ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น

ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น พื้นที่สัปปายะ ชวนให้ผู้คนเข้าใจต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ สามารถพัฒนาสุขภาพกาย-ใจ จากภายใน ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย และธรรมชาติบำบัด #หมอที่ดีที่สุดอยู่ในตัวเราเอง
(2)

ขับเคลื่อนชีวิต สู่ความสุขที่ยั่งยืนด้วยเชื้อเพลิงใหม่พักให้เพียงพอ มีสมาธิรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด กันแน่
09/12/2025

ขับเคลื่อนชีวิต สู่ความสุข
ที่ยั่งยืนด้วยเชื้อเพลิงใหม่
พักให้เพียงพอ มีสมาธิ
รู้ว่าเราต้องการสิ่งใด กันแน่

สมองจะ “ไม่สร้างนิสัยใหม่” ถ้าเรายังใช้เชื้อเพลิงจากปมในใจ
(ทำไม เทคนิคการจัดการเวลา เคล็ดลับต่างๆมันจะใช้ไม่ได้ผลเลย ถ้าเราไม่แก้ปัญหาข้างในตัวเราก่อน )
เมื่อวานวันหยุด เบ้นนั่งดูอันนี้มาคือแบบดีมากๆ คลิปยาวมาก 2 ชั่วโมงกว่า จนอธิบาย เรื่องนึงที่สงสัยมานานคือ
"ทำไมเราจะไม่มีทาง Copy productivity system คนอื่นไม่ได้"
หลายคนสงสัยว่า
ทำไมเราพยายามเปลี่ยนนิสัยมานาน แต่ชีวิตไม่ขยับสักที
อ่านหนังสือ ทำ Planner ลงคอร์ส productivity
แต่พอเหนื่อยๆ มากๆ ก็กลับไปเป็นคนเดิมตลอด ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย
Dr. Alok Kanojia (Dr.K) อธิบายแกอธิบายได้ดีมากว่า:
ถ้าระบบประสาทของเรายังขับเคลื่อนด้วย “ปมในใจวัยเด็ก”
สมองจะไม่ยอมสร้างนิสัยใหม่ให้เราหรอก มันยังอยู่ในโหมดเอาตัวรอด
และสิ่งที่ผลักเราทุกวันนี้ อาจไม่ใช่ความอยากโต
แต่คือ "Toxic Fuel" ที่เราพกมาตั้งแต่เด็ก
และสิ่งที่ผลักคุณอยู่ตอนนี้ อาจไม่ใช่วินัย
แต่คือ บาดแผลวัยเด็กที่ยังไม่ถูกเยียวยา
มันต้องเข้าใจตรงนี้กันก่อนที่เราจะเสียเวลาทั้งชีวิตไปพัฒนาผิดจุด
#อ่านจบปุ๊ปเก่งขึ้นปั๊ป
----------------------------
[1] Toxic Fuel คือพลังงานจาก trauma (แผลใจ) ที่ผลักให้เราต้องเป็นคนเก่ง แต่ทำลายเราจากข้างใน
Dr. K ยกตัวอย่างคนไข้ของเขาขึ้นมา
คนที่สร้างชีวิตขึ้นมาจากศูนย์ภายใน 4 ปี
แต่พอสำเร็จกลับรู้สึก “ว่างเปล่า เหมือนไม่ใช่ตัวเอง”

เพราะเขาไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย curiosity(ความอยากรู้)
แต่ใช้ anger ,shame ,fear ,loneliness ,childhood wounds
(ความโกรธ ความอาย ความกลัว ความเหงา ปมในเด็ก)
เป็น “เชื้อเพลิง( Fuel)” ขับเคลื่อนชีวิตเราทั้งหมด
Dr. K เรียกสิ่งนี้ว่า Toxic Fuel (เหมือนพลังงานแบบไม่ดี)
เพราะมันคือพลังงานที่ “ยืมมาจากความเจ็บปวด”
รุนแรงจริง พาไปไกลจริง แต่…ทำลายตัวเราเองไปพร้อมกัน
-----------------
[2] สมองในโหมด survival = ไม่เรียนรู้อะไรใหม่
Dr. K อธิบายว่า trauma ทำให้สมองต้องอยู่ใน fight-or-flight ตลอดเวลา
เพราะระบบประสาทคิดว่า “เราไม่ปลอดภัย”
เมื่อเป็นแบบนี้:

-Prefrontal Cortex (เหตุผล) ถูกปิด
-Amygdala (ภัยคุกคาม) คุมเกมชีวิตเรา
-สมองเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน
-คิดสั้นลง ตอบสนองแบบ reactive
-ไม่มี bandwidth สำหรับการเปลี่ยนแปลงนิสัย
A brain stuck in survival mode cannot self-start
สมองที่อยู่ในโหมดเอาตัวรอด จะเริ่มอะไรใหม่ไม่ได้เลย
----------------
[3] ทำไมเราทำงานหนักแต่ไม่เคยรู้สึก “พอ”?
Dr. K อธิบายว่า trauma ทำให้คน “วิ่งหาความปลอดภัย”
ไม่ใช่วิ่งหาความสำเร็จ
ดังนั้น pattern จะเป็นแบบนี้:

1.ทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ว่า “ฉันไม่ไร้ค่า”
2.กลัวล้มเหลว เพราะ ล้มเหลว = จะโดนทิ้ง
3.ขยันเพื่อกลบความอายหรือความไม่พอ
4.หยุดไม่ได้ เพราะ “หยุด = อันตรายไม่ปลอดภัย”
5.ยิ่งสำเร็จ ยิ่งรู้สึกปลอม (imposter)
นี่คือ Toxic Fuel 100%
มันคือการ “ใช้ชีวิตเพื่อแก้ปมในวัยเด็ก” แบบที่เราเข้าใจมาตลอดว่าเราเป็นคนขยัน เป็นคนเก่ง เป็นคนสำเร็จ
---------------
[4] ถ้าไม่รู้สึก “ปลอดภัย” สมองจะไม่ให้เราเปลี่ยนตัวเอง
Dr. K แกบอกว่า
ก่อนจะพูดถึง productivity, habit formation, self-discipline อะไรก็ตาม
"ต้องสร้างความปลอดภัยให้ระบบประสาทก่อน"

เพราะสมองมีลำดับความสำคัญแบบนี้:
Stage A : เอาตัวรอดก่อน
Stage B : พอรอดแล้ว ถึงเริ่มอยากเรียนรู้เพิ่ม
Stage C : พอเรียนรู้แล้ว เราก็จะเติบเติบโต
แต่คนยุคนี้ทำตรงกันข้าม
เราบังคับตัวเองให้โต ทั้งที่ระบบประสาทยัง “กลัวตาย” อยู่ข้างใน
เขาเลยบอกว่า
“You can’t out-discipline your nervous system.”
(คุณไม่มีทางมีวินัยไปชนะระบบประสาทที่ยังไม่ปลอดภัยได้)
และนี่แหละคือเหตุผลว่าทำไม

-เราพยายามเริ่มนิสัยใหม่แต่ไม่รอด
-เราวางแผนชีวิตแต่ทำได้วันเดียว
-เราอยากโฟกัสแต่ใจวอกแวกทั้งวัน
-เราอยากนิ่งแต่สมองเหมือนมีมอเตอร์ติดอยู่ตลอดเวลา
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเรา “ไม่เก่งพอ”
แต่เพราะ สมองยังคิดว่าโลกไม่ปลอดภัย
--------------------------------
[5] ทำไมคนเก่งหลายคน “ยิ่งได้ ยิ่งไม่รู้สึกดี”?

Dr. K บอกว่า มีคนไข้จำนวนมากเก่งแบบมหาศาล
เป็น Founder, เป็น VP, เป็นคนที่ society ยอมรับ
แต่ทุกคนมี ปัญหาเดียวกัน ปมเดียวกัน
"ไม่ว่าจะสำเร็จแค่ไหน ก็ยังรู้สึกกลวงอยู่ดี"
เพราะ trauma ไม่เคยถูกแตะ มันแค่ถูกกลบด้วย ความสำเร็จ
และสมองก็เรียนรู้อะไรแบบผิดๆ เช่น:
ถ้าอยากให้คนรัก = ก็ต้องทำงานหนัก
ถ้าอยากปลอดภัย = ก็ต้องเก่งขึ้นอีก
ถ้าอยากมีคุณค่า = ก็ต้องไม่แพ้
พอได้ “สิ่งนั้น” มา มันเลยไม่เคยเติมเต็มเรา
เพราะเราไม่ได้อยากได้มันแต่แรก
[เราวิ่งเพราะ กลัว ไม่ใช่เพราะ อยาก]
นี่คือ Toxic Fuel ในรูปแบบที่ชัดเจนที่สุด
สำเร็จมากขึ้น แต่รู้สึกน้อยลง ; (
----------------------------
[6] แล้วเราจะเปลี่ยนเชื้อเพลิงได้ยังไง?
Dr. K ไม่สอนให้ “Hard core แบบ เฆี่ยนวินัย”
55555 แบบบังคับตัวเองให้เก่งเหมือน David Goggins
แต่สอนสิ่งตรงกันข้ามคือ
ให้ระบบประสาทรู้สึกปลอดภัยก่อน
เขาบอกว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมจริง ๆ มาจาก 3 อย่าง
1. Safety
ทำให้ร่างกายรู้ว่า “ไม่ต้องหนีแล้ว”
เช่น นอนให้พอ, ลดสิ่งกระตุ้น, ลดความกดดันที่ไม่จำเป็น
2. Awareness
นั่งกับความคิดตัวเอง 5 -10 นาที
ดูว่าอะไรขับเคลื่อนในใจเรา
ดูว่าเราเหนื่อยเพราะงาน หรือเหนื่อยเพราะปมในใจ
นี่คือการเปิด ACC (anterior cingulate cortex) ส่วนควบคุมตัวเอง
ที่ทำให้เราหยุดโหมด นี้ได้
3. Processing
มอง trauma ปมเราแบบตรงไปตรงมา
ยอมรับมัน แทนที่จะกดไว้หรือทำเป็นไม่รู้
เพราะถ้าไม่ process มัน มันจะคุมชีวิตเราตลอด
------------------------------------
[7] เป้าหมายที่แท้จริง จะค่อยๆ โผล่มาเอง
หนึ่งในประโยคที่เบ้นชอบมากของ Dr. K คือ
“When your fuel changes, your goals change.”
เมื่อเชื้อเพลิงข้างในเปลี่ยน เป้าหมายในใจก็เปลี่ยน
เขาเล่าว่า พอคนไข้เริ่มหายจาก trauma
สิ่งที่เคย “อยากได้มากๆ” จะจางหายไปเอง
เพราะมันไม่ใช่ความต้องการของเราตั้งแต่แรก
แต่คือกลไกการเอาตัวรอด
ในทางกลับกัน
เป้าหมายที่แท้จริงจะเริ่มชัดขึ้น เรียบง่ายขึ้น สงบขึ้น
ไม่ต้องใช้ความกลัวมาเป็นตัวผลักอีกต่อไป
นี่คือ Healthy Fuel
ที่ขับเคลื่อนด้วย curiosity, purpose, และความสงบจากข้างใน
-------------------
#สรุปแบบลงดาบ
ผมนึกถึงตัวเองสมัยเป็นเด็กเริ่มทำงานใหม่ๆ ทำธุรกิจแรกๆ
ไม่เคยเริ่มทำธุรกิจออกมาจาก ความอยากรู้ หรือพลังงานดีๆเลย เบ้นเต็มไปด้วย Toxic Fuel
ตอนนั้นเบ้นอยู่ใน Status ที่เพื่อนๆรอบตัวบอกว่า "โครตจะ Productive"
ตื่นตี 5 มาวิ่งทุกวัน อ่านหนังสือ ปีนึง 52 เล่ม พัฒนาตัวเองตลอดเวลา ทำงาน 7 วัน/สัปดาห์ ไม่หยุดติดต่อกัน 4 ปี
แต่ถ้าวันนี้มองย้อนกลับไป Drive ของเราคือปมในใจเราที่ต้องการ
การยอมรับจากสังคม ลึกๆรู้สึกไม่มีค่า
พอวันหยุด ไม่ทำงานปั๊ป เอาละ 555555
เริ่มรู้สึกไม่ดีละ เริ่มเกลียดตัวเอง เกลียดวันหยุด ถึงขนาดเคยตั้ง
Club ทำงานวันหยุด แล้วชมกันเองในกลุ่มด้วย ใครหยุดงานโดน Bully ใครป่วยโดนปรับ 5555555
แต่สุดท้ายสิ่งนั้นอยู่ได้ 4 ปี เราก็เริ่ม Burnout ทำงานหนัก แต่ข้างในสับสนตัวเอง ยิ่งทำยิ่งรู้สึกไม่มีคุณค่า
พอทำไปสักพักมันจะเริ่มติดคิดอะไรไม่ออก ธุรกิจก็ไม่โตอีกเลย
เราไม่ต้องเลิกพัฒนา แต่ต้องเลิกใช้เชื้อเพลิงผิด
สิ่งที่ Dr. K สอนคือ "ไม่ต้องหยุดพัฒนา แต่ต้องเปลี่ยนเชื้อเพลิง"
จาก anger(ความโกรธ) → เป็น awareness (การรับรู้)
จาก shame(ความอาย) → เป็น self-compassion (ความเห็นใจ)
จาก fear(ความกลัว) → เป็น safety (รู้สึกปลอดภัย)
จาก childhood wounds(ปมวัยเด็ก) → เป็น healing (การรักษา)
เราจะยังพัฒนาเหมือนเดิม แต่จะพัฒนาแบบที่ ไม่ต้องแลกหัวใจตัวเองไปด้วย
ผมเชื่อว่าคนที่อ่านโพสต์นี้
กำลังอยู่ในจุดที่ พร้อมจะเปลี่ยนเชื้อเพลิงในชีวิตแล้วจริงๆ
นี่แหละคือจุดที่ชีวิตเริ่มเดินด้วยความสงบ ไม่ใช่หนีจากตัวเราเอง
และเป็นจุดที่นิสัยใหม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเฆี่ยน ไม่ต้องพิสูจน์ใครทั้งนั้น
ผมหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยสร้างวันของคุณ

08/12/2025

บำรุงกระเพาะและ ลำไส้ ให้ย่อยอาหารดี ไม่เบื่ออาหาร ได้สารอาหารเพิ่มขึ้น #สัปปายะhowto #กระเพาะอ่อนแรง

04/12/2025

กล้ามเนื้อดวงตาที่ผ่อนคลาย
ช่วยลดอาการตาล้า
ลดความร้อนรอบดวงตา
ทำให้ตากลับมาชุ่มชื้น
ร่วมกับ
ลดการดูจอนานเกินเกินไป
มองออกไปไกล ๆ สัก 20 วินาที
ปรับโฟกัสตาหลังจาก
ดูจอ 20 นาที ช่วยได้จ้า
#ตาแห้ง #แสบตา
#สัปปายะhowto
#หมอที่ดีที่สุดอยู่ในตัวเราเอง

มีเวิร์คช็อปของ สัปปายะ คลินิกการแพทย์แผนไทย มีวันที่ 5-6 ชวนมาค้นหาธาตุของตน และปรุงชาตามธาตุด้วยตัวเองกันคะ ใครสนใจแวะ...
03/12/2025

มีเวิร์คช็อปของ สัปปายะ คลินิกการแพทย์แผนไทย
มีวันที่ 5-6 ชวนมาค้นหาธาตุของตน และปรุงชาตามธาตุด้วยตัวเองกันคะ ใครสนใจแวะมาเดินเล่นที่งานและร่วมกิจกรรมกันได้เลยนะคะ

🌿 ปลุกประสาทสัมผัส เติมแรงบันดาลใจให้เต็มอิ่ม
กับ Workshop ปีละครั้ง จากเหล่า #พอแล้วดีTheCreator
วันที่ 5–6 ธันวาคมนี้ ที่ #พอแล้วดีXP |📍SAMA Garden, BITEC Bangna!

🔥 โอกาสดีปีละครั้ง!!
ที่ The Creator หลายความชำนาญจะมาเปิดเวิร์กช็อปพร้อมกัน
ครบที่สุด—หลากหลายที่สุด—และ “เต็มไวที่สุด”!

กิจกรรมมีให้เลือกเยอะมาก
🍃 Nature’s Whisper บทสนทนาจากธรรมชาติ
โดย พี่บี Backyard Blooming

🥣 Organic Ingredients Sensory & Blind Test
โดย พี่หนิงและทีมงาน Sivatel Bangkok Hotel

🍵 ชิมชาตามธาตุ
โดย พี่หมอนัท และพี่หมอทราย จาก สัปปายะ คลินิกการแพทย์แผนไทย

🧘‍♀️ Body–Mind Connection / Mind Space is Big Enough
โดย ครูเก๋ บูธาราโยคะ - Budharas

🍫 Chocolate Tasting
โดย พี่บู Boo Chocolate

🍫➡️🍫 Cacao to Cocoa to Chocolate
โดย ครูจันทร์ O’ Moon

🎮 Simulation Card Game – Boss Battle
โดย พี่นุ้ย พี่เอส จาก Intuit Leader

🌙 Eye Spa
โดย พี่อดิ กายะสุขะ

🌱 Many Ways of Knowing (Biomimicry)
โดย พี่หมูหวาน Sapience

💍 Your Inner Light
โดย พี่จอย Storiesofsilver

🍃 Thai Breathing Remedy
โดย พี่ดุ๋ย Sherpubliq

นอกจาก Workshops ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกทุกวัน
5-7 ธันวาคม
10.00 - 20.00
ดูรายละเอียดได้ที่ พอแล้วดี XP SAMA Garden

💛 มาคนเดียวก็สนุก
💛 ชวนเพื่อนมาคือยิ่งดี
🔥 ที่สำคัญ: เวิร์กช็อปจำนวนจำกัดทุกคลาส!

รีบล็อคเวลา แล้วแท็กเพื่อนที่อยากชวนมา
ลิงก์จองอยู่ในคอมเมนต์ 👇

#ศาสตร์พระราชา
#จดจำตลอดกาลคือทำตามตลอดไป
#ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง



02/12/2025

หายใจ ให้ลึกถึงท้อง ช้าละเอียด ช่วยลดนอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ ตื่นมาสดชื่นดี ไม่ตื่นบ่อยกลางคืน #สัปปายะhowto

สัปปายะ คลินิกการแพทย์แผนไทยขอแจ้งวันหยุดเนื่องใน วันพ่อแห่งชาติวันพุธ-พฤหัสบดีที่ 3-4 ธันวาคม 2568และจะเปิดให้บริการอีก...
02/12/2025

สัปปายะ คลินิกการแพทย์แผนไทย
ขอแจ้งวันหยุดเนื่องใน วันพ่อแห่งชาติ
วันพุธ-พฤหัสบดีที่ 3-4 ธันวาคม 2568
และจะเปิดให้บริการอีกครั้ง
ในวันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม 2568
อย่าลืมวางแผนการสั่งซื้อสินค้าไว้ล่วงหน้านะคะ

30/11/2025

ลิ้นปี่ คือ บริเวณอีโก้ของเรา มีน้อย ๆ ก็พอไหว
มีมากเกินไปทำให้จุกแน่นหายใจไม่เข้า กลืนอาหารไม่ลง
กลายเป็น กษัยจุก, กรดไหลย้อน ได้ง่าย
ต้นเหตุของโรคคือ "เรารู้ทุกเรื่อง"
- ไม่อยากฟังใคร ฟังได้ไม่นาน
- ฟังเพื่อตอบโต้ ไม่ได้เข้าใจ
- มีทั้ง โลภะ โทสะ โมหะ ผสมอยู่
จนเต็มแน่นอยู่ที่ลิ้นปี่
การแก้ไข 6 ข้อ เพื่อลดจุกแน่นลิ้นปี่(ลดอีโก้)
1. ตั้งสติหายใจอย่างผ่อนคลาย 4-8
2. กดจุดระหว่าง ลิ้นปี่ และ สะดือ 1 นาที 3 รอบ / เช้า เย็น ก่อนนอน
3. ตั้งชื่อตลก ๆ ให้อีโก้ เพื่อแยกตัวเราออกมา "มิสเตอร์รู้ทุกเรื่อง"
4. หัดทำอะไรใหม่ ๆ เช่น ทำอาหาร, ถามสิ่งที่ไม่รู้, ดูงานต่างประเทศ
5. ทำท่า Child Pose เพื่อคลายลิ้นปี่ 5-10 ลมหายใจ วันละสองรอบ
6. ทำท่า ผีเสื้อนอนหงาย เพื่อเปิดเผยความเปราะบาง 1-5 นาที วันละสองรอบ

#หมอที่ดีที่สุดอยู่ในตัวเราเอง
#สัปปายะวันละนิด Ep 2

29/11/2025

4 วิธีแก้ไข ภูมิคุ้มกันตก จนเป็นงูสวัด เริม #สัปปายะhowto #ภูมิตก #ภูมิคุ้มกันไม่ดี #น้ำกลั่นย่านาง

28/11/2025

ใช้อะไรแก้ไขงูสวัด ได้ เพื่อ กระทุ้งพิษ
ลดความร้อน ต้านพิษอักเสบ
#ย่านาง #เสลดพังพอน
#หมอที่ดีที่สุดอยู่ในตัวเราเอง

การสวดมนต์สามารถนำจิตสู่ความสงบได้ 3 ระดับ1. สวดด้วยกาย (วาจา) - ขณิกสมาธิปากขยับตามบทสวด แม้จิตจะวอกแวกบ้าง แต่เสียงสวด...
27/11/2025

การสวดมนต์สามารถนำจิต
สู่ความสงบได้ 3 ระดับ
1. สวดด้วยกาย (วาจา) - ขณิกสมาธิ
ปากขยับตามบทสวด แม้จิตจะวอกแวกบ้าง แต่เสียงสวดช่วยพากลับมารู้ตัว เกิดความสงบเป็นช่วง ๆ
2. สวดด้วยใจ - สมาธิเข้มข้นขึ้น
จิตจดจ่อกับคำหรือความหมาย ความฟุ้งซ่านลดลงชัด เกิดความปิติ ความอ่อนโยน และความสุขจากความตั้งมั่น
3. สวดด้วยจิต - อุปจารสมาธิ (เอกัคคตาชัด)
เสียงสวดเหมือนซ้อนอยู่ภายใน หรือหายไปเหลือแต่ความรู้ตัว จิตนิ่ง สงบ หนักแน่น เป็นพลังละเอียดที่เกิดจากความตั้งมั่นต่อเนื่อง
#หมอที่ดีที่สุดอยู่ในตัวเราเอง

ที่อยู่

Bangkok
10120

เบอร์โทรศัพท์

+66861115522

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ใครไม่ป่วยยกมือขึ้นผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ช่วยกันทำให้คนป่วยน้อยลง

การดูแลสุขภาพของตนเองเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิต ช่วยให้ตนเอง ครอบครัว สังคม มีความมั่นคงทางกายและใจ เริ่มจาก ทานอาหารที่ดี เบียดเบียนผู้อื่นให้น้อย และมีจิตใจที่สงบ