Pui Shop For Man ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงร่างกาย แล

แรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ สู้ตลอด
หยุดทุกปัญหา นกเขาไม่ขัน นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ปวดเมื่อย ไม่มีแรง จิตใจไม่แจ่มใส ห่อเหี่ยว ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 7 ชนิด...............................
สิ่งที่จะได้เมื่อทาน!
▶ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี
▶แก้นกเขาไม่ขัน
▶แก้ปวดหลัง ปวดเอว
▶ลดระดับน้ำตาลในเลือด
▶ลดคอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์
▶ส่งเสริมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ
▶เพิ่มความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด
▶ลดความเครียด ช่วยให้หลับสนิท
▶ป้องกันโรคหัวใจ
▶ช่วยขยายหลอดเลือด
▶ปรับความดันสูงหรือต่ำให้เป็นปกติ
▶ป้องกันเส้นเลือดฝอยในสมองแตก
▶ช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกายลดอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของมะเร็ง
▶บรรเทาอาการของโรคเบาหวาน บำรุงปอด บำรุงไต อาการหอบหืด
▶ช่วยให้ผิวพรรณสดใส
▶ช่วยการทำงานของระบบประสาท
เลขทะเบียน อย. 24-1-20555-1-0133

สาเหตุของโรคเก๊าท์โรคเก๊าท์เป็นผลมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นภาวะของร่างกายที่มีการสะสมของกรดยูร...
28/05/2019

สาเหตุของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์เป็นผลมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นภาวะของร่างกายที่มีการสะสมของกรดยูริกในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เกิดการตกผลึกตามข้อต่าง ๆ จนเกิดอาการปวดบวมตามข้ออย่างรุนแรงและอาการอื่น ๆ ของโรคตามมา

กรดยูริกเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งในเลือดที่ได้มาจากการย่อยสลายสารพิวรีน (Purines) ในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายและอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยร่างกายจะมีการปรับสมดุลของกรดยูริกด้วยการกรองจากไตก่อนมีการขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ เมื่อมีปริมาณกรดยูริกมากขึ้นจากการสร้างของร่างกาย จากการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง หรือไตมีความผิดปกติในการกรองสารพิวรีน มักนำไปสู่ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น

การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
การรับประทานอาหารทีมีสารพิวรีนมากเกินไป เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้งเคยหรือกะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ สารสกัดจากยีสต์
ได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ
การดื่มน้ำอัดลมเกินปริมาณที่พอดีต่อวัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำอัดลมประเภทที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอาจเพิ่มการสะสมกรดยูริกในเลือดได้สูงถึง 85% นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลไม้และน้ำผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่มาก
อาการเจ็บป่วยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น โรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง หรือความผิดปกติทางเลือดบางอย่าง
ยาบางประเภทที่ส่งผลต่อระดับกรดยูริกในร่างกาย เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาเคมีบำบัดบางชนิด ยาแอสไพริน และยาลดความดันโลหิตบางชนิด
โรคประจำตัวหรือสภาวะของร่างกายบางอย่าง เช่น ภาวะอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ไตทำงานผิดปกติ โรคเบาหวาน โรคพร่องเอนไซม์ ความผิดปกติของไขกระดูก โรคหลอดเลือดผิดปกติ
มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โดยพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย

┏━━━━━━━━━━━━━━┓
✦ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ✦
┗━━━━━━━━━━━━━━┛
ติดต่อ 🌹คุณเกล🌹
☎โทร : 064-9978742

หรือคลิกลิงค์คุยทางไลน์
https://line.me/R/ti/p/%40aal5288e

ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น ทำความเข้าใจปัญหาด้านสายตาและดวงตากว่า 60% ของประชากรโลกหรือมากกว่า 4.5 พันล้านคนต้องใช้เลนส์หร...
27/05/2019

ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น ทำความเข้าใจปัญหาด้านสายตาและดวงตา
กว่า 60% ของประชากรโลกหรือมากกว่า 4.5 พันล้านคนต้องใช้เลนส์หรือกระบวนการในการแก้ไขปัญหาสายตาและการมองเห็น ในฐานะที่เอสซีลอร์เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเลนส์แว่นตาระดับโลก เรามุ่งเน้นแก้ไขปัญหาด้านการมองเห็นทุกรูปแบบ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะความผิดปกของสายตารูปแบบต่างๆ จะช่วยในการตัดสินใจที่ถูกต้องเพื่อสุขภาพดวงตาของคุณ

กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม และอายุ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อดวงตา เพราะดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่ซับซ้อนที่สุดในร่างกายมนุษย์ ผลกระทบจากสิ่งที่กล่าวมามีตั้งแต่ความไม่สบายตาไปจนถึงปัญหาการมองเห็นที่รุนแรงมากขึ้นที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสายตา ปัญหาเหล่านี้สามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้:

ภาวะดวงตา: ปัญหาความผิดปกติที่ส่งผลต่อวิสัยทัศน์และความบกพร่องของการทำงานทางสายตา อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะสายตาสั้น สายตายาวและภาวะทางสายตาอื่น ๆ อีกมากมายที่อาจมีผลต่อคุณหรือคนที่คุณรัก

โรคตา: โรคตาเป็นปัญหาที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อปัจจัยภายในและภายนอก อ่านเพิ่มเติมได้เกี่ยวกับโรคตาต่างๆ ที่อาจเกิดกับคุณ เช่น โรคต้อหิน ไปจนถึงโรคตาแดงหรือ 'ตาสีชมพู'

อาการที่เกี่ยวกับการมองเห็น: อาการเหล่านี้เป็นอาการทางสายตาที่พบได้ทั่วไปซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคตาหรือสภาวะของดวงตา อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการมองเห็นพร่ามัว ตาล้า และอาการอื่น ๆ ที่อาจสร้างความรุนแรงแก่ดวงตาคุณ

┏━━━━━━━━━━━━━━┓
✦ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ✦
┗━━━━━━━━━━━━━━┛
ติดต่อ 🌹คุณเกล🌹
☎โทร : 064-9978742

หรือคลิกลิงค์คุยทางไลน์
https://line.me/R/ti/p/%40aal5288e

รู้จัก..โรคเลือด มะเร็งร้ายเม็ดเลือดหากเอ่ยถึง...“โรคเลือด” หลายท่านอาจรู้สึกคุ้นหูและคิดว่าโรคเลือดก็คือ...“ภาวะโลหิตจา...
26/05/2019

รู้จัก..โรคเลือด มะเร็งร้ายเม็ดเลือด

หากเอ่ยถึง...“โรคเลือด” หลายท่านอาจรู้สึกคุ้นหูและคิดว่าโรคเลือดก็คือ...“ภาวะโลหิตจาง” หรือไม่ก็...“โรคธาลัสซีเมีย” แต่จริง ๆ แล้วโรคเลือดมีความหมายกว้างและครอบคลุมโรคต่าง ๆ มากกว่านั้น โดยจะรวมไปถึง...โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไขกระดูกฝ่อ

ในประเทศไทยพบว่ามีแนวโน้มพบผู้ป่วยโรคระบบโลหิตนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในร่างกายคนเรา แม้ร่างกายจะมีกระบวนการจัดการความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ถ้าวันใดเกิดความไม่สมดุลในร่างกาย เช่น วิตกกังวล การติดเชื้อ การได้รับสารเคมีบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน...

ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เสียสมดุลของกลไกทางภูมิคุ้มกัน “เซลล์ที่ผิดปกติ” ก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและควบคุมไม่อยู่จนกลายเป็น “มะเร็ง” ในที่สุด

นั่นเป็นเพราะว่า “ระบบเลือด” เป็นระบบที่สำคัญของร่างกายรองจากปอดและหัวใจ ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โรคทางระบบโลหิตวิทยา หรือโรคเลือด หมายถึง โรคหรือความผิดปกติของเม็ดเลือด ไขกระดูก ระบบ reticuloendothelial ต่อมน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งปัจจัยของการแข็งตัวของเลือด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มมะเร็งระบบเลือด ซึ่งพบได้บ่อย เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) มะเร็งไขกระดูก (Multiple Myeloma หรือ MM)
2.กลุ่มโรคเลือดที่ไม่ใช่มะเร็ง ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
-โรคที่มีภาวะโลหิตจาง เช่น โรคธาลัสซีเมียซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม โลหิตจางจากการขาดเหล็ก โลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 และโฟเลต ผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้จะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ออกกำลังกายแล้วเหนื่อย ในกรณีที่เป็นรุนแรงอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้��

-โรคที่มีความผิดปกติของไขกระดูก เช่น โรคไขกระดูกฝ่อ เกิดจากการที่ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดได้น้อยลง ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการซีด เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง มีจ้ำเลือด เลือดออก เป็นไข้และมีโรคติดเชื้อ

-โรคมะเร็งระบบเลือด เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (Acute Leukemia) โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง (Chronic Leukemia) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง��“ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันจะมีจ้ำเลือด จุดเลือดออก เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดประจำเดือนออกมากมีไข้และโลหิตจาง...ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังมีม้ามโต หรือต่อมน้ำเหลืองโต ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองพบมีต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ ก้อนโตเร็ว แต่ไม่เจ็บ”

-โรคที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น โรคเลือดไหลไม่หยุด โรคเลือดออกผิดปกติจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคตับ หรือภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วไปในหลอดเลือด

-โรคที่มีการอุดตันของหลอดเลือดดำ ที่พบบ่อย คือ หลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน ทำให้มีขาบวมข้างเดียว ก้อนเลือดอาจหลุดไปอุดที่หลอดเลือดในปอดได้

“เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่นำออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนเม็ดเลือดขาวก็เหมือนทหารทำหน้าที่ป้องกัน...ต่อสู้เชื้อโรค ส่วนเกล็ดเลือดก็มีหน้าที่ทำให้เลือดหยุด”

แล้วคุณสมบัติอันที่สองก็คือ จำนวนเม็ดเลือดทั้ง 3 ชนิดที่ว่านี้ต้องมีจำนวนพอเหมาะพอดี ไม่มากไปไม่น้อยไป ซึ่งมีโรงงานที่สร้างเรียกว่าไขกระดูกอยู่ในโพรงกระดูก พวกเราส่วนใหญ่ผู้ใหญ่ก็อยู่ในกระดูกแบน ๆ เช่น กระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกสันหน้าอก กระดูกสะโพก

การสร้างเม็ดเลือดในไขกระดูกก็เริ่มต้นจากเซลล์ตัวแรกที่เรียกว่า “สเต็มเซลล์” หรือ “เซลล์ต้นกำเนิด” แล้วก็เจริญตัวถัดไปแยกเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด หลังจากนั้นก็จะมีการแบ่งตัวอีกสี่ห้าขั้นตอน จนกระทั่งได้เป็นตัวหนุ่มสาวถึงจะปล่อยไปในเลือด ความต่างก็คือว่า เม็ดเลือดที่อยู่ในไขกระดูกยังเป็นเม็ดเลือดที่ทำหน้าที่ไม่ได้ พอโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ทำหน้าที่ได้ก็ปล่อยออกไปในเลือด

“ลูคีเมีย” หรือ “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” เป็นความผิดปกติของตัวอ่อนเม็ดเลือดขาวระยะที่ถัดมาจากเซลล์ต้นกำเนิดหรือ
สเต็มเซลล์โดยที่มีการเพิ่มจำนวน เพิ่มแบบมะเร็ง เพิ่มแบบไม่หยุดยั้ง คือมีการเพิ่มตลอดเวลา

“ลูคีเมีย” ก็แบ่งแยกย่อยไปได้อีก 2 ชนิด ชนิดเฉียบพลันกับชนิดเรื้อรัง ชนิดเฉียบพลัน จะไม่มีการเจริญเป็นตัวที่แก่เลย เป็นแต่ตัวอ่อนทั้งนั้น พวกนี้จะสะสมอยู่ในไขกระดูกทำให้ไปเบียดการสร้างเม็ดเลือดปกติของไขกระดูก เพราะฉะนั้นก็จะมีผลทำให้เม็ดเลือดปกติลดลง ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดลดลง

พอลดลงก็จะมีอาการผิดปกติ เช่น เม็ดเลือดแดงนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมีน้อย อวัยวะต่าง ๆ ก็ขาดเลือดก็เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซีด ส่วนเม็ดเลือดขาวพอต่ำก็มีไข้ เพราะเกี่ยวข้องกับการทำลายเชื้อโรค แล้วเกล็ดเลือดต่ำก็มีผลในเรื่องเลือดออกผิดปกติ มีเลือดออกตามผิวหนัง มีจ้ำเลือดใหญ่ ๆ หรือว่ามีเลือดออกจากอวัยวะสำคัญอื่น เช่น จมูก ไรฟัน หรือแม้กระทั่งปัสสาวะเป็นเลือด

“การรักษาทำอย่างนี้ ต้องเคมีบำบัดก่อน ให้ยาเคมีบำบัดไปฆ่า ทำลาย เซลล์มะเร็งลูคีเมียในไขกระดูก พอให้ยาปุ๊บ...เซลล์ในไขกระดูกก็ถูกทำลายไปด้วย ฉะนั้นการให้ยาไม่ใช่ว่าจะให้ทีเดียวตลอดเวลา แต่ต้องให้เป็นพัก ๆ สาม...สี่...ห้าวัน เจ็ดวันครั้ง พอให้เสร็จแล้วก็หยุดเพื่อให้ไขกระดูกฟื้นตัว”

คำว่าหายคือเซลล์มะเร็งในไขกระดูกน้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์... การสร้างเม็ดเลือดในไขกระดูกเป็นปกติ

ปัญหาสำคัญมีว่า หายแล้วแต่โรคมะเร็งก็มีโอกาสกลับมาเป็นขึ้นอีก ปัจจุบันมีวิทยาการใหม่ในการรักษาด้วย “การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด” หรือที่เรียกว่า “การปลูกถ่ายไขกระดูก” เข้ามาใช้ ก็คือการให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงแล้วตามด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์หรือการปลูกถ่ายไขกระดูกโดยใช้ไขกระดูกของคนอื่น

┏━━━━━━━━━━━━━━┓
✦ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ✦
┗━━━━━━━━━━━━━━┛
ติดต่อ 🌹คุณเกล🌹
☎โทร : 064-9978742

หรือคลิกลิงค์คุยทางไลน์
https://line.me/R/ti/p/%40aal5288e

ทำความรู้จัก"โรคซึมเศร้า" และวิธีดูแล ฟื้นฟู จิตใจโรคซึมเศร้า เป็นโรคหนึ่งซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงชีวิตของคนเรา เหมือ...
23/05/2019

ทำความรู้จัก"โรคซึมเศร้า" และวิธีดูแล ฟื้นฟู จิตใจ

โรคซึมเศร้า เป็นโรคหนึ่งซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงชีวิตของคนเรา เหมือนกับโรคทางกายอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่เป็นนั้นจะเป็นคนอ่อนแอ ล้มเหลว หรือไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพียงการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นได้โดยมีสาเหตุ เช่น การสูญเสีย การหย่าร้าง ความผิดหวัง และเกิดได้เองโดยไม่มีสาเหตุใดๆ ซึ่งในปัจจุบันโรคนี้สามารถรักษาหายได้ด้วยการใช้ยา การรักษาทางจิตใจ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน

“ซึมเศร้า” ทางการแพทย์ หรือ Clinical depression หมายถึง ภาวะซึมเศร้าที่มีมากกว่าอารมณ์เศร้า และเป็นพยาธิสภาพแบบหนึ่งที่พบได้ในหลายๆ โรคทางจิตเวช โดยเฉพาะโรคทางอารมณ์ คือ โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder หรือ Depressive Episode) และ โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) โรคทางอายุรกรรมบางโรค สารยาบางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการซึมเศร้าที่รุนแรงได้

สาเหตุของโรคซึมเศร้า
สาเหตุที่จะกระตุ้นการเกิดโรคซึมเศร้าที่พบบ่อยก็คือ การมีทั้งความเสี่ยงทางพันธุกรรม, ทางสภาพจิตใจ, ประจวบกับการเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย ร่วมกันทั้ง 3 ปัจจัย

1.โรคซึมเศร้าเกิดจากความเครียด แต่ทั้งนี้คนที่ไม่มีญาติเคยป่วยก็อาจเกิดเป็นโรคนี้ได้ มักพบว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีความผิดปกติของระดับสารเคมี ที่เซลล์สมองสร้างขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของอารมณ์
2.สภาพทางจิตใจที่เกิดจากการเลี้ยงดู ก็เป็นปัจจัยที่เสี่ยงอีกประการหนึ่งต่อการเกิดโรคซึมเศร้าเช่นกัน คนที่ขาดความภูมิใจในตนเองมองตนเองและโลกที่เขาอยู่ในแง่ลบตลอดเวลา หรือเครียดง่ายเมื่อเจอกับมรสุมชีวิต ล้วนทำให้เขาเหล่านั้นมีโอกาสป่วยง่ายขึ้น
3.การเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย เช่น หากชีวิตพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดไม่ราบรื่น หรือต้องมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ปรารถนา ก็อาจกระตุ้นให้โรคซึมเศร้ากำเริบได้
อาการของโรคซึมเศร้า
(-)โรคซึมเศร้ามีอาการรู้สึกเศร้าใจ หม่นหมอง หงุดหงิด หรือรู้สึกกังวลใจ ไม่สบายใจ
(-)ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หรือสิ่งที่เคยให้ความสนุกสนานในอดีต
(-)น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้น ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลงไป
(-)นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินกว่าปกติ
(-)คนที่เป็นโรคซึมเศร้า จะรู้สึกผิด สิ้นหวัง หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
(-)ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ความจำแย่ลง
(-)อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ไม่มีเรี่ยวแรง
(-)กระวนกระวาย ไม่อยากทำกิจกรรมใดๆ
(-)คิดถึงแต่ความตาย และอยากที่จะฆ่าตัวตาย

┏━━━━━━━━━━━━━━┓
✦ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ✦
┗━━━━━━━━━━━━━━┛
ติดต่อ 🌹คุณเกล🌹
☎โทร : 064-9978742

หรือคลิกลิงค์คุยทางไลน์
https://line.me/R/ti/p/%40aal5288e

🤹‍♂️สมาธิสั้นใกล้ตัวเด็กกว่าที่คิด🤹‍♀️พัฒนาการของเจ้าตัวเล็กบางครั้งอาจบ่งบอกความผิดปกติได้ ขอเพียงพ่อแม่ผู้ปกครองหมั่นส...
22/05/2019

🤹‍♂️สมาธิสั้นใกล้ตัวเด็กกว่าที่คิด🤹‍♀️

พัฒนาการของเจ้าตัวเล็กบางครั้งอาจบ่งบอกความผิดปกติได้ ขอเพียงพ่อแม่ผู้ปกครองหมั่นสังเกตและอย่าปล่อยผ่านเมื่อเกิดความสงสัย โดยเฉพาะโรคสมาธิสั้น (ADHD-Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ที่จากผลสำรวจล่าสุดของกรมสุขภาพจิตในปี 2559 พบว่า เด็กอายุ 6 - 15 ปีทั่วประเทศเป็นโรคนี้ถึงประมาณ 420,000 คน พบในเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 4 - 6 เท่า และในห้องเรียนที่มีจำนวนเด็กเฉลี่ย 40 - 50 คน พบเด็กที่เป็นโรคนี้แล้ว 2 - 3 คน ดังนั้นหากรู้เท่าทันและรักษาได้ทันท่วงทีย่อมช่วยให้อาการของเจ้าตัวเล็กดีขึ้นและเติบโตได้อย่างมีความสุข

รู้จักโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้น (ADHD-Attention Deficit Hyperactivity Disorder) คือ ภาวะผิดปกติทางจิตเวชที่ส่งผลให้มีสมาธิสั้นกว่าปกติ ขาดการควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีลักษณะอาการซุกซน วอกแวกง่าย ไม่เคยอยู่นิ่ง เวลาที่พูดด้วยจะไม่ตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ขาดความรับผิดชอบ พบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็กที่มีช่วงอายุระหว่าง 3 - 7 ปี แต่ในรายที่เป็นไม่มาก อาการจะแสดงออกชัดเจนกว่าในช่วงหลัง 7 ขวบขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ต้องเข้าโรงเรียนมีงานและการบ้านต้องรับผิดชอบหลาย ๆ ชิ้นในเวลาเดียวกัน มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคุณครู รวมไปถึงการที่จะต้องรู้จักปรับตัวในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นและการเข้าสังคม โดยสาเหตุแท้จริงนั้นไม่สามารถทราบได้ชัดเจน แต่หนึ่งในนั้นคือการที่สมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสมาธิและการยับยั้งชั่งใจทำงานน้อยกว่าปกติ

┏━━━━━━━━━━━━━━┓
✦ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ✦
┗━━━━━━━━━━━━━━┛
ติดต่อ 🌹คุณเกล🌹
☎โทร : 064-9978742

หรือคลิกลิงค์คุยทางไลน์
https://line.me/R/ti/p/%40aal5288e

👉 จบได้ในเม็ดเดียว👈❤️สุดยอดนวัตรกรรมใหม่ สุขภาพดีด้วยโกเรจินส์จ้า❤️🌟🌟โกเรจินส์-ดี KOREGINS-D 🌟🌟 ✳✳✳1 เม็ดตกถึงท้องรับรอง...
16/05/2019

👉 จบได้ในเม็ดเดียว👈

❤️สุดยอดนวัตรกรรมใหม่ สุขภาพดีด้วยโกเรจินส์จ้า❤️

🌟🌟โกเรจินส์-ดี KOREGINS-D 🌟🌟
✳✳✳1 เม็ดตกถึงท้องรับรองเห็นผล ✳✳✳
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มียอดขายอันดับหนึ่ง
และครองใจคนรักสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง
ตลอดระยะเวลา 5 ปีเต็ม สารสกัดที่ดีที่สุดในโลกกว่า 9 อย่าง อยู่ในกล่องนี้แล้ว💯

🍄🌿🍄🌿🍄🌿🍄🌿🍄🌿🍄🌿🍄🌿
สรรพคุณและคุณประโยชน์ของ โกเรจินส -ดี
➡เสริมภูมิต้านทานของผู้ป่วยโรคไต
➡บำรุงและฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ
➡ลดอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ไมเกรน
➡ลดปัญหาการเกิดโรคเสื่อมต่างๆ
➡ลดระดับน้ำตาลในเลือด
➡ควบคุมน้ำหนัก ช่วยในการเผาผลาญ
➡เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
➡ลดคอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์
➡ส่งเสริมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ
➡เพิ่มความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด
➡ลดความเครียด ช่วยให้หลับสนิท
➡ช่วยรักษาตับและไต โรคภูมิแพ้ โรคผิวหนัง
➡ชะลอความแก่ ป้องกันโรคหัวใจ
➡แก้ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
➡ช่วยขยายหลอดเลือด
➡ปรับความดันสูงหรือต่ำให้เป็นปกติ
➡ป้องกันเส้นเลือดฝอยในสมองแตก
➡ช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกายลดอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของมะเร็ง
➡เสริมภูมิต้านทาน เพิ่มเม็ดเลือดขาว
➡ช่วยให้ผิวขาว กระจ่างสดใส
➡เสริมสร้างการทำงานของคอลลาเจน
➡เสริมสร้างการทำงานของกลูต้าไธโอน
➡ลดการสร้างเมลานิน สาเหตุของฝ้า กระ

🌿🌿🌿ส่วนประกอบที่สำคัญ🌿🌿🌿
1.สารสกัดมาตรฐานโสม
(ที่จินซีโนซายด์เข้มข้น 5%)
2. สารสกัดจากเห็ดหลินจือ
3. สารสกัดจากตังถั่งเช่า(หญ้าหนอนเทวดา)
4. เบต้ากลูแคนจากยีสต์ 85%
5. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
6. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส
7. แอล-ซิสเตอีน
8. นมผึ้ง
9. แคลเซียม แอสคอเบต

👉สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของแท้
ล็อตใหม่ล่าสุดจากบริษัทโดยตรงทุกกล่อง
┏━━━━━━━━━━━┓
✦ สั่งซื้อ/ปรึกษาฟรี ✦
┗━━━━━━━━━━━┛
ติดต่อ 🌹คุณเกล🌹
☎โทร : 064-9978742

หรือคลิกลิงค์คุยทางไลน์
https://line.me/R/ti/p/%40healthydshop

โรคหลอดเลือดสมอง      โรคหลอดเลือดสมองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ• ชนิดเส้นเลือดตีบ หรืออุดตัน• ชนิดเส้นเลือดแตก โรคนี้...
09/05/2019

โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
• ชนิดเส้นเลือดตีบ หรืออุดตัน
• ชนิดเส้นเลือดแตก


โรคนี้ถ้าเป็นแล้ว แม้รอดชีวิตก็มักจะมีความพิการหลงเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามโรคนี้สามารถป้องกันได้และถ้าไม่รีบรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการก็อาจช่วยให้รอดชีวิตและมีความพิการน้อยลงหรือกลับไปทำงานตามปกติ

ลักษณะอาการและอาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมองขึ้นอยู่กับว่าสมองส่วนใดเสียการทำงานไป เช่น
• พูดไม่ออกหรือไม่เข้าใจคำพูด หรือพูดไม่ชัดทันทีทันใด
• แขนหรือขาซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง ชา หรือขยับไม่ได้ขึ้นมาทันทีทันใด
• ตาข้างใดข้างหนึ่งมัวหรือมองไม่เห็นฉับพลัน เห็นภาพซ้อนหรืออาการคล้ายมีม่านมาบังตา
• ปวดศีรษะรุนแรง ฉับพลันชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน
• มึนงง เวียนศีรษะหรือเสียการทรงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่วมกับอาการอื่นข้างต้น
อาการเตือนเหล่านี้อาจเป็นชั่วขณะแล้วดีขึ้นเอง แต่ก็มีความสำคัญและผู้ป่วยควรจะพบแพทย์โดยด่วน ถ้าผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเร็วเท่าใด อัตราการตาย ความพิการจะยิ่งน้อยลง

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
หากผู้ใดมีปัจจัยเหล่านี้อยู่จะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้มากกว่าปกติ อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ก็มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้เช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่ :
• ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมากถ้าสามารถป้องกัน ไม่ให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือถ้าเป็นแล้วการลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะสามารถลดความเสี่ยงลงได้
แนวทางปฏิบัติ ในการลดความเสี่ยงจากความดันโลหิตสูง คือ
• รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป
• ลดอาหารเค็ม
• รับประทานอาหารให้พอเหมาะ เน้นอาหารที่เป็นพืช ผัก ผลไม้
• ตรวจสุขภาพเป็นครั้งคราว
ถ้าพบว่าเป็นความดันโลหิตสูง แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาลดความดันโลหิตร่วมด้วย ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาเองโดยเด็ดขาดและควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
• การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองที่สำคัญเช่นกัน จึงควรงดสูบบุหรี่
• โรคหัวใจ มีหลายชนิด เช่น ลิ้นหัวใจพิการ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจขาดเลือด ฯลฯ ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ยาบางชนิดเพื่อลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
• โรคเบาหวาน ควรพบแพทย์และรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
• ภาวะไขมันในเลือดสูง ควรลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป และอาจต้องรับประทานยาลดไขมันร่วมด้วย ตามที่แพทย์แนะนำจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันและช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
• ภาวะเครียด การที่เครียดมากเกินไปจะมีผลให้เกิดความดันโลหิตสูงมากกว่าปกติ และจะทำให้เกิดอัมพาตตามมาได้
• การขาดการออกลังกาย การที่ไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทำให้อ้วนและเกิดภาวะเครียดซึ่งจะเป็นปัจจัยเสริมต่อการเกิดอัมพาต
สรุป คำแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันอัมพาต มีดังนี้
• ลดและควบคุมความดันโลหิต
• ลดโคเลสเตอรอลในเลือด
• ลดน้ำหนัก (ถ้าอ้วน)
• ออกกำลังกายอย่างน้อย สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
• รับประทานผักและผลไม้ให้มาก
• งด ! อาหารไขมัน
• งด ! เหล้า บุหรี่และสารเสพติด
• รับประทานยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดตามคำสั่งแพทย์
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง วิธีการที่สำคัญคือ
• ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
• การรักษาในช่วงแรกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มิฉะนั้นผู้ป่วยบางรายแทนที่จะฟื้นตัวได้ กลับจะเกิดภาวะอัมพาตถาวรตลอดไป ผู้ป่วยอัมพาตระยะแรกจึงจำเป็นต้องอยุ่ในความดูแลของแพทย์และทีมการพยาบาลที่เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน

┏━━━━━━━━━━━━━━┓
✦ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ✦
┗━━━━━━━━━━━━━━┛
ติดต่อ 🌹คุณเกล🌹
☎โทร : 064-9978742

หรือคลิกลิงค์คุยทางไลน์
https://line.me/R/ti/p/%40aal5288e

เช็คสุขภาพสมอง พร้อมแนะวิธีดูแลความทรงจำ เคยสังเกตไหมว่าแต่ละวันเราใช้งานสมองอย่างหนัก ไม่ว่าจะท่องหนังสือเรียน คิดคำนวณ...
18/03/2019

เช็คสุขภาพสมอง พร้อมแนะวิธีดูแลความทรงจำ

เคยสังเกตไหมว่าแต่ละวันเราใช้งานสมองอย่างหนัก ไม่ว่าจะท่องหนังสือเรียน คิดคำนวณวางแผนเรื่องต่างๆ ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ไหนจะเรื่องที่ต้องตัดสินใจ ต้องใช้ทั้งสมองและสมาธิจนหน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมด แล้วเคยไหมที่บางครั้งกลับลืมซะอย่างนั้นว่าตัวเองกำลังจะทำหรือพูดอะไร บางคนอาจจะคิดว่าเป็นแค่เรื่องขำๆ เดี๋ยวก็จำได้เอง แต่หารู้ไม่ว่า นี่อาจเป็นสัญญาณของอาการเริ่มต้นของสมองเสื่อมก็เป็นได้ สถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ (Nutrilite Health Institute) ชวนทุกคนมาเช็คสุขภาพสมอง พร้อมแชร์วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลภาวะสมองเสื่อมกับ นพ. สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ และเวชศาสตร์การกีฬา เพื่อให้ทุกความทรงจำดีๆ อยู่กับเราตราบนานเท่านาน

สมองเราจัดเก็บความทรงจำผ่านกลไก Memory – Focus – Recall

การที่บางเรื่องหลับตาตื่นก็ลืม แต่บางเรื่องเป็นสิบปีเรายังจำได้ดีนั้นมาจากกลไกการเก็บความทรงจำของสมอง เมื่อร่างกายรับรู้สิ่งเร้าต่างๆ รอบตัว สมองจะเก็บเป็นความจำ (Memory) จากนั้นถูกส่งต่อไปสู่สมองเก็บความจำระยะสั้น (Short memory) ก่อน ซึ่งจะสามารถจำข้อมูลได้เป็นเวลา 30 วินาที และอาจสูญหายไปบ้าง เช่น การจดเบอร์โทรศัพท์จากคู่สนทนา แต่เมื่อได้รับการโฟกัส (Focus) โดยการคิดหรือทำซ้ำๆ และทบทวนอย่างมีสมาธิ สมองจะคัดเลือกส่วนความจำเพื่อเก็บเข้าสมองส่วนความจำระยะยาว (Long memory) อย่างเป็นระบบ เช่น การท่องเบอร์โทรศัพท์ และสมองมีระบบเรียกความทรงจำ (Recall) เพื่อดึงข้อมูลจากสมองจากส่วนที่บันทึกเก็บไว้มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เมื่อต้องการโทรออกก็สามารถนึกออกและกดเบอร์โทรศัพท์นั้นได้ทันที แต่ข้อมูลที่ไม่มีการใช้ซ้ำๆ บางส่วนก็จะมีการลืมหรือลดรายละเอียดลงไป ดังนั้น เมื่อเริ่มมีภาวะสมองเสื่อมจะมีอาการสูญเสียความจำระยะสั้นก่อน เมื่อเสื่อมมากขึ้น ก็จะเริ่มเสียการโฟกัส ค่อยๆ สูญเสียความจำระยะยาว ส่งผลกระทบต่อกระบวนการคิด การวิเคราะห์ และอารมณ์อย่างต่อเนื่อง

ความจำเสื่อมกับสมองเสื่อมต่างกันยังไง นี่เรากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือเปล่านะ?   ความจำเสื่อม คือภาวะที่สมองเริ่มมีความบก...
12/03/2019

ความจำเสื่อมกับสมองเสื่อมต่างกันยังไง นี่เรากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือเปล่านะ?
ความจำเสื่อม คือภาวะที่สมองเริ่มมีความบกพร่องต่อความทรงจำ แต่ยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันและดูแลตัวเองได้ เช่น ลืมกุญแจรถ ลืมเบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น ส่วนสมองเสื่อม คือกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองในทุกหน้าที่ มักมีผลต่อความจำทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงส่งผลกระทบต่อความคิด พฤติกรรม และการดำเนินชีวิตประจำวัน ตลอดจนไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเราสามารถสังเกตอาการเตือนภาวะสมองเสื่อมได้ 10 ข้อ ดังนี้

1.สูญเสียความจำโดยเฉพาะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เช่น ลืมการสนทนา ลืมนัดหมาย
2.ทำกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคยไม่ได้เหมือนเดิมหรือทำได้แต่ก็ยากลำบาก
3.มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น ลืมคำศัพท์ง่ายๆ ใช้คำผิดความหมาย
4.สับสนวันเวลาและสถานที่ เช่น หลงวัน เวลา บอกที่อยู่ตนเองไม่ได้
5.มีการตัดสินใจอย่างไม่เหมาะสม เช่น เปิดพัดลมแรงทั้งที่อากาศเย็นมาก
6.มีปัญหาเกี่ยวกับความคิดรวบยอด เช่น ไม่เข้าใจค่าของตัวเลข บวกลบคูณหารไม่ได้
7.เก็บสิ่งของผิดที่ผิดทาง เช่น เก็บเตารีดในตู้เย็น เก็บนาฬิกาในโถน้ำตาล
8.อารมณ์แปรปรวน
9.บุคลิกภาพเปลี่ยน เช่น กลายเป็นคนช่างสงสัย หรือหวาดกลัวง่ายกว่าเดิมมาก
10.เก็บตัว เซื่องซึม ไม่กระตือรือร้น อยู่นิ่งๆ ไม่ออกสังคม

ทั้งนี้ กระบวนการเกิดสมองเสื่อมจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ โดยเราไม่รู้สึกตัว แต่ถ้าสังเกตอาการและรู้ตัวก่อนก็จะสามารถนำไปสู่การรักษาได้อย่างทันท่วงที

เก็บทุกความทรงจำด้วยการดูแลสุขภาพสมองที่ดี โดยปกติสมองจะมีกระบวนการฟื้นฟูเซลล์สมองและผลิตเซลล์สมองใหม่ๆ รักษาการเชื่อมต่...
11/03/2019

เก็บทุกความทรงจำด้วยการดูแลสุขภาพสมองที่ดี
โดยปกติสมองจะมีกระบวนการฟื้นฟูเซลล์สมองและผลิตเซลล์สมองใหม่ๆ รักษาการเชื่อมต่อของเซลล์สมอง และซ่อมแซมส่วนต่อของเซลล์ที่เสียหายตลอดเวลา โดยมีสารที่ควบคุมการซ่อมแซมในสมอง ซึ่งเราสามารถดูแลตัวเองให้กลไกต่างๆ ในสมองสามารถฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1.จัดการกับความเครียดและอารมณ์ซึมเศร้า เพราะภาวะเหล่านี้จะกระตุ้นสารอะดรีนาลีน ยับยั้งการทำงานของสารควบคุมการซ่อมแซมในสมอง เพิ่มการอักเสบสะสมในสมอง และถือเป็นสาเหตุหลักของการเร่งสมองเสื่อม

2.นอนหลับอย่างถูกต้อง หลับให้สนิทและเพียงพอ ไม่น้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน หลีกเลี่ยงการนอนดึก เพราะเซลล์สมองจะฟื้นฟูซ่อมแซมตัวเองขณะที่เราหลับในเวลากลางคืนตามธรรมชาติ

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย

4.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ และน้ำตาลน้อย ช่วยเพิ่มสารควบคุมการซ่อมแซมในสมอง

5.เลือกรับประทานอาหาร เน้นสารอาหารครบถ้วน หลีกเลี่ยงอาหารเคมีและเครื่องปรุงรส พร้อมเสริมด้วยสารอาหารที่มีส่วนช่วยดูแลสมอง เช่น สารสกัดจากแปะก๊วย สารสกัดจากใบบัวบก กรดไขมันโอเมก้า-3 และสารสกัดจากโสมทะเลทรายหรือซิสแทนเช โดยจากการทดลองและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์พบว่า สารต้านอนุมูลอิสระและสารไฟโตนิวเทรียนท์ในรากซิสแทนเชสามารถเพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมองได้ดี ช่วยคงสภาพและปกป้องเซลล์สมองจากการถูกทำลายได้ และยังช่วยรักษาปริมาณของสารเคมีที่สำคัญในสมองได้อีกด้วย

6.หลีกเลี่ยงดื่มสุราและสูบบุหรี่ รวมไปถึงสารกระตุ้นประสาท

หลังจากที่ใช้งานสมองมาอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องยาวนานทั้งชีวิต ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันกลับมาสำรวจและใส่ใจสุขภาพสมองของตัวเองกันสักนิด ก่อนที่ความทรงจำที่มีจะสูญหายไปอย่างไม่อาจเรียกคืน

โรคเก๊าท์โรคเก๊าท์เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกตามข้อต่างๆ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวด บวม ...
05/03/2019

โรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกตามข้อต่างๆ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวด บวม แดงบริเวณข้ออย่างเฉียบพลัน โดยพบได้บ่อยในผู้ชายและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โรคเก๊าท์เป็นโรคที่สามารถรักษาและควบคุมไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้


​สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์​อาการโรคเก๊าท์​การตรวจวินิจฉัยโรคเก๊าท์​การรักษาโรคเก๊าท์​การป้องกันและดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเก๊าท์


สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์เกิดจากภาวะกรดยูริก (uric acid) ในเลือดสูงติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกิดเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวดบวมอย่างรุนแรง ทั้งนี้ กรดยูริกเปรียบเสมือนของเสียในร่างกายที่เหลือจากการกำจัดเซลล์ที่หมดอายุลง โดยร่างกายของแต่ละคนจะมีกรดยูริกอยู่ประมาณร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มักได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป

ปัจจัยที่กระตุ้นให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงจนตกตะกอนเป็นผลึก ได้แก่

การรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตส
อาการเจ็บป่วยที่มีผลต่อการสร้างเซลล์เพิ่มขึ้น เช่น โรคมะเร็ง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) โรคสะเก็ดเงิน
อาการเจ็บป่วยที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างกรดยูริกขึ้นมามากกว่าปกติ ขณะเดียวกันก็ลดความสามารถในการกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกาย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไต
การใช้ยาบางชนิด ที่ส่งผลให้ไตขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้น้อยลง


อาการโรคเก๊าท์
ผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีอาการปวด บวมแดง ร้อนบริเวณข้ออย่างฉับพลันทันทีทันใด โดยมักเริ่มจากข้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้ออื่นๆ ได้ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ซึ่งจะเป็นๆ หายๆ ในระยะแรก โรคเก๊าท์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาการอักเสบจะรุนแรงมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยปวดถี่ขึ้นและนานขึ้นจนอาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น โรคไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และไตวาย



การตรวจวินิจฉัยโรคเก๊าท์
นอกเหนือจากการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์วินิจฉัยโรคเก๊าท์ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

1. เจาะน้ำในข้อที่มีอาการออกมาตรวจว่ามีผลึกของกรดยูริกหรือไม่ ถือเป็นวิธีหลักในการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์จะพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเจาะ เพราะหากผู้ป่วยยังมีอาการปวดมาก อาจไม่สมควรเจาะในขณะนั้น แต่อาจให้รับประทานยาเพื่อให้หายอักเสบก่อน

2. เจาะเลือดดูระดับกรดยูริกว่าสูงมากน้อยเพียงใด เป็นการตรวจในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่พร้อมรับการเจาะน้ำในข้อ ทั้งนี้ระดับกรดยูริกสูงไม่ได้หมายความว่าเกิดการตกตะกอนเป็นผลึกในข้อเสมอไป

3. การตรวจ dual energy CT scan เป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้แพทย์เห็นผลึกของกรดยูริกที่ตกตะกอนอยู่ในข้อได้โดยไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำออกมาตรวจ แต่การตรวจแบบนี้เหมาะสำหรับกรณีที่ผลึกจับตัวเป็นก้อนใหญ่จนสามารถเอกซเรย์เห็นได้ ซึ่งแพทย์จะประเมินจากลักษณะข้อที่ผิดปกติ หรือระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น เป็นๆ หายๆ มานาน 5-10 ปี



การรักษาโรคเก๊าท์
แนวทางการรักษาโรคเก๊าท์คือการลดกรดยูริกในเลือดให้ต่ำลง ซึ่งทำได้โดยการรับประทานยาละลายผลึกกรดยูริกแล้วให้ร่างกายขับออก เมื่อกรดยูริกลดต่ำลงก็จะเกิดการอักเสบน้อยลง

ทั้งนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาอาการอักเสบเฉียบพลันแล้ว ยังเป็นการป้องกันการกลับมาสะสมใหม่และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรค รวมถึงการเกิดปุ่มหรือก้อนผลึกกรดยูริกในเนื้อเยื่อที่เรียกว่าก้อนโทฟัส (tophus) ซึ่งทำให้ดูไม่สวยงาม

การป้องกันและดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเก๊าท์
การป้องกันโรคเก๊าท์ที่สามารถทำได้ คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคด้วยการไม่รับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่วนการดูแลตัวเองของผู้ป่วย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดีเก๊าท์ (อาหารเสริมเพื่อโรคเก๊าท์)
💢ลดปริมาณกรดยูริก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเก๊าท์
ลดอาการปวดตามข้อในผู้ป่วยโรคเก๊าท์
💢บำรุงไตให้แข็งแรง ลดภาวะไตเสื่อมปรับสมดุลกรดยูริกในร่างกาย
💢ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาล และไขมันในเลือดและช่วยปรับระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
💢บำรุงระบบไหลเวียนโลหิตและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
__________________________________
┏━━━━━━━━━━━━━━┓
✦ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ✦
┗━━━━━━━━━━━━━━┛
ติดต่อ 🌹คุณเกล🌹
☎โทร : 064-9978742

คลิกลิงค์เพื่อติดตามข้อมูล
https://bit.ly/2RLfs6K

28/02/2019

เมื่อไม่นานนี้เพจชอบยิ้ม ได้นำคลิปวิดีโอสอนเทคนิคบริหารดวงตามาโพสต์ไว้ในเพจ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ที่ม....

ที่อยู่

54/4-5 ถ.สุวินทวงศ์ แขวงมีนบุรี
Bangkok
10150

เบอร์โทรศัพท์

0818547695

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Pui Shop For Manผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Pui Shop For Man:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram