GoodLiveลดน้ำหนักผอมเพรียวสลายไขมัน

GoodLiveลดน้ำหนักผอมเพรียวสลายไขมัน จำหน่ายผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมและความ


จุดเริ่มต้นของผู้หญิงหุ่นดี
Facebook : http://bit.ly/GooDLivefb
ดูสินค้า สั่งซื้อสินค้าได้ที่
http://bit.ly/GooDLiveshop
มาพูดคุยและรับอาหารสมองดีๆแบบนี้ได้ที่
Line@ : ที่ LINE หรือ LINE@ (กรุณาใส่ "@" ด้วย) แล้วเพิ่มเป็นเพื่อนของคุณ
http://bit.ly/GoodLiveline

ราสเบอร์รี่ คีโตน คืออะไร ? ราสเบอร์รี่คีโตน เป็นสารประกอบฟีนอลธรรมชาติที่เป็นสารหอมหลักของราสเบอร์รี่สีแดง โดยจะใช้ในกา...
31/03/2016

ราสเบอร์รี่ คีโตน คืออะไร ?
ราสเบอร์รี่คีโตน เป็นสารประกอบฟีนอลธรรมชาติที่เป็นสารหอมหลักของราสเบอร์รี่สีแดง โดยจะใช้ในการผลิตน้ำหอมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเป็นอาหารเสริมเพื่อปรับแต่งกลิ่นผลไม้
♥ คุณประโยชน์ ของราสเบอร์รี่ คีโตน ♥
สารนี้ควบคุมโปรตีนที่อยู่ในร่างกายเพื่อ เร่งการเผาผลาญ (เมตาบอลึซึม)และลดขนาดเซลล์
ไขมัน ช่วยเผาผลาญไขมันได้โดยไม่ต้องควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกาย
ช่วยเหนี่ยวนำเอ็นไซม์ไลเปส ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกินให้เป็นพลังงาน
สลายไขมัน ตามส่วนต่างของร่างกาย เช่น หน้าท้อง สะโพก แขน ขา ให้กระชับและเฟริมขึ้น
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant)ช่วยรักษาเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
ป้องกันไม่ให้เกิดการเพิ่มขึ้นของไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
เป็นสารชลอการชรา (Anti-aging)
ลดความอยากอาหาร ปลอดภัย 100% ไม่มีผลข้างเคียง
ลักษณะการทำงานของราสเบอร์รี่ คีโตน แบ่งเป็น 2 ส่วน
♥ ระดับเซลล์ ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันส่วนเกินให้เป็นพลังงานภายในเซลล์เพิ่มขึ้น จึงทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เมื่อไขมันแตกตัวเส้นเลือดฝอยก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ(สลายไขมันในเซลล์)
♥ ระดับร่างกาย จะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินลดการสะสมของไขมัน ช่วยควบคุมน้ำหนักโดยไม่มีผลข้างเคียง และไม่ก่อให้เกิดโยโย่เอฟเฟ็ค
ปกติเราจะทานแป้ง( คาร์โบไฮเดรท)เป็นหลัก
ร่างกายเราก็จะแปลงคาร์โบไฮเดรตเหล่านี้ไปยังโมเลกุลของน้ำตาลกลูโคสที่สามารถประมวลผลโดยร่างกายเพื่อไปสร้างพลังงานที่จำเป็นในการใช้พลังงานของระบบร่างกาย แต่ที่สำคัญ **ถ้าน้ำตาลกลูโคสไม่ได้แปลงเป็นพลังงาน ก็จะถูกเก็บสะสมในรูปไขมัน และก่อให้เกิดโรคอ้วนค่ะ.....

African Mango จากดินแดนเแอฟริกา เป็นผลไม้ประหลาดที่เมื่อสกัดออกมาแล้ว จะได้สารอาหารที่สามารถเร่งกระบวนการเผาผลาญได้รวดเร...
31/03/2016

African Mango จากดินแดนเแอฟริกา เป็นผลไม้ประหลาดที่เมื่อสกัดออกมาแล้ว จะได้สารอาหารที่สามารถเร่งกระบวนการเผาผลาญได้รวดเร็ว สามารถสลายไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย ช่วยเร่งอัตราการสลายไขมันโดยเพิ่มการดูดซึมไขมัน นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์มาก ช่วยลดCellulite เร่งสลายไขมันที่สะสมในชั้นผิว สารสกัดจากพืชธรรมชาติบริสุทธิ์ สามารถลดความหิวโดยการให้ความรู้สึกอิ่มทำให้อยากอาหารน้อยลง
African Mango ช่วยเพิ่มการเผาผลาญของร่างกาย และยังเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ทำให้ไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร "Lipids in Health and Disease" เกี่ยวกับการศึกษาผลของ African Mango ทดสอบจากคน 120 คน ซึ่งเป็นโรคอ้วน แยกระหว่างผู้ได้รับยาจริงและยาหลอก โดยให้ทานยาวันละ 2 ครั้ง พบว่าผู้ที่ทาน African Mango มีขนาดรอบเอวลดลง หน้าท้องแบนราบ ช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินได้เป็นอย่างดี และ African Mango ยังได้รับการยอมรับจากทางการแพทย์ว่า การทาน African Mango สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย
African Mango: ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมัน ในร่างกาย และสามารถทำงานได้สองหน้าที่พร้อมกันคือลดการย่อยและการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรตอย่างง่ายและเสริมสร้างเมตาบอลิซึมของร่างกายเพิ่มการเผาผลาญอาหาร เพื่อที่จะจำกัดการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันสะสม
จุดเด่นของ African Mango
ลดความอ้วน
ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันในร่างกาย
เพิ่มการออกซิเดชั่นไขมัน
ลดการย่อยและการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรต
เสริมสร้างเมตาบอลิซึมของร่างกายเพิ่มการเผาผลาญอาหาร
ต่อสู้ความเมื่อยล้า
เพิ่มพลังงาน
การนำ African Mango ไปใช้สำหรับการควบคุมน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย เร่งการเผาผลาญไขมันในเซลล์ร่างกาย และเพิ่มการดูดซึมการนำไขมันไปใช้ให้เร็วขึ้น เพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการลดน้ำหนัก มักมีการนำ African Mango ไปใช้ควบคู่กับ Raspberry Ketones เพราะราสเบอร์รี่คีโตน จะเป็นตัวดักจับไขมันและทำให้ไขมันในร่างกายถูกนำมารวมตัวกันเพื่อจะถูกขับออกในรูปแบบของเสีย ซึ่งคุณสมบัติของราสเบอร์รี่คีโตนจะรวมตัวกันจับโมเลกุลของไขมัน และทำให้ไขมันจับตัวเป็นก้อนใหญ่ การที่เรานำแอฟริกันแมงโก้มาใช้ร่วมกับ Raspberry Ketones ในขนาดที่แนะนำจะทำให้ประสิทธิภาพการควบคุมน้ำหนักการลดไขมันเฉพาะส่วนสำหรับผู้ที่มีปัญหาว่าลดยาก ทานจุกจิก หิวบ่อย ทำได้ดีกว่า ที่สำคัญรายงานการวิจัยทางการแพทย์ต่างยอมรับการใช้แอฟริกันแมงโก้ในการลดน้ำหนัก ว่าไม่มีผลอันตรายที่น่ากลัวแต่อย่างไรเพราะนี่คือสารสกัดจากผลไม้ธรรมชาติแบบ 100 %เต็มจึงปราศจากการเกิดโยโย่เอฟเฟ็คตามมา สำหรับในรายที่หยุดรับประทาน

31/03/2016
โอนล้าววว 3กระปุกจากสวีเดน
31/03/2016

โอนล้าววว 3กระปุกจากสวีเดน

9 โรคที่เกิดจากห้องแอร์ ยิ่งอยู่นานๆ ยิ่งเพิ่มโอกาสป่วยโรคที่เกิดจากห้องแอร์ เสี่ยงเป็นทั้งภูมิแพ้ โรคระบบทางเดินหายใจ ห...
30/03/2016

9 โรคที่เกิดจากห้องแอร์ ยิ่งอยู่นานๆ ยิ่งเพิ่มโอกาสป่วย
โรคที่เกิดจากห้องแอร์ เสี่ยงเป็นทั้งภูมิแพ้ โรคระบบทางเดินหายใจ หรือแม้แต่ทำให้อ้วนขึ้นก็ยังได้ !
อากาศร้อนทำให้ทุกคนอยากอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ ด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะเหล่าพนักงานออฟฟิศหรือตามห้างร้าน ที่ต้องปฏิบัติงานในที่ที่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้ตลอดเวลา รู้ตัวไหมว่าทุกวินาทีที่เราอยู่ในห้องแอร์ อาจทำให้เราเสี่ยงต่อโรคและอาการดังต่อไปนี้ได้
1. โรคทางเดินหายใจ
นพ.อิทธิชัย วัชรีคุปต์ แพทย์สาขาอายุรกรรมทั่วไป แผนกประกันสังคม รพ.กล้วยน้ำไท 1 ออกโรงเตือนว่า ด้านในโพรงจมูกของคนเรามีเส้นเลือดแดงขนาดเล็ก และผนังบางจำนวนมากเพื่อทำหน้าที่ปรับอากาศที่เย็น หรือแห้งจากภายนอกให้มีความอบอุ่นและความชื้นเหมาะสมกับอุณหภูมิของร่างกาย
แต่ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็น โดยเฉพาะหากมีอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส เซลล์ต่าง ๆ อย่างเซลล์เยื่อบุโพรงจมูก คอ หลอดลม ฯลฯ จะแห้งลงกว่าเดิม ทำให้ไม่มีเมือกมาป้องกันเซลล์จากเชื้อโรค เชื้อโรคจึงสัมผัสกับเซลล์ได้โดยตรง โดยเฉพาะอากาศที่เย็น เพราะเครื่องปรับอากาศและไม่มีการถ่ายเทภายในห้อง เชื้อไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดีมากเป็นพิเศษ ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ก่อให้เกิดโรคหวัด ภูมิแพ้ คัดจมูก แสบจมูก หรือเกิดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจได้
2. โรคลีเจียนแนร์
โรคติดเชื้อแบคทีเรียเฉียบพลัน โดยมีเชื้อลีเจียนแนร์ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบในเครื่องปรับอากาศเป็นต้นเหตุ ก่อให้เกิดอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และปวดศีรษะ โดยอาการจะรุนแรงขึ้นภายในหนึ่งวัน ผู้ป่วยอาจมีไข้สูงประมาณ 39 องศาเซลเซียส มีอาการไอแห้ง ๆ ปวดท้อง หรือบางรายมีอาการท้องร่วงร่วมด้วย
โดยแบคทีเรียลีเจียนแนร์มักจะแฝงตัวมากับอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ ยิ่งหากอยู่ในห้องที่มีความอับชื้นสูงอย่างห้องปรับอากาศ โดยที่เครื่องปรับอากาศก็ไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม เจ้าเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อาจจู่โจมร่างกายเราได้ง่ายขึ้น เป็นต้นเหตุของอาการปอดอักเสบ หรือปอดมีจุดขาว ๆ ที่หากลามไปกินเนื้อปอดทั้งสองข้างก็อาจนำมาซึ่งภาวะการหายใจล้มเหลวได้
3. โรคไข้ปอนเตียก
โรคนี้ไม่ใช่โรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายแสดงปฏิกิริยาต่อแอนติเจนที่สูดหายใจเข้าไป ซึ่งแม้จะไม่ก่อให้เกิดอาการปอดบวม แต่หากปล่อยให้อากาศปนเชื้อโรคจากแอร์เข้ามาทำให้ป่วย บอกเลยว่าคงต้องทนไม่สบายกายไปประมาณ 2-5 วัน แล้วจากนั้นอาการจะค่อย ๆ หายไปได้เอง
4. โรคจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา
ไม่ว่าจะเป็นวัณโรค อีสุกอีใส หืดหอบ ปอดบวม หรือหัดเยอรมัน โรคต่าง ๆ เหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากอากาศที่ผ่านช่องแอร์มาก็ได้ เพราะในเครื่องปรับอากาศมีเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อราอยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไร อีกทั้งเมื่อเปิดแอร์ก็มักจะต้องปิดหน้าต่างและประตู ซึ่งอาจทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เชื้อโรคต่าง ๆ ที่แฝงมากับแอร์เย็น ๆ เลยวนเวียนอยู่กับเราได้อย่างสบายใจเฉิบ
5. ผื่นแพ้ ผิวหนังอักเสบ
แม้เครื่องปรับอากาศจะทำให้คลายร้อนลงได้ แต่อย่าลืมว่าแอร์ยังแฝงไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ที่ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อสุขภาพแทบทั้งสิ้น อีกทั้งในสภาพอากาศเย็น ๆ ก็ย่อมเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคอยู่แล้ว
โดยเฉพาะหากเปิดแอร์แล้วได้กลิ่บอับ นั่นแปลได้ว่าเครื่องปรับอากาศของคุณมีเชื้ออันตรายแฝงอยู่มากจนล้นออกมาแสดงตัวด้วยกลิ่น นอกจากจะเสี่ยงโรคทางเดินหายใจแล้ว อากาศเย็น ๆ ปนเชื้อโรคจากแอร์ที่มาโลมเลียผิวกาย อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคผิวหนังอักเสบและผื่นคันได้ด้วย
6. โรคตึกเป็นพิษ
อากาศเย็น ๆ ที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศก็อาจก่อให้เกิดโรคตึกเป็นพิษ หรือ Sick Building Syndrome (SBS) ได้ โดยเฉพาะหากในอาคารนั้นมีกลิ่นแปลกปลอมอื่น ๆ เช่น สารระเหยจากสีทาผนัง เครื่องซีร็อกซ์ พรินเตอร์ ไม้อัด สารเคลือบเงาทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งไรฝุ่นในพรมรวมอยู่ด้วย ก็อาจทำให้เกิดอาการอ่อนล้า ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ คัดจมูก ไอ จาม เกิดผดผื่นคัน ระคายเคืองดวงตา และมีความผิดปกติของประสาทรับกลิ่นขึ้นมาได้
นอกจากนี้การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Epidemiology เมื่อปี 2004 ยังชี้ชัดว่า คนที่ทำงานในห้องแอร์มีความเสี่ยงต่ออาการป่วยสูงกว่าคนที่ทำงานกลางแจ้งไม่น้อยเลยทีเดียว
7. ภาวะติดเชื้อ
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (The Environmental Protection Agency : EPA) เผยข้อมูลที่น่าตกใจมาว่า จริง ๆ แล้วอากาศภายในห้องแอร์อาจเป็นมลพิษมากกว่าอากาศภายนอกหลายเท่าตัว เนื่องจากเครื่องปรับอากาศจะหมุนเวียนอากาศภายในห้องมาเป็นลมเย็น ๆ ซึ่งเท่ากับว่าในห้องแอร์นั้น ๆ ไม่ได้มีอากาศถ่ายเทจากที่ไหนเลย
ดังนั้นร่างกายของคนที่อยู่ในห้องแอร์ ยิ่งกับคนที่อยู่ในห้องแอร์นาน ๆ ก็เสี่ยงจะติดเชื้อโรคที่ไหลเวียนอยู่ทั้งในห้องและเครื่องปรับอากาศได้มากขึ้น มีแนวโน้มจะเกิดอาการติดเชื้อได้มากกว่าคนที่อยู่กลางแจ้ง โดยเฉพาะกับคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือไม่ได้ค่อยได้ออกกำลังกายอยู่แล้ว
8. ผิวแห้ง
การอยู่ในห้องปรับอากาศจะทำให้เราสูญเสียน้ำในร่างกายมากขึ้น เนื่องจากความเย็นจะทำให้อากาศแห้ง ดังนั้นหากอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ โอกาสที่ผิวจะแห้งกร้านและก่อให้เกิดอาการคันก็จะมากขึ้นไปด้วย ซึ่งหากมีอาการคันแล้วไม่เกาก็อาจไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไร ทว่าหากรู้สึกคันจากการที่ผิวแห้งตึงและเกาจนผิวมีรอยถลอก แบบนี้โอกาสติดเชื้อทางผิวหนังก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวนะจ๊ะ
9. อ้วนขึ้น
งานวิจัยจาก University of Alabama รัฐเบอร์มิงแฮม ระบุชัดเจนถึงประเด็นการอยู่ห้องแอร์สามารถทำให้อ้วนขึ้น ได้ โดยเผยว่า การอยู่ในสถานที่ที่มีเครื่องปรับอากาศคอยควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในองศาพอเหมาะ ร่างกายก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้เรา ลดโอกาสในการเบิร์นหรือได้ดื่มน้ำเยอะขึ้นแทนที่จะกินจุบจิบ อีกทั้งส่วนมากอากาศสบาย ๆ ยังจะคอยยุยงให้เราเพลิดเพลินกับการกินได้มากขึ้น ในขณะที่ร่างกายก็จะรู้สึกขี้เกียจมากขึ้นไปด้วย และปัจจัยเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้น้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว !
แม้ว่าการอยู่ในห้องแอร์อาจจะมอบความเย็นกายให้เราได้ แต่เมื่อรู้อย่างนี้แล้วคงไม่สบายใจแน่ ๆ ใช่ไหมคะ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในเบื้องต้นก็คือพยายามออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกบ้าง และหากจำเป็นต้องอยู่ในห้องแอร์จริง ๆ ก็อย่าลืมล้างฟิลเตอร์เครื่องปรับอากาศเป็นประจำด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหะนำโรค กระทรวงสาธารณสุข , Huffington Post
Cr.jellywalker

28/03/2016

ทุเรียนกวนหมอนทอง ยัดใส้มันกวน ร้านขายของฝากข้างทาง จังหวัดจันทบุรี

ลูกค้าจากสิงค์โปร์โอนแล้วจ้า จะรีบจัดส่งของให้นะจ้าาา
27/03/2016

ลูกค้าจากสิงค์โปร์โอนแล้วจ้า จะรีบจัดส่งของให้นะจ้าาา

"5 เพลงฟังแล้วผอม.."  #ไม่โยกให้ตบวันนี้ปันนาจาจะเอาเพลงตื๊ดๆ โจ๊ะๆหนักมากมาฝากแจ้สำหรับคนที่ออกกำลังกายแล้วรู้สึก "เบื่...
26/03/2016

"5 เพลงฟังแล้วผอม.." #ไม่โยกให้ตบ
วันนี้ปันนาจาจะเอาเพลงตื๊ดๆ โจ๊ะๆหนักมากมาฝากแจ้
สำหรับคนที่ออกกำลังกายแล้วรู้สึก "เบื่ออิ๋บอ๋าย เหนื่อยง่าย ท้อไว ไม่อยากออกแล้ววววว" อะไรเเบบนี้..
ปล. เป็น remix นะค้ะฟังแบบยาวไปยาวไป ม่ะเริ่มกันเล๊ย!!
1) https://youtu.be/hNOZsWqKnFk
❥โจ๊ะ มากกกก ตื๊ดหนักมากอันนี้ ฟังเเล้วไม่อยู่กะที่เเน่นอน!
2) https://youtu.be/6Hh4Af9y6HY
❥อันนี้ก็ตื๊ดไม่แพ้อันแรกเลยค่ะ เต้นจนผอมกันไปข้าง5555 (นาทีที่ 20.00 นี่เพลงโปรดแอดเลย)
3) https://youtu.be/qV5DWbdpI3U
❥นาทีที่ 5 ใครไม่ดิ้นมาปาขี้ใส่บ้านแอดเลยจ้าาา มันมากกก
4) https://youtu.be/RsVTW02C5f4
❥อันนี้แอดก้แนะนำมันโจ๊ะๆ อะคะ เเบบคล้าย 3 เพลงแรกแต่จะซอฟกว่านิดหน่อยน้าา
5) https://youtu.be/G38rM5Djx-I
❥เพลงนกหวีด ปี๊ดๆ อ่ะค่ะ มันโยกดีนะต้องฟังๆ
ทั้งหมดนี้ที่ปันเอามาฝากเพราะว่าอยากให้คนที่ขี้เบื่อ ไม่อยากออกกำลัง หรือ ออกกำลังกายทีไรทำได้ไม่นาน (3 วันเลิก อะไรเงี้ย) เป็นอีกตัวช่วยนึงที่จะทำให้สาวๆผอมไว ..
ใครชอบเพลงไหนเม้นให้หน่อยน้าาา จะได้หาอัพเดทเรื่อยๆนะกั๊บ
เจอกันใหม่บทความหน้า จะหาอะไรมาช่วยให้สาวๆเอวบางกันทั่วหน้านาจาาา #บรัยยยยยยยยยยยยยยย
#สู้ๆ #ฟังเเล้วหลับตานะ #จะอินมาก5555555555555555

ข้าวโพดสีม่วง... ต้านมะเร็ง-ชะลอแก่จากการเปิดเผยผลสำรวจสุขภาพของคนไทย พบว่าคนไทยมีรอบเอวเกินมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการกินอาห...
25/03/2016

ข้าวโพดสีม่วง... ต้านมะเร็ง-ชะลอแก่
จากการเปิดเผยผลสำรวจสุขภาพของคนไทย พบว่าคนไทยมีรอบเอวเกินมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม และออกกำลังกายน้อย จึงส่งผลให้คนไทยเสียงเกิดโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน ฯ จึงอยากให้คนไทยหันมาออกกำลังกายให้มากขึ้นพร้อมกับทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างวันนี้จะของยกตัวอย่าง ข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง เป็นธัญพืชที่มีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็น สารต่อต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยให้อัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายลดลง และในข้าวโพดชนิดนี้ ยังมีสารช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็ง ต่างๆ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย
ข้าวโพดข้าวเหนียวอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่นิยมกับผู้บริโภคในขณะนี้ คือ ข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ซึ่งปัจจุบันสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาด หลายท่านคงเคยพบเห็นกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะสงสัยอยู่ว่า ข้าวโพดสีม่วง นี้มาจากไหน และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง เป็นการพัฒนาจากพันธุ์ข้าวโพดสีม่วงและพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวของบริษัทเอกชน ผลผลิตที่ได้ทำให้ได้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงที่มีฝักใหญ่ รสชาตินุ่มลิ้น หวานและเหนียว
>> สารสีม่วง
สำหรับสีม่วงเข้มในเมล็ด ข้าวโพดสีม่วง นั้น เป็นสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ในระดับสูง ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งชนิดเนื้องอก เสริมความคุ้มกันให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรค สมานแผล เพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดแดง ชะลอการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ลดภาวะการเป็นโรคหัวใจ ชะลอความเสื่อมของดวงตา ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและชะลอความแก่
>> การปลูก ข้าวโพดสีม่วง
สำหรับเกษตรกรที่สนใจจะปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ควรให้ความสำคัญกับดิน เพื่อให้ได้จำนวนต้นต่อไร่ และผลผลิตต่อไร่สูง เริ่มจากการไถดะและตากดินไว้ 3 – 5 วัน แล้วจึงใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 1 ตันต่อไร่ เพื่อเป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดิน ให้สามารถอุ้มน้ำได้นานและเพิ่มธาตุอาหารให้กับข้าวโพด จากนั้นไถแปรเพื่อย่อยดินให้แตกละเอียดเหมาะกับการงอกของเมล็ด
เกษตรกรสามารถปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงได้ 2 วิธี คือ ปลูกแบบแถวเดี่ยว โดยเว้นระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 20-25 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น หรือ ปลูกแบบแถวคู่ ต้องยกร่องสูง โดยมีระยะห่างระหว่างร่อง 120 เซนติเมตร ปลูกเป็น 2 แถวข้างร่อง ห่างกัน 30 เมตร และมีระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น ทั้ง 2 วิธีจะได้จำนวนต้นประมาณ 7,000-8,500 ต้นต่อไร่ และใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อปลูกได้ 7 วัน ข้าวโพดอยู่ในระยะกำลังงอก ควรระมัดระวังเรื่องการให้น้ำ เพราะหากขาดน้ำในระยะนี้จะทำให้การงอกไม่ดี จำนวนต้นต่อพื้นที่จะน้อยลง ส่งผลต่อจำนวนผลผลิต และอีกระยะหนึ่งที่ขาดน้ำไม่ได้คือระยะออกดอกเพราะจะทำให้เกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่ดี ติดเมล็ดไม่เต็มถึงส่วนปลาย หรือติดเป็นบางส่วน ฝักที่ได้จะขายได้ราคาต่ำ ใน 2 ระยะนี้ควรให้น้ำถี่กว่าช่วงอื่นๆ ที่ตามปกติแล้วจะให้น้ำทุก 3-5 วัน ขึ้นกับสภาพต้นข้าวโพดและสภาพอากาศ
เมื่อข้าวโพดมีอายุ 40 – 45 วันหลังปลูก ถ้ามีอาการเหลืองหรือไม่สมบูรณ์ ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ โรยด้านข้างต้นข้าวโพด ในขณะที่ดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม เพื่อเป็นการบำรุงให้ต้นข้าวโพดสมบูรณ์ แข็งแรงโดยปกติแล้วเกษตรกรจะเก็บเกี่ยวข้าวโพดเมื่อมีอายุประมาณ 60-70 วันหลังปลูก แต่ระยะการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมที่สุด คือ ระยะ 18-20 วันหลังข้าวโพดออกไหม 50% (หมายถึงข้าวโพด 100 ต้น ออกไหม 50 ต้น) แต่หากปลูกในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นอายุการเก็บเกี่ยวก็จะยืดออกไปอีก
>> วิธีการดูแลรักษาแปลงปลูก ข้าวโพดสีม่วง
สำหรับวิธีการดูแลรักษา หากแปลงปลูกมีวัชพืชขึ้นมาก จะส่งผลให้ข้าวโพดไม่สมบูรณ์ ผลผลิตลดลง ควรกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก โดยใช้อลาคลอร์ฉีดพ่นลงดินหลังจากปลูก ก่อนที่วัชพืชจะงอก ควรฉีดพ่นในขณะที่ดินต้องมีความชื้นเพื่อทำให้ยามีประสิทธิภาพดีขึ้น สำหรับช่วงที่ฝนตกชุก ต้นข้าวโพดมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคราน้ำค้างได้ง่าย ควรใช้สารเคมีป้องกันโรคราน้ำค้างสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
การนึ่ง ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ให้อร่อย เริ่มจากเตรียมหม้อนึ่ง ต้มน้ำให้เดือด ระหว่างนี้ปอกเปลือกหุ้มฝักออก โดยปอกให้เหลือเปลือกหุ้มฝักประมาณ 2-3 ชั้น เพื่อเป็นการรักษาสารแอนโทไซยานินให้อยู่ในเมล็ด ทำให้เมล็ดเต่งตึงน่ารับประทาน จากนั้นนำฝักข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงที่ปอกแล้ววางเรียงลงในหม้อนึ่งที่น้ำเดือดแล้ว ปิดฝา ใช้เวลาในการนึ่งประมาณ 25-30 นาที ควรปล่อยให้ฝักข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงที่ต้ม เย็นลง
ในระดับอุ่นๆ ก่อนรับประทาน จะทำให้สีม่วงไม่ติดมือเวลารับประทาน รวมถึงรสชาติและคุณค่าทางอาหารยังคงเดิม
การเลือกที่จะปลูกหรือขาย ข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น อาจจะเรียกได้ว่า “กำลังอยู่ในกระแส”โดยเฉพาะในผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่ชอบความแปลกใหม่ เนื่องจากรูปลักษณ์ที่ดึงดูดความสนใจแล้ว ด้วยรสชาติที่ความหวาน หอม เหนียวนุ่มของข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงยังทำให้หลายคนติดอกติดใจ พร้อมทั้งคุณประโยชน์อันหลากหลายที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นข้าวโพดเป็นธัญพืชที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นอาหารนานาชนิด เนื่องจากเป็นพืชที่ให้พลังงานสูง ในเมล็ดข้าวโพด 100 กรัมนั้น ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม โปรตีน 11.1 กรัม เกลือแร่ 1.7 กรัม ไขมัน 4.9 กรัม และเส้นไยหยาบอีก 2.1 กรัม และยังมีวิตามินที่มีประโยชน์อีกมากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอในรูปเบต้าแคโรทีน วิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ รวมถึงลูทีนและซีแซนทิน ซึ่งเป็นสารคาโรตีนอยด์ ช่วยป้องกันตาเสื่อมสภาพ
>> ประโยชน์ของ ข้าวโพดสีม่วง
ในส่วนของสรรพคุณทางยาของ ข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ที่คนโบราณค้นพบและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ เมล็ดของข้าวโพดใช้ทานเพื่อบำรุงร่างกาย หัวใจ ปอด ขับปัสสาวะ นำมาบดพอกรักษาแผล นอกเหนือจากนี้ยังใช้ซังข้าวโพดต้มน้ำนำมาดื่มแก้บิด ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ต้น ราก และไหมข้าวโพด รสจืด หวาน ต้มเอาน้ำดื่ม ขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี เพื่อสุขภาพที่ดี ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินมากๆ หรือพึ่งอาหารเสริมราคาแพงๆ เพียงแค่เราเลือกรับประทาน ศึกษาข้อมูล สารอาหาร ประโยชน์ของอาหารชนิดนั้นๆ เพียงเท่านี้เราก็จะทราบว่าอาหารที่มีคุณประโยชน์ไม่ได้อยู่ไกลเลย อยู่แค่ที่ตลาดใกล้ๆ บ้านเราเอง
Cr.แหล่งข้อมูลที่มา board.postjung.com
Cr. ภาพในโพสท์ Internet
ที่มา : Narinsita Narinsita Sansamart

15/03/2016

** ผอมแบบปลอดภัย เห็นผลไว ไม่มีผลข้างเคียงโดยไม่ต้องอดอาหาร**
#รบกวนชมคลิปวีดีโอให้จบก่อนการตัดสินใจนะครับ
+++สนใจสั่งซื้อสินค้า/ตัวแทนจำหน่าย+++
Tel. คุณไช้ 092-962-5697
►►►Line: http://line.me/ti/p/~cheap29
IDLine: cheap29

เลือกกิน ง่ายๆ ห่างไกล อ้วนด้วยความหลากหลายของอาหารที่มีให้เลือกสรรอย่างมากมายในปัจจุบัน ทั้งมีประโยชน์ และให้ผลกระทบต่อ...
14/03/2016

เลือกกิน ง่ายๆ ห่างไกล อ้วน
ด้วยความหลากหลายของอาหารที่มีให้เลือกสรรอย่างมากมายในปัจจุบัน ทั้งมีประโยชน์ และให้ผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งการดำเนินชีวิตอย่างเร่งรีบก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บ่อยครั้งเราไม่สามารถเลือกบริโภคอาหารอาหารที่ให้คุณประโยชน์ตามที่ร่างกายต้องการได้ และยังได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็น
วันนี้เราจึงมีวิธีการ เลือกกิน อาหารที่สามารถทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน แถมยังได้ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วนด้วยวิธีดังนี้
1.กินพออิ่ม ควรกินให้พออิ่มในแต่ละมื้อ โดยตักอาหารในปริมาณที่พอดี เช่น ตักข้าวสวย 1-2 ทัพพี ผักอย่างน้อย 2 ทัพพี เนื้อสัตว์เล็กน้อย ตามด้วยผลไม้ 1-2 ส่วน น้ำสะอาด 1-2 แก้ว เพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการบริโภคอาหารในแต่ละมื้อ ซึ่งในการตักอาหาร ไม่ควรตักมากจนล้นจานกินไม่หมด
2.อาหารดีมีคุณค่า การกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์อาจใช้เต้าหู้ หรือถั่วเมล็ดแห้งผสมรวมกับเนื้อสัตว์ในการประกอบอาหาร ส่วนปลาควรเลือกกินปลาน้ำจืดสลับกับปลาทะเล การกินไข่เป็นอาหารที่ให้โปรตีนคุณภาพดี และควรเลือกอาหารที่มีในท้องถิ่น หรือผักพื้นบ้าน เช่น ตำลึง กระถิน ชะอม เป็นต้น ซึ่งจะมีราคาถูก หาง่าย ปลอดภัยจากการปนเปื้อน
3.กินผลไม้แทนขนมหวาน การกินผลไม้ตามฤดูกาล นอกจากจะหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกแล้ว ยังสามารถทดแทนความหวานจากขนมที่ให้พลังงานสูงได้อีกด้วย ซึ่งต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อไม่ให้ได้รับพลังงานมากจนเกินไป เช่น มะละกอสุก ฝรั่ง ส้มโอ ชมพู่ เป็นต้น
4.ลดการกินจุบจิบ เพราะของกินจุบจิบส่วนใหญ่นอกจากจะทำให้ร่างกายได้พลังงานมากเกินความจำเป็นยังทำให้อ้วนอีกด้วย และควรกินให้น้อยลง หรือเลือกขนมที่มีธัญพืช ถั่ว ผัก ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบ โดยให้เลือกชนิดที่มีน้ำมันน้อย หรือกะทิน้อยและไม่หวานจัด เช่น ถั่วแปบ ขนมตาล ขนมกล้วย เป็นต้น
5.ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด ควรลด หรืองด เครื่องดื่มที่มีรสหวานชนิดต่างๆ เช่นน้ำอัดลม น้ำหวาน ชา กาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
6.ลดการสั่งอาหารราคาพิเศษ เช่น การเพิ่มลูกชิ้นในก๋วยเตี๋ยว หรือเพิ่มข้าว เพิ่มกับข้าว เพราะจะทำให้ได้รับพลังงานมากจนเกินไปและทำให้ อ้วน
7.งดการกินอาหารมื้อดึก การกินอาหารมื้อดึกแล้วเข้านอน ไม่มีการออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ร่างกายจะเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไปได้น้อยมาก และจะสะสมเป็นไขมันแทน ซึ่งทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
8.เคี้ยวอาหารช้าๆ อย่ารีบร้อน ซึ่งการเคี้ยวอาหารช้าๆ จะทำให้อิ่มเร็วกว่า เพราะปกติร่างกายจะเริ่มรู้สึกอิ่มเมื่อกินอาหารเข้าไปประมาณ 20 นาที นอกจากจะทำให้กินอาหารได้น้อยลงแล้ว ยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ง่ายขึ้น
9.เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทารกแรกเกิดควรให้กินนมแม่ เพราะนมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตทางร่างกายและการพัฒนาของสมอง ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่กับลูก รวมทั้งยังช่วยลดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กได้ ซึ่งปัจจุบันองค์การอนามัยโลกแนะนำให้คุณแม่หลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวเป็นเวลา 6 เดือน และให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ควบคู่กับอาหารตามวัยต่อเนื่องไปจนถึง 2 ปี หรือมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม นอกจากการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ให้สารอาหารครบถ้วนเหมาะสมต่อร่างกายในแต่ละวันแล้ว ควรพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี
เรียบเรียง โดย แพรวพรรณ สุริวงศ์ Team Content www.thaihealth.or.th
ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ กินดีมีสุขในยุคเศรษฐกิจพอเพียง โดย สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย
http://health.mthai.com/howto/11835.html


จุดเริ่มต้นของผู้หญิงหุ่นดี
Facebook : http://bit.ly/GooDLivefb
ดูสินค้า สั่งซื้อสินค้าได้ที่
http://bit.ly/GooDLiveshop
มาพูดคุยและรับอาหารสมองดีๆแบบนี้ได้ที่
Line@ : ที่ LINE หรือ LINE@ (กรุณาใส่ "@" ด้วย) แล้วเพิ่มเป็นเพื่อนของคุณ
http://bit.ly/GoodLiveline

เคล็ดลับผอมเพรียว1. เลิกให้รางวัลตัวเองตำราบางเล่มสอนว่า เวลาที่น้ำหนักลดลงสักกิโลครึ่งกิโล สาวๆ ควรให้กำลังใจตัวเองด้วย...
14/03/2016

เคล็ดลับผอมเพรียว
1. เลิกให้รางวัลตัวเอง
ตำราบางเล่มสอนว่า เวลาที่น้ำหนักลดลงสักกิโลครึ่งกิโล สาวๆ ควรให้กำลังใจตัวเองด้วยของโปรดสักมื้อ แต่นั่นคือการเพิ่มความอ้วนที่เร็วมากๆ เพราะคนที่อดมานานพอได้เจอกับของโปรดก็จะพุ่งเข้าใส่เหมือนตายอดตายอยาก.. จากนั้นก็จะอิ่มจนออกกำลังกายไม่ไหว ทีนี้น้ำหนักที่หายไปก็จะกลับมาหาอย่างง่ายดาย เฮ้อ ..ออกกำลังกาย เสียดายเวลาที่ลำบากลำบนลดไปจัง
2. กินเฉพาะเวลาหิว
ก่อนจะกินให้ถามตัวเองก่อนว่าเราหิวจริงๆ หรือเล่า วิธีทดสอบก็เล่นไม่ยาก ให้คุณทำตารางระดับความหิวของตัวเองขึ้นมา ไล่ไปตั้งแต่ 1 ถึง 10 ถ้าคะแนนความหิวอยู่ตั้งแต่ 7 ขึ้นไปก็กินได้ แต่ถ้าความหิวอยู่ต่ำกว่า 7 ถือว่าเป็นแค่ความอยากเท่านั้น
3. สร้างความตื่นเต้นให้ตัวเอง
เวลาที่เราอยู่เฉยๆ ระดับการเผาผลาญจะต่ำ ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อย แต่ถ้าเราตื่นเต้น ระดับการเผาผลาญก็จะสูงไปด้วย จึงต้องทำอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา เช่นถ้านั่งทำงานก็เกร็งหน้าท้องไปด้วย ลุกขึ้นเดินวนรอบห้องสักสองสามรอบ หรือถ้าไม่มีใครอยู่ก็อาจจะวิดพื้นสักสิบที สลับกับการนั่งทำงาน ถ้าทำแบบนี้พวกกับจำกัดอาหาร รับรองว่าแค่อาทิตย์เดียวรูปร่างจะเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
4. กินให้เพียงพอ
การกินน้อยไม่ใช่วิธีลดความอ้วนที่ดีเลย เพราะร่างกายจะรู้สึกว่าได้รับพลังงานเพียงพอ ระบบทุกอย่างก็จะทำงานช้าลง รวมทั้งระบบเผาผลาญของเราด้วย แทนที่จะผอมน้ำหนักก็เลยกลับเพิ่ม แถมยังอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เซื่องซึม หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ เห็นไหม ไม่มีอะไรดีเลย วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้นสาวๆ ต้องกินให้อิ่ม เพียงแต่ต้องเลือกกินอาหารที่ไขมันต่ำและหนักท้องเท่านั้นเอง
5. อย่างดโปรตีน
วิธีลดน้ำหนักของบางคนคือการอดโปรตีน ซึ่งก็จะได้ผลจริงๆ เพราะโปรตีนคือตัวสร้างกล้ามเนื้อให้ร่างกาย เมื่อไม่กินตัวก็จะเล็กลง แต่ในระยะยาวแล้ววิธีนี้จะทำให้เสียสุขภาพ และในที่สุดก็จะอ้วนขึ้นอีก เพราะร่างกายต้องการโปรตีนเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญ สาวๆ จึงต้องกินโปรตีนแต่ต้องเลือกกินแต่โปรตีนไขมันต่ำอย่างเนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน โยเกิร์ต ถั่ว เป็นต้น
6. มะขามคือคำตอบ
ผลไม้ไทยราคาถูกอย่างมะขามนี่ล่ะคือกุญแจสู่ความเพรียวที่เราคาดไม่ถึง เพราะมะขามมีสารที่เรียว่า “กรดไฮดรอกซีไซตริก” หรือ HCA กรดนี้มีสรรพคุณในการสกัดความอยากอาหาร และทำให้ร่างกายดึงเอาไขมันออกมาใช้เป็นพลังงาน กินมะขามบ่อยๆ ไขมันไม่หมดก็ให้มันรู้ไป
7. มองตาสูตรที่ใช่
แต่ละคนจะมีวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะกับตัวเองต่างกันไป เพราะกระบวนการทำงานของร่างกายคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฉะนั้นสูตรที่เพื่อนคุณใช้แล้วเวิร์ค จึงอาจจะไม่ได้เรื่องสำหรับคุณ จึงต้องลองหลายๆ สูตรจนกว่าจะได้สูตรที่เกิดมาเพื่อคุณ จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่งความผอมได้เลย
8. ปรุงรสปรุงรูปร่าง
รสชาติเป็นตัวชูโรงที่ทำให้อาหารไขมันต่ำน่าเบื่อๆ ของเราอร่อยขึ้น สาวๆจะได้เกิดความฮึกเหิมที่จะกินมื้อต่อๆ ไปได้ นอกจากนี้ถ้าปรุงรสให้แซบเข้าไว้ ออกกำลังกาย จะช่วยให้คุณบรรลุสู่เป้าหมายเร็วขึ้นอีกด้วย เพราะสารแคปไซซินตัวการสร้างความเผ็ดสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญของเราให้ทำงานดีขึ้น และสลายไขมันได้มากกว่าปกติ
9. เพิ่มผักเป็นดับเบิ้ล
ถ้าคุณกำลังกินผักอยู่แล้ว ต่อไปนี้ให้เพิ่มปริมาณผักให้มากขึ้นเป็นสองเท่า และควรจะกินผักให้หลากหลายชนิด แค่นี้คุณก็จะไม่เหลือเนื้อที่ในท้องไปกินขนมกรุบกรอบอย่างอื่น และระบบขับถ่ายยังจะดีอีกด้วย
ที่มา..n3k.in.th


จุดเริ่มต้นของผู้หญิงหุ่นดี
Facebook : http://bit.ly/GooDLivefb
ดูสินค้า สั่งซื้อสินค้าได้ที่
http://bit.ly/GooDLiveshop
มาพูดคุยและรับอาหารสมองดีๆแบบนี้ได้ที่
Line@ : ที่ LINE หรือ LINE@ (กรุณาใส่ "@" ด้วย) แล้วเพิ่มเป็นเพื่อนของคุณ
http://bit.ly/GoodLiveline

ที่อยู่

Bangkok
10120

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ GoodLiveลดน้ำหนักผอมเพรียวสลายไขมันผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram