นวัตกรรมการฟื้นฟู ไทรอยด์

นวัตกรรมการฟื้นฟู ไทรอยด์ ไทรอยด์ thyroid โกเรจินส์ นอนไม่หลับ อาร?

28/07/2019
ไทรอยด์เป็นพิษและภาวะขาดไทรอยด์ส่งผลต่อน้ำหนักอย่างไร ?   ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) และไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidis...
01/04/2019

ไทรอยด์เป็นพิษและภาวะขาดไทรอยด์ส่งผลต่อน้ำหนักอย่างไร ?

ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) และไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) หรือภาวะขาดไทรอยด์ เป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นกับต่อมไทรอยด์บริเวณส่วนหน้าของคอ ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ซึ่งควบคุมระบบเมตาบอลิซึมหรือการเผาผลาญพลังงานของร่างกายโดยช่วยนำพลังงาน วิตามิน และฮอร์โมนอื่น ๆ มาใช้ รวมทั้งควบคุมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกายด้วย

หากร่างกายมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์จะส่งผลกระทบต่ออัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายและก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวตามมา การเรียนรู้เกี่ยวกับความเชื่อมโยงของภาวะไทรอยด์เป็นพิษและไฮโปไทรอยด์กับน้ำหนักตัวจะช่วยให้เกิดความเข้าใจและดูแลอาการป่วยได้ถูกต้องมากขึ้น

ไทรอยด์ส่งผลต่อน้ำหนักตัวอย่างไร

ฮอร์โมนไทรอยด์นั้นช่วยให้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกายพัฒนาและเจริญเติบโตขึ้นอย่างเป็นปกติ ทั้งยังควบคุมการเก็บสำรองและเผาผลาญพลังงาน ส่งผลให้ระดับพลังงานในร่างกายสมดุล เมื่อประสบปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์จึงทำให้ระบบเมตาบอลิซึมทำงานผิดปกติ จนกระทบต่อการเผาผลาญพลังงานและส่งผลต่อน้ำหนักตัวตามไปด้วย โดยปัญหาต่อมไทรอยด์ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

ไทรอยด์เป็นพิษ คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานหนัก โดยหลั่งฮอร์โมนไทรอกซิน (Thyroxine: T4) และฮอร์โมนไตรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine: T3) ออกมามากเกินไป มักเกิดจากโรคเกรฟส์ (Graves’ Disease) ต่อมไทรอยด์อักเสบ หรือก้อนเนื้อที่่ต่อมไทรอยด์ รวมทั้งสาเหตุอื่นที่พบได้ไม่บ่อย เช่น เนื้องอก การรับประทานอาหารหรือยาที่มีไอโอดีนปริมาณมาก เป็นต้น

ไทรอยด์เป็นพิษส่งผลให้อัตราการทำงานของระบบเมตาบอลิซึมเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยจะเผาผลาญพลังงานและสลายไขมันในร่างกายได้มาก รวมทั้งมีน้ำหนักตัวและระดับคอเลสเตอรอลลดลง นอกจากนี้ อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ กินจุขึ้น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่น รู้สึกร้อนและเหงื่อออกเสมอ กล้ามเนื้ออ่อนล้าหรือเจ็บ ถ่ายหนักบ่อย วิตกกังวลหรือหงุดหงิด และประจำเดือนมาไม่ปกติ นอกจากนี้ ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษส่วนใหญ่มักมีอาการตาโปน ซึ่งส่งผลให้ตาปิดไม่สนิทและอาจมีปัญหาด้านสายตาตามมา

ไฮโปไทรอยด์ คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติและผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อการทำงานของร่างกาย ส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทำงานผิดปกติ โดยภาวะนี้มักเกิดจากต่อมไทรอยด์อักเสบแบบฮาชิโมโต (Hashimoto's Thyroiditis) ซึ่งเกิดจากต่อมผลิตภูมิคุ้มกันขึ้นมาทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง ทั้งนี้ ไฮโปไทรอยด์อาจมีสาเหตุมาจากการรักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษด้วยการกลืนสารรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine) การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ หรือการใช้ยารักษาโรคบางชนิด ส่วนสาเหตุที่พบไม่บ่อย ได้แก่ ความผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์แต่กำเนิด ปัญหาเกี่ยวกับต่อมใต้สมอง หรือภาวะขาดไอโอดีน

ไฮโปไทรอยด์ส่งผลให้อัตราการทำงานของระบบเมตาบอลิซึมลดลง ผู้ป่วยจึงเผาผลาญพลังงานและสลายไขมันได้น้อย รวมทั้งมีน้ำหนักตัวและระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ อาจมีอาการหรือความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ทางร่างกายตามมา ได้แก่ เหนื่อยง่าย สมรรถภาพร่างกายลดลง รู้สึกหนาวผิดปกติ ผิวแห้ง เล็บเปราะ ท้องผูก และประจำเดือนมาไม่ปกติ

อย่างไรก็ตาม วิธียืนยันอาการป่วยของโรคที่ชัดเจนและถูกต้องคือเข้ารับการวินิจฉัยกับแพทย์โดยตรง แพทย์จะซักถามอาการ ตรวจขนาดต่อมไทรอยด์ และดูว่ามีปัญหาสุขภาพดวงตาที่อาจแสดงถึงความผิดปกติของต่อไทรอยด์หรือไม่ รวมทั้งตรวจเลือด เพื่อวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ นอกจากนี้ แพทย์อาจทำอัลตราซาวด์ต่อมไทรอยด์หรือเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่ทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติร่วมด้วย

ไทรอยด์เป็นพิษและไฮโปไทรอยด์ควรดูแลอย่างไร

ผู้ป่วยภาวะไทรอยด์เป็นพิษและไฮโปไทรอยด์สามารถดูแลอาการป่วยได้ด้วยตนเอง โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต ดังนี้

การรับประทานอาหาร
เสริมโปรตีน เลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนมากขึ้น เพื่อทดแทนน้ำหนักและมวลกล้ามเนื้อที่สูญเสียไป รวมทั้งรับประทานอาหารอื่น ๆ ในปริมาณพอเหมาะ เพื่อป้องกันน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากเกินไป โดยอาจปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเกี่ยวกับการวางแผนรับประทานอาหารแต่ละมื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสม

-รับประทานผักมากขึ้น เลือกรับประทานผักในแต่ละมื้ออาหารให้มากขึ้น เนื่องจากผักช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อีกทั้งยังมีแคลอรี่ต่ำ นอกจากนี้ อาจรับประทานผลไม้ ถั่วต่าง ๆ หรือโยเกิร์ตในปริมาณพอเหมาะ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ อย่างครบถ้วน

-เลี่ยงไอโอดีน ไม่ควรบริโภคอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของไอโอดีนสูง เช่น สาหร่าย อาหารมีส่วนผสมของสาหร่าย เม็ดฟู่สำหรับละลายในน้ำดื่ม รวมทั้งเลี่ยงรับประทานยาสมุนไพรและอาหารเสริมที่มีไอโอดีนสูง

-งดคาเฟอีน กาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอาจทำให้อาการป่วยแย่ลง เช่น หัวใจเต้นเร็ว ทำให้กระวนกระวาย หรือไม่มีสมาธิ

-แนวทางการใช้ชีวิตผ่อนคลายความเครียด ควรหาเวลาพักผ่อนหรือทำงานอดิเรกที่ช่วยให้เพลิดเพลินและผ่อนคลายมากขึ้น

-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะกระตุ้นอัตราการเผาผลาญของระบบเมตาบอลิซึมให้แก่ผู้ป่วยไฮโปไทรอยด์ อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ และหัวใจให้แข็งแรง

-พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับจะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้เป็นปกติ

-หยุดสูบบุหรี่ ผู้ป่วยโรคเกรฟส์ซึ่งเป็นภาวะไทรอยด์เป็นพิษชนิดหนึ่ง ควรงดสูบบุหรี่เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ โดยผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษอาจได้รับยาลดฮอร์โมนไทรอยด์อย่างเมไทมาโซล หรือโพรพิลไทโอยูราซิล และอาจรักษาด้วยการกลืนสารรังสีไอโอดีน หรือผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกไป ส่วนผู้ป่วยภาวะไฮโปไทรอยด์จะได้รับยาบำบัดภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งเรียกว่ายาเลโวไทรอกซีน

10 สัญญาณเช็คอาการไทรอยด์ผิดปกติอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่นผู้ป่วยที่มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะส่งผลกระทบไปถึงการทำงานของหั...
01/04/2019

10 สัญญาณเช็คอาการไทรอยด์ผิดปกติ

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น

ผู้ป่วยที่มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะส่งผลกระทบไปถึงการทำงานของหัวใจทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ใจสั่นหรืออ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉงในภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ

ผมร่วง

ภาวะไทรอยด์เป็นพิษหรือไทรอยด์ทำงานต่ำสามารถเกิดผมร่วงได้

นอนไม่หลับ

อาการนอนไม่หลับมาคุกคามคุณบ่อยๆทั้งที่ปกติเป็นคนที่นอนหลับง่ายและหลับได้สนิทโดยตลอด เนื่องจากหากไทรอยด์ผิดปกติอาจหลั่งฮอร์โมนมามากเกินไปจนกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและรบกวนการพักผ่อนของเราได้

รู้สึกง่วงตลอดเวลา

จะเกิดได้ในภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ จะเกิดอาการอ่อนเพลียไม่สดชื่นร่วมด้วย

อ้วนขึ้นหรือผอมลงอย่างผิดปกติ

ต่อมไทรอยด์ผิดปกติในลักษณะหลั่งฮอร์โมนออกมามากกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึมให้ขยันเกินไปในภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะพบว่าน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนในไทรอยด์ทำงานต่ำจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่าย เนื่องจากการเผาผลาญที่ต่ำลง

หิวบ่อยหรือไม่หิวกินไม่ค่อยลง

การทำงานไทรอยด์ทำงานมากขึ้นอาจทำให้เกิดความรู้สึกหิวบ่อยขึ้น ทานมากขึ้นแต่น้ำหนักตัวลดลง

ขับถ่ายไม่เป็นปกติ

เข้าห้องน้ำน้อยกว่าปกติหรือท้องผูกบ่อยๆแม้จะกินพวกผัก ผลไม้อยู่เกิดจากร่างกายมีภาวะขาดไทรอยด์ได้ในภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะมีการทำงานของลำไส้มากขึ้น ทำให้ถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้นกว่าปกติ ส่วนในไทรอยด์ต่ำอาจพบอาการท้องผูก

รู้สึกหนาวตลอดเวลาหรือขี้ร้อนมากขึ้น

ต่อมไทรอยด์ไม่หลั่งฮอร์โมนออกมาในปริมาณเพียงพอทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ความร้อนในร่างกายก็จะลดน้อยลง ภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะมีอาการขี้ร้อน เหงื่อออกมากกว่าปกติ ส่วนภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำจะมีอาการขี้หนาวมากขึ้น

ผิวแห้ง

ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำจะมีระบบเผาผลาญทำงานได้ช้าลงส่งผลต่อผิวแห้งมากขึ้นหรือเหงื่อลดน้อยลง

ใจสั่น

ภาวะที่ฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไปจะเร่งกระบวนการการทำงานส่วนต่างๆของร่างกายทั้งหมดจะทำให้หัวใจก็ยังเต้นเร็ว

ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Overactive Thyroid) คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำง...
09/02/2018

ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Overactive Thyroid) คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ เหงื่อออกง่าย และหงุดหงิด ฉุนเฉียว ...

อ่านต่อคลิ๊กที่ภาพ

สายด่วนโทร 097 142 5642
หรือแตะที่ลิ้งค์
http://lifefit.club/line/

ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Overactive Thyroid) คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำง...
30/01/2018

ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Overactive Thyroid)

คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ เหงื่อออกง่าย และหงุดหงิด ฉุนเฉียว เป็นต้น

ไทรอยด์เป็นพิษ

ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมที่อยู่ส่วนหน้าของบริเวณลำคอใต้ลูกกระเดือก และติดกับหลอดลม มีลักษณะคล้ายผีเสื้อ ลักษณะทางกายภาพของต่อมแบ่งเป็นทั้งหมด 2 ซีก คือ ซีกซ้ายและซีกขวา ซึ่งต่อมทั้ง 2 ซีกจะเชื่อมกันด้วยเนื้อเยื่ออิสมัส (Isthmus) โดยต่อมไทรอยด์จะทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนไทโรซีน (Thyroxine - T4) และฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine - T3) ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการเผาผลาญของร่างกายและฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในระบบไหลเวียนของเลือด ซึ่งถ้าหากเกิดความผิดปกติจนทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ฮอร์โมนไทโรซีน และฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน ก็จะถูกผลิตออกมามากจนกลายเป็นพิษ

อาการของไทรอยด์เป็นพิษ

อาการไทรอยด์เป็นพิษค่อนข้างคลุมเครือและคล้ายกับอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ทั้งนี้ถ้าหากผู้ป่วยมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษที่ไม่รุนแรงมากนัก ก็อาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมา โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อาการมักไม่ค่อยแสดงออกอย่างชัดเจนมากนัก อย่างไรก็ตามอาการต่อมไทยรอยด์เป็นพิษก็ถือเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

อาการที่พบได้มากที่สุดในคนที่มีอาการไทรอยด์เป็นพิษก็คือ อาการคอพอก ซึ่งเป็นอาการที่ต่อมไทรอยด์โตขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกหรือเห็นก้อนขนาดใหญ่ที่บริเวณคอ ซึ่งบางครั้งแพทย์ก็อาจสามารถตรวจพบอาการคอพอกได้ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ เช่น
-อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิ
-คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว
-นอนหลับยาก
-มีปัญหาสายตา เช่น ตาโปน เห็นภาพซ้อน เป็นต้น
-สุขภาพผมเปลี่ยนไป ผมเปราะบางขาดง่าย และมีอาการผมร่วง
-ผู้หญิงมีรอบเดือนผิดปกติ ประจำเดือนมีสีจางและมาไม่-สม่ำเสมอ
-กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะบริเวณต้นขาและต้นแขน
เล็บยาวเร็วผิดปกติ
-หัวใจเต้นเร็วมากกว่า 100 ครั้ง/นาที โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
-มือสั่นตลอดเวลา
-มีอาการคัน
-เหงื่อออกมาก
-ผิวหนังบาง
-น้ำหนักลด แต่มีความอยากอาหารมากขึ้น
-อาจพบเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้นในเพศชาย

ทั้งนี้หากเริ่มมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณสำคัญของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หรือเกิดจากเนื้องงอกที่บริเวณต่อมหมวกไตได้ หากปล่อยไว้จะยิ่งรักษาได้ยากมากขึ้น

สาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษ

สาเหตุของโรคไทรอยด์เป็นพิษ เกิดขึ้นจากการที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ จนทำให้ร่างกายมีปริมาณของฮอร์โมนไทรอยด์มากกว่าความต้องการของร่างกาย และมีสภาวะเป็นพิษ จนส่งผลต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ โดยไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

โรคเกรฟวส์ (Graves' Disease) จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทโรซีนออกมามากผิดปกติจนกลายเป็นพิษ ซึ่งยังคงไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าโรคเกรฟวส์นั้นเกิดจากอะไร พบเพียงแต่ว่าโรคดังกล่าวมักเกิดขึ้นในผู้หญิงในวัยรุ่นและวัยกลางคน อีกทั้งยังเป็นได้ว่าเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยการสูบบุหรี่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคเกรฟวส์มากขึ้น
การรับประทานอาหาร การรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนมากเกินไปก็สามารถก่อให้เกิดโรคไทรอยด์เป็นพิษ เนื่องจากไอโอดีนเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์
เนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ เป็นกรณีที่พบได้น้อย เนื้องอกที่เกิดบริเวณไทรอยด์ และเนื้องอกที่เกิดบริเวณต่อมใต้สมอง อาจส่งผลให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์มากขึ้นจนกลายเป็นพิษได้
การอักเสบของต่อมไทรอยด์ (Thyroiditis) การอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุของต่อมไทรอยด์สามารถส่งผลต่อการทำงานของของต่อมไทรอยด์ได้ โดยการอักเสบของต่อมไทรอยด์จะทำให้ฮอรโมนไทรอยด์ถูกผลิตออกมามากขึ้น และทำให้ฮอร์โมนรั่วไหลออกไปที่กระแสเลือด ทั้งนี้การอักเสบของต่อมไทรอยด์ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บ ยกเว้นอาการไทรอยด์อักเสบแบบกึ่งเฉียบพลันที่เกิดขึ้นได้น้อย สามารถส่งผลให้เกิดอาการเจ็บได้
การได้รับการเสริมฮอร์โมนไทรอยด์ที่มากเกินไป ยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีนบางชนิด เช่น ยาอะไมโอดาโรน (Amiodarone) ที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะทำให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์มากขึ้นจนกลายเป็นพิษ
การวินิจฉัยโรคไทรอยด์เป็นพิษ

การวินิจฉัยด้วยตัวเอง วิธีวินิจฉัยโรคไทรอยด์เป็นพิษด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ก็คือการสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการใด ๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักลดผิดปกติ มือสั่น เหนื่อยง่าย หายใจสั้น หรือมีอาการบวมที่บริเวณคอ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจให้แน่ชัด

การวินิจฉัยโดยแพทย์ การวินิจฉัยอาการโดยแพทย์สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งในขั้นแรกแพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพหรือประวัติการรักษา รวมถึงการตรวจร่างกายภายนอกเพื่อหาสัญญาณของโรคไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งสัญญาณของโรคไทรอยด์เป็นพิษ ได้แก่
-น้ำหนักลด
-ชีพจรเต้นเร็ว
-ความดันโลหิตสูง
-ตาโปน
-ต่อมไทรอยด์โต
หากมีอาการเหล่านี้ แพทย์อาจทำการสั่งตรวจเพิ่มเติมด้วยการตรวจ 2 วิธีคือ การตรวจเลือด และการเอกซเรย์

การตรวจเลือด - การตรวจเลือดจะเน้นไปที่การตรวจเพื่อเช็กการทำงานของต่อมไทรอยด์ และการเผาผลาญ เช่น

ตรวจวัดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ ปริมาณของฮอร์โมนไทรอยด์ T3 และ T4 ในเลือดเป็นสิ่งระบุชัดเจนได้ถึงการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าผิดปกติหรือไม่ หากกว่าไม่ปกติก็แปลว่ามีอาการของโรคไทรอยด์เป็นพิษ
ตรวจวัดการทำงานของต่อมใต้สมอง (Thyroid-Stimulating Hormone: TSH) เป็นการตรวจวัดปริมาณฮอร์โมนต่อมใต้สมองซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์
การตรวจวัดระดับปริมาณแอนติบอดีของต่อมไทรอยด์ (Thyroidglobulin) ซึ่งจะช่วยวินิจฉัยโรคเกรฟวส์ได้
การเอกซเรย์ - จะช่วยให้แพทย์สามารถเห็นการทำงานและความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ได้ชัดขึ้น โดยใช้วิธีดังนี้

การตรวจอัลตราซาวด์ เป็นการตรวจที่จะช่วยวัดขนาดของต่อมไทรอยด์และความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์มองเห็นความผิดปกติได้
การตรวจต่อมไทรอยด์ (Thyroid Scan) เป็นการตรวจโดยใช้รังสีเพื่อให้เห็นการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งจะช่วยให้เห็นว่าต่อมไทรอยด์มีการทำงานที่มากกว่าปกติหรือไม่
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบซีทีสแกน (CT Scan) หรือเอ็มอาร์ไอ (MRI) ใช้ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่าความผิดปกติของต่อมไทรอยด์อาจมีเนื้องอกหรือมะเร็งปน และการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองจะใช้ในกรณีทีแพทย์สงสัยว่าโรคไทรอยด์เป็นพิษอาจเกิดจากต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ
ทั้งนี้หากเอกซเรย์แล้วพบว่ามีการพบเนื้องอก ก็จะต้องมีการเก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจต่อไปว่าใช่เนื้องอกจากโรคมะเร็งหรือไม่ เมื่อแพทย์ทราบสาเหตุของโรคไทรอยด์เป็นพิษแล้วจึงรักษาในขั้นต่อไป

การรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ

การรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น อายุ เงื่อนไขทางร่างกาย รวมถึงสาเหตุและความรุนแรงของโรค โดยวิธีที่ใช้ในการรักษามีดังนี้

การรับประทานยาต้านไทรอยด์ ยาเมไทมาโซล (Methimazole: MMI) และยาโพพิลไทโออูราซิล (Propylthiouracil: PTU) เป็นยาต้านไทรอยด์ที่มีการใช้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย โดยกลไกการทำงานของยาคือ ตัวยาจะเข้าไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ให้สร้างฮอร์โมนมากจนเกินไปภายใน 2-8 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้จัดปริมาณการใช้ยาให้ทุก ๆ 4 สัปดาห์ โดยพิจารณาจากผลการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งการรักษาด้วยยาต้านไทรอยด์จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายของผู้ป่วย ทั้งนี้ผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่พบได้ก็คือ อาการแพ้ยาที่อาจทำให้เกิดผื่น มีไข้ และปวดตามข้อ แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงอย่างภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Agranulocytosis) แต่พบได้น้อย ทำให้ในการใช้ยานี้แพทย์อาจต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับเม็ดเลือดขาวควบคู่ไปกับการรักษาในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะนี้ด้วย
การรักษาด้วยรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine) เป็นการรักษาด้วยการรับประทานสารรังสีไอโอดีน ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัย โดยสารชนิดนี้จะถูกดูดซึมโดยต่อมไทรอยด์ และทำลายเนื้อต่อม ทำให้ต่อมไทรอยด์ค่อย ๆ หดตัวลงและอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 3-6 เดือน แต่ก็มีผลข้างเคียงคือจะทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อยลงจนเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเสริมฮอร์โมนไทรอยด์ร่วมด้วย การรักษาด้วยรังสีนี้จะใช้กับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy) ในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือไม่สามารถใช้ยาในการรักษาหรือรักษาด้วยรังสีไอโอดีนได้ การผ่าตัดก็จะช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ แต่เกิดในกรณีที่น้อยมาก โดยในการผ่าตัด แพทย์จะนำต่อมไทรอยด์ส่วนใหญ่ออกเพื่อรักษาอาการ แต่ความเสี่ยงในการผ่าตัดก็คืออาจทำลายเส้นเสียงและต่อมพาราไทรอยด์ได้ และหลังจากทำการผ่าตัดแล้ว ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเพื่อรักษาระดับฮอร์โมนไปตลอดชีวิต อีกทั้งหากในการผ่าตัดมีการนำเอาต่อมพาราไทรอยด์ออกไปด้วย ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับแคลเซียมด้วย
การใช้ยาต้านเบต้า (Beta Blockers) ยาต้านเบต้าจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง บรรเทาอาการใจสั่น และอาการวิตกกลังวล และมักใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง ทว่ายาดังกล่าวก็มีผลข้างเคียง เช่น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องผูก ท้องเสีย หรือวิงเวียนศีรษะ
การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โรคไทรอยด์สามารถก่อเกิดภาวะขาดน้ำได้ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยลดภาวะขนาดน้ำและทำให้อาการดีขึ้น
นอกจากนี้ ในระหว่างการรักษาโรคไทรอยด์ ผู้ป่วยจะต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร โดยเน้นอาหารที่มีแคลเซียมและโซเดียมให้มากขึ้น แต่ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้ไทรอยด์เป็นพิษยังทำให้กระดูกบางลง ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารเสริมที่มีแคลเซียมและวิตามินดีควบคู่กันไปด้วยทั้งในระหว่างการรักษาหรือหลังจากหายแล้ว เพื่อบำรุงกระดูกให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้แนะนำปริมาณของอาหารเสริม และช่วยวางแผนในการรับประทานอาหารรวมทั้งการออกกำลังกายแก่ผู้ป่วย

ภาวะแทรกซ้อนของโรคไทรอยด์เป็นพิษ

โดยส่วนใหญ่แล้ว หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที โอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนก็จะน้อย แต่ถ้าหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังก็อาจพบกับภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้ เช่น

ปัญหาสายตา พบได้ในผู้ป่วยโรคเกรฟวส์เท่านั้น ที่มีปัญหาต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โดยปัญหาสายตาที่เป็นภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ตาแห้ง ตาไวต่อแสง ตาแฉะ เห็นภาพซ้อน ตาแดง หรือบวม ตาโปนออกมามากว่าปกติ และบริเวณเปลือกตาแดง บวม เปลือกตาปลิ้นออกมาผิดปกติ โดยส่วนใหญ่แล้วอาการทางสายตาจะดีขึ้นเมื่อโรคไทรอยด์เป็นพิษได้รับการรักษา แต่ก็มีบางส่วนที่ต้องสูญเสียการมองเห็น ดังนั้นในการรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ ผู้ป่วยอาจต้องพบจักษุแพทย์เพื่อรักษาควบคู่กันไปด้วย
ปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจ ภาวะแทรกซ้อนที่มักเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคไทรอยด์เป็นพิษก็คือ ความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น หัวใจเต้นเร็ว หรือโรคหัวใจเต้นผิดปกติที่เกิดจากการสั่นที่หัวใจห้องบน (Atrial Fibrillation) หรือแม้แต่ภาวะหัวใจวาย ซึ่งเกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ แต่ภาวะแทรกซ้อนชนิดนี้จะบรรเทาลงหากรักษาได้อย่างถูกต้อง
ภาวะไทรอยด์ต่ำ หลายครั้งการรักษาไทรอยด์เป็นพิษก็อาจทำให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติจนเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ และก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น รู้สึกหนาวและเหนื่อยง่าย น้ำหนักขึ้นผิดปกติ มีอาการท้องผูก และมีอาการซึมเศร้า ทว่าอาการจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และมีผู้ป่วยเพียงบางรายเท่านั้นที่เกิดอาการโดยถาวรและต้องใช้ยาในการควบคุมระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไปตลอดชีวิต
กระดูกเปราะบาง โรคไทรอยด์เป็นพิษ หากไม่ได้รับการรักษาสามารถส่งผลเสียต่อมวลกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนแอ หรือกลายเป็นโรคกระดูกพรุน เนื่องจากการที่ร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์มากไปจะส่งผลต่อความสามารถในการดูดซึมแคลเซียมของกระดูกได้
ไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤต หากมีการควบคุมระดับไทรอยด์ที่ไม่ดี อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น หรือเป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งสัญญาณที่บอกว่าไทรอยด์เป็นพิษเข้าขั้นวิกฤตคือ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ มีไข้สูงเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส ท้องเสีย อาเจียน ตัวเหลือง ตาเหลือง มีอาการสับสนมึนงงอย่างรุนแรง และอาจถึงขั้นหมดสติได้ โดยสาเหตุที่อาจทำให้อาการเข้าสู่ภาวะวิกฤต ได้แก่ การติดเชื้อ การรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ การตั้งครรภ์ และความเสียหายของต่อมไทรอยด์ โดยภาวะไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
ไม่เพียงเท่านั้น ในกลุ่มสตรีที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ โรคไทรอยด์เป็นพิษอาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้ เช่น
-ครรภ์เป็นพิษ
-อาการแท้ง
-คลอดก่อนกำหนด
-เด็กทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าปกติ
ดังนั้นผู้ป่วยที่มีการวางแผนว่าจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อที่แพทย์จะได้วางแผนในการควบคุมอาการไม่ให้รุนแรงในระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงแพทย์จะพิจารณาเปลี่ยนวิธีการรักษาให้เหมาะสมต่อไป

วิธีป้องกันโรคไทรอยด์เป็นพิษ

ไทรอยด์เป็นความผิดปกติของร่างกายที่ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องคอยหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้ป่วยเคยป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษหากสิ้นสุดการรักษาแล้ว การติดตามผลในระยะยาวก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็น ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค เพื่อไม่ให้โรคไทรอยด์เป็นพิษกลับมาเป็นซ้ำอีก หากสูบบุหรี่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ความเสี่ยงโรคไทรอยด์เป็นพิษมากขึ้น โดยในการติดตามผล แพทย์จะสั่งให้ตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ เพื่อเฝ้าระวังอาการและเตรียมรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่อยู่

Bangkok
10510

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ นวัตกรรมการฟื้นฟู ไทรอยด์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram