Herbale ใส่ใจสุขภาพใช้ Herbale'

Herbale เรามีคำตอบเรื่อง "สุขภาพ" ให้คุณ
กดLike ไกลโรค กับ Herbale พบข้อมูลและสินค้าสุขภาพ ส่งตรงถึงคุณ โดยทีมงาน
ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น (^_^)/ และ The-Arokaya มาช่วยกันทำให้คนป่วยน้อยลงกันนะครับ

Callcenter : 061-5141141

ไมเกรน กับ เส้นลมปราณถุงน้ำดี(ปวดตึงเส้นข้างขา, สลักเพชร(บริเวณก้น), ปวดตึงบ่า, ปวดหัวด้านข้าง ,ไมเกรน)อาการปวดตึง เจ็บ ...
20/11/2014

ไมเกรน กับ เส้นลมปราณถุงน้ำดี
(ปวดตึงเส้นข้างขา, สลักเพชร(บริเวณก้น), ปวดตึงบ่า, ปวดหัวด้านข้าง ,ไมเกรน)

อาการปวดตึง เจ็บ ตามแนวเส้นลมปราณถุงน้ำดี เป็นสัญญาณเตือนของถุงน้ำดีว่าร้อน น้ำดีน้อยเกินไป และทำงานหนักลักษณะอาการคือ ปวดตึงเส้นข้างขา, ปวดบริเวณจุดสลักเพชร(บริเวณก้น), เจ็บเสียดชายโครงด้านข้าง, ปวดตึงบ่า, ปวดหัวด้านข้างทั่วศีรษะรวมถึงหน้าผากด้านข้างด้วย(ไมเกรน)

สาเหตุคือ
- นอนดึกเกิน 5 ทุ่ม เวลา 5 ทุ่ม-ตีหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำงานของลมปราณถุงน้ำดี
- ทานน้ำเย็น เพราะน้ำเย็นจะทำให้เลือดข้นหนืด ร่างกายไม่สามารถสร้างน้ำดีจากเลือดที่ข้นหนืดและเต็มไปด้วยของเสียนี้ได้
- ทานกาแฟเป็นประจำ คาเฟอีนเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเป็นสารแปลกปลอมจนทำให้ร่างกายต้องขับคาเฟอีนมาพร้อมกับน้ำเมื่อทานมากๆเลือดจะมีน้ำน้อยลงและข้นหนืด อีกทั้งคาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีทำงานมากขึ้นถึง 3-5 เท่า

การแก้ไข ต้องลดการทำงาน และฟื้นฟู ตับ กับถุงน้ำดี
- ลดภาระ โดยการเลี่ยง อาหารของมัน ของทอด ,เข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม เป็นเวลาของตับ กับถุงน้ำดี ตามหลักนาฬิกาชีวิต ,ลดกาแฟตอนท้องว่าง
- ฟื้นฟู เบื้องต้นแนะนำให้นวดกระตุ้นให้ เลือดลมของเสียออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ช่วยทำให้อาการปวดแข็งตึงของเส้นลมปราณลดลง
..................................................

สมุนไพรที่ใช้ * หาซื้อได้ตามร้านขายสมุนไพรทั่วไป

- ขมิ้นชัน ทานก่อนอาหาร 2-3 แคปซูล เพื่อช่วยปรับสมดุลให้กระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น ลดการเกิดลมใหม่

- สมุนไพรธรณีสันฑะฆาต ทานก่อนนอน 2 แคปซูล เพื่อเอาของเสียออกจากร่างกาย เพื่อเปิดทางให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น

- สาหร่ายเกลียวทอง ทานตื่นนอน 5 เม็ด + น้ำ 2 แก้ว ช่วยในการฟื้นฟูตับ และถุงน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการผลิตเลือด น้ำย่อย และน้ำดี

- สมุนไพรจตุผลาธิกะ ทานเช้า,เย็น ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ เพื่อปรับสมดุลลำไส้ ขับเมือกมันของเสียออกร่างกายลดภาระการทำงานของตับ และถุงน้ำดี
..................................................

สนับสนุนข้อมูลสุขภาพโดย : #สาหร่ายเกลียวทอง #เฮอร์บาเล่

ราคาขวดละ 550 บาท
****Promotion : ซื้อ 4 แถม 1 ***

Herbale callcenter : 086-318-7888-9

ไมเกรน กับ เส้นลมปราณซานเจียว(ปวดหัวข้างเดียว ,กรดไหลย้อน ,ปวดบ่า ,ตึงไหล่ ,ปวดหลัง)ถามรบกวนด้วยคะ ตอนนี้เป็นโรคใหม่คะตอ...
20/11/2014

ไมเกรน กับ เส้นลมปราณซานเจียว
(ปวดหัวข้างเดียว ,กรดไหลย้อน ,ปวดบ่า ,ตึงไหล่ ,ปวดหลัง)

ถาม
รบกวนด้วยคะ ตอนนี้เป็นโรคใหม่คะตอนปีใหม่เริ่มจากเป็นหวัดปวดศรีษะมากเลยทาน บูเฟนกับยาแก้แพ้นอนพักจนอาการดีขึ้น แต่หลังจากนั้นก็เริ่มปวดจุกท้องข้างซ้าย ทานอะไรก็ไม่ย่อยแสบอกตลอด นอนราบไม่ได้ พยายามกินยาอะลัมมิ้ล และอีโนช่วย แต่ไม่ดีขึ้นปวดจุกตลอดเวลา กินยารักษาโรคกระเพาะ ก็ไม่หายปวด จนไปพบแพทย์ที่ รพ ได้ยามารักษาไซนัส และโรคลำไส้แปรปรวน อยากกลับมาทานยาสมุนไพรคะ รบกวนแนะนำด้วยคะ

ตอบ
อาการจุก สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคือ "ลม"

- อาการปวดหัว ปวดตึง เจ็บ ตามแนวเส้นลมปราณซานเจียว เป็นสัญญาณเตือนของช่องว่างในช่องท้อง เมื่อไหร่ที่ช่องว่างในช่องท้องมีน้อยลงทุกที เพราะมีแก๊สมีลมมากในลำไส้ จนทำให้ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กโป่งพองเบียดกระเพาะอาหาร กระบังลม ปอดและหัวใจ เราจะมีอาการปวดตามแนวเส้นนี้ เช่น ปวดแขนไปจนถึงเส้นระหว่างนิ้วนางและนิ้วก้อย ปวดต้นคอด้านข้าง มีเสียงในหู และ ปวดบริเวณขมับและเบ้าตา(ไมเกรน) นอกจากนี้จะมีอาการของ จุกแน่นหน้าอก, การหายใจไม่สะดวก(หายใจเข้าลำบาก), นอนกรน, ตื่นนอนไม่สดชื่น, มีความเครียดบ่อย และบางครั้งมีอาการแน่นที่หัวใจคล้ายคนเป็นโรคหัวใจด้วย สาเหตุคือ มีลมในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่มาก จนทำให้ลำไส้บวมเบียดดันอวัยวะอื่นๆ

- ลมที่เกิดขึ้นในลำไส้ออกไปตามกล้ามเนื้อ เมื่อใดที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นลมจะวิ่งขึ้นบ่าและศีรษะทำให้ปวดมึนศีรษะ
ชอบทานอาหารมื้อดึก
- ทานยาแก้อักเสบ, ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไป
- ทานยาลดกรดบ่อยๆจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารน้อยลง
- ทานอาหารไม่ตรงเวลา
- ชอบทานน้ำเย็นในมื้ออาหาร

ดังนั้นต้องแก้ด้วยการไม่สร้างลมใหม่ และเอาลมเก่าออก ซึ่งวิธีการก็คือ ย่อยให้ได้ ขับถ่ายให้ดี
............................................

วิธีการในการรักษาไมเกรน

สาเหตุ เกิดจากลมตะกัง หรือ ลมปะกัง การย่อยอาหารและการขับถ่ายไม่ดี ทำให้เกิดแก๊ส และลมในร่างกายมาก ดังนั้นจึงต้องแก้ที่ต้นเหตุนั่นก็คือ “ย่อยให้ได้ ขับถ่ายให้ดี” นั่นเอง

- หลีกเลี่ยง กาแฟตอนเช้า ก่อนอาหาร เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง และขาดน้ำย่อยเมื่อถึงเวลาอาหาร (ถ้าจะดื่ม แนะนำให้ดื่มหลังอาหาร)

- ก่อน และหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- หลีกเลี่ยงน้ำเย็น เพราะจะทำให้กระเพาะช๊อค ผลิตน้ำย่อยไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ให้ดื่มทีละน้อย

- นวดตัว และ ฝ่าเท้า สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนปลุกให้อวัยวะภายในต่างๆกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง ไม่ทานอาหารมื้อหนัก เพราะเวลานอน กระเพาะอาหาร ก็จะลดการผลิตน้ำย่อยลง ทำให้อาหารไม่ย่อย เน่าเสียเกิดลม แก๊ส สารพิษต่างๆ
...............................................

สนับสนุนข้อมูลสุขภาพโดย : #สาหร่ายเกลียวทอง #เฮอร์บาเล่

ราคาขวดละ 550 บาท
****Promotion : ซื้อ 4 แถม 1 ***

Herbale callcenter : 086-318-7888-9

โรคไมเกรนปัจจุบันพบว่ามีผู้ที่ป่วยด้วยโรคไมเกรนเข้ามาบำบัดรักษาหลายราย จากการได้พูดคุย สอบถามอาการ และพฤติกรรมในการดำเนิ...
20/11/2014

โรคไมเกรน

ปัจจุบันพบว่ามีผู้ที่ป่วยด้วยโรคไมเกรนเข้ามาบำบัดรักษาหลายราย จากการได้พูดคุย สอบถามอาการ และพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต นวดกดจุดตรวจรักษาคนไข้แล้ว ล้วนแล้วแต่มีปัญหากับระบบย่อยอาหาร และพฤติกรรมการรับประทานทั้งสิ้น

ขอยกตัวอย่างคนป่วย คุณอัญชลี หญิงสาววัย 39 ปี มีอาการปวดไมเกรนมานานหลายปี ส่วนใหญ่จะปวดช่วงก่อน และหลังมีประจำเดือน มีอาการอื่นร่วมด้วยคือ ปวดบ่าทั้งสองข้าง ปวดเบ้าตาซ้าย ขวา สลับกัน อาการปวดหนักขึ้นๆ เรื่อยๆ ต้องกินยาจำนวนเพิ่มขึ้น เธอบอกว่าต้องนวดเป็นประจำ เพราะมันปวดเมื่อยเนื้อตัวมาก นวดแล้วก็ดีขึ้น แต่วันสองวันก็ปวดเมื่อยอีกแล้ว

พฤติกรรมของเธอคือ ดื่มน้ำเย็นตลอด เช้าขึ้นมาก็ชงโปรตีนจากถั่วเหลืองกินหนึ่งแก้ว(นมถั่วเหลืองมีฤทธิ์เย็น) ตามด้วยน้ำเย็นอีก 1-2 แก้ว แช่เย็นกระเพาะอาหารและลำไส้ มื้อกลางวันกินอาหารก็ดื่มน้ำเย็นรวมๆกัน 4-5 แก้ว เข้าไปดับไฟย่อยอาหารอีก มื้อเย็นก็ชงโปรตีนถั่วเหลือง ตามด้วยน้ำเย็น กระเพาะอาหารเจอแต่ของเย็นตลอด ทำให้ระบบการย่อยอ่อนแอ กินอะไรเข้าไปก็ไม่ค่อยจะย่อย พากันเน่าเสียกลายเป็นแก๊สเสียส่วนใหญ่ แถมการถ่ายก็ไม่ดี ถ้าไม่กินยาก็ไม่ถ่าย ของเสียก็เลยสะสมกันเต็มที่ กดนวดตามจุดและเส้นตรงไหนเจ็บไปหมดทั้งตัว

อีกท่านเป็นสุภาพบุรุษ อายุ 39 ปี เท่ากันกับรายแรก เป็นวัยที่แข็งแรง สู้งาน แต่เมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนกำเริบ ก็หมดอารมณ์ในการทำงาน กินยานอน รอให้อาการสงบค่อยลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่ รายนี้เป็นหนักกว่า ไม่ได้มีรอบเดือนกับเขาจึงไม่ได้ปวดช่วงนั้นของเดือนดังเช่น รายแรก แต่อาทิตย์หนึ่งจะปวด 2-3 ครั้ง ต้องกินยาแก้ปวดวันละ 3 เวลาเมื่อมีอาการปวด กินมา 5 ปีแล้ว รักษาไม่หายสักที มีแต่จะเป็นหนักขึ้น กินยาแรงขึ้น และยังมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น ปวดเข่า ปวดข้อเท้าเส้นเอ็นอักเสบ บ่า คอ ไหล่ หลัง ตึงแข็งตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำงานหนักอะไร

ก็อีกนั่นแหละ “การย่อยอาหารที่ไม่ดี” สาเหตุเกิดจากการดื่มน้ำเย็นช่วงทานอาหารรวมแล้ว 3 แก้ว อาหารก็เลยไม่ย่อย 2 – 3 วันถ่ายครั้งหนึ่งแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดโรคมากมายตามที่คนไข้เป็นอยู่ กดนวดตรงไหนก็เจ็บ เส้นเอ็นแข็งทั้งตัวตามที่ว่า เหมือนลูกโป่งที่ถูกอัดลมเข้าไปจนแข็ง

คุณอารี อายุ 27 ปี ปวดศีรษะไมเกรนขั้นรุนแรง, ปวดท้องประจำเดือน, มีเสียงดังตามข้อเข่า, หน้าตาไม่สดชื่น, มีน้ำมูกใสๆไหล ที่ผ่านมารักษาโดยการกินยาแก้ปวด, ยาแก้แพ้อากาศ ต้องนอนพักหลายชั่วโมงเวลามีอาการไมเกรน มีพฤติกรรมการกินอยู่เหมือนหนุ่มสาวปัจจุบัน เธอทำงานเป็นมัคคุเทศก์ กินอาหารแบบต่อต้านสุขภาพดี เช่น ตอนเช้าไม่ทานอะไรเลย ได้แต่ทานน้ำเย็น 2-3 แก้ว หลังอาหารมื้อกลางวันและมื้อเย็นทานน้ำเย็น 1 ขวด 500 ซีซี ระหว่างมื้อถ้าหิวก็ทานพิซซ่า ชามะนาววันละ 2-4 กระป๋อง และน้ำเย็นตลอดเวลา นอนตื่นสายบ้างบางวัน ส่วนมากจะนอนดึก ประมาณเที่ยงคืน

ระหว่างวันบางวันต้องหลับเป็นช่วงๆ เพราะสมองหลับไปแล้ว เช่น เดินในห้างสรรพสินค้า!! นั่งคุยกับเพื่อน ต้องนั่งหลับประมาณ 1 ชม. จึงจะตื่นขึ้นมาทำงานต่อได้ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเป็นโรคขาดสารอาหาร เลือดไม่มีคุณภาพที่จะเลี้ยงสมองได้
คุณวรานันท์ อายุ 32 ปี ปวดศีรษะไมเกรนหลายปี ท้องผูก หลายวันถึงจะถ่ายสักครั้ง นอนไม่ค่อยหลับ มีน้ำมูกไหลทั้งวัน พฤติกรรมชอบทานกาแฟเย็น, กาแฟปั่น, น้ำอัดลม, นมแช่เย็น ทานน้ำน้อย 2-3 แก้วต่อวัน ชอบทานของหวาน, ของทอด, ของมัน เวลาปวดศีรษะก็ทานยาแก้ปวดศีรษะไมเกรน

ผมขอนำเอาหลักการแพทย์แผนจีนเข้ามาอธิบายคร่าวๆว่าไมเกรนหรืออาการปวดหัวข้างเดียว บางคนก็เป็นทั้งสองข้างนั้นเป็นสัญญาณเตือนของ 2 เส้นลมปราณหลักๆคือ เส้นลมปราณซานเจียว และเส้นลมปราณถุงน้ำดี

1. อาการปวดตึง เจ็บ ตามแนวเส้นลมปราณซานเจียว เป็นสัญญาณเตือนของช่องว่างในช่องท้อง เมื่อไหร่ที่ช่องว่างในช่องท้องมีน้อยลงทุกที เพราะมีแก๊สมีลมมากในลำไส้ จนทำให้ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กโป่งพองเบียดกระเพาะอาหาร กระบังลม ปอดและหัวใจ เราจะมีอาการปวดตามแนวเส้นนี้ เช่น ปวดแขนไปจนถึงเส้นระหว่างนิ้วนางและนิ้วก้อย ปวดต้นคอด้านข้าง มีเสียงในหู และ ปวดบริเวณขมับและเบ้าตา(ไมเกรน) นอกจากนี้จะมีอาการของ จุกแน่นหน้าอก, การหายใจไม่สะดวก(หายใจเข้าลำบาก), นอนกรน, ตื่นนอนไม่สดชื่น, มีความเครียดบ่อย และบางครั้งมีอาการแน่นที่หัวใจคล้ายคนเป็นโรคหัวใจด้วย สาเหตุคือ
มีลมในลำไส้เล็กและใหญ่มาก จนทำให้ลำไส้บวมเบียดดันอวัยวะอื่นๆ
ลมที่เกิดขึ้นในลำไส้ออกไปตามกล้ามเนื้อ เมื่อใดที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นลมจะวิ่งขึ้นบ่าและศีรษะทำให้ปวดมึนศีรษะ
ชอบทานอาหารมื้อดึก
ทานยาแก้อักเสบ, ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไป
ทานยาลดกรดบ่อยๆจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารน้อยลง
ทานอาหารไม่ตรงเวลา
ชอบทานน้ำเย็นในมื้ออาหาร

2. อาการปวดตึง เจ็บ ตามแนวเส้นลมปราณถุงน้ำดี เป็นสัญญาณเตือนของถุงน้ำดีว่าร้อน น้ำดีน้อยเกินไป และทำงานหนักลักษณะอาการคือ ปวดตึงเส้นข้างขา, ปวดบริเวณจุดสลักเพชร(บริเวณก้น), เจ็บเสียดชายโครงด้านข้าง, ปวดตึงบ่า, ปวดหัวด้านข้างทั่วศีรษะรวมถึงหน้าผากด้านข้างด้วย(ไมเกรน) สาเหตุคือ
- นอนดึกเกิน 5 ทุ่ม เวลา 5 ทุ่ม-ตีหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำงานของลมปราณถุงน้ำดี
- ทานน้ำเย็น เพราะน้ำเย็นจะทำให้เลือดข้นหนืด ร่างกายไม่สามารถสร้างน้ำดีจากเลือดที่ข้นหนืดและเต็มไปด้วยของเสียนี้ได้
- ทานกาแฟเป็นประจำ คาเฟอีนเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเป็นสารแปลกปลอมจนทำให้ร่างกายต้องขับคาเฟอีนมาพร้อมกับน้ำเมื่อทานมากๆเลือดจะมีน้ำน้อยลงและข้นหนืด อีกทั้งคาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีทำงานมากขึ้นถึง 3-5 เท่า ,คาเฟอีน จะกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก ดังนั้นหลายท่านที่ชอบทานกาแฟตอนท้องว่าง หรือทานแทนมื้ออาหารในตอนเช้าจึงทำให้เกิดโรคกระเพาะได้ง่าย เมื่อกระเพาะอักเสบ เวลาที่ควรจะย่อยอาหารกลับไม่เหลือน้ำย่อยเสียแล้ว อาหารก็เน่าเสียในระบบทางเดินอาหาร เกิดลมเกิดแก๊สมากมายซึ่ง ลม ก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไมเกรนนั่นเอง

ยังมีความเข้าใจผิดๆกับเรื่องไมเกรนอีก อย่างเช่นเป็นไมเกรนกันทั้งบ้าน แล้วเหมาเอาว่าเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ จริงๆเกิดจากพฤติกรรมคล้ายกันจนทำให้ ย่อยไม่ได้ ถ่ายไม่ดีทั้งนั้น พฤติกรรมการกินดื่มที่คล้ายๆกันจึงป่วยเป็นโรคเดียวกัน ทุกคนก็เลยสบายใจไม่ต้องโทษตัวเองแต่โยนความผิดไปให้กรรมพันธุ์ จริงๆคือ “โรคกรรม” ที่แปลว่าผลของการกระทำเสียมากกว่า

*ดังนั้นเมื่อเราเป็นอะไร ก็ขอให้อย่ามัวแต่ไปโทษเวรโทษกรรม โทษกรรมพันธุ์อยู่เลย และอย่าเอาแต่กินยา ฉีดยาบรรเทาอาการปวดแค่ชั่วครั้งชั่วคราว มันจะยิ่งลุกลามกันไปใหญ่โตจนแก้กันไม่ไหว อย่าปล่อยให้”สายเกินแก้” หันมามองตัวเองดูบ้าง ว่าท่านได้ทำอะไรผิดกับร่างกายไว้บ้าง แล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุย่อมดีกว่าแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแน่นอนครับ...

…................................

วิธีการในการรักษาไมเกรน

สาเหตุ เกิดจากลมตะกัง หรือ ลมปะกัง การย่อยอาหารและการขับถ่ายไม่ดี ทำให้เกิดแก๊ส และลมในร่างกายมาก ดังนั้นจึงต้องแก้ที่ต้นเหตุนั่นก็คือ “ย่อยให้ได้ ขับถ่ายให้ดี” นั่นเอง

- หลีกเลี่ยง กาแฟตอนเช้า ก่อนอาหาร เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง และขาดน้ำย่อยเมื่อถึงเวลาอาหาร (ถ้าจะดื่ม แนะนำให้ดื่มหลังอาหาร)

- ก่อน และหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- หลีกเลี่ยงน้ำเย็น เพราะจะทำให้กระเพาะช๊อค ผลิตน้ำย่อยไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ให้ดื่มทีละน้อย

- นวดตัว และ ฝ่าเท้า สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนปลุกให้อวัยวะภายในต่างๆกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง ไม่ทานอาหารมื้อหนัก เพราะเวลานอน กระเพาะอาหาร ก็จะลดการผลิตน้ำย่อยลง ทำให้อาหารไม่ย่อย เน่าเสียเกิดลม แก๊ส สารพิษต่างๆ
.......................

สมุนไพรไทยที่แนะนำ หาซื้อได้ตามร้านขายยาสมุนไพรทั่วไป

- ขมิ้นชันแคปซูล ปรับสมดุลในกระเพาะ รักษาแผล ผลิตน้ำย่อยได้มากขึ้น เมื่อย่อยได้ก็ขับถ่ายดี
ไม่เกิดลมอัดแน่นในกระเพาะ ลำไส้ก็สามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อนำไปใช้สร้างเซลล์ต่างๆได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ
วิธีใช้ : ก่อนอาหาร 2 แคปซูล

- ยาคลายเส้น (ธรณีสันฑะฆาติ) ช่วยขับลมที่แล่นเข้าไปในเส้นทำให้เส้นแข็งเป็นลำ เลือดลมไม่เดิน ปวดเมื่อยทั่วร่างกาย สาเหตุของการเกิดขัดของกล้ามเนื้อเส้นเอ็นต่างๆ ยาธรณีสันฑะฆาตมีสรรพคุณดีทอกซ์ของเสียที่เป็นก้อนติดแน่นตั้งแต่ลำไส้ส่วน บนถึงลำไส้ส่วนล่างออกจากร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก ต่างจากการดีทอกซ์ด้วยกาแฟ ซึ่งจะขับของเสียออกแค่จากลำไส้ส่วนล่างเท่านั้น
วิธีใช้ : ก่อนนอน 2 แคปซูล

- ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Probiotic ช่วยย่อย โดยการเพิ่มกรดแลคติก และ จุลินทรีย์ที่ดี ที่ช่วยสนับสนุนการย่อย ดูดซึม และขับถ่าย ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Probiotic ได้แก่ กิมจิ ,ข้าวหมาก ,นมเปรี้ยว หรือ สมุนไพรเบญจพันธุ์ ช่วยย่อยอาหารที่ตกค้าง
วิธีใช้ : หลังอาหารทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเที่ยง และ เย็น

หมายเหตุ : สมุนไพรต่างๆที่แนะนำสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าสมุนไพรทั่วไป
...................................................

สนับสนุนข้อมูลสุขภาพโดย : #สาหร่ายเกลียวทอง #เฮอร์บาเล่

ราคาขวดละ 550 บาท
****Promotion : ซื้อ 4 แถม 1 ***

Herbale callcenter : 086-318-7888-9

" อาหารที่ดีคือยาวิเศษ " สิ่งมีชีวิตต้องกินอาหารเพื่อดำรงชีวิต และการมีสุขภาพที่ดีต้อง อยู่บนสภาวะ “สมดุล” คือ ของดีต้อง...
15/11/2014

" อาหารที่ดีคือยาวิเศษ " สิ่งมีชีวิตต้องกินอาหารเพื่อดำรงชีวิต และการมีสุขภาพที่ดีต้อง อยู่บนสภาวะ “สมดุล” คือ ของดีต้องไม่ขาด ของเสียต้องไม่มากเกิน

สาหร่ายเกลียวทอง คือห่วงโซ่อาหารชั้นแรกของทุกสิ่งมีชีวิต ดังนั้นกฏแห่งการส่งต่อของธรรมชาติคือ ผู้เริ่มต้นห่วงโซ่อาหารย่อมมีความสมบูรณ์ของสารอาหารที่มีความ “สมดุล” มากที่สุด สิ่งมีชีวิตทุกอย่างสามารถกินเป็นอาหารได้ ย่อยและดูดซึมง่าย ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน (เติมเต็มส่วนขาด) และ ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อกำจัดของเสียตกค้างจากกากอาหาร (กำจัดส่วนเกิน) ร่างกายมีความมหัศจรรย์ในการดูแลตัวเอง สามารถเข้าสู่สภาวะสมดุล คือเป็นปกติไม่เจ็บไม่ป่วย

“ อาหารที่ดี คือ ยาวิเศษเมื่อยามป่วย คือยาอายุวัฒนะ เมื่อ ใช้เป็นอาหารเสริม ”
และนี่คือ นิยามคำจำกัดความที่ดีของ สาหร่ายเกลียวทอง ครับ
..............................................

??? เคยรู้มั๊ย ว่าของขวัญ(จากธรรมชาติ) ชิ้นนี้สารพัดประโยชน์เพียงใด
สารอาหารที่มีในสาหร่ายเกลียวทอง กับ การฟื้นฟูอาการและโรคต่างๆ

- โรคขาดสารอาหาร : สาหร่ายเกลียวทอง เป็นอาหารที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถรับประทานได้ อีกทั้งมีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีนที่มากถึง 70 % (มากกว่า เนื้อวัว และ ไข่ไก่ 3 เท่า) มีการทดสอบในมนุษย์โดยการรับประทานแทนอาหาร สามารถอยู่ได้ถึง 107 วันโดยที่ร่างกายยังสมบูรณ์แข็งแรง และไม่พบสารพิษตกค้าง

- ควบคุมน้ำหนัก : มีสารอาหารครบถ้วน เสมือนการทานอาหารที่ทานเพื่อให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ โดยที่ร่างกายยังคงแข็งแรง และ ไม่มีปัจจัยที่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม เพราะมีไขมัน และแคลอรี่ต่ำมาก อีกทั้งกรดอมิโนไทโรซีน ที่มีในสาหร่ายยังช่วยระงับความรู้สึกอยากอาหารอีกด้วย

- เบาหวาน : โปรตีนที่มากถึง 70% ในสาหร่ายเกลียวทองจะช่วยให้ตับนำไปซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ มีธาตุโครเมียมช่วยพาอินซูลินพร้อมน้ำตาลผ่านผนังเซลล์ได้ ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งเป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการโปรตีนในการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆในร่างกาย แต่สามารถทานเนื้อสัตว์ได้

- โรคกระดูก และฟัน : สาหร่ายเกลียวทองมีแคลเซียมมากกว่านมวัวถึง 3 เท่า (เป็นทางเลือกที่ดีในการได้รับแคลเซียม สำหรับผู้ที่แพ้นมวัว)

- ภูมิแพ้ : เจอเมเนียนอินทรีย์ กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงานดีขึ้น สนับสนุนให้ร่างการผลิตสารเคมีกลุ่มไซโตคิน ทำให้เกิดภูมิต้านทานโรค

- ความดันโลหิตต่ำ , โลหิตจาง , เสียเลือดจากประจำเดือน : สาหร่ายเกลียวทองมีคลอโรฟิลล์(เลือดสีเขียว) เหล็ก และ วิตามิน B12 สูง ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง

- ความดันโลหิตสูง ,โรคหัวใจ : กรดไขมันไม่อิ่มตัว แกมม่า ไลโนเลนิก ช่วยลดคลอเลสเตอรอลในกระแสเลือด

- ตับอักเสบ : มีวิตามินอี , บี9 , บีรวม , ซีลิเนียม , ไฟโคไซยานิน , กรดไขมันไม่อิ่มตัว , กรดอมิโนที่จำเป็น ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของตับ อีกทั้งไม่เหลือกากของเสียให้ตับต้องทำงานหนักในการขับสารพิษที่ตกค้าง

- ไตอักเสบ : สามารถกำจัด สารไดออกซิน ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายได้มากกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กินสาหร่าย อีกทั้งมีสารอาหารที่จำเป็นที่ใช้ในการฟื้นฟูไต และไม่เหลือกากของเสียและสิ่งแปลกปลอมให้ไตต้องทำงานเพิ่มขึ้น

- มะเร็งต่างๆ : ป้องกันมะเร็ง โดยปรับสมดุลความเป็นกรดด่างในร่างกาย ช่วยให้เซลล์มะเร็งลดการแบ่งตัว เพราะสาหร่ายเกลียวทองมีความเป็นด่างสูง จึงช่วยเพิ่มความเป็นด่าง ลดความเป็นกรดภายในร่ายกาย ซึ่งร่างกายที่มีสภาวะเป็นกรดจะเป็นตัวกระตุ้นเซลล์มะเร็ง , โปรตีนที่ได้จากพืช ต่างจากโปรตีนที่ได้จากสัตว์ เพราะกระบวนการในการย่อยโปรตีนพืช ไม่ทำให้ร่างกายเกิดกรด ซึ่งต่างจากโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์

- โรคทางตา : มีวิตามินเอ ช่วยในการมองเห็น อีกทั้งช่วยฟื้นฟูตับ (ตาเป็นประตูของตับ) เมื่อตับฟื้น ก็ส่งผลให้ตาดีขึ้นด้วย

- โรคกระเพาะ : สาหร่ายมีคลอโรฟิลล์ อยู่มากเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากสาหร่ายคลอเรลล่า )คลอโรฟิลล์ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร และช่วยสมานแผลในกระเพาะ

- สมรรถภาพทางเพศ : สังกะสีจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการเจริญของระบบสืบพันธุ์ และช่วยให้ต่อมลูกหมากทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ป้องกันการเป็นหมัน

- โรคระบบทางเดินอาหาร , ท้องผูก : สนับสนุนให้จุลินทรีย์ที่ดีเติบโตเพิ่มขึ้น 200% ทำให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น

- ต้านอนุมูลอิสระ และ ต่อต้านความชรา : เบต้าแคโรทีน (มากกว่า หัวแครอท 25 เท่า ) ช่วยป้องกันความเสื่อมชรา สร้างภูมิต้านทานโรค

- พิษแอลกอฮอลล์ : โปรตีนในสาหร่ายเกลียวทอง ช่วยป้องกันพิษจากแอลกอฮอลล์ได้ อีกทั้งสนับสนุนให้ตับทำงานเพิ่มขึ้น สามารถกำจัดแอลกอฮอลล์ออกจากเลือดได้เร็วขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างครับ “อาหารที่ดี คือยาวิเศษ” ที่เค้าพูดกันไม่ได้ห่างไกลจากตัวเราเลย สาหร่ายเกลียวทองช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย โดยวิธี เติมเต็มส่วนขาด ทำให้ร่างกายได้รับ สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ บวกกับการมีความรู้ในการดูแลสุขภาพ เมื่อร่างกายกลับสู่สมดุล มหัศจรรย์แห่งธรรมชาติของร่างกายมนุย์ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงได้ด้วยตัวเองครับ
...............................................

เพิ่มเติม : กินสาหร่ายเกลียวทอง 9 กรัม จะได้สารบางชนิดเทียบเท่ากับ ?

#คลอโรฟิลล์ ที่ได้จากน้ำต้นข้าวสาลี wheat grass 85 ซีซี
#เหล็ก เท่ากับกิน ผักขมประมาณครึ่ง กิโลกรัม
#เบต้าแคโรทีน เท่ากับจากหัว แครอท 18 หัว
#โปแตสเซียม จากข้าวกล้อง ปริมาณ 2 ถ้วย
#ไวตามิน บี 12 ที่ได้จากเนื้อสเต็ก 2 ขีดครึ่ง
#ไวตามิน E จากจมูกข้าวสาลีขนาดกลาง 6 เม็ด
#กรดไขมันแกมม่าไลโนเลนิก (GLA)เทียบเท่ากัยน้ำมันดอกอีฟนิ่ง #พริมโรส (Evening Primrose) 3 แคปซูล
#แคลเซียม เท่ากับที่ได้จากนมวัว 3 แก้ว
...................................................

เอกสารอ้างอิง
- King of herb เขียนโดย ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน (อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
- The secrets of spirulina โดย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

สนับสนุนข้อมูลสุขภาพโดย : #สาหร่ายเกลียวทอง #เฮอร์บาเล่

ราคาขวดละ 550 บาท
****Promotion : ซื้อ 4 แถม 1 ***

Herbale callcenter : 086-318-7888-9

น้ำดื่ม สำคัญไฉน? ...แต่การดื่มน้ำที่ถูกวิธีนี่สิ สำคัญกว่า !!การดื่มน้ำที่ผิดวิธี คือสาเหตุหลักของการป่วยเป็นโรคต่างๆนา...
13/11/2014

น้ำดื่ม สำคัญไฉน? ...แต่การดื่มน้ำที่ถูกวิธีนี่สิ สำคัญกว่า !!

การดื่มน้ำที่ผิดวิธี คือสาเหตุหลักของการป่วยเป็นโรคต่างๆนานา เพราะน้ำมีผลต่อความหนืดข้นของเลือด สำคัญต่อระบบไหลเวียนของร่างกาย ทั้งเอาสารอาหารอ๊อกซิเจนไปเลี้ยง ,นำของเสียออกจากร่างกาย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าดื่มผิดวิธีในช่วงที่มีอาหารในกระเพาะ จะทำให้อาหารไม่ย่อย เมื่อย่อยไม่ได้ก็ถ่ายไม่ออก หมักหมมเน่าเสีย สร้างสารพิษท๊อกซินก่อให้เกิดเป็นโรคร้ายต่างๆไม่รู้จบ ดังนั้นมาเรียนรู้วิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้องกันครับ

การดื่มน้ำที่ถูกวิธี

- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย

- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว เพื่อให้ร่างกายค่อยๆดูดซึม ไม่เป็นภาระของไต

- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร

…………………………………

สนับสนุนข้อมูลสุขภาพโดย : #สาหร่ายเกลียวทอง #เฮอร์บาเล่

ราคาขวดละ 550 บาท
****Promotion : ซื้อ 4 แถม 1 ****

Herbale callcenter : 086-318-7888-9

สาหร่ายเกลียวทอง ยาวิเศษขนานแท้(ผู้จัดการออนไลน์ - น.ส.พ.ผู้จัดการรายวัน)สาหร่ายเกลียวทอง ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่มากนักสำหรับ...
10/11/2014

สาหร่ายเกลียวทอง ยาวิเศษขนานแท้
(ผู้จัดการออนไลน์ - น.ส.พ.ผู้จัดการรายวัน)

สาหร่ายเกลียวทอง ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่มากนักสำหรับหลายคน เพราะมันเป็นแค่สาหร่ายชนิดหนึ่ง ที่ทุกคนคงเคยได้ยิน แต่ใครจะรู้บ้างว่า เจ้าสาหร่ายสีเขียวชนิดนี้ เหมือนยาวิเศษขนานแท้ ที่สามารถรักษาได้สารพัดโรค เปรียบเป็นอาหารโอสถทิพย์ชั้นดี ที่แม้แต่คนร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงยังถามหา

มารู้จักกันให้ดีๆก่อนดีกว่าว่า สาหร่ายเกลียวทองคืออะไร สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินขนาดเล็ก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คือ คำจำกัดความของเจ้าสาหร่ายน้อยชนิดนี้

ที่ผ่านมาสาหร่ายเกลียวทอง ได้รับการทดลองเป็นอย่างดีในด้านการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ที่ประเทศ ญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติที่มนุษย์นำมาใช้เป็นอาหาร อย่างปลอดภัยมานานนับพันปีมาแล้ว

ด้วยปริมาณโปรตีนที่มากกว่า 60 % และสูงกว่าเนื้อวัวและไข่ถึง 3 เท่าของสาหร่ายเกลียวทอง ทำให้เห็นได้ว่า สาหร่ายชนิดนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงสารพัดวิตามิน ที่มีคุณค่าต่อร่างกาย อย่าง บี 1,2,3และ 12 วิตามิน C วิตามิน E และเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 20-25 เท่าของที่มีอยู่ในแครอท

ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่มากมายนี้เอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ และวงการแพทย์นำสาหร่ายชนิดนี้ มาพัฒนาให้สามารถรักษาโรคร้ายหลายโรคที่ในขณะนี้ยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้

ตอนนี้สาหร่ายเกลียวทองได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของพืชผักชนิดหนึ่ง เป็นเหมือนอาหารที่รับประทานกันทั่วไป แต่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก เพราะน้อยคนที่จะรู้ว่า อาหารชนิดนี้เปรียบเสมือนเป็นยาวิเศษ แหล่งอาหารสมองชั้นเลิศ

รู้มั้ยว่า สาหร่ายเกลียวทองเป็นแหล่งสำคัญของ

- กรดกลูมาติก ซึ่งมีความสำคัญในขบวนการเผาผลาญอาหารให้สมอง การที่รับกรดกลูมาติกเข้าไปมากๆ จะทำให้เกิดสมดุลทั้งในร่างกายและระบบประสาท ทำให้รู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาวและทำให้สุขภาพของสมองและบุคลิกภาพดีขึ้น

- แมงกานิส เป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญและช่วยเข้าไปเสริม การทำงานของประสาทสมอง

- ไอโซลิวซีน ในสาหร่ายเกลียวทองช่วยป้องกันความเสื่อมของระบบประสาท

- ลิวซีน ไปกระตุ้นสมองส่วนบนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและกระฉับกระเฉง

- เส้นประสาทของเรายังต้องการ ทริพโตโฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนอีกชนิดหนึ่ง และแวลีน(ตัวหนา) ก็จะช่วยให้คนหนุ่มสาวทั้งหลายมีความคิดที่สุขมขึ้นด้วย

- เบต้าแคโรทีน มีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทองมากที่สุดเท่าที่ มีการค้นพบมา และเจ้าเบต้าแคโรทีนนี่แหละที่เป็นสารต่อต้านมะเร็ง ทุกชนิด เบต้าแคโรทีนเป็นแหล่งวิตามินเอของมนุษย์เรามีการทดลอง กับสัตว์มากกว่า 100 ตัว
พบว่าวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนช่วยยับยั้ง การเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็งหลายชนิดได้ผลชะงัดนักเชียว และขณะนี้มีการยอมรับกัน อย่างแพร่หลายมากขึ้นว่า เมื่อนำมาใช้กับคนต้องได้ผลแน่นอน

- แลคโตบาซิลลัส ในลำไส้สร้างประโยชน์ถึง 3 ทางคือ ทำให้การย่อยและการดูดซึมดีขึ้น ป้องกันการติดเชื้อ และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และแน่นอนว่า สาหร่ายเกลียวทอง สามารถเสริมสร้าง แลคโตบาซิลลัสในลำไส้ได้ แล้วรู้มั้ยว่า การที่ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีล่ะก็ จะสามารถทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ และนั่นก็หมายถึงโรคเอดส์นั่นเอง

ตอนนี้ สาหร่ายเกลียวทองถูกนำมาใช้เป็นอาหารเสริมมากขึ้น และได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มเท่านั้น และสำหรับผู้ที่ขาดสารอาหาร สาหร่ายเกลียวทองก็สามารถทดแทนและทำให้ฟื้นตัวได้ในเวลาอันรวดเร็ว

โดยเฉพาะอย่างเด็กเล็กๆ เคยมีการทดลองโดยแพทย์สั่งจ่ายสาหร่ายเกลียวทองให้เด็ก เพื่อเป็นอาหารเสริมร่วมกับต้นอ่อนของข้าวบาร์เลย์อบ ผลปรากฎว่า เด็กๆ ฟื้นตัวเร็วจากอาการไม่อยากอาหาร ปัสสาวะรดที่นอน ท้องร่วงและ ท้องผูก

สำหรับสาวๆ ที่รักสวยรักงามอ่านถึงตรงนี้แล้ว อาจต้องสนใจ กันเป็นพิเศษสักนิดเพราะสาหร่ายเกลียวทองนอกจากเป็นอาหารเสริม บำรุงร่างกายแล้วยังสามารถใช้ลดน้ำหนักและบำรุงรักษาผิวพรรณ ลบรอยแผลเป็นต่างๆ ได้อีกด้วย ยาที่ผสมสาหร่ายเกลียวทอง จะช่วยกระตุ้นให้รอยแผลเป็นแห้งและจางหายเร็วขึ้น

ทั้งจากการ ใช้สาหร่ายเกลียวทองล้วนๆ ใช้น้ำคั้นจากสาหร่ายและ ใช้สารที่สกัดจากสาหร่ายเกลียวทอง ในรูปแบบของยาทั้งแบบครีม ยาทา และยาน้ำ ยิ่งถ้าเป็นเครื่องสำอางที่ผสมสาหร่ายเกลียวทองด้วยแล้วล่ะก็ ผิวพรรณจะทั้งสวย ใส และยังช่วยลดริ้วรอยอีกด้วย เพราะสาหร่ายเกลียวทองจะช่วยยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย ยีสต์และเชื้อราได้

หลังจากที่รู้จักมักจี่กับสาหร่ายเกลียวทอง กันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ทำให้รู้ว่า สรรพคุณของสาหร่ายชนิดนี้มีมากกว่าแค่สาหร่ายธรรมดาๆ ชนิดหนึ่ง ยังมีโรคอีกมากมาย ที่สาหร่ายเกลียวทองสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและบางโรคก็สามารถรักษาให้หายขาดได้อย่าง โรคเบาหวาน โรคตับอักเสบ โรคตา โลหิตจาง

ที่ดูจะเป็นข่าวดีที่สุดก็คงเป็นเรื่องของการทดลองสกัดสารจากสาหร่ายเกลียวทองและพบว่า คือ ซัลโฟไลปิด ที่เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของสาหร่ายนั้น มีผลต่อการยับยั้งไวรัสเอดส์ และเชื่อว่าต่อไปจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากขึ้น ถ้าหากมีการพัฒนาสารชนิดนี้ แล้วนำมาสกัด เป็นยารักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ได้ เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเกินความสามารถของมนุษย์ อย่างเราไปได้แน่นอน

- ผู้จัดการออนไลน์ - น.ส.พ.ผู้จัดการรายวัน
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
...............................

- สาหร่ายเกลียวทอง Herbale

ราคาขวดละ 550 บาท
****Promotion : ซื้อ 4 แถม 1 ****

Herbale callcenter : 086-318-7888-9

 #ไทรอยด์ โรคแห่งความร้อน กับธรรมชาติบำบัดช่วงปีที่ผ่านมานี้ผมพบคนไข้ที่มีปัญหากับไทรอยด์แทบจะทุกวัน บางวันหลายคน ส่วนให...
07/11/2014

#ไทรอยด์ โรคแห่งความร้อน กับธรรมชาติบำบัด

ช่วงปีที่ผ่านมานี้ผมพบคนไข้ที่มีปัญหากับไทรอยด์แทบจะทุกวัน บางวันหลายคน ส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรี แต่ละท่านต้องกินยากันทุกวัน บางท่านก็กลืนน้ำแร่แล้ว และก็ต้องกินฮอร์โมนตลอดชีวิต ทุกท่านที่เป็นโรคไทรอยด์ที่มาพบ ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะ ร่างกายขาดน้ำ และ กระเพาะอาหารไม่ย่อย

มารู้จักต่อมไทรอยด์กันก่อน ร่างกายเรานั้นมีต่อมอยู่มากมาย สามารถแบ่งเป็นต่อมขับหลั่งภายนอก กับต่อมขับหลั่งภายใน สารขับหลั่งภายนอกจะถูกขับออกมาทางท่อ ดังนั้นเราจึงเรียกว่า ต่อมมีท่อ เช่น ต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และลำไส้

ส่วนต่อมขับหลั่งภายในนั้นไม่มีท่อ จึงเรียกว่าต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ต่อมไทรอยด์ ซึ่งสารขับหลั่งจากต่อมไร้ท่อนี้ เรียกว่า ฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะเข้าสู่เส้นเลือดฝอยที่อยู่รอบๆ ตัวต่อมโดยตรง และจะไหลไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายตามการไหลเวียนของเลือด

ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมไร้ท่อที่อยู่ด้านหน้าของลำคอ ต่อมนี้มี 2 พู แผ่ออกด้านข้างและคลุมพื้นที่บริเวณด้านหน้าและด้านข้างของหลอดลม “ไธร็อกซิน” เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมไทรอยด์ สามารถเพิ่มปริมาณความร้อนในร่างกาย ซึ่งตรงกับหน้าที่ของหยางในไต ต่อมนี้มีความสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข หากต่อมไทรอยด์นี้ทำงานผิดปกติมากหรือน้อยเกินไป จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆ

โรคของต่อมไทรอยด์มีหลายชนิด เช่นไฮเปอร์ไทรอยด์(ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ), ไฮโปไทรอยด์, ต่อมไทรอยด์อักเสบ, มะเร็งต่อมไทรอยด์

- อาการที่จะบอกว่าเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์(ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ) หรือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมาก เกินไป คือ ทั้งๆที่รับประทานอาหารมาก หิวบ่อย กินเก่ง แต่น้ำหนักตัวกลับลดลง เหนื่อยง่าย ใจสั่น ขี้ร้อน เคืองตา คันตา ตาอักเสบบ่อย หรือตาโปน

- อาการที่จะบอกว่าเป็นไฮโปไทรอยด์ หรือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย เกินไป คือ รับประทานอาหารตามปกติ ไม่ได้หิวหรือกินมาก แต่น้ำหนักกลับเพิ่ม ตัวบวม หน้าบวม เฉื่อยชาเหมือนคนขี้เกียจ อ่อนเพลีย ขี้หนาว ผมร่วง ผิวแห้ง

ร่างกายขาดน้ำ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นกับต่อมไทรอยด์ เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ อวัยวะทั้งภายในและภายนอกก็จะพากันร้อนไปหมดโดยเฉพาะตับ เมื่อร้อนจะมีผลกระทบกับต่อมไทรอยด์นี้มาก เพราะเส้นลมปราณตับที่เดินผ่านจากตับขึ้นมาที่ลำคอ เดินเรียบขนานกับลำคอไปที่คอหอยซึ่งเป็นที่ตั้งของต่อมไทรอยด์ ขึ้นไปสู่ศีรษะ เมื่อตับร้อน ก็ส่งผลกระทบต่อต่อมไทรอยด์นี้แน่นอน เหมือนถูกเผา

พลังตับ หรือลมตับจะขึ้นสู่เบื้องบน อวัยวะส่วนไหนที่อยู่ใกล้ตับ หรืออยู่เหนือตับขึ้นไป ก็จะถูกเผาให้ร้อนไปตามๆ กัน ตามที่เราจะเห็นได้ว่า “ตาเป็นประตูของตับ” ตาแดง และเมื่อศีรษะร้อน หรือปวดหัวด้านบน ก็เพราะตับร้อนนี่แหละ

หลายท่านอาจจะเถียงคอเป็นเอ็นได้ว่าดื่มน้ำเยอะ ดื่มน้ำมาก วันละ 2-3 ลิตร หรือบางท่านบอกว่าดื่มตั้ง 5 ลิตร แล้วจะมาบอกว่าขาดน้ำได้อย่างไร

ผมไม่ได้ว่าท่านดื่มน้ำน้อย แต่บอกว่า “ขาดน้ำ” ดื่มน้ำมากจริง แต่ดื่มแล้วร่างกายดูดซึมไว้ไม่ได้ เพราะเล่นดื่มครั้งละ 1-2 แก้ว หรือบางท่านดื่มทีละเป็นขวด ลำไส้เราดูดซึมรับไว้ไม่ทัน ปัสสาวะทิ้งหมด ดังที่ผมว่าเมื่อเราให้น้ำกับต้นไม้ น้ำหยดทีละหยด รากต้นไม้ดูดซึมทัน ต้นไม้ก็อยู่ได้ ไม่ขาดน้ำ แต่ถ้าเทรดลงไปเป็นถังๆ น้ำก็ไหลลงดินไปหมด ต้นไม้ดูดซึมซับไว้ไม่ทัน เปลืองน้ำ และต้นไม้ก็ขาดน้ำได้ เช่นเดียวกับคนเราถ้าดื่มน้ำมากๆ น้ำก็ไหลออกไปหมดเช่นกัน นี่คือการขาดน้ำตามที่ผมหมายความถึง

กระเพาะอาหารไม่ย่อย เมื่ออาหารที่เราทานเข้าไปไม่ย่อยแล้ว อาหารที่ว่าดีๆ นั้นก็พากันหมักเน่าเหม็น กลายเป็นถังหมักแก๊ส ที่ผลิตแก๊สพิษที่ร้อนทั้งวันทั้งคืนไม่มีเวลาพัก ธรรมชาติของความร้อนก็จะพุ่งขึ้นเบื้องบน ซึ่งก็ผ่านลำคอที่มีต่อมไทรอยด์ตั้งอยู่ ต่อมนี้ก็เลยต้องถูกไอร้อนพุ่งขึ้นจากกระเพาะอาหารและลำไส้เผาอยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที

จาก 2 กรณีตามที่ผมว่ามา ลองหลับตานึกวาดภาพปลาที่เขานำมาย่างรมควันบนเตาถ่านอยู่ ลักษณะจะเป็นอย่างไร มันจะแห้งจนกรอบเลยใช่ไหม แล้วต่อมไทรอยด์ของเราล่ะ มันจะอึดอดทนตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่ได้อย่างไร เมื่อเขาถูกย่างไฟอยู่ตลอด มันก็ต้องเพี้ยนไปหมดแหละ ว่าไหมครับ

แล้วเราจะไปมัวแต่จะใช้ “ ยา ” ไปบีบบังคับเขาให้ทำงานอยู่อีกได้ไหม? เขาทำไม่ไหวหรอก เขาจะทำได้หรือในเมื่อตัวเขาเองยังถูกปิ้งย่างอยู่อย่างนั้น ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปช่วยใครได้อีกเล่า ผู้ที่มีปัญหากับไทรอยด์ ลองจับคอ หลัง ไหล่ จับศีรษะท่านดูเถอะ ว่ามันร้อนขนาดไหน คอก็จะแดง ตาก็จะแดง บางท่านตาโปนออกมา ก็เพราะไอความร้อนที่ดันพุ่งขึ้นดันลูกนัยน์ตาจนโปนออก ที่ทางการแพทย์เขาว่า ความดันลูกตาสูงนั่นแหละ อะไรมันจะดันได้ล่ะถ้าไม่ใช่ลมหรือแก๊ส

คุณพรสิตา สุภาพสตรีวัย 45 ปี น้ำหนัก 43 กิโลกรัม เป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ มีอาการเหนื่อย เหงื่อออกมาก หน้าตาแดง คอแดง ขี้เกียจ อยากนอนไม่อยากจะทำอะไร สมองตื้อคิดอะไรไม่ออก ตาหนักๆ เริ่มตาปูดโปนออกมาแล้ว รอบเดือนก็หายไป ซึมเศร้ารู้สึกหดหู่ ตอนนี้กินยาวันละ 3 เม็ด

“เคยเป็นมาก่อนแล้ว รักษาติดต่อกันมา 2 ปี ต้องพบหมอตรวจทุก 2 เดือน กินยาวันละ 5 เม็ด แล้วค่อยลดลงมา จนหายไปได้ 4 เดือน แล้วโรคนี้ก็กลับมาเยือนใหม่ หมอบอกว่าต้องกินยาตลอดชีวิต หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องกลืนน้ำแร่ แต่ต้องจองคิวเป็นเดือน ต้องอยู่ห้องพิเศษ เก็บตัวอยู่คนเดียว ลูกเต้าอยู่ด้วยไม่ได้ หนูได้ฟังก็กลัวแล้ว” เธอว่าให้ฟัง

พฤติกรรมของเธอ ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว เป็นน้ำเย็นช่วงรับประทานอาหาร ตื่นเช้าก็กาแฟร้อนก่อนเลย อาหารมื้อแรกกลายเป็นมื้อเที่ยง แล้วตามด้วยน้ำอัดลม บางมื้อตามด้วยน้ำผลไม้เป็นกล่องๆ ไม่ชอบทานผักและผลไม้นัก

อีกท่านหนึ่ง คือ คุณสุนทรีย์ อายุ 57 ปี น้ำหนัก 54 กก. เป็นโรคไทรอยด์ ตั้งแต่อายุ 16 ปี รักษาโดยการทานน้ำแร่กัมมันตรังสี และต้องทานยาฮอร์โมนตั้งแต่นั้นมา หมอบอกให้ทานตลอดชีวิต ถ้าไม่ทานยา ร่างกายจะไม่เผาผลาญ ทำให้อ้วน เฉื่อยชา พูดติดอ่าง

นอกจากไทรอยด์แล้ว ยังมีอาการชาที่ฝ่าเท้า เจ็บเหมือนมีเข็มทิ่ม มือก็ชา เป็นเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว, กระพริบตาบ่อย โดยเฉพาะเวลาเครียด ขอบตาดำ เคยผ่าตัดซีสต์ และ ตัดมดลูกรังไข่ออกทั้งหมด

ก็จะไม่ให้ป่วยขนาดนี้ได้อย่าง ไร ลองดูอาหารการกินของเธอ ทานแต่น้ำเย็นทั้งวัน, น้ำอัดลม แบบไดเอ็ทไม่ใส่น้ำตาล 3 กระป๋อง ตื่นเช้าก็ไม่ทานน้ำ ทั้งวันก็ทานน้ำ 3-4 แก้วเท่านั้น ทั้งๆที่ตามน้ำหนักตัวต้องทานน้ำ อย่างน้อย 1.8 ลิตร หรือ 9 แก้ว ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ วันๆก็อยู่แต่ห้องแล็บ ซึ่งเป็นห้องแอร์ ไม่จำเป็นต้องทานน้ำเย็น แต่ก็ทานน้ำเย็นตลอด
ผมได้แนะนำให้ทานอาหารผัก น้ำพริก, ข้าวกล้อง, งดน้ำเย็น, งดน้ำอัดลม และทานน้ำขั้นต่ำ 1.8 ลิตร ตามที่คำนวณ, นวด 10 ครั้ง ภายในเวลา 2 เดือน ปรากฏว่าอาการเจ็บป่วยเริ่มดีขึ้น มีความสุขในการดำเนินชีวิต

…..............................

ดังนั้นวิธีการที่จะบำบัดโรคไทรอยด์ ก็ต้องลดความร้อนในร่างกาย และทำให้ระบบย่อยอาหาร ย่อยได้ดีขึ้น

อันดับแรก ต้องดื่มน้ำให้ ถูกวิธี
- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย
- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว
- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร

ไทรอยด์แบ่งตามอาการเป็น 2 ประเภท

1. ไฮเปอร์ไทรอยด์ คือ อาการที่ร่างกายมีความร้อนมากเกิน จากการใช้ร่างกายที่หนักขาดการพักผ่อน ทำให้สารอาหารในเลือดถูกดึงมาใช้จนหมด ต้องดึงเอาพลังงานสำรองออกมาใช้ตลอด มีอาการนอนไม่หลับ ความเครียดสูงทำให้ตับร้อน

วิธีการฟื้นฟู และ สมุนไพรที่ใช้
- ย่านาง ,รางจืด ,ฟ้าทะลายโจร ,บอระเพ็ด ,มะระขี้นก ,ต้นลูกใต้ใบ สมุนไพรช่วยลดความร้อน สงบความร้อนของตับ
- สาหร่ายเกลียวทอง เติมสารอาหารให้เลือด เสริมโปรตีนเพื่อใช้ในการฟื้นฟู และลดการทำงานของ ตับ
- ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตเสียใหม่ รับประทานอาหารให้เป็นเวลา ไม่ใช่ตื่นเช้าขึ้นมาก็ดื่มกาแฟแก้วเดียว เพื่อปลุกชีวิตให้คืนชีพ จะได้สดชื่น แล้วก็ไปรับประทานอาหารมื้อแรกเอาตอนเที่ยงวัน ร่างกายจะมีสารอาหารมาบำรุงซ่อมแซมร่างกายได้อย่างไร ไม่ควรเข้านอนเกิน 5 ทุ่ม เพื่อให้ถุงน้ำดีได้พัก และตับได้ทำงานที่ควรจะทำตามนาฬิกาชีวิต จะได้มีเรี่ยวแรงทำงานต่อไปได้

2. ไฮโปไทรอยด์ คือ อาการที่ตามมาหลังจากร่างกายหมดพลังงานสำรอง จากการสภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์ ดังนั้นจึงรู้สึกหมดแรง อ่อนเพลีย ซึ่งทั้งหมดเกิดจากพฤติกรรมทำร้ายร่างกายที่สะสมมายาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบดื่มสารกระตุ้นประเภทกาแฟแทนอาหารเช้า

วิธีการฟื้นฟู และ สมุนไพรที่ใช้
- สมุนไพรขมิ้นชันแคปซูล เพื่อปรับสมดุลให้กระเพาะย่อยอาหารได้ดีขึ้น เมื่อย่อยได้ อาหารก็ไม่เน่าเสีย มีประโยชน์ต่อการนำไปใช้ฟื้นฟูร่างกาย / ทานก่อนอาหาร 2-3 แคปซูล
- สาหร่ายเกลียวทอง เติมสารอาหารให้เลือด เสริมโปรตีนเพื่อใช้ในการฟื้นฟู และลดการทำงานของ ตับ / ทานตอนตื่นนอน 5 เม็ด + น้ำ 2 แก้ว
- โสม ช่วยฟื้นฟูอวัยวะตันทั้ง 5 คือ หัวใจ ปอด ม้าม ตับ และ ไต ทำให้เกิดสมดุล อวัยวะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เลือดลมไหลเวียน รู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่อ่อนเพลีย
- นวดฝ่าเท้า และนวดตัว เพื่อกระตุ้น ให้อวัยวะภายในกลับมาทำงานได้ดีขึ้น แนะนำให้หาเวลานวด สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
- ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตเสียใหม่ รับประทานอาหารให้เป็นเวลา ไม่ใช่ตื่นเช้าขึ้นมาก็ดื่มกาแฟแก้วเดียว เพื่อปลุกชีวิตให้คืนชีพ จะได้สดชื่น แล้วก็ไปรับประทานอาหารมื้อแรกเอาตอนเที่ยงวัน ร่างกายจะมีสารอาหารมาบำรุงซ่อมแซมร่างกายได้อย่างไร ไม่ควรเข้านอนเกิน 5 ทุ่ม เพื่อให้ถุงน้ำดีได้พัก และตับได้ทำงานที่ควรจะทำตามนาฬิกาชีวิต จะได้มีเรี่ยวแรงทำงานต่อไปได้

….............................

สนับสนุนข้อมูลสุขภาพโดย : #สาหร่ายเกลียวทอง #เฮอบาเล่

ราคาขวดละ 550 บาท
****Promotion : ซื้อ 4 แถม 1 ****

Herbale callcenter : 086-318-7888-9

ที่อยู่

662/3 Rama3
Bangkok
10120

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Herbaleผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Herbale:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram