อย่าส่งสารพิษมาให้ฉันกำจัดมากเกินไปเลย
ตับเปรียบเสมือนโรงงานกำจัดของเสียของร่างกาย ทุกครั้งที่ดื่มแอลกอฮอล์ กินยาเกินความจำเป็น หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและผ่านการแปรรูปมาก ๆ ภาระหนักจะตกมาอยู่ที่ตับ แม้ตับจะแข็งแกร่งและฟื้นฟูตัวเองได้ แต่หากใช้งานหนักเกินไปเรื่อย ๆ สักวันตับอาจจะป่วยและไม่สามารถทำงานให้ร่างกายได้เหมือนเดิม

ดวงตา: พักสายตาจากหน้าจอบ้างนะ
ดวงตาทนกับความน่าสนใจของโลกในจอทั้งสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ แต่การจ้องมองแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ตาแห้งและเมื่อยล้าเหลือเกิน ควรพักสายตาทุก ๆ 20 นาที ด้วยการมองไปไกล ๆ สัก 20 วินาที และกะพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อให้น้ำตามาหล่อเลี้ยง ดวงตาอยากทำหน้าที่ให้คุณได้มองเห็นความสวยงามของโลกใบนี้ไปตราบนานเท่านาน

บทสรุป: ถึงเวลาฟังเสียงร่างกายของคุณ
แม้ในความเป็นจริงอวัยวะต่าง ๆ จะไม่สามารถพูดกับเราได้ แต่ "อาการ" ที่ร่างกายแสดงออกมาคือรูปแบบการสื่อสารที่สำคัญที่สุด การปวดหัวเรื้อรัง อาการอ่อนเพลีย ท้องอืด หรือแม้แต่ความรู้สึกไม่สดชื่น ล้วนเป็น "เสียง" ที่ร่างกายพยายามจะบอกเราว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้น แทนที่จะรอให้ร่างกายประท้วงจนเจ็บป่วย ลองเริ่มต้นเป็น "ผู้ฟังที่ดี" ตั้งแต่วันนี้ ใส่ใจกับอาหารที่รับประทาน ขยับร่างกายให้มากขึ้น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม การดูแลเอาใจใส่อวัยวะทุกส่วนก็เหมือนกับการขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่ทำงานหนักเพื่อเรามาทั้งชีวิต เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่กับเราและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไปอีกนานแสนนาน

ที่มา : ถ้าอวัยวะในร่างกายพูดได้ คุณจะได้ยินเสียงเรียกร้องอะไรจากพวกเขาบ้าง? https://share.google/QqpbjC3jHDbWclB1R

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต #สุขภาพกาย

คุณเคยฝันว่าตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ต่อมาพบว่าตัวเองยังอยู่ในฝันอยู่หรือเปล่า? หากใช่ นั่นคือประสบการณ์ ฝันซ้อนฝัน ปรากฏการณ์ท...
25/10/2025

คุณเคยฝันว่าตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ต่อมาพบว่าตัวเองยังอยู่ในฝันอยู่หรือเปล่า? หากใช่ นั่นคือประสบการณ์ ฝันซ้อนฝัน ปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงกับการทำงานของสมอง ความเครียด และจิตใต้สำนึก บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความฝันในฝันอย่างละเอียด

⭐️ฝันซ้อนฝัน คืออะไร?
ฝันซ้อนฝัน (Nested Dream) คือภาวะที่ผู้ฝันคิดว่าตัวเองตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ความจริงแล้วยังฝันอยู่ ซึ่งอาจเกิดซ้อนหลายชั้นได้ โดยผู้ฝันจะรู้สึกถึงความสมจริงมากจนแยกไม่ออกว่าอยู่ในฝันหรือความจริง

เกิดจากการที่สมองอยู่ในช่วง REM Sleep (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นช่วงที่ฝันชัดที่สุด ความฝันในชั้นลึกจะค่อย ๆ พัฒนาเป็นฝันในฝัน โดยผู้ฝันจะตื่นอยู่ในฝัน และฝันอีกที

⭐️ทำไมฝันซ้อนฝันจึงเกิดขึ้น?
•การทำงานของสมองระหว่างการนอน
สมองยังคงประมวลผลข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ความกังวล หรือประสบการณ์ในแต่ละวัน

•การนอนหลับไม่สนิท หรือถูกรบกวน อาจทำให้วงจรการหลับ REM ผิดปกติ ส่งผลให้ฝันซ้อน

•ความเหนื่อยล้าสะสม ทำให้จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกทำงานซ้อนทับกัน จนเกิดภาพจำลองหลอกสมองว่า “ตื่น” แล้ว

⭐️จิตใต้สำนึกพยายามสื่อสาร
ฝันซ้อนฝัน มักเป็นสัญญาณว่ามีเรื่องบางอย่างที่คุณยัง “ไม่ยอมรับ” หรือ “ยังไม่เข้าใจ”

•ความกลัวที่ไม่ได้รับการจัดการ เช่น กลัวความล้มเหลว กลัวการเปลี่ยนแปลง

•ความคิดวนลูป เช่น ปัญหาที่แก้ไม่ตก หรือภาระใจ

•ความพยายามหนีความจริง เช่น ความรู้สึกผิด ความสูญเสีย

⭐️ฝันซ้อนฝัน ต่างจาก Lucid Dream อย่างไร?
ฝันซ้อนฝัน คือการฝันอยู่หลายชั้น โดยที่ผู้ฝัน "ไม่รู้" ว่ากำลังฝัน ในขณะที่ Lucid Dream คือภาวะที่ผู้ฝัน "รู้ตัว" ว่ากำลังฝัน

อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีภาวะ "ฝันซ้อน + Lucid" ร่วมกันได้ เช่น ฝันว่าตื่น แล้วค่อย ๆ รู้ตัวว่าฝันอยู่ และควบคุมฝันนั้นได้

⭐️ความเชื่อเกี่ยวกับฝันซ้อนฝัน
ในบางวัฒนธรรม ฝันซ้อนฝันมีความหมายเฉพาะ เช่น

จีน: เชื่อว่าเป็นสัญญาณของพลังงานหยิน-หยางที่ยังไม่สมดุล
ตะวันตก: มองว่าเป็นกลไกปกป้องจิตใจ จากความรู้สึกที่รับไม่ไหวในชีวิตจริง

ทิเบต: เชื่อว่าเป็นการเดินทางของจิตวิญญาณที่ยังไม่กลับร่าง

⭐️หากฝันซ้อนฝันบ่อย ควรทำอย่างไร?
•ปรับคุณภาพการนอน
•นอนให้เพียงพอ (7–9 ชั่วโมงต่อคืน)
•หลีกเลี่ยงแสงสีฟ้า ก่อนนอน 1 ชั่วโมง
•หยุดคิดเรื่องเครียดหรือทำงานก่อนนอน

⭐️จดบันทึกความฝัน (Dream Journal)
•บันทึกทุกครั้งที่ตื่น เพื่อถอดรหัสว่าฝันสะท้อนอะไร
•ลองสังเกตรูปแบบ เช่น ฝันวนลูปเรื่องเดิม ฝันเกี่ยวกับคนบางคนบ่อย ๆ

⭐️ฝึกสมาธิหรือสติรู้ตัว (Mindfulness)
•ลดภาวะคิดฟุ้งซ่าน
•ทำให้สมองได้ “พักจริง” ไม่คิดวนขณะนอนหลับ

⭐️ฝันซ้อนฝัน บอกอะไรในชีวิตจริง?
•ฝันซ้อนฝัน มักเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้:
•คุณกำลัง "หลงทาง" หรือไม่มั่นใจในชีวิต
•คุณยัง "ติดอยู่กับอดีต" หรือเหตุการณ์ที่ค้างคา
•คุณรู้สึกว่า “ไม่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้”

มันอาจเป็นเสียงเตือนจากภายในว่าคุณควรหยุดและทบทวนจิตใจ

ฝันซ้อนฝัน คือการเปิดประตูสู่จิตใต้สำนึก ที่สะท้อนถึงความคิด ความรู้สึก และสภาพจิตใจของคุณอย่างแท้จริง แม้จะดูแปลกหรือชวนสับสน แต่หากคุณเข้าใจมัน ก็สามารถใช้ฝันเหล่านี้เป็นเครื่องมือพัฒนาตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง

ที่มา: ฝันซ้อนฝัน คืออะไร? ถอดรหัสปรากฏการณ์ที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก https://share.google/iIywHtc7VBXWs6u4W

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต

ที่อยู่

อาคารตั้งฮั่วปัก ชั้น3J หัวลำโพง (MRTหัวลำโพง ทางออก1)
Bangkok
10500

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 22:00
อังคาร 08:00 - 22:00
พุธ 08:00 - 22:00
พฤหัสบดี 08:00 - 22:00
ศุกร์ 08:00 - 22:00
เสาร์ 08:00 - 22:00
อาทิตย์ 08:00 - 22:00

เบอร์โทรศัพท์

+66649945499

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talkผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram