พ่อแม่พอเพียง by DBP

พ่อแม่พอเพียง by DBP ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก พ่อแม่พอเพียง by DBP, พัฒนาการเด็ก, Bangkok.

หมอเนส
กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรม
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์

หมอที่เข้าใจทั้ง วิชาการ และ หัวใจพ่อแม่

พ่อแม่พอเพียง คือ พื้นที่เรียนรู้สำหรับพ่อแม่ เพื่อให้เข้าใจ และเติบโตไปพร้อมกับลูก ด้วยวิธีที่เรียบง่าย ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ

ครั้งแรกกับบทบาทใหม่ มาพบปะพูดคุย หรือ ให้กำลังใจหมอได้นะคะไขข้อข้องใจ ลูกพูดช้าหรือไม่ เริ่มยังไงเสริมสร้างพัฒนาการทางภ...
03/12/2025

ครั้งแรกกับบทบาทใหม่

มาพบปะพูดคุย หรือ ให้กำลังใจหมอได้นะคะ

ไขข้อข้องใจ ลูกพูดช้าหรือไม่ เริ่มยังไงเสริมสร้างพัฒนาการทางภาษา

แล้วพบกันนะคะ

🧩🗣 ลูกพูดช้าหรือยังไม่พูด......เพราะอะไร?
เริ่มต้นอย่างไรให้ลูกสื่อสารได้ไวขึ้น ชวนคุณพ่อคุณแม่มาพูดคุยใกล้ชิดกับแพทย์หญิงอมรรัตน์ เพ็ญภัทรกุล กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

📅 วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2568
⏰ 10.30 – 12.00 น.
📍 ห้องประชุมหาญพาณิชย์ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์

🎁 พร้อมลุ้นรับแพ็กเกจตรวจพัฒนาการเด็ก 3 รางวัล ❌ไม่มีค่าใช้จ่าย
และรับสิทธิซื้อแพ็กเกจตรวจพัฒนาการเด็กในราคาโปรโมชั่น

ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน✨
https://forms.gle/wUY86uBaFR3vSk9u8

อย่ารอช้า…เพราะพัฒนาการของเด็กสำคัญในทุกช่วงเวลา ❤️

#พัฒนาการเด็ก #แม่และเด็ก #เสวนาสุขภาพ
#ลูกพูดช้า #โรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนลรัตนาธิเบศร์

“ปีแรกของลูก…ไม่ใช่แค่การเลี้ยงดู แต่คือการวาง ‘รากฐานหัวใจ’ ให้ทั้งชีวิต”ปีแรกคือช่วงที่สมองและหัวใจของลูก “ไวที่สุด” ต...
03/12/2025

“ปีแรกของลูก…ไม่ใช่แค่การเลี้ยงดู แต่คือการวาง ‘รากฐานหัวใจ’ ให้ทั้งชีวิต”

ปีแรกคือช่วงที่สมองและหัวใจของลูก “ไวที่สุด” ต่อความรัก ความอบอุ่น และการตอบสนองของพ่อแม่
สิ่งที่เราทำในวันนี้…กลายเป็นฐานของความมั่นใจ การควบคุมอารมณ์ ความสัมพันธ์ และการเรียนรู้ในอนาคตของเขาค่ะ

ดังนั้นหัวใจสำคัญของปีแรกคือการสร้าง Secure Attachment หรือ “ความผูกพันแบบมั่นคง” ที่เกิดขึ้นจากการดูแลอย่างอ่อนโยนและสม่ำเสมอ

เพราะ Secure Attachment = ความผูกพันแบบมั่นคง และเป็นพื้นฐานของ
• ความมั่นใจในตัวเอง
• การควบคุมอารมณ์
• การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
• การเรียนรู้และ EF ในอนาคต

เด็กที่มี Secure Attachment จะ “รู้สึกปลอดภัย” และ “เชื่อว่าโลกนี้ดูแลเขาได้” ทำให้กล้าสำรวจสิ่งใหม่ โตไปมีทักษะการปรับตัวที่ดีค่ะ

คุณสมบัติของพ่อแม่ที่สร้าง Secure Attachment

ไม่ต้องสมบูรณ์ ไม่ต้องทำถูกทุกครั้ง สิ่งที่สำคัญคือ “ความสม่ำเสมอ” และ “การตอบสนองอย่างเข้าใจ”

พ่อแม่ที่สร้าง Secure Attachment มักมี 3 สิ่งนี้:

1) อ่อนไหวต่อสัญญาณลูก (Sensitive)

สังเกตว่า “ลูกต้องการอะไร” แม้ลูกยังพูดไม่ได้

2) โอบอุ้มด้านอารมณ์ (Emotionally Available)

อยู่เป็นที่พึ่ง ให้ลูกซบ ให้ลูกสงบเมื่อร้อง

3) ตอบสนองอย่างอบอุ่น (Warm & Responsive)

ไม่ใช่ทำถูกเสมอ แต่ “พยายามอยู่เคียงข้างลูกเสมอ”

พ่อแม่พอเพียงชวนมาสร้าง Secure Attachment ง่าย ๆ ผ่านหลัก “3 อ.”

1. อุ้ม–ตอบสนอง

เด็กร้อง = การสื่อสาร
อย่าคิดว่าลูกติดมือ หรือต้องให้เขา “ร้องเองจนเก่ง”

• อุ้มทันทีเมื่อลูกร้อง (ไม่ต้องรีบวิ่ง แต่มือถึงใจถึง)
• ช่วยลูกค้นหาว่าเขาต้องการอะไร: หิว ง่วง เปียก แน่นท้อง อยากกอด
• การตอบสนองเร็ว–สม่ำเสมอ ทำให้เด็ก “วางใจได้” ว่าโลกนี้ปลอดภัย

ผลลัพธ์: ลูกสงบง่ายขึ้น ร้องน้อยลงในระยะยาว และระบบประสาทพัฒนาไวขึ้น

2. อบอุ่น

ความอบอุ่นคือภาษาแรกของทารก

• กอดวันละหลายครั้ง
• ใช้น้ำเสียงนุ่ม ๆ
• เวลาคุยหรืออุ้ม ให้สบตา
• สัมผัสลูกช้า ๆ อ่อนโยน

ผลลัพธ์: ลูกเกิด “ฐานอารมณ์ที่มั่นคง” และเรียนรู้ว่าการเชื่อมโยงกับคนอื่นคือสิ่งที่ดี

3. อิงจังหวะลูก

ไม่ต้องทำตามตารางเป๊ะ ๆ ขอแค่ “อ่านลูกออก” ก็พอ
พ่อแม่แค่สังเกตจังหวะ
• ตื่น
• หิว
• ง่วง
• เบื่อ
• ต้องการพัก
ไม่จำเป็นต้อง Perfect
พลาดได้ แค่ สม่ำเสมอ = ลูกวางใจ

ผลลัพธ์: เด็กเรียนรู้การไว้วางใจ การรอคอย และการจัดระบบภายในตัวเองตามวัย


Secure Attachment ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำให้สมบูรณ์ แต่คือ “อยู่ด้วยหัวใจ” ลูกไม่ต้องการพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ… ลูกต้องการพ่อแม่ที่ อ่อนโยน สม่ำเสมอ และพยายามเข้าใจเขา เท่านั้นค่ะ

#พ่อแม่พอเพียง

#พัฒนาการเด็ก
#พ่อแม่มือใหม่

เมื่อลูกยังนอนไม่เป็นเวลา… เราจะเริ่ม “ฝึกนอนเอง” ตอนไหนดี?พ่อแม่ส่วนใหญ่มีคำถามเดียวกัน“ต้องรอถึงเมื่อไหร่ลูกถึงจะนอนเอ...
29/11/2025

เมื่อลูกยังนอนไม่เป็นเวลา… เราจะเริ่ม “ฝึกนอนเอง” ตอนไหนดี?

พ่อแม่ส่วนใหญ่มีคำถามเดียวกัน

“ต้องรอถึงเมื่อไหร่ลูกถึงจะนอนเองได้?”

คำตอบคือ…
✔️ 4–6 เดือน คือช่วงที่สมองเริ่มพร้อมที่สุด
✔️ เด็กเริ่มเชื่อมรอบการนอนได้
✔️ เริ่มปลอบตัวเองเบา ๆ ได้

แต่ว่า เด็กแต่ละคนพัฒนาไม่เท่ากัน—บางคนพร้อมเร็ว บางคนต้องการเวลาเพิ่ม และนั่น “ปกติ” มากค่ะ ❤️

✨ แล้วจะเริ่มฝึกแบบไหนดี?

1) แบบอ่อนโยน — เหมาะกับเด็กส่วนใหญ่ที่สุด

วางตอนง่วงแต่ยังไม่หลับ
ลดการช่วยลงทีละนิด
คุณแม่ยังสามารถตอบสนองได้ ไม่ปล่อยเด็กร้องลำพัง
👉 เหมาะกับบ้านที่อยากให้ลูกนอนดี แต่ไม่อยากให้ลูกเครียด

2) แบบค่อยเป็นค่อยไป (Gradual Withdrawal)

วันแรกจับมือ
วันต่อมานั่งห่าง
วันถัดไปอยู่ปลายเตียง
จนลูกค่อย ๆ รู้ว่า “แม้อยู่ห่าง…แม่ก็ยังอยู่ตรงนี้นะ”
👉 วิธีนี้ดีมากสำหรับเด็กที่ “ติดแม่เวลาเข้านอน”

3) Cry It Out

ผลลัพธ์เร็ว เห็นผลใน 3–5 คืน
แต่ต้องแน่ใจว่าพ่อแม่รับเสียงร้องได้ และลูกอายุพอที่จะเริ่มฝึกได้คือ 6 เดือน
👉 เหมาะกับบ้านที่ต้องการเห็นผลเร็ว แต่ไม่เหมาะกับเด็กไวต่อการแยกจากมาก เพราะเด็กจะร้องนาน ฮอร์โมนของความเครียดหรือ cortisol ขึ้นสูงทันที อาจกระทบความมั่นคงทางอารมณ์ได้

😭 ถ้าลูก “ยังไม่พร้อม” จะทำยังไง?

เด็กบางคนไม่ใช่ว่าไม่ยอมนอนเอง
แต่คือ ยังไม่พร้อมทางอารมณ์
ต้องการ “ความมั่นคง” มากกว่าเด็กทั่วไป

ลองเริ่มจาก…
✔️ สร้าง routine เดิมให้คาดเดาได้
✔️ วางตอนง่วงแบบอารมณ์ดี ไม่ง่วงจัด
✔️ ลดการช่วยลงทีละ 10–20%
✔️ ให้หลับไปบ้างก่อน (50–70%) แล้วค่อยวาง
✔️ ใช้ตุ๊กตา/ผ้านุ่มเป็นตัวแทนความสบายใจ
✔️ ให้พ่อช่วยกล่อมในบางคืน

เป้าหมายไม่ใช่ให้ลูกนอนเองเร็วที่สุด
แต่คือให้ลูก “รู้สึกปลอดภัย” ตอนหลับค่ะ

การนอนเป็นทักษะ ที่ต้องฝึกฝนไม่ใช่การบังคับ
และเราสามารถเลือกวิธีสอนลูกให้เหมาะกับลักษณะของเด็ก ให้เขาเก่งขึ้นแบบไม่ต้องร้องไห้นาน แค่ค่อย ๆ ทำ ให้สมองเขามั่นคงขึ้นวันละนิด เพราะเด็กทุกคนมีจังหวะของตัวเองเสมอ

#พ่อแม่พอเพียง
#ฝึกนอนเอง
#พัฒนาการเด็ก
#เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ

“ภาษา” คือเครื่องมือหลักที่เด็กใช้ คิด–สื่อสาร–เรียนรู้โลกยิ่งเด็กมีภาษาดีเท่าไร โครงสร้างสมองยิ่งแข็งแรงเท่านั้นช่วยให้...
29/11/2025

“ภาษา” คือเครื่องมือหลักที่เด็กใช้ คิด–สื่อสาร–เรียนรู้โลก
ยิ่งเด็กมีภาษาดีเท่าไร โครงสร้างสมองยิ่งแข็งแรงเท่านั้น
ช่วยให้
• เข้าใจอารมณ์ตัวเองและผู้อื่น
• เล่นและเข้าสังคมได้ดี
• เชื่อมโยงความคิด สร้างเหตุผล และแก้ปัญหา
• วางรากฐานสู่การอ่าน เขียน และการเรียนรู้ทั้งหมดในอนาคต

ภาษาไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือประตูสู่ทุกพัฒนาการของลูกค่ะ

นอกจากนี้สมองเด็กมี “ช่วงทอง” (Critical / Sensitive Period) ที่ไวต่อการเรียนรู้ภาษาเป็นพิเศษ ในช่วง 0-6 ปีแรกนะคะ แต่ความสามารถในการ พัฒนาคำศัพท์และโครงสร้างประโยคแบบก้าวกระโดด อยู่ที่ 1–3 ปี ก่อนเปลี่ยนเป็นการเรียนรู้เรื่องการวางรากฐานไวยากรณ์ การสื่อสาร

ดังนั้น ลูกไม่สื่อสาร อย่ารอช้านะคะ

เด็กเริ่ม “รอบคอบ–ใส่ใจรายละเอียด” เมื่อไหร่?เด็ก ต่ำกว่า 5 ปี ยังไม่รอบคอบเป็นปกติค่ะ เพราะสมอง EF ยังไม่สุกพอ  ช่วงที่...
29/11/2025

เด็กเริ่ม “รอบคอบ–ใส่ใจรายละเอียด” เมื่อไหร่?

เด็ก ต่ำกว่า 5 ปี ยังไม่รอบคอบเป็นปกติค่ะ เพราะสมอง EF ยังไม่สุกพอ ช่วงที่เริ่มเห็นชัดคือ 6–7 ปี เด็กจะเริ่มจำขั้นตอนได้ดีขึ้น และตรวจงานตัวเองได้บ้าง พอ 8–9 ปี จะเห็นความละเอียดมากขึ้น ผิดพลาดน้อยล และ 10 ปีขึ้นไป จะเริ่มเหมือนผู้ใหญ่ เริ่มวางแผน–ตรวจทานได้เอง หากฝึกฝน

แล้วพ่อแม่ควรเริ่ม “ส่งเสริมความรอบคอบ” เมื่อไหร่?

2–4 ปี เป็นช่วงวางรากฐาน

📌 ใช้กิจกรรมง่าย ๆ
• เก็บของเข้าที่
• ต่อบล็อกตามแบบ
• ปั้นดินน้ำมันตามรูป

👉 ช่วยสร้างสมาธิสั้น ๆ และการทำงานทีละขั้น

5–6 ปี เริ่มฝึกความละเอียด

📌 เริ่มให้ “เช็กงานง่าย ๆ”
เช่น
• วาดรูปเสร็จแล้วให้ดูว่าลืมอะไรหรือไม่
• ต่อเลโก้ให้เทียบกับภาพต้นแบบ
• งานศิลปะให้สังเกตรอยเลอะ

👉 เด็กเริ่มเห็นความผิดพลาด แต่ยังต้องช่วยชี้ก่อน

6–7 ปี เป็นช่วงทองของการฝึก

📌 เริ่มสอนขั้นตอนงาน
1. ทำงาน
2. เช็ก
3. แก้
👉 เด็กเริ่มทำได้จริง! ใช้ checklists ง่าย ๆ ได้

8–9 ปี ช่วงเพิ่มความรับผิดชอบ

📌 ให้ทำงานที่ต้องใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น
• งานวิทย์–งานศิลป์หลายขั้นตอน
• อ่านโจทย์ให้ครบ
• ทบทวนก่อนส่งงาน
👉 ใช้วิธี “ชวนสังเกต ถามนำ ไม่ใช่บอกหมด” เพื่อให้เด็กๆคิดเอง

10 ปีขึ้นไป พร้อมสร้างนิสัยรอบคอบ

📌 ฝึกตรวจงานด้วยตัวเอง
• ทำ–พัก–ดูใหม่
• วางแผนงาน
• ลิสต์สิ่งที่ต้องทำล่วงหน้า
👉 เริ่มใช้วิธีเหมือนผู้ใหญ่ได้แล้ว

การเป็นเด็ก “ไม่รอบคอบ” ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ตั้งใจ แต่หมายความว่าสมองเขายังอยู่ในช่วงกำลังเรียนรู้ พ่อแม่แค่ค่อย ๆ ชี้ทางเล็ก ๆ ให้เขาเห็น…
ที่เหลือ เด็กจะค่อย ๆ เติบโตเป็นคนที่คิดเอง ตรวจเอง และใส่ใจงานเองได้ในเวลาที่เหมาะสมค่ะ

#พ่อแม่พอเพียง
ูกสำคัญมาก
#เข้าใจวัยเข้าใจลูก
#พัฒนาการเด็ก
#เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ
ัยและการฝึกฝน

แค่ซน… หรือสมาธิสั้น? ดูยังไงให้เข้าใจง่ายที่สุดเด็กทุกคน “ซนได้” เป็นเรื่องธรรมชาติแต่ถ้า ซนมากจนใช้ชีวิตลำบาก อาจเป็นส...
28/11/2025

แค่ซน… หรือสมาธิสั้น? ดูยังไงให้เข้าใจง่ายที่สุด

เด็กทุกคน “ซนได้” เป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่ถ้า ซนมากจนใช้ชีวิตลำบาก อาจเป็นสัญญาณที่พ่อแม่ควรรู้ทันค่ะ

ซนตามวัยเป็นแบบนี้

• วิ่งเล่น พลังเยอะ แต่ หยุด–ฟังคำสั่งสั้นๆ ได้บ้าง
• ถ้าเจอสิ่งที่ชอบ จะตั้งใจทำได้นานขึ้น
• โตขึ้น พฤติกรรมดีขึ้นเรื่อยๆ
• มีช่วงนิ่ง ช่วงลุก ช่วงพัก เป็นจังหวะปกติของวัยเด็ก

ซนเกินวัยแบบที่ต้องสังเกต (ต้องมีหลายข้อรวมกันนะคะ)

• อยู่ไม่นิ่งเกือบตลอดเวลา แม้ในสถานการณ์ที่ควรนิ่ง
• ทำอะไรก็เปลี่ยนเร็ว ทำไม่จบสักอย่าง
• หุนหันพลันแล่น พุ่งออกไปเร็ว ไม่ประเมินอันตราย
• ฟังคำสั่งง่ายๆ ยังลำบาก แม้พูดซ้ำก็ยังทำไม่ได้
• พฤติกรรมกระทบชีวิตประจำวัน เช่น การเรียน การเล่น ความสัมพันธ์

จะรู้ได้ยังไง ดูจาก “ตามวัย – ความต่อเนื่อง – ผลกระทบ”

✔️ ตามวัย

1–3 ปี: ซนได้ แต่เริ่มหยุดตามคำสั่งง่ายๆ ได้
4–5 ปี: ทำกิจกรรมเดียว 5–10 นาทีได้
6 ปีขึ้นไป: ฟังคำสั่ง 2–3 ขั้นตอนได้

✔️ ความต่อเนื่อง

เกิด ทุกวัน หลายสถานการณ์ ไม่ใช่เฉพาะตอนเบื่อ ง่วง หิว หรือหลังหน้าจอ

✔️ ผลกระทบ

เริ่มมีปัญหาที่โรงเรียน เพื่อน หรือทำพ่อแม่เหนื่อยมากทุกวัน แบบนี้ไม่น่าตามวัยแน่ๆ

พ่อแม่พอเพียงมีวิธีช่วยแบบทำได้จริง

• พูดคำสั่ง สั้น ชัด เป็นบวก เช่น “เดินช้าๆ นะลูก” แทนการห้าม
• ใช้กิจวัตรช่วยให้สมองคาดเดาได้ ลดความล้น
• ให้ได้ออกแรงทุกวัน 20–30 นาที
• ลดหน้าจอ เพราะเร่งสมองและทำให้สมาธิสั้นลง
• ถ้ากังวล ควรตรวจประเมิน เพื่อช่วยให้ลูกพัฒนาได้เร็วขึ้น

“ความซนคือเรื่องธรรมดา แต่ถ้าพ่อแม่รู้สึกว่าเกินแรง… ไม่ใช่ความผิดของใครนะคะ เราแค่ต้องหาวิธีที่เหมาะกับลูกมากขึ้นเท่านั้นเอง ”

#พ่อแม่พอเพียง
#ซนหรือสมาธิสั้น
#พัฒนาการเด็ก

#เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ
#เด็กซนเป็นเรื่องปกติแต่ต้องรู้ทัน

เมื่อเด็กเผชิญ “ภัยพิบัติ”สิ่งที่อาจเกิดขึ้น + วิธีที่พ่อแม่ช่วยได้ทันทีแม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว แต่ ผลกระทบกับพัฒนาการเ...
27/11/2025

เมื่อเด็กเผชิญ “ภัยพิบัติ”

สิ่งที่อาจเกิดขึ้น + วิธีที่พ่อแม่ช่วยได้ทันที

แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว แต่ ผลกระทบกับพัฒนาการเด็ก ยังอาจเกิดขึ้นต่อเนื่องได้ เพราะเด็กยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด และยังต้องอาศัย “ความรู้สึกปลอดภัยจากผู้ใหญ่” เป็นหลัก

❗เด็กอาจมีอาการแบบนี้ได้
• กลัว เกาะผู้ใหญ่ งอแงง่าย
• พูดน้อยลง หรือไม่อยากตอบ
• นอนยาก ตื่นบ่อย ฝันร้าย
• เล่นน้อยลง หรือซนขึ้นผิดปกติ
• เบื่ออาหาร หรือกินมากขึ้น
• ไม่อยากแยกจากพ่อแม่
• ปวดท้อง ปวดหัว จากความเครียด

ส่วนใหญ่เป็นชั่วคราว ถ้าพ่อแม่ช่วย “จัดระบบความปลอดภัยทางอารมณ์” ให้เขา

วิธีที่พ่อแม่ช่วยลูกได้ทันที

1) ทำให้รู้ว่าลูกยัง “ปลอดภัย”
• ใช้น้ำเสียงนิ่ง ช้า อธิบายสั้น ๆ
• กอดบ่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายสงบ
• บอกซ้ำว่า “พ่อแม่อยู่ตรงนี้ ลูกปลอดภัยแล้วนะ”

2) กลับไปใช้กิจวัตรเดิม (Routine) ให้เร็วที่สุด
• เวลากิน–นอน–เล่น ควรคงเดิม
• เด็กจะรู้สึกว่า “โลกกลับมาคาดเดาได้อีกครั้ง”
• ลดการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในช่วงนี้

3) ให้ลูกเล่นระบายอารมณ์
• วาดรูป ระบายสี เล่นน้ำในกะละมัง
• เล่นสมมติ เช่น ช่วยกันขนของ ช่วยกันซ่อมบ้าน
→ ช่วยเด็กจัดการเหตุการณ์ที่เจอผ่านการเล่น

4) จำกัดข่าวที่ทำให้เด็กเครียด
• ไม่ให้เด็กฟังข่าวเสียงดัง หรือดูภาพซ้ำ ๆ
• ถ้าลูกถาม ให้ตอบตามจริงแบบสั้น ๆ ไม่ขู่ ไม่แต่งเติม

5) อยู่ใกล้ลูกมากขึ้นช่วงนี้
• เล่นด้วยวันละ 10–15 นาที แบบไม่จับผิด
• ถ้าเขากลัวการแยกจาก ให้ค่อย ๆ ลดทีละนิด
• เด็กจะค่อย ๆ ฟื้นความมั่นคงภายใน

เด็กจะผ่านภัยพิบัติได้… ถ้าพ่อแม่คือความนิ่งและความอบอุ่นของเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ของเล่นหรือคำสอน
แต่คือ “ความใกล้ชิด + กิจวัตรที่คงเดิม + พื้นที่ให้ลูกระบายอารมณ์”

#พ่อแม่พอเพียง
#พัฒนาการเด็ก
#เด็กหลังภัยพิบัติ
#น้ำท่วม2568
#เลี้ยงลูกเชิงบวก

เพราะพ่อแม่ก็เหนื่อย กลัว และสั่นไหวได้เหมือนกันแล้วจะ Heal ใจตัวเองอย่างไร… หลังผ่านภัยพิบัติ1) ยอมรับว่า “ฉันก็กลัวได้...
27/11/2025

เพราะพ่อแม่ก็เหนื่อย กลัว และสั่นไหวได้เหมือนกัน

แล้วจะ Heal ใจตัวเองอย่างไร… หลังผ่านภัยพิบัติ

1) ยอมรับว่า “ฉันก็กลัวได้ เหนื่อยได้”

การไม่กดความรู้สึกตัวเอง ช่วยให้สมองกลับมานิ่งเร็วขึ้น พูดกับตัวเองได้เลยว่า
“ตอนนั้นยาก แต่ฉันผ่านมันมาแล้ว”

2) ให้ร่างกายได้พักจริง ๆ

หลังภัยพิบัติ ร่างกายอยู่ในโหมดฉุกเฉินนานเกินไป
สิ่งง่าย ๆ ที่ช่วยได้จริงคือ
• นอนให้เต็มที่
• ดื่มน้ำอุ่น
• หายใจลึก 1 นาที วันละ 2–3 ครั้ง
เพราะร่างกายสงบ → ใจจะค่อย ๆ สงบตาม

3) ไม่ต้องแบกทุกอย่างคนเดียว

คุยกับคู่ชีวิต เพื่อน พี่น้อง หรือทีมชุมชนการได้เล่าเรื่อง ทำให้สมองจัดเก็บเหตุการณ์ใหม่แบบ “ปลอดภัย”
ช่วยให้ความเครียดไม่ตกค้าง

4) ค่อย ๆ กลับสู่กิจวัตรปกติ

การจัดบ้านทีละนิด เก็บของทีละกล่อง ช่วยให้เรารู้สึกว่า “ควบคุมได้” อีกครั้ง ซึ่งสำคัญมากเวลาผ่านสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้

5) เลือกเสพข่าวอย่างพอดี

ข่าวซ้ำ ๆ ทำให้สมองคิดว่าเหตุการณ์ยังไม่จบ จำกัดเวลาเสพข่าววันละช่วงสั้น ๆ เพื่อไม่ให้ใจหวนกลับไปเครียด

6) ขอบคุณตัวเองที่ “รอด” และยังดูแลครอบครัวได้

ความรู้สึกปลอดภัย เริ่มต้นจากการเห็นคุณค่าตัวเอง
ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แค่ยังยืนอยู่และยังรักครอบครัว
= เก่งมากแล้ว

7) ถ้าหนักมาก… ขอความช่วยเหลือได้เลย

ถ้านอนไม่ได้ เครียดจนกินไม่ได้ มี Flashback ซ้ำ ๆ
→ ถึงเวลาคุยกับแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
การขอความช่วยเหลือคือ “ความเข้มแข็ง” ไม่ใช่ความอ่อนแอ

พ่อแม่ไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา การ Heal ตัวเอง = การปกป้องลูกให้รู้สึกปลอดภัยที่สุด ค่อย ๆ ฟื้น ค่อย ๆ เริ่มใหม่ และให้ตัวเองได้พัก… แบบที่ไม่ต้องรู้สึกผิดนะคะ

#พ่อแม่พอเพียง ่อแม่ #ดูแลใจตัวเอง #หลังภัยพิบัติ #พัฒนาการเด็ก #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ

Tummy Time สำคัญอย่างไร? เริ่มต้นยังไงดีนะ?พ่อแม่หลายคนเคยได้ยินว่า “ให้ลูกนอนคว่ำบ่อย ๆ จะดี” แต่ดีอย่างไร และต้องเริ่ม...
27/11/2025

Tummy Time สำคัญอย่างไร? เริ่มต้นยังไงดีนะ?

พ่อแม่หลายคนเคยได้ยินว่า “ให้ลูกนอนคว่ำบ่อย ๆ จะดี” แต่ดีอย่างไร และต้องเริ่มเมื่อไหร่…วันนี้เพจพ่อแม่พอเพียงสรุปให้แบบเข้าใจง่ายค่ะ

Tummy Time คืออะไร?

คือ การให้ลูกนอนคว่ำตอนตื่น โดยมีผู้ใหญ่ดูแลใกล้ชิด
เพื่อให้คอ ไหล่ หลัง และแกนกลางลำตัวแข็งแรง
เตรียมพร้อมสำหรับ ยกหัว → พลิกตัว → คืบ → คลาน → นั่ง

ทำไมจำเป็นมากในวัยแรกเกิด–3 เดือน?

✨ ช่วยให้กล้ามเนื้อคอ–หลัง–ไหล่แข็งแรง
✨ กระตุ้นให้ลูก “ใช้ร่างกายมากขึ้น” จุดเริ่มต้นของการส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน
✨ พื้นฐานสำคัญก่อนเข้าสู่วัยคลาน นั่ง เดิน

เริ่มเมื่อไหร่ดี?

ตั้งแต่วันแรกที่กลับบ้านได้เลยค่ะ
แต่เริ่มแบบ “สั้น ๆ นิ่มนวล” ให้ลูกค่อย ๆ คุ้นเคย

ควรทำวันละเท่าไหร่?
• 0–6 สัปดาห์: ครั้งละ 1–2 นาที รวมวันละ 10–20 นาที
• 7–12 สัปดาห์: ครั้งละ 3–5 นาที รวมวันละ 20–30 นาที
• 3 เดือนขึ้นไป: ครั้งละ 5–10 นาที รวมวันละ 30–60 นาที

หลักคือ: สั้น ๆ แต่บ่อยครั้ง

วิธีเริ่ม Tummy Time แบบไม่ร้องไห้

💗 1) เริ่มบนอกพ่อแม่

ลูกคว่ำบนหน้าอกแม่/พ่อ มองหน้า ได้ยินเสียง → อุ่นใจที่สุด

💗 2) ใช้ผ้าขนหนูม้วนรองอก

ลดความยากในการยกหัว เหมาะมากสำหรับเด็กแรกเกิด

💗 3) ใช้ของล่อสนุก ๆ

กระจกเล็ก ของเล่นมีเสียง หรือรูปสีตัดกันสูงให้มองตาม หรือจะใช้ใบหน้าพ่อแม่ก็ได้ค่ะ

💗 4) ทำช่วงอารมณ์ดี

หลังตื่นนอน หลังอาบน้ำ คือช่วงที่ร่วมมือที่สุด

💗 5) ทำบนตัก

วางลูกคว่ำบนตักแม่ เหมาะกับเด็กที่ไม่ชอบพื้นแข็ง

สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกกำลังพัฒนาดี

✔ ยกหัวได้นานขึ้น
✔ ดันแขนยันพื้น
✔ มองตามของเล่นหรือหน้าพ่อแม่ได้ดีขึ้น

🚨 เมื่อไหร่ควรหยุดก่อน?
• ลูกเพิ่งกินนมอิ่ม
• อาเจียนง่าย สำลักง่าย
• ร้องไห้จนหน้าแดง
• ตัวแข็ง เกร็งมากผิดปกติ

พักก่อน แล้วค่อยเริ่มใหม่แบบสั้น ๆ ค่ะ

Tummy Time คือของขวัญเล็ก ๆ ที่สร้างความแข็งแรงให้ลูกได้ทุกวัน
ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องนาน
เริ่มเพียงวันละนิด…ร่างกายลูกจะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นอย่างสวยงามค่ะ

#พ่อแม่พอเพียง #พัฒนาการทารก #เลี้ยงลูกเชิงบวก #พัฒนาการเด็กแรกเกิด #แม่มือใหม่

ทักษะทางสังคมตามวัย…พ่อแม่ช่วยได้อย่างไร?เด็กทุกคนมี “จังหวะทางสังคม” ของตัวเองบางคนเข้าหาเพื่อนเก่ง บางคนชอบเงียบ ๆ สัง...
24/11/2025

ทักษะทางสังคมตามวัย…พ่อแม่ช่วยได้อย่างไร?

เด็กทุกคนมี “จังหวะทางสังคม” ของตัวเอง
บางคนเข้าหาเพื่อนเก่ง บางคนชอบเงียบ ๆ สังเกตคนอื่นก่อน ไม่มีแบบไหนผิด—แต่ทุกคนต้องการ “พื้นฐานทักษะสังคม” เพื่ออยู่ร่วมกันกับผู้อื่น

วันนี้ชวนมาดูว่า แต่ละช่วงวัยควรมีทักษะสังคมแบบไหน และ พ่อแม่ช่วยได้ยังไงในชีวิตประจำวัน แบบง่าย ๆ ไม่กดดันลูกค่ะ

เริ่มที่วัย

1–3 ปี: เริ่มรู้จักเพื่อน เริ่มฝึกรอ

เด็กวัยนี้ยังรอไม่ค่อยไหว และต้องการของ “เดี๋ยวนี้เลย” เป็นเรื่องปกติ พ่อแม่จึงควรเป็น “โค้ชการรอ” คนแรกของลูกค่ะ

✔ พ่อแม่ช่วยได้
• เล่น “ผลัดกัน” แบบง่าย ๆ เช่น วางบล็อกทีละคน
• ใช้ประโยคสั้น ๆ เพื่อสร้างทักษะการรอ

“รอแป๊บนะลูก…ตาของเพื่อนก่อนค่ะ”
“ยังไม่ถึงตาหนู…อีกเดี๋ยวนะ”
“ใกล้ถึงตาหนูแล้วค่ะ”

• ใช้น้ำเสียงนุ่ม ๆ + ท่าทางชี้เป็นลำดับ
• ชมทันทีเมื่อรอได้แม้แค่ 3–5 วินาที

“หนูรอได้แล้ว เก่งมากเลยค่ะ”

ทักษะสำคัญวัยนี้: เริ่มรู้จักผลัดกัน, เริ่มรอทีละนิด, เล่นข้าง ๆ เพื่อนได้ไม่ปะทะ (Parallel play)

3–5 ปี: เริ่มเล่นเป็นกลุ่ม เข้าใจกติกา

วัยอนุบาลเริ่มอยากมีเพื่อน เริ่มเล่นบทบาทสมมติ
และเริ่มเห็นใจเพื่อนแบบง่าย ๆ (“เพื่อนล้ม หนูให้ผ้า”)

✔ พ่อแม่ช่วยได้
• เล่นบทบาทสมมติ เช่น ร้านค้า คุณหมอ
• ใช้เกมผลัดกัน เช่น ต่อบล็อก จับคู่
• ช่วยลูกแก้ปัญหาด้วย 4 ขั้นตอนสั้น ๆ

1. หยุด / 2. บอก / 3. ขอ / 4. รอคำตอบ

ทักษะสำคัญวัยนี้: ผลัดกันเล่น, เล่นกลุ่ม, เริ่มรู้จักกติกา, เริ่มเข้าใจความรู้สึกเพื่อน

6–8 ปี: เริ่มเข้าใจเพื่อนมากขึ้น มีเพื่อนสนิท

วัยนี้เริ่มทำงานคู่ และเข้าใจว่าคนอื่นคิดไม่เหมือนตัวเองได้ เริ่มสนใจบทสนทนาและการร่วมมือ

✔ พ่อแม่ช่วยได้
• ฝึกบทสนทนาสั้น ๆ: ถาม–ตอบ–ต่อบทสนทนา
• ทำกิจกรรมกลุ่มเล็ก เช่น ต่อเลโก้ ทำอาหารง่าย ๆ
• ชวนลูก “ฟังเพื่อนจนจบก่อนตอบ”

ทักษะสำคัญวัยนี้: ร่วมมือ ทำงานคู่ ฟัง–ตอบ–ต่อบทสนทนา รักษาเพื่อนสนิทได้

9–12 ปี: เข้าใจความต่าง รักษามิตรภาพได้ดีขึ้น

วัยนี้เริ่มเข้าใจเหตุผลซับซ้อน
และรู้ว่าการกระทำของตัวเองมีผลต่อความรู้สึกของเพื่อน

✔ พ่อแม่ช่วยได้
• ชวนคุยแบบสะท้อนคิด
“ถ้าเป็นลูก ลูกจะรู้สึกยังไงนะ?”
• ชวนลูกทำงานกลุ่ม/เกมวางแผนร่วมกัน
• ฝึกทักษะควบคุมอารมณ์ก่อนพูด
“หยุด–คิด–ค่อยพูด”

ทักษะสำคัญวัยนี้: เข้าใจมุมมองคนอื่น ความรับผิดชอบทางสังคม รักษามิตรภาพซับซ้อนได้

🌟 หมออยากฝากไว้

ทักษะทางสังคมไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่สร้างจาก การเล่น, การสื่อสาร, และ แบบอย่างในบ้าน

ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องกดดัน
พ่อแม่ค่อย ๆ พาลูก “ฝึกใช้ใจฟังคนอื่น” ทีละก้าวก็เพียงพอแล้วค่ะ 💛

#พ่อแม่พอเพียง
#พัฒนาการเด็ก
#ทักษะสังคม

บางเรื่องของลูก…เรายึดไว้ แต่ไม่รู้วิธีวางเพราะรัก…เพราะหวังดี…แต่ก็เหนื่อยเหลือเกินพ่อแม่หลายคน “ยึด” ความคิดบางอย่างไว...
23/11/2025

บางเรื่องของลูก…เรายึดไว้ แต่ไม่รู้วิธีวาง

เพราะรัก…เพราะหวังดี…แต่ก็เหนื่อยเหลือเกิน

พ่อแม่หลายคน “ยึด” ความคิดบางอย่างไว้กับลูกโดยไม่รู้ตัว เช่น
• อยากให้ลูกนิสัยดีตามแบบที่ตั้งใจ
• อยากให้ลูกไม่ผิดพลาดเลย
• อยากให้ลูกเก่งเหมือนเด็กคนอื่น
• อยากให้ลูก “ควบคุม” อารมณ์ได้เร็ว
• อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้

แต่ยิ่งยึด…ใจเรายิ่งหนัก
และยิ่งหนัก…เรายิ่งหลุดจากความเป็น “พ่อแม่ที่อบอุ่นและมั่นคง”

วันนี้หมออยากชวนพ่อแม่ “วางอย่างมีสติ” แบบที่ไม่ใช่การปล่อยปละ แต่เป็นการวางแบบที่ดูแลใจเราและใจลูกไปพร้อมกัน

1) รู้ก่อนว่าเรายึดอะไร

ลองถามตัวเองเบาๆ
• เราต้องการให้ลูก “เป็นแบบนั้น” เพราะอะไร?
• เพื่อเขา…หรือเพื่อให้เราโล่งใจ?
• สิ่งที่หวังคือ “การพัฒนา” หรือ “ความสมบูรณ์แบบ”?

บางครั้งสิ่งที่เราเหนื่อย…ไม่ใช่ลูก
แต่คือ “ภาพในหัว” ที่เราวาดให้ลูกต้องเป็น

2) เปลี่ยนจาก “ควบคุม” เป็น “ร่วมเดิน”

เด็กทุกคนต้องใช้เวลาในการเติบโต
ยังไม่เข้าใจอารมณ์ ยังไม่ควบคุมร่างกาย ยังไม่เก็บของ ยังไม่รู้เวลา สิ่งเหล่านี้ คือพัฒนาการ ไม่ใช่ปัญหา

คำที่ช่วยวางได้:
✔ “เขายังเรียนรู้อยู่”
✔ “ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ตลอดไป”
✔ “เราอยู่เพื่อสอน ไม่ใช่เพื่อบังคับ”

3) วางแบบไม่ปล่อย: กรอบนุ่ม–เสียงนุ่ม–ใจมั่นคง

กรอบชัด + น้ำเสียงอ่อนโยน + ความสม่ำเสมอ
คือสูตรช่วยพ่อแม่วางความคาดหวังที่เกินตัวลูกลงได้

ยกตัวอย่างง่ายๆ
• จาก “ต้องรีบเดี๋ยวนี้!” → “แม่จะช่วยเตือน ทีละขั้นนะคะ”
• จาก “อย่าร้อง!” → “ร้องได้ แม่อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวเราค่อยลองใช้คำพูดแทนเสียงร้องนะลูก”
• จาก “ต้องทำได้แล้วสิ!” → “เรามาฝึกด้วยกันอีกครั้งนะ”

นี่ไม่ใช่การยอมแพ้
แต่มันคือการวางความคาดหวังเกินจริง และจับมือเดินไปในความจริงของลูก

4) ใจเบา…ลูกก็เรียนรู้ได้ดีขึ้น

เมื่อพ่อแม่เบา ลูกจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
และเมื่อเขาปลอดภัย เขา “พร้อมเรียนรู้” ทุกอย่างได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ วินัย ภาษา การเล่น หรือ EF

เพราะเด็กเรียนรู้ดีที่สุด… เมื่อเขารู้ว่า “พ่อแม่รักเขาตอนเป็นเขา ไม่ใช่ตอนเป็นแบบที่พ่อแม่หวัง”

#พ่อแม่พอเพียง
#เลี้ยงลูกแบบเข้าใจพัฒนาการ

ที่อยู่

Bangkok
10700

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ พ่อแม่พอเพียง by DBPผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram