สุขภาพบำบัดแบบองค์รวม By Thip

สุขภาพบำบัดแบบองค์รวม By Thip ให้คำปรึกษา การบำรุง ฟื้นฟู สุขภาพด้วยสารอาหารแบบองค์รวม ทิพย์ 064 2601740

ทำไมเมื่อเรารับประทานอาหารเสริมเข้าไปแล้ว เหมือนจะมีอาการหนักขึ้น??อาการที่หนักขึ้นนี้ เราเรียกว่า ภาวะกระทุ้งพิษภาวะ "ก...
30/11/2017

ทำไมเมื่อเรารับประทานอาหารเสริมเข้าไปแล้ว เหมือนจะมีอาการหนักขึ้น??
อาการที่หนักขึ้นนี้ เราเรียกว่า ภาวะกระทุ้งพิษ
ภาวะ "กระทุ้งพิษ" เป็นภาวะที่ร่างกายพยายามขับสารพิษออกจากร่างกาย เพื่อให้ร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ภาวะกระทุ้งพิษ เป็นช่วงที่ร่างกายพยายามกำจัดสารพิษที่ตกค้างอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ให้ออกมาอยู่ในกระแสเลือด และหลังจากนั้นอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อพิษถูกขับออกไปจากร่างกาย
หรือในบางครั้งที่ผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นมาก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะกระทุ้งพิษ เป็นช่วงที่ร่างกายเตรียมพร้อมก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงขับพิษคือ
ระยะแรก จะรู้สึกแข็งแรงขึ้นมีอาการดีขึ้น จนกระทั่งสารพิษถูกปลดปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด จึงทำให้อาการแย่ลง แล้วค่อยๆ ดีขึ้นและรู้สึกสบาย ภาวะกระทุ้งพิษ มักจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์แรกของการใช้ผลิตภัณฑ์ ภาวะกระทุ้งพิษ ในช่วงแรกจะเป็นอยู่ประมาณ 2-3 วัน แต่ถ้าร่างกายของผู้ป่วยไม่แข็งแรงอาจจะเป็นอยู่เป็นสัปดาห์หรือมากกว่า ภาวะกระทุ้งพิษ อาจจะไม่เกิดครั้งเดียว อาจเกิดซ้ำได้หลายครั้ง เพราะการขจัดสารพิษที่สะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อเปรียบเสมือนการลอกหัวหอมออกไปทีละชั้นๆ จนกว่าหมด
อาการของภาวะกระทุ้งพิษ เป็นการปรับตัวของร่างกาย เพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกาย การขับพิษจะขับออกทุกช่องทางของร่างกาย จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ทั่วร่างกาย อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดข้อ, ปวดกล้ามเนื้อ, ปวดเมื่อย, ข้อบวม, ท้องเสีย, ท้องผูก, ปวดท้อง, อ่อนเพลีย, กระวนกระวาย, นอนไม่หลับ, คลื่นไส้อาเจียน, คัดจมูก, น้ำมูกไหล, มีไข้, หนาวสั่น, อาการเหมือนไข้หวัด, ปัสสาวะบ่อย, ความดันโลหิตต่ำ, ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นคัน, อารมณ์แปรปรวน เช่น อารมณ์เสีย เกรี้ยวกราด ซึมเศร้า หวาดกลัว
อาการของภาวะกระทุ้งพิษ
> ชาแขนซ้าย แสดงว่า หัวใจไม่แข็งแรง
> ปวดเมื่อตามร่างกาย แสดงว่า เลือดไหลเวียนไม่ดี
> ปวดท้ายทอยและต้นคอ มึนงง มีปัญหาความดันโลหิตสูง หรือ ต่ำ
> ไอ แสดงว่า มีการขับพิษออกทางปอด
> ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น แสดงว่า กระเพาะอาหารกำลังมีการปรับตัว
> มีไข้ แสดงว่า หลอดเลือดในร่างกายมีความเป็นกรดมาก ต้องการน้ำในการล้างพิษ
> ปัสสาวะบ่อย มีกลิ่นแรง และสีเข้ม แสดงว่า มีสารพิษสะสมที่ไตมาก และร่างกายมีการขับออกทางไต
> ตาแดง แสดงว่า มีสารพิษสะสมที่ตับมาก และร่างกายมีการขับพิษ
> ตามัว, ง่วงนอน แสดงว่า ตับกำลังมีการปรับตัวร่างกายมีความเป็นกรดมาก
> น้ำตาไหล มีขี้ตามาก แสดงว่า อารมณ์ เครียด ทำงานหนักเกิน
> น้ำมูกไหล แสดงว่า ร่างกายมีความเป็นกรดมาก และร่างกายมีการขับพิษออกทางปอด
คัดจมูก จาม แสดงว่าร่างกายกำลังปรับอาการภูมิแพ้ทางจมูก
> ผื่น คัน ผิวหนังอักเสบ แสดงว่า ร่างกายมีกำลังขับไขมันพิษและ สารพิษที่ไม่ละลายออกจากร่างกาย
วิธีแก้ไขภาวะ "กระทุ้งพิษ"
ช่วงภาวะกระทุ้งพิษ ร่างกายต้องการของเหลวโดยเฉพาะน้ำช่วยชะล้างและนำพาสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้นช่วงนี้จึงต้องดื่มน้ำมากๆ และควรพักผ่อนให้มากๆ ทำจิตใจให้สบาย ดูแลเอาใจใส่ร่างกาย จิตใจ


🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦🥦

หันมาดูแลสุขภาพกันนะคะ อย่ารอให้ป่วยแล้วค่อยดูแล ระวังร่างกายจะประท้วง!!

lสุขภาพบำบัดแบบองค์รวม By Thip

ปรึกษาอาการพร้อมรับวิธีการบำบัด

โทร 064 260 1740 ทิพย์ค่ะ

10 สัญญาณอันตราย โรค "เบาหวาน"เริ่มทำความรู้จัก โรคเบาหวานโรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ อัน...
28/11/2017

10 สัญญาณอันตราย โรค "เบาหวาน"

เริ่มทำความรู้จัก โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เป็นเหตุให้น้ำระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ง่าย อาทิ ตา ไต รวมไปถึงระบบประสาท ส่วนใหญ่อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ร่างกายจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนอาหารให้เป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน การเจาะเลือดเซลล์ในตับอ่อนที่มีชื่อว่า เบต้าเซลล์ จะเป็นตัวสร้างอินซูลิน โดยที่อินซูลินจะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน

โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร

โดยปกติแล้ว การเกิดโรคเบาหวานนั้นจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนที่ถูกสร้างมาจากตับ คือ ฮอร์โมนอินซูลิน โดยที่ฮอร์โมนตัวนี้จะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าไปสู่เซลล์ต่างๆ ภายในอวัยวะทั่วร่างกาย อาทิ สมอง , ตับ , ไต , หัวใจ เพื่อให้เซลล์นั้นนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานในการทำงาน แต่หากกระบวนการสร้างฮอร์โมนอินซูลินเกิดมีความผิดปกติ ตับสร้างอินซูลินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือเกิดความผิดปกติบางอย่างที่ทำให้เซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสไปใช้ได้ ถึงแม้ว่าตับจะสร้างฮอร์โมนได้ในระดับปกติ หรือที่เรียกกันว่า เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน เมื่อความผิดปกติทั้ง 2 อย่างเกิดขึ้น ก็จะทำให้น้ำตาลคั่งในเลือดในจำนวนที่มาก ทำให้ความผิดปกตินั้นเกิดขึ้นลุกลามจนกลายเป็น โรคเบาหวาน ในที่สุด

โรคเบาหวาน มีอาการอย่างไร ?

อาการหลักๆ ที่สื่อว่าคนๆ นั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาจได้แก่ รู้สึกหิวบ่อย , กระหายน้ำ , ปัสสาวะมีปริมาณมากและบ่อย อีกทั้งก็ยังมีอาการอื่นๆ ประกอบ อาทิ

เหนื่อย อ่อนเพลีย
ผิวแห้ง เกิดอาการคันบริเวณผิว
ตาแห้ง
มีอาการชาที่เท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ปลายเท้า หรือที่เท้า
ร่างกายซูบผอมลงผิดปกติ โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้
เมื่อเกิดบาดแผลที่บริเวณต่างๆ ของร่างกายมักหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับบริเวณเท้า
สายตาพร่ามัวในแบบที่หาสาเหตุไม่ได้
10 สัญญาณอันตราย โรคเบาหวาน

1. อ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้ป่วยไข้

2. ผอมลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

3. ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ

4. หิวน้ำมากกว่าปกติ (เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย)

5. ตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

6. ปวดขา ปวดเข่า

7. ผิวหนังแห้ง และมีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด

8. เป็นฝีตามตัวบ่อยๆ

9. อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย

10. แผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือขึ้นสะเก็ดเสียที

ใครที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ?

พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ อาทิ ผู้ที่มีน้ำเกิน หรือเรียกว่า อ้วน , ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย , มีไขมันในเลือดสูง โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้เท่าๆ กัน

ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน

🔹เรื่องของพันธุกรรม อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าคนที่มีครอบครัวสายตรง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้องที่เป็นท้องเดียวกันป่วยเป็นโรคเบาหวาน เราที่เป็นรุ่นต่อมาก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้สูงกว่าคนทั่วๆ ไป

🔹ผู้ที่เป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักตัวเกิน ส่งผลให้เซลล์ต่างๆ ดื้อต่ออินซูลิน

🔹ไม่ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากว่าการออกกำลังกายนั้นจะช่วยทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ อีกทั้งยังช่วยให้เซลล์ต่างๆ ไวต่อการนำน้ำตาลไปใช้ รวมถึงยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้ดีอีกด้วย

🔹เรื่องของเชื้อชาติ ทั้งนี้มีข้อมูลพบว่าคนในบางเชื้อชาติเป็นเบาหวานสูงกว่าคนในชาติอื่นๆ อาทิ ในคนเอเชียและคนผิวดำมีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนชาติอื่นๆ

🔹เรื่องของอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสที่จะเป็นเบาหวานก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว นั่นอาจมาจากระบบการทำงานของเซลล์ตับอ่อนเสื่อมถอย หรือขาดการออกกำลังกาย

🔹การมีไขมันในเลือดสูง

🔹การมีความดันโลหิตสูง

โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานนั้นถือได้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดแข็ง หรือตีบ ซึ่งหากหลอดเลือดในอวัยวะส่วนใดของร่างกายแข็ง หรือตีบ ก็จะทำให้เกิดโรคที่อวัยวะนั้นๆ ดังจะเห็นได้ว่า โรคเบาหวาน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ อันได้แก่ ระบบประสาท , ตา , ไต , ไต , หัวใจและหลอดเลือด , ผิวหนัง และช่องปาก เป็นต้น

อาการของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

🔹คนปกติที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะไม่ลุกขึ้นมาปัสสาวะในช่วงเวลากลางดึก หรือปัสสาวะเป็นอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เกินกว่า 180 มก.% น้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ อีกทั้งยังอาจพบได้ว่าปัสสาวะของตนเองมีมดตอม

🔹ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะหิวน้ำบ่อย อันเนื่องมาจากต้องมีการทดแทนน้ำที่ร่างกายขับออกมาทางปัสสาวะ

🔹มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลงเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่มีอยู่ได้ จึงได้ย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา

🔹ผู้ป่วยมักจะหิวบ่อยและกินเก่ง แต่ในทางตรงกันข้าม น้ำหนักตัวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดเพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อแทน

🔹อาการอื่นที่อาจพบได้ อาทิ การติดเชื้อ , แผลหายช้า หรือมีอาการคันตามจุดต่างๆ ของร่างกาย

🔹เกิดการคันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการคันอาจเกิดจากผิวที่แห้งจนเกินไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง

🔹การมองเห็นไม่ชัดเจน สายตาพร่ามัวจนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางสายตา เช่น สายตาสั้น , ต้อกระจก หรือมีน้ำตาลในเลือดสูง

🔹เกิดอาการชาตามส่วนต่างๆ ไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา หย่อนสมรรถภาพทางเพศ อันเนื่องมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงนาน ส่งผลให้เส้นประสาทเกิดการเสื่อมสภาพ เป็นแผลที่เท้าง่าย เพราะไม่มีความรู้สึก

🔹อาจเกิดการอาเจียน

มีระดับน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดสูงและเป็นโรคเบาหวานได้ระยะหนึ่ง ก็อาจเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นกับหลอดเลือดเล็ก เรียกว่า Microvacular ซึ่งหากมีโรคแทรกซ้อนนี้เกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดโรคไต , เบาหวานเข้าตา นอกจากนั้น หากหลอดเลือดแดงใหญ่เกิดการแข็งตัว จะเรียกว่า Macrovascular ที่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ , เป็นอัมพาต , หลอดเลือดแดงที่ขาตีบ อีกทั้งยังจะทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบ ที่เรียกว่า Neuropathic ที่ทำให้ขาชา , กล้ามเนื้ออ่อนแรง และประสาทอัตโนมัติเสื่อมได้

หากมีอาการเหล่านี้ บวกกับพฤติกรรมในการทานอาหารที่ไม่ค่อยระวังเรื่องแป้ง และน้ำตาล คุณอาจสันนิษฐานได้ว่ากำลังมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้สูง เพราะฉะนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่ การตรวจที่ละเอียด และทำการรักษาต่อไปค่ะ

เครดิต
ข้อมูล :หมอชาวบ้าน,วิชาการ

💥หยุดทำร้าย ลูกหลาน ของคุณ!!💢เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2ปี คุณพ่อคุณแม่ "อย่าพยายามให้ลูกดูทีวี หรือเล่นกับหน้าจอแทบเล็ทมากเ...
17/11/2017

💥หยุดทำร้าย ลูกหลาน ของคุณ!!💢

เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2ปี คุณพ่อคุณแม่ "อย่าพยายามให้ลูกดูทีวี หรือเล่นกับหน้าจอแทบเล็ทมากเกินไป" ครับ หลายคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกๆ พอเห็นลูกร้องไห้ หรืออยู่ไม่นิ่ง ก็จะยัดแทปเลตเข้ามือลูก หรือเปิดการ์ตูนให้ดู ลูกจึงหยุดร้อง หรืออยู่นิ่งขึ้น ซึ่งที่จริงแล้วเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง มันไม่ต่างอะไรกับการนำเรืไปขวางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เมื่อน้ำมันมาแรงเกินเรือต้านเรือมันอาจจะแตกได้นะครับ เช่นเดียวกับพฤติกรรม เด็กในวัยนี้เป็นวัยค้นหา อยากรู้ อยากถาม เพราะฉะนั้นปล่อยพฤติกรรมของเด็กให้เป็นไปตามพัฒนาการครับ เพราะเมื่อเราไปขวางพัฒนาการเด็กๆเมื่อไหร่ พัฒนาการมันจะไม่ย้อนกลับมาให้เราแก้ไขแล้วนะครับ #สนับสนุนให้เด็กไทยเล่นกับเพื่อนอีกเสียงครับ!! เพราะนอกจากจะได้ความสนุกแล้ว มันยังแฝงเรื่องทักษะทางสังคมต่างๆ เช่นก่อนจะเข้าเล่นกับเพื่อนย่อมต้องมีการเจรจาต่อรองเพื่อเข้ากลุ่มไปนั่งเล่น ยิ่งถ้าเพื่อนไม่ให้เข้ากลุ่ม เด็กที่มีพัฒนาการทางสังคมดีหน่อยก็จะพยายามทำทุกวิธีที่ให้เพื่อนยอมรับแล้วนำตนเข้ากลุ่ม นอกจากนั้นยังได้ฝึกเรื่องของการแบ่งปัน การถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นต้น เห็นไหมละครับว่า ออกไปเล่นกับเพื่อน ย่อมดีกว่านั่งเล่นแทบเล็ตเหงาๆอยู่คนเดียวแน่นอนน
จารุวัชร ภูมิพงศ์
ไตรมิตรวิทยาลัย
Cr. ภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
________________________

💢ปรึกษา สอบถามข้อมูล โทรด่วน! 064-260 1740 ทิพย์ค่ะ

มีพี่บอกพี่ มีน้องบอกน้อง บอกญาติสนิทมิตรสหาย !!.. "ไทรอยด์เป็นพิษ" หากปล่อยไว้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต!!ปรึกษา สอบถาม สั่ง...
17/11/2017

มีพี่บอกพี่ มีน้องบอกน้อง บอกญาติสนิทมิตรสหาย !!..

"ไทรอยด์เป็นพิษ" หากปล่อยไว้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต!!

ปรึกษา สอบถาม สั่งซื้อ ติดต่อสุขภาพบำบัดแบบองค์รวม By Thip
โทร. 064-260 1740 ทิพย์ค่ะ

รับข้อมูลเพิ่มเติมรับข่าวสารข้อมูลดีๆทุกวัน ฟรี คลิก https://line.me/R/ti/p/%40kll8347y
https://line.me/R/ti/p/%40kll8347y
https://line.me/R/ti/p/%40kll8347y

16/11/2017

เรามาทำความรู้จักและเข้าใจและผลร้ายแรงของ "ไทรอยด์เป็นพิษ" กันแบบกระชับเข้าใจง่ายกันค่ะ

💥 ผลร้ายมาก
แม้จะเป็นหนทางบำบัดที่เร็วและถูก แต่..มันไม่ได้ส่งผลดีกับทุกคน มีผลงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่า สามารถทำให้ผู้ป่วยเป็น Hypothyroidism ได้เมื่อกลืนไปแล้ว อีกทั้งยังทำให้บางคนเป็น Thyroidstorm ด้วย นอกจากนั้น งานศึกษาของ Co-operative Thyrotoxicosis Therapy Follow-up Study ยังมีรายงานด้วยว่า อัตราของการเสียชีวิตของผู้กลืนรังสีที่สุดท้ายกลับเป็นมะเร็งไทรอยด์นั้น มีตัวเลขที่สูงขึ้น ทั้งที่เซลล์ไทรอยด์ที่โดนรังสีทำลายไปแล้วไม่ควรแตกตัวได้อีก

ยัง..ผลร้ายของ RAI ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น แต่ที่พบกันมากและบ่อยที่สุด คือ มันทำให้ผู้ที่มีอาการ Graves Disease แย่ลง ทำให้ตาโปน หรือที่โปนอยู่ แล้วยิ่งโปนขึ้นไปอีก วิธีหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้มีผลกระทบกับอาการทางตา คือใ้ห้ผู้ป่วยกินยาเพรดนิโซน (Prednisone) ควบคู่ไปกับการใช้รังสีบำบัด โดยให้กินก่อนกลืนและต่อด้วยหลังกลืนอีก 3 เดือน
อย่างไรก็ตามเป็นที่รับรู้กันว่า แม้จะรอดจากเรื่องตา แต่ผู้ป่วยต้องรับมือกับอาการข้างเคียงของเสตียรอยด์อยู่ดี ทั้งนี้ทั้งนั้นการกลับมาตาโปนอีกก็ยังมีความเป็นไปได้สูง..

ให้คำปรึกษา การบำรุง ฟื้นฟู สุขภาพด้วยสารอาหารแบบองค์รวม ทิพย์ 064 2601740

อาการบ่งบอกเป็นไทรอยด์ - ผมร่วง- ง่วงนอนบ่อย- อ่อนเพลีย - ใจสั่น- หนาวมาก ร้อนมาก- หงุดหงิดง่าย- นอนไม่หลับสุขภาพบำบัด แ...
11/11/2017

อาการบ่งบอกเป็นไทรอยด์

- ผมร่วง
- ง่วงนอนบ่อย
- อ่อนเพลีย
- ใจสั่น
- หนาวมาก ร้อนมาก
- หงุดหงิดง่าย
- นอนไม่หลับ

สุขภาพบำบัด แบบองค์รวม By Thip

ปรึกษา หรือโทร.064-260 1740 ทิพย์สิริ

รับข่าวสารข้อมูลดีๆทุกวัน ฟรี คลิก
https://line.me/R/ti/p/%40kll8347y
https://line.me/R/ti/p/%40kll8347y
https://line.me/R/ti/p/%40kll8347y

ข้อมูล สำคัญ ความรู้ เกี่ยวกับ "โรคไทรอยด์" 19/10/2017
19/10/2017

ข้อมูล สำคัญ ความรู้ เกี่ยวกับ "โรคไทรอยด์" 19/10/2017

อ่อนเพลียบ่อยอาจเพราะไทรอยด์ผิดปกติ รีบบำรุงด้วย 7 อาหารนี้ด่วน!!โรคไทรอยด์ เป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ถ...
17/10/2017

อ่อนเพลียบ่อยอาจเพราะไทรอยด์ผิดปกติ รีบบำรุงด้วย 7 อาหารนี้ด่วน!!

โรคไทรอยด์ เป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ถ้าใครมีอาการแบบนี้ประจำ ลองหาอาหารต่อไปนี้มาลองทานดู เพื่อช่วยบำรุงและรักษาต่อมไทรอยด์ให้แข็งแรง

เชื่อว่าทุกคนคงต้องรู้จัก"โรคไทรอยด์" กันเป็นอย่างดี โรคนี้เกิดจากความผิดปกติ ของต่อมไทรอยด์ แบ่งออก เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่เกิดจาทกฮอร์โมนไรอยด์ ในร่างกาย (ไฮโปไทรอยด์) กับ ภาวะไทรอยด์ เป็นพิษ (ไฮเปอร์ไทรอยด์) ซึ่ง วิธีรักษาก็จำเป็นต้องใช้ยาในการรักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน สและเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด

1. ไอโอดีน
ไอโอดีนเป็นสารอาหารสำคัญในระบบการทำงานของต่อมไทรอยด์ เพราะช่วยให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนต่างๆ ไอโอดีนเป็นสารอาหารสำคัญในระบบการทำงานของต่อมไทรอยด์ เพราะช่วยให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ได้ โดยอาหารที่มีไอโอดีนก็ได้แก่ อาหารทะเลจำพวก ปลา หอยกาบ กุ้ง หอยนางรม ไข่ กระเทียม เห็ด และเมล็ดงา เป็นต้น ดังนั้นในผู้ป่วยที่เป็นไฮโปไทรอยด์ หรือไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติจึงควรทานอาหารที่มีไอโอดีนเสริมเข้าไป

2. ธาตุซีลีเนียม

ซีลีเนียมเป็นสารอาหารที่ช่วยในการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่สำคัญ­­­อีกชนิดหนึ่ง โดยสารชนิดนี้จะเข้าไปป้องกันต่อมไทรอยด์จากความเ­­ค­รียด และยังช่วยสร้างโปรตีนที่ใช้ในการควบคุมการสังเคราะห์ของฮอร์โม­­­นในร่างกาย ควบคุมระบบการเผาผลาญและคอยรักษาระดับของฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างก­­­ายอีกด้วย โดยอาหารที่มีซีลีเนียมได้แก่ ปลาทูน่า เห็ด เนื้อวัว เมล็ดทานตะวัน เครื่องในสัตว์ และถั่วเหลืองค่ะ

3. สังกะสี

สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่มีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับระดับฮอร์โมนไทร­­­อยด์ เพราะโรคไทรอยด์ทั้ง 2 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นชนิดไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) หรือ ไฮเปอร์ไทรอยด์ (hyperthyroidism) ต่างก็มีสาเหตุมาจากการขาดสังกะสีด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรรับประทานอาหารที่มีสังกะสีให้มากขึ้นแต่ก็คว­­­รจะอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกาย
ทั้งนี้ยังควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณของสังกะสีที่สามารถรับประทา­­­นได้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับโรคไทรอยด์ค่ะ โดยอาหารที่มีสังกะสีก็ได้แก่ เนื้อวัว หอยนางรม ปลาซาร์ดีน ถั่วเหลือง ถั่ววอลนัท เมล็ดทานตะวัน ถั่วพีแคน เมล็ดอัลมอนด์ ถั่วเหลืองผ่าซีก ขิง ธัญพืชต่าง ๆ และน้ำเชื่อมเมเปิลค่ะ

4. ทองแดง

การขาดธาตุทองแดงสำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคไทรอยด์ ไม่ว่าจะเป็นแบบภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ หรือผู้ป่วยที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและคอเลสเตอรอลมากขึ้น เนื่องจากร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อใช้ในร่างก­ายได้อย่างเต็มที่

ทองแดงมีความจำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือควรรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุทองแดงอ­­­ย่างเพียงพอ ซึ่งก็มีอยู่ในอาหารอย่างเช่น เนื้อปู หอยนางรม กุ้งล็อบสเตอร์ ถั่วเปลือกแข็ง เนื้อวัว เมล็ดทานตะวัน ถั่วขาว ถั่วลูกไก่ ถั่วเหลือง เห็ดชิทาเกะ ข้าวบาร์เลย์ มะเขือเทศ และดาร์กช็อกโกแลต
5. ธาตุเหล็ก

หากขาดธาตุเหล็กก็จะทำให้ความสามารถในการทำงานของต่อมไทรอยด์ลดลง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากที่จะต้องบริโภคอาหารที่มี­­­ธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงได้แก่ เครื่องในสัตว์ หอยนางรม หอยกาบ ผักโขม ถั่วเลนทิล ถั่วเหลือง ถั่วขาว และเมล็ดฟักทอง

6. วิตามินบี

วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 เป็นวิตามินชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายโดยเฉพาะกับระบบการทำงานของ­­­ต่อมไทรอยด์ วิตามินบีทั้ง 3 ชนิดนี้มีหน้ามีสำคัญในการช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน T4 ซึ่งเป็นหนึ่งในฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกาย ซึ่งวิตามินบีเหล่านี้มักจะมีอยู่ในอาหารอย่างเช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ ปลา ธัญพืชชนิดต่าง ๆ ถั่วลันเตา นม เห็ด และเมล็ดอัลมอนด์
7. สารต้านอนุมูลอิสระ

สารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี มีหน้าที่ช่วยให้ต่อมไทรอยด์ต่อสู้กับภาวะการถูกทำลายด้วย­สารอนุมูลอิสระ และป้องกันการเสื่อมสภาพก่อนวัยของต่อมไทรอยด์ ซึ่งอาหารโดยทั่วไปก็มักจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ในอาหารที่มีสูงก็ได้แก่ องุ่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ถั่วเปลือกแข็ง ธัญพืชชนิดต่าง ๆ ชาเขียว เป็นต้น

โรคไทรอยด์ ห้ามกินอะไร

ผู้ที่ไทรอยด์ผิดปกติ ควรงดอาหารจำพวกพริก อาหารรสเผ็ด หน่อไม้ หน่อไม้ฝรั่ง สาหร่าย เพราะจะไปเพิ่มการเมตาบอลิซึม ทำให้ร่างกายต้องทำงานเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งผักประเภทกะหล่ำปลี และผักกาดชนิดต่าง ๆ เพราะมีสารลูโคซิโนเลท ซึ่งจะไปขัดขวางการจับไอโอดีนของต่อมไทรอยด์ เพื่อสร้างเป็นฮอร์โมนไทรอกซินซึ่งทำให้เกิดเป็นไทรอยด์เป็นพิษ

นอกจากนี้ยังควรงดเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลัง หันไปดื่มชาสมุนไพรแทน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาหารที่กล่าวเหล่านี้จะสามารถช่วยส่งเสริมให้ระบบการทำงานของต่อ­­­มไทรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนจะเริ่มต้นรับประทาน เพราะในบางรายที่มีอาการของโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น โรคไขมันในเส้นเลือดสูง หรือมีระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายสูง อาหารบางชนิดก็อาจจะยิ่งทำให้อาการของโรคเหล่านั้นแย่ลงได้ค่ะ

สุขภาพบำบัดแบบองค์รวม By Thip
โทร 064-260 1740
inbox m.me/ThipHealthyGood

ระวัง!! ผมร่วงมากกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนของ "โรคไทรอยด์"อาการ ผมร่วง เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะโดย...
17/10/2017

ระวัง!! ผมร่วงมากกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนของ
"โรคไทรอยด์"

อาการ ผมร่วง เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะโดยปกติแล้ว เส้นผมของคนเราจะร่วงอยู่ประมาณ 30-50 เส้นต่อวัน ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป แต่ถ้าหากใครที่มีอาการผมร่วงมากกว่าปกติ นั่นคงเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณอาจกำลังเป็นภาวะโรคทางกาย เช่น โรคไทรอยด์ ภูมิแพ้ตัวเอง SLE เบาหวาน ภาวะความเครียดและการรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอไม่ถูกตามหลักโภชนาการ อยู่ก็เป็นได้

นพ.ถนอมกิต เพราะสุนทร แพทย์ผ่าตัดผิวหนังและเส้นผม โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า โรคไทรอยด์ นับว่าเป็นโรคที่เกิดจากภาวะกายอันดับ 1 ที่เป็นสาเหตุ ทำให้ผมหลุดร่วงมากที่สุด ซึ่งจะมีสภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนผิดปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดจากพันธุกรรม และมักพบในเพศหญิง มากกว่าเพศชายของคนที่ป่วยด้วยโรคไทรอยด์ ส่วนอาการแรก ที่เป็นสัญญาณเตือนภัย คือ เส้นผมจะร่วงมากผิดปกติ อันเนื่องมาจากคนที่เป็นโรคไทรอยด์นี้ ร่างกายจะขับไขมันออกมาทางผิวหนังมาก ทำให้หนังศีรษะมัน รากผมอ่อนแอ เป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงได้ง่าย
นอกจากนี้โรคนี้ยังจะมีอาการอื่นแทรกซ้อนเข้ามาด้วย เช่น นอนไม่หลับ ตาโปน กล้ามเนื้ออ่อนแรง เหนื่อยง่าย และน้ำหนักลด เกิดความเครียดตลอดเวลา ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงได้ง่ายเช่นกัน ส่วนวิธีการรักษาเส้นผมที่เกิดจากการหลุดร่วง คือ ควรตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยภาวะโรคทางกายในการตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อน ด้วยวิธีการเจาะเลือด เพื่อหาสาเหตุของโรค
ผมร่วง

หากพบว่าเป็นไทรอยด์แล้ว โรคนี้จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ แบบ"ไฮโปไทรอยด์" (Hypothyroidism) ที่ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาไม่เพียงพอ โดยต่อมไทรอยด์ซึ่งอยู่ด้านหน้าส่วนล่างของคอ ทำหน้าที่ผลิตและส่งฮอร์โมนไทรอยด์เข้าไปในกระแสเลือด โดยลักษณะอาการผู้ป่วยจะมีน้ำหนักมาก เพราะร่างกายไม่สามารถเผาผลาญอาหารได้ และส่งผลให้ผมร่วง
ซึ่งกลุ่มนี้จะต้องได้รับฮอร์โมนกลับเข้าไปด้วย

ส่วนแบบ "ไฮเปอร์ไทรอยด์" ส่วนใหญ่จะเกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ลักษณะอาการของผู้ป่วยจะมีอาการที่ผอมมาก คอโต ตาโปน ตัวเหลืองและผมร่วงในที่สุด ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้จำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยสุขภาพเบื้องต้น เพื่อรักษาโรคไปพร้อมกับการตรวจรักษาเส้นผม
โดยขั้นตอนการรักษาเส้นผมแพทย์จะทำการตรวจวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดผมร่วง และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ทั้งนี้วิธีการรักษามีได้หลายวิธี อาทิ

การรักษาด้วยการทานยาและวิตามินเสริม การใช้เลเซอร์ยิงลงบนหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นเซลล์รากผมที่เสื่อมสภาพ และการใช้แสงสีแดงที่มีลักษณะเป็นหลอด LED จำนวนมากฉายลงบริเวณเส้นผมและหนังศีรษะ เพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์รากผมและเร่งการหมุนเวียนของโลหิต เพื่อเพิ่มความมั่นใจกลับคืนสู่ผู้ป่วยอีกครั้ง
ที่มา : นพ.ถนอมกิต เพราะสุนทร แพทย์ผ่าตัดผิวหนังและเส้นผม โรงพยาบาลพระรามเก้า (เอ็มไทย)

************************************************
สุขภาพบำบัดแบบองค์รวม By Thip
โทร 064-260 1740
inbox m.me/ThipHealthyGood

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

0642601740

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สุขภาพบำบัดแบบองค์รวม By Thipผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram