หมอไทยพร้อม by ทรงกลด สหคลินิก

หมอไทยพร้อม by ทรงกลด สหคลินิก ให้คำปรึกษาการรักษาโรคด้วยสมุนไพร? ให้คำปรึกษาการรักษาโรคด้วยสมุนไพรและศาสตร์การแพทย์บูรณาการ
สามารถปรึกษาได้ที่ช่อง Inbox ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-18.00 น.

สารปนเปื้อนจากผลิตภัณฑ์สมุนไพร: ต้องทำอย่างไรให้ "เท่าทัน" และปลอดภัยข่าวการตรวจพบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์ส...
28/10/2025

สารปนเปื้อนจากผลิตภัณฑ์สมุนไพร: ต้องทำอย่างไรให้ "เท่าทัน" และปลอดภัย

ข่าวการตรวจพบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีชื่อเสียงและใช้กันอย่างแพร่หลาย อย่าง "ยาดมผสมสมุนไพร ตราหงส์ไทย" ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้สร้างความตื่นตัวและข้อกังวลให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่า แม้ผลิตภัณฑ์นั้นจะมาจาก "ธรรมชาติ" หรือ "สมุนไพร" ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ "ปลอดภัย" 100% เสมอไป ภัยเงียบที่เรียกว่า "สารปนเปื้อน" (Contaminants) คือสิ่งที่ผู้บริโภคอย่างเราต้องรู้เท่าทัน

บทความนี้จะพาไปเจาะลึกว่าสารปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์สมุนไพรคืออะไร อันตรายอย่างไร และเราจะมีวิธีป้องกันตนเองได้อย่างไร

ภัยร้ายที่มองไม่เห็น: สารปนเปื้อนในสมุนไพรมีอะไรบ้าง?
คำว่า "สมุนไพรผิดมาตรฐาน" จากการปนเปื้อน ไม่ได้มีแค่เชื้อจุลินทรีย์ แต่ยังรวมถึงภัยร้ายอื่นๆ ที่อาจแฝงตัวมาในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

การปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ (Microbial Contamination)

นี่คือกรณีที่เกิดขึ้นกับยาดมตราหงส์ไทย ซึ่งตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ และรา เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด

อันตราย: เชื้อเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็ก หรือผู้สูงอายุ หากสัมผัสกับผิวหนังที่เป็นแผล หรือสูดดมเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อรุนแรงได้ นอกจากนี้ เชื้อราบางชนิดยังสามารถสร้างสารพิษ (Mycotoxins) ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว

การปนเปื้อนโลหะหนัก (Heavy Metal Contamination)

สมุนไพรที่ปลูกในดินหรือแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน อาจดูดซับโลหะหนักอันตราย เช่น ตะกั่ว, ปรอท, สารหนู, และแคดเมียม

อันตราย: โลหะหนักเหล่านี้จะสะสมในร่างกาย เมื่อถึงระดับหนึ่งจะทำลายอวัยวะสำคัญอย่าง ตับ ไต และระบบประสาท

การปนเปื้อนยาฆ่าแมลง (Pesticide Contamination)

เกิดจากการเพาะปลูกที่ใช้สารเคมีเกินความจำเป็น และขาดการควบคุมการชะล้างสารพิษตกค้างก่อนนำมาแปรรูป

อันตราย: ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งแบบเฉียบพลัน (คลื่นไส้ อาเจียน) และแบบเรื้อรัง (รบกวนการทำงานของฮอร์โมน, เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง)

การปนปลอมด้วยยาสมัยใหม่ (Adulteration)

เป็นความตั้งใจของผู้ผลิตที่ลักลอบเติมยาสมัยใหม่ลงไปในยาสมุนไพรเพื่อให้ออกฤทธิ์รวดเร็วทันใจ เช่น การเติมสเตียรอยด์ในยาลูกกลอนแก้ปวดเมื่อย หรือการเติมยาซิลเดนาฟิล (ไวอากร้า) ในยาสมุนไพรเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

อันตราย: เป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด เพราะผู้บริโภคอาจได้รับยาเกินขนาด หรือยาที่ "ตีกัน" กับยาประจำตัวที่ใช้อยู่ จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

💡 How-to: 7 ข้อปฏิบัติ "เลือก-ใช้" สมุนไพรอย่างไรให้ปลอดภัย
ในเมื่อความเสี่ยงมีอยู่รอบด้าน การเป็นผู้บริโภคที่ "เท่าทัน" จึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

ตรวจสอบเลขทะเบียน อย. (สำคัญที่สุด)

ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ถูกกฎหมาย ต้องมีเลขทะเบียนตำรับยาแผนโบราณ หรือเลขที่ใบรับจดแจ้ง (เช่น G 309/62 ในข่าว) แสดงบนฉลากอย่างชัดเจน นี่คือด่านแรกที่การันตีว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการพิจารณาจาก อย. แล้ว

ข้อควรรู้: แม้มีเลข อย. แต่ก็อาจเกิดปัญหา "ผิดมาตรฐาน" ในการผลิตล็อตหลังๆ ได้ (อย่างในกรณีข่าว) ดังนั้น การติดตามข่าวสารจาก อย. จึงยังจำเป็น

ซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

หลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์จากแผงลอย ตลาดนัด หรือร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ระบุตัวตนชัดเจน ควรซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกร, คลินิกการแพทย์แผนไทยที่มีใบอนุญาต หรือร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) ที่ตรวจสอบย้อนกลับได้

สังเกต "บรรจุภัณฑ์" และ "ลักษณะผลิตภัณฑ์"

บรรจุภัณฑ์ต้องปิดสนิท ไม่ฉีกขาด บุบสลาย

ตัวผลิตภัณฑ์ต้องไม่มีลักษณะผิดปกติ เช่น สีเปลี่ยน, กลิ่นเหม็นหืน, มีความชื้น, หรือเห็นการเจริญเติบโตของเชื้อราด้วยตาเปล่า (โดยเฉพาะในยาดม ยาหม่อง หรือสมุนไพรบดผง)

อ่านฉลากอย่างละเอียด

ต้องระบุชื่อผลิตภัณฑ์, ส่วนประกอบ, เลขที่ผลิต (Lot. No.), วันผลิต (Mfg.), และวันหมดอายุ (Exp.) ชัดเจน หากไม่มีข้อมูลเหล่านี้ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาอวดอ้าง "เกินจริง"

สมุนไพรไม่ใช่ยา "วิเศษ" ที่รักษาได้สารพัดโรค หากพบโฆษณาที่อ้างว่า "หายขาด", "เห็นผลทันที", "ดีกว่ายาทุกชนิด" ให้สันนิษฐานได้เลยว่าอาจมีการปนปลอมยาอันตราย

ติดตามข่าวสารจาก "อย."

อย. มีการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง การติดตามประกาศเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ (ทั้งยา, อาหาร, และสมุนไพร) จะช่วยให้เรารู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาได้ทันท่วงที

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

หากไม่แน่ใจในผลิตภัณฑ์ หรือต้องการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษาโรค ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน, แพทย์แผนไทยประยุกต์, หรือเภสัชกร เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด

บทสรุป
ผลิตภัณฑ์สมุนไพรมีคุณประโยชน์มหาศาลหากใช้อย่างถูกต้องและผลิตอย่างมีมาตรฐาน ข่าวการตรวจพบการปนเปื้อนในครั้งนี้ จึงเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า "ธรรมชาติ" ต้องมาคู่กับ "มาตรฐานการผลิต" (GMP) และความปลอดภัยของผู้บริโภคต้องมาก่อนเสมอ

การเป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาด ไม่เพียงแค่ "เลือกซื้อ" แต่ต้อง "ตรวจสอบ" และ "ติดตาม" ข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากสมุนไพรได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืนอย่างแท้จริง

ถวายความอาลัยแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในห้วงเวลาแห่งความอาดูรและอาลัยนี้ ปวงข...
25/10/2025

ถวายความอาลัยแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ในห้วงเวลาแห่งความอาดูรและอาลัยนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมถวายความรำลึกอย่างหาที่สุดมิได้
แด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระราชินีผู้ทรงเป็น “แม่ของแผ่นดิน” อันเป็นที่รักและเทิดทูนเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของปวงชนชาวไทย

นับแต่วันที่พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายและพระราชหฤทัยให้กับประชาชนชาวไทย
ทุกย่างพระบาทล้วนเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระวิริยะ และพระปัญญาอันยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงเสด็จไปทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นที่กันดารเพียงใด เพื่อปลอบโยนและสร้างแรงใจแก่ผู้ยากไร้
ทรงจุดแสงแห่งความหวังในหัวใจของผู้คนมากมาย
ให้เห็นว่า “ความรัก ความเมตตา และความเข้าใจ” คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนผืนแผ่นดินนี้

พระองค์ทรงเล็งเห็นคุณค่าของรากเหง้าแห่งความเป็นไทย
ทรงส่งเสริมศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านผ่าน “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ”
จนกลายเป็นมรดกที่ทำให้ลูกหลานไทยภาคภูมิใจ
ทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทยให้รุ่งเรืองทั้งในและนอกประเทศ
และทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชนตระหนักในคุณค่าของความพอเพียง
การดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย อ่อนโยน แต่ทรงคุณค่า

พระองค์มิได้ทรงเป็นเพียง “สมเด็จพระราชินี” ในทางตำแหน่ง
แต่ทรงเป็น “แม่” ที่โอบอุ้มประชาชนไว้ด้วยความรัก
ทรงรับฟังเสียงของคนเล็กคนน้อย
ทรงเป็นที่พึ่งของผู้ด้อยโอกาส และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่หมดหวัง
ใต้ร่มพระบารมีนั้น คนไทยทุกคนต่างได้พักพิงและมีแรงใจที่จะยืนหยัดต่อสู้

วันนี้ แม้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย
แต่พระเมตตาและพระคุณของพระองค์ยังคงสถิตอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทย
ตราบนิรันดร์

“พระองค์จะสถิตอยู่ในใจไทยทั่วหล้า
ดุจแสงจันทร์ส่องหล้าไม่รู้ดับ
พระเมตตาอาบหลั่งดังสายธารไม่สิ้นสุด
พระองค์จะทรงอยู่ในความทรงจำของแผ่นดินนี้ตลอดไป”

---

🙏 น้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัย

ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย
ในทิพยสถานอันเกริกไกรแห่งสรวงสวรรค์
และขอให้พระบารมีแห่งพระองค์
ยังคงปกแผ่ปวงชนชาวไทยให้ดำรงอยู่อย่างสงบสุข
สืบไปตราบกาลนาน

---

💙 “ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมถวายอาลัย
ด้วยดวงใจภักดีนิรันดร์”

จากวันวาน วันนี้ และตลอดไป
ทรงกลด วัฒนพร​ชัย
๒๔/๑๐/๒๕๖๘

“โรค...ไม่ได้น่ากลัวเท่าหัวใจที่หมดแรง”และในวันที่เรากำลังอ่อนแรงที่สุดสิ่งเดียวที่ช่วยให้เรายังเดินต่อได้… คือความเข้าใ...
24/10/2025

“โรค...ไม่ได้น่ากลัวเท่าหัวใจที่หมดแรง”

และในวันที่เรากำลังอ่อนแรงที่สุด
สิ่งเดียวที่ช่วยให้เรายังเดินต่อได้… คือความเข้าใจจากใครสักคน

ช่วงนี้... ผมได้เจอผู้ป่วยมะเร็งเข้ามาปรึกษามากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่น่าตกใจไม่ใช่แค่ “จำนวน”
แต่คือ “อายุ” ที่น้อยลงทุกวัน —
บางคนเพิ่งเริ่มต้นชีวิต แต่ต้องมาเริ่มต้นการรักษา
บางคนยังมีความฝันอีกมาก แต่กลับต้องเรียนรู้คำว่า “ผลข้างเคียง”

ในทุกครั้งที่ได้คุย ผมมักจะเห็น “สองแววตา”
แววตาที่เปี่ยมด้วยพลังและศรัทธา
และแววตาที่อ่อนล้า เหมือนเทียนที่ใกล้ดับ แต่ยังอยากส่องแสงให้คนที่รัก

และจากประสบการณ์ที่ได้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งมานาน
ผมได้เข้าใจว่า —
ไม่มีใครชนะโรคนี้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องชนะด้วย “หัวใจที่ยังไม่ยอมแพ้”
และ “ความเข้าใจ” ที่ลึกซึ้งต่อร่างกายและตัวเอง

"กำลังใจ" คือยาที่แพงที่สุด แต่ให้ได้ฟรีทุกวัน

มะเร็งไม่ใช่แค่โรคของร่างกาย
แต่มันคือบททดสอบของหัวใจ
ทั้งของผู้ป่วย... และของคนรอบตัว

ในวันที่ร่างกายอ่อนแรง
สิ่งเดียวที่ยังพยุงชีวิตไว้ได้คือ “ความหวัง”
และความหวังนั้น มักเกิดจากสิ่งเล็กๆ
รอยยิ้ม คำพูด หรือมือที่ยื่นมาโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย

"ความเข้าใจ" คือแสงไฟในความมืด

ผู้ป่วยที่เข้าใจโรคของตัวเองจริงๆ
ไม่ใช่แค่รู้ชื่อของมัน
แต่รู้จัก “สมดุลของชีวิต”
รู้ว่าร่างกายต้องการอะไร
รู้ว่าความสงบในใจ คือส่วนหนึ่งของการรักษา

บางคนมียาที่ดีที่สุดในโลก แต่ใจยังไม่ยอมรับ
บางคนแค่เปลี่ยนมุมคิด หันกลับมาดูแลสมดุลในใจ
ก็เริ่มฟื้นคืนแรงได้อย่างน่าอัศจรรย์

เพราะเมื่อหัวใจสงบ
ร่างกายจะเริ่มรักษาตัวเองอีกครั้ง

มะเร็ง... ไม่ใช่จุดจบของชีวิต
แต่มันคือ “บทใหม่” ที่สอนให้เรารู้จักชีวิตมากขึ้น
มันทำให้เรารู้คุณค่าของอาหารคำเล็กๆ
ของลมหายใจทุกครั้งที่เข้าออก
ของคำว่า “อยู่ด้วยกันอีกวัน” ที่กลายเป็นสิ่งล้ำค่า

หากวันนี้คุณกำลังต่อสู้กับโรคร้าย
หรือมีใครที่คุณรักกำลังเผชิญอยู่
ผมอยากให้คุณรู้ไว้... คุณไม่ได้อยู่คนเดียว

ไม่ว่าคุณจะเหนื่อย สิ้นหวัง หรือกลัวแค่ไหน
ยังมีแสงแห่งความเข้าใจและความรัก
ที่พร้อมจะส่องให้คุณเสมอ

และถ้าวันใด... คุณรู้สึกว่าไม่มีใคร
คุณสามารถ ปรึกษาผมได้เสมอ
เพราะคุณ... ไม่ต้องสู้กับโรคนี้เพียงลำพัง

“สิ่งที่แน่นอนที่สุดในชีวิต
ไม่ใช่วันพรุ่งนี้...
แต่คือวินาทีที่เรายังมีอยู่ตอนนี้
จงใช้มันให้ทรงคุณค่า”
— หมอทรงกลด วัฒนพรชัย แพทย์แผนไทยประยุกต์

🌕 ถือศีลกินผักอย่างรู้ราก รู้เหตุผลสุขภาพดี อิ่มบุญ สมดุลกายใจ ตามตำนาน “เจ”🪶 1. ที่มาของ “เจ” ไม่ได้เริ่มจากการงดเนื้อต...
23/10/2025

🌕 ถือศีลกินผักอย่างรู้ราก รู้เหตุผล
สุขภาพดี อิ่มบุญ สมดุลกายใจ ตามตำนาน “เจ”

🪶 1. ที่มาของ “เจ” ไม่ได้เริ่มจากการงดเนื้อ

ต้นกำเนิดของเทศกาลเจเริ่มในสมัยโบราณของจีน
เมื่อประชาชนร่วมกันถือศีล ละเนื้อ ละอบาย เพื่อ อุทิศบุญแก่เทพเจ้าและเหล่าผู้ปกปักรักษาโลก
โดยเฉพาะในช่วง “เดือนเก้า” ตามปฏิทินจันทรคติจีน —
เป็นเดือนที่เชื่อว่าพลังของสวรรค์และโลกอยู่ในภาวะเปลี่ยนผ่าน

ผู้คนจึงเลือก “ทำจิตให้สะอาด กายให้เบา และไม่เบียดเบียนชีวิตใด”

นั่นคือรากแท้ของ “เจ”
ไม่ใช่เพียงการงดเนื้อ
แต่คือการกลับเข้าสู่สภาวะของ “ความสงบ ความเมตตา และความสมดุล”

🌱 2. กินผักเพื่อรักษาพลังชีวิต ไม่ใช่แค่แทนเนื้อ

ในตำนานของเจ มีหลักว่า

“อาหารคือของถวายฟ้า ต้องสะอาดทั้งวัตถุและเจตนา”

ผักจึงเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์
เพราะเติบโตจาก ดิน น้ำ ลม แสง โดยไม่ต้องพรากชีวิตใด

ในทางแพทย์แผนไทย —
ผักสดถือเป็นอาหารธาตุน้ำและลม
ช่วยให้ร่างกายเย็นลง ฟื้นพลังจากภายใน
ลดของเสียที่สะสมจากอาหารหนักและความเครียด

ผักที่ดีคือผักที่ “ยังมีชีวิต”
ถ้าเราปรุงแรงเกิน — เอนไซม์และพลังชีวิตจะดับ
ถ้าปรุงอย่างรู้จังหวะ — ผักจะกลายเป็นยา

🔥 3. เหตุผลที่ “ไฟพอดี” คือหัวใจของอาหารเจ

ในคัมภีร์โบราณของจีน มีคำว่า

“ไฟแรงเกินเผาจิต ไฟอ่อนเกินหมักพิษ”

คนจีนจึงเน้นการนึ่ง อุ่น และเคี่ยวช้า
เพื่อรักษา “ชี่แห่งชีวิต” ของอาหารไว้
ซึ่งในทางแพทย์แผนไทยก็ตรงกัน —
เพราะไฟคือหนึ่งในธาตุสำคัญที่ต้อง “คุม” ไม่ให้กำเริบ

ถ้าไฟในอาหารสมดุล → ไฟในกายก็สงบ
ถ้าไฟในกายสงบ → ใจก็เย็น อารมณ์ก็เบา

ดังนั้น “เจ” จึงไม่ใช่แค่เมนูไร้เนื้อ
แต่คือศิลปะของการ “ปรุงอย่างรู้ไฟ”

🍄 4. เห็ดและถั่วในเทศกาลเจ — ไม่ใช่แค่โปรตีน

เห็ดในความเชื่อจีน คือ “ของจากป่าแห่งสวรรค์”
เชื่อว่าช่วยยืดอายุ ทำให้จิตสงบ และเสริมภูมิคุ้มกัน
ในทางแผนไทย เห็ดมีรสสุขุม — บำรุงกำลังคนอ่อนเพลีย

ถั่วหลากสีที่ใช้ในอาหารเจ ก็มีนัยยะของ “สมดุลทั้งห้า”

ขาว = ธาตุน้ำ (ไต)

เหลือง = ธาตุดิน (ม้าม)

แดง = ธาตุไฟ (หัวใจ)

เขียว = ธาตุลม (ตับ)

ดำ = ธาตุมั่นคงแห่งชีวิต

การกินถั่วหลายสี จึงเท่ากับเติมสมดุลของจักรวาลเล็กในตัวเรา

🕊️ 5. แก่นแท้ของ “เจ” คือการกลับมารู้ตัว

ในที่สุด ทั้งตำนานและวิทยาศาสตร์พูดเรื่องเดียวกัน —
ว่า “ร่างกายและใจเราถูกสร้างจากธรรมชาติ”

เมื่อเรากินสิ่งที่เรียบง่าย ไม่เบียดเบียน
เมื่อเราปรุงอย่างอ่อนโยน
เมื่อเรากินด้วยสติ
ร่างกายจะฟื้นพลังอย่างเป็นธรรมชาติ
และใจจะสงบอย่างที่ไม่ต้องพยายาม

“เจ” จึงไม่ใช่พิธีกรรม
แต่คือการกลับมาใช้ชีวิตให้เหมือนธรรมชาติอีกครั้ง

ตำนานจีน
สร้างบุญ แสดงเมตตา ถวายฟ้า ใจสงบ เบิกบาน

แพทย์แผนไทย
พักธาตุไฟ คืนสมดุลธาตุ กายเบา ระบบดี

วิทยาศาสตร์
ล้างพิษ ลดอักเสบ เสริมภูมิ สุขภาพแข็งแรง อายุยืน

💬 “เมื่อเรากินอย่างเข้าใจ
อาหารทุกคำกลายเป็นคำภาวนา” 🌿

โดย หมอทรงกลด วัฒนพรชัย
แพทย์แผนไทยประยุกต์

🌿 กินเจแบบสุขภาพดี ได้บุญเต็ม ชีวิตปัง ไม่มีพังในช่วงเทศกาลเจ หลายคนตั้งใจที่จะถือศีล งดเนื้อสัตว์ เพื่อชำระกายใจให้เบา ...
22/10/2025

🌿 กินเจแบบสุขภาพดี ได้บุญเต็ม ชีวิตปัง ไม่มีพัง

ในช่วงเทศกาลเจ หลายคนตั้งใจที่จะถือศีล งดเนื้อสัตว์ เพื่อชำระกายใจให้เบา เปลี่ยนพฤติกรรมให้เบากว่าเดิม
แต่กลับมีหลายกรณีที่ “เจแล้วพัง” เช่น ย่อยไม่ดี อ่อนเพลีย หน้ามืด ตัวเย็น หรือมีลมในท้อง
ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก “วิธีเจที่ยังไม่ถูกต้อง” มากกว่าเจเอง

ผมขออนุญาตแชร์ให้พวกเราเข้าใจ หลักกินเจแบบสมดุล
ให้ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งสุขภาพ ได้ทั้งพลังชีวิต

1. ปรับสมดุลธาตุในร่างกายก่อนเริ่มเจ

ในภูมิปัญญาแผนไทย–จีน–อินเดีย จะมองร่างกายว่า มีธาตุต่างๆ เช่น “ดิน น้ำ ลม ไฟ” (แผนไทย) หรือ “ไม้ ไฟ ดิน ทอง น้ำ” (แผนจีน) หรือ “วาตะ ปิตตะ เสมหะ” (อายุรเวท)
เมื่อเริ่มงดเนื้อสัตว์ ซึ่งในร่างกายให้พลังไฟและดินอยู่ในระดับหนึ่ง หากหยุดทันทีโดยไม่ปรับ จะทำให้ไฟธาตุอ่อน ย่อยช้าลง ตัวเย็น ลมในท้องมากขึ้น

ในทางวิทยาศาสตร์ พบว่า อาหารพืชส่วนใหญ่มีใยอาหารสูงแต่พลังงาน/โปรตีนต่อปริมาตรอาจน้อยกว่าเนื้อสัตว์ หากไม่ปรับระบบย่อยให้ดี — ก็อาจเกิดภาวะเมตาบอลิซึมทำงานช้าลง ร่างกายอ่อนแรง

แนวทางแนะนำ:

ดื่มน้ำอุ่นแทนน้ำเย็น เพราะช่วย “กระตุ้นไฟธาตุ/ไฟย่อย”

ใช้สมุนไพรอุ่นธาตุ เช่น ขิง ตะไคร้ ดีปลี พริกไทยดี เพื่อช่วยระบบย่อยและลดลมในท้อง

ปรุงอาหารด้วยไฟพอดี หลีกเลี่ยงของทอดซ้ำ น้ำมันเก่า ซึ่งจะเพิ่มภาระให้ระบบย่อย

2. โปรตีนจากพืชที่มีคุณภาพ & “เห็ด 3 อย่างขึ้นไป”

เมื่อกินเจ เราต้องหาแหล่งโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ หากพึ่งเฉพาะ “โปรตีนเกษตร” เช่น ถั่วเหลืองแปรรูป อาจมีข้อจำกัดคือ

ผ่านกระบวนการแปรรูปมาก ทำให้กรดอะมิโนจำเป็นบางตัวอาจสูญเสีย

อาจมีโซเดียมสูง หรือสารเติมแต่งอื่น ๆ

ย่อยได้ช้าหรือมีภาระระบบย่อยสูง

ในทางเลือกที่ดีคือ “เห็ดหลากหลายชนิด” — เพราะ

ให้กรดอะมิโนจำเป็น (essential amino acids) ครบขึ้น เมื่อเลือกหลายชนิดรวมกัน

ย่อยง่ายกว่าโปรตีนเกษตรแปรรูป

มีสารเบต้ากลูแคนและวิตามินบีรวม ซึ่งช่วยระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาท

แนะนำให้เลือก “เห็ดอะไรก็ได้ 3 อย่างขึ้นไป” เช่น เห็ดหอม, เห็ดออรินจิ, เห็ดฟาง, เห็ดนางรม, เห็ดเข็มทอง ฯลฯ
การรวมเห็ดหลาย ๆ ชนิดจะช่วยให้กรดอะมิโนครบและได้คุณภาพโปรตีนดีขึ้น

ตัวอย่างแนวทาง:

ผัดเห็ด 3-4 ชนิดด้วยน้ำ (หรือน้ำซุปผัก) ใช้น้ำมันน้อย

เติมสมุนไพรรสอุ่น เช่น พริกไทยดี หรือขิงขูดเล็กน้อย

ที่รสไม่จัด คงไว้ซึ่งความเป็นเจแท้และสุขภาพดี

3. เจแท้แปลว่า “สะอาด เบา สมดุล” ไม่ได้จืดแต่ไม่ควรหนัก

หลายคนเข้าใจว่า “เจ” หมายถึงกินผักสีเขียวเยอะ ๆ แล้วก็จืด ๆ
แต่จริง ๆ แล้วหลักของการกินเจคือ

งดเนื้อสัตว์ งดเบียดเบียน

เลือกอาหารที่สะอาด สด ไม่ผ่านการแปรรูปมาก

รักษาสมดุลธาตุในร่างกาย

ในส่วนของ “ผักที่ห้าม” มีความสำคัญทางภูมิปัญญาแผนจีน/พุทธมหายาน คือ “ผักกลิ่นฉุน/แรง” หรือที่เรียกว่า “五辛 (ห้าหมัก/ห้าผักฉุน)” ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม/หอมแดง/ต้นหอม, หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน), กุยช่าย, ผักชี / บางแหล่งอาจรวมถึงยาสูบ/ของเสพ เป็นต้น

เหตุผล: พืชกลุ่มนี้เมื่อกินดิบอาจ “กระตุ้นโทสะหรือความโกรธ” เมื่อปรุงสุกอาจ “กระตุ้นราคะ/ความอยาก” ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจซึ่งเน้นให้สติสงบ
Reddit

แต่หากเราต้องการอาหารเจที่ “คลีน ปลอดภัย” ก็ทำได้โดย:

เลือกวัตถุดิบสดใหม่ ไม่แปรรูปมาก

ใช้น้ำมันน้อย หรือใช้น้ำมันดีเช่น น้ำมันงา หรือน้ำมันรำข้าว เลี่ยงของทอดซ้ำ

ปรุงรสพอดี ใช้เกลือชมพู ซีอิ๊วถั่วเหลืองแท้ น้ำตาลธรรมชาติเล็กน้อย

ทำอาหารสดใหม่ วันต่อวัน ไม่เก็บค้างหลายวัน

4. ใจสงบ กายสมดุล = เจ ที่แท้จริง

กินเจไม่เพียงแค่เรื่องอาหาร แต่คือการฝึกจิตใจ — ละเว้นจากเบียดเบียน ให้กายใจได้พักและฟื้นฟู
จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารพืชเป็นระยะเวลาหนึ่งช่วยลดระดับไขมันในเลือด ปรับสมดุลจุลชีพในลำไส้ และลดสารอักเสบในร่างกาย
เมื่อธาตุไฟ/ธาตุดินในร่างกายกลับมาสมดุล

เมื่อกายเบา ใจเบา พลังชีวิต (ชีพจรแห่งปราณ) ก็จะกลับมาเต็ม ทำให้ได้ทั้งบุญ (จากการละเว้น) และสุขภาพ (จากการเลือก)

💡 สรุป “กินเจแบบได้ทั้งบุญและสุขภาพ”

เลือกโปรตีนจากพืชคุณภาพ เช่น “เห็ดอะไรก็ได้ 3 อย่างขึ้นไป” ดีกว่าโปรตีนเกษตรแปรรูป

เติมสมุนไพรอุ่นธาตุ เช่น ขิง ตะไคร้ พริกไทยดี เพื่อช่วยระบบย่อย

ปรุงอาหารเจแบบคลีน: สดใหม่, ใช้น้ำ/น้ำมันน้อย, รสพอดี

งดผักกลิ่นฉุนตามภูมิปัญญา เช่น กระเทียม หัวหอม กุยช่าย ผักชี เพื่อใจสงบและร่างกายสมดุล

กินด้วยเมตตา มีสติ เลือกอาหารที่ทั้งดีและเกิดประโยชน์

หมอทรงกลด วัฒนพรชัย
แพทย์แผนไทยประยุกต์ / ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์บูรณาการ “หมอไทยพร้อม” / ทรงกลด สหคลินิก
ภูมิปัญญา... เพื่อเพื่อนมนุษย์ 🌿

เบาหวาน…เกิดจากอะไร? มุมมองแพทย์ตะวันออกแบบบูรณาการเวลาเราพูดถึง “เบาหวาน” คนส่วนใหญ่นึกถึง “น้ำตาลสูง–อินซูลินดื้อ”แต่ม...
20/10/2025

เบาหวาน…เกิดจากอะไร? มุมมองแพทย์ตะวันออกแบบบูรณาการ

เวลาเราพูดถึง “เบาหวาน” คนส่วนใหญ่นึกถึง “น้ำตาลสูง–อินซูลินดื้อ”
แต่มุมมองแพทย์ตะวันออก (ไทย–จีน–อายุรเวทอินเดีย) มองลึกกว่านั้นว่า
สมดุลพลังชีวิตเสีย + ไฟย่อยอ่อน + ของเสียคั่ง = ตัวจุดประกายโรคเรื้อรัง

1) แพทย์แผนไทย

ร่างกายประกอบด้วย ธาตุ ดิน–น้ำ–ลม–ไฟ

เมื่อ “ลมไหลเวียนติดขัด + ไฟย่อย (ไฟธาตุ) อ่อน” → อาหารย่อยไม่หมด เกิด กาก–เมือก–ของเสีย (เสมหะ) พอกในเส้นทางลมเลือด

ผลคือ ความอยากหวาน–เหนื่อยง่าย–ปัสสาวะบ่อย–ชาปลายมือเท้า = สัญญาณ “สมดุลธาตุเสีย”

2) แพทย์จีน (TCM)

แกนสำคัญคือ ม้าม–กระเพาะ (Pi–Wei) ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารเป็นพลัง (Qi)

เมื่อ Qi ม้ามพร่อง + ชื้นสะสม (Damp) → ร่างกาย “เหนอะ” ขยับพลังงานช้า

ถ้ากินเผ็ดมันหวาน–นอนดึก–เครียด → เกิด ชื้นร้อน (Damp-Heat) ทำให้ “กระหายน้ำ–หิวบ่อย–ผอมลง–ปัสสาวะถี่” คล้ายอาการเบาหวาน

3) อายุรเวทอินเดีย (Ayurveda)

พูดถึง Dosha: วาตะ–ปิตตะ–กะผะ และ Agni (ไฟย่อย)

เมื่อ Agni อ่อน จะเกิด Ama (ของเสีย/กากย่อย) ไปอุดกั้น Srotas (ท่อทางพลัง/เมตาบอลิซึม)

เบาหวานจัดอยู่ในกลุ่ม Madhumeha: ปัสสาวะหวาน–อ่อนแรง–คอแห้ง

จุดแก้คือ ฟื้นไฟย่อย–กวาด Ama–คืนสมดุล Dosha

เชื่อมกับแพทย์ปัจจุบัน

“ไฟย่อยอ่อน / Qi ม้ามพร่อง / Agni ต่ำ” = ระบบเผาผลาญช้าลง

“ชื้น–เสมหะ–Ama” = ไขมันสะสม + การอักเสบระดับต่ำ

ผลลัพธ์เดียวกันคือ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ทางแก้จึงไม่ใช่แค่ “ลดหวาน” แต่คือ คืนสมดุลทั้งระบบ: กินพอดี–ย่อยดี–ขยับทุกวัน–นอนพอ–คลายเครียด และใช้สมุนไพร/อาหารช่วยอย่างเข้าใจ

หลักคิดสั้น ๆ: ปลุกไฟย่อย → ไล่ความชื้น/กาก → เปิดทางพลัง → น้ำตาลนิ่งขึ้น

หมอทรงกลด วัฒนพรชัย

หากอยากให้หมอช่วยวางแผน “แบบของคุณ”— ปรึกษาตรวจสุขภาพและรับคำแนะนำจากคุณหมอทรงกลด สหคลินิก ได้เลย โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อยากให้คนไทยสุขภาพ ❤️

#หมอไทยพร้อมคุย #ทรงกลดสหคลินิก #สุขภาพบูรณาการ
#เบาหวาน #กินอย่างเข้าใจย่อยอย่างมีไฟ

ขวางรถพยาบาล/บุคลากรแพทย์ ผิดไหม? ต้องดู “เจตนา” หรือ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”1) หลักในประเทศไทย ต้องหลีกทาง เมื่อรถฉุกเฉิน ...
19/10/2025

ขวางรถพยาบาล/บุคลากรแพทย์ ผิดไหม? ต้องดู “เจตนา” หรือ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”

1) หลักในประเทศไทย

ต้องหลีกทาง เมื่อรถฉุกเฉิน (เช่น รถพยาบาล) เปิดไฟ–ไซเรนระหว่างปฏิบัติหน้าที่ หากไม่หลบ มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 76 และโทษปรับตามมาตรา 148 (อัตราปรับปัจจุบันให้ตรวจประกาศพื้นที่ แต่โดยหลักคือ “ผิดแน่” ถ้าไม่หลบ)

ห้ามขับตามรถฉุกเฉินในระยะน้อยกว่า 50 เมตร (มาตรา 127) เพิ่มความปลอดภัยและไม่กีดขวางงานฉุกเฉิน, มีโทษปรับตามที่กฎหมายแก้ไขปี 2565 กำหนด (หลายแหล่งสื่อสาร 2,000–4,000 บาท ขึ้นกับประกาศและการบังคับใช้)

ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ (รวมถึง “ผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย” เช่น หน่วยกู้ชีพ/EMT ที่ทำงานตามระบบ) มีโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 (จำคุกไม่เกิน 1 ปี/ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ; หากใช้กำลัง/ขู่ใช้กำลัง โทษเพิ่ม)

ถ้า การขวางเป็นเหตุให้การช่วยเหลือล่าช้าจนมีผู้เสียชีวิต และพิสูจน์ “เหตุ–ผลสัมพันธ์” กันได้ อาจเข้าข่าย “ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” (มาตรา 291) โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท (ขึ้นกับข้อเท็จจริง/พยานหลักฐานในคดี)

แล้ว “เจตนา vs รู้เท่าไม่ถึงการณ์” ล่ะ?

กฎหมายอาญา มาตรา 59 บอกว่า ความรับผิดทางอาญาเกิดเมื่อ “เจตนา” เว้นแต่กฎหมายบัญญัติให้รับผิดโดย “ประมาท” (หลายคดีจราจรเข้ากลุ่มนี้) ถ้า เจตนาขวาง = เสี่ยงโดนทั้งจราจร + อาญา 138, และถ้ามีผลร้ายแรงก็อาจมีข้อหาอื่นประกอบตามพฤติการณ์; ถ้า ไม่เจตนาแต่ประมาท = โดนข้อหาจราจร และถ้ามีผู้ตายอาจเข้า มาตรา 291 ได้

ส่วน “ไม่รู้กฎหมาย” ใช้แก้ตัวให้พ้นผิดไม่ได้ (หลัก มาตรา 64) แต่ศาลอาจลดโทษได้หากเชื่อว่าไม่รู้จริงตามสภาพคดีนั้น ๆ (ดุลพินิจศาล)

กรณี “สำคัญผิดในข้อเท็จจริง” (เช่น คิดว่าไม่ใช่รถฉุกเฉินเพราะไม่มีไฟ/ไซเรนจริง) เข้า มาตรา 62 ถ้าข้อเท็จจริงนั้น (ถ้ามีอยู่จริง) ทำให้การกระทำไม่ผิด—ศาลอาจยกเว้นหรือลดโทษได้ แต่ถ้า “สำคัญผิดเพราะประมาท” ผู้กระทำยังอาจต้องรับผิดฐานประมาทตามที่กฎหมายกำหนดอยู่ดี

ภาษาคนธรรมดา: ตั้งใจขวาง = หนัก / ประมาทไม่ระวัง = ผิดอยู่ดี / อ้างว่าไม่รู้กฎหมาย = ไม่รอด / เข้าใจผิดข้อเท็จจริงแบบมีเหตุผลและพิสูจน์ได้ = ศาลอาจเมตตาลดหย่อน

2) ถ้าขวาง “บุคลากรแพทย์ที่กำลังรักษา”

ถ้าเป็นทีมที่ “ปฏิบัติการฉุกเฉินตามกฎหมาย” หรือ “ต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย” การขัดขวาง เข้าองค์ประกอบ ม.138 ได้ (ไม่ต้องจำกัดแค่บนรถ—การกันทาง/ปิดกั้นหน่วยกู้ชีพบางกรณีก็เข้าข่าย) ทั้งนี้วัดกันที่ สถานะการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย กับ พฤติการณ์ขัดขวาง ณ ขณะเกิดเหตุ

3) เทียบกฎหมายต่างประเทศ (เห็นภาพชัดขึ้น)

สหราชอาณาจักร (UK)

มีกฎหมายเฉพาะ Emergency Workers (Obstruction) Act 2006 ทำผิดได้เมื่อ “จงใจ (wilfully) ขัดขวาง/กีดขวาง” ผู้ให้บริการฉุกเฉิน รวมถึงผู้ที่ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ โทษถึง ค่าปรับระดับ 5 (สูงสุด ~£5,000) นอกเหนือจากกฎจราจร (Highway Code Rule 219) ที่สั่งให้ผู้ใช้ทางหลีกทางให้รถฉุกเฉินเสมอ.

สหรัฐอเมริกา (ตัวอย่างรัฐแคลิฟอร์เนีย)

Vehicle Code §21806 บังคับ “ต้องชิดขวา–หยุด–ให้ทาง” เมื่อรถฉุกเฉินมา พร้อมไซเรน+ไฟแดง หากฝ่าฝืนเป็นความผิด (ระดับจราจร/อาญาเบา) และ

Penal Code §148(a)(1) เป็นความผิด “เจตนา ขัดขวาง/หน่วงเหนี่ยว/ขัดขืน” เจ้าพนักงานหรือ EMT ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ (เน้นองค์ประกอบ “willful”) โทษเป็นคดีอาญาเบา (misdemeanor) แยกจากกฎจราจร.

ออสเตรเลีย (ตัวอย่างรัฐนิวเซาท์เวลส์)

Road Rules 2014 r.79 กำหนดให้ผู้ขับต้อง “ให้ทาง” รถฉุกเฉินที่ใช้ไฟ/ไซเรน และมีแนวทางปฏิบัติจากหน่วยงานคมนาคมให้เคลียร์ทางอย่างปลอดภัยเสมอ (อย่าทำผิดกฎอื่นเพื่อหลบ) โทษเป็นค่าปรับและแต้มโทษตามประกาศ.

ภาพรวมต่างประเทศ: “ไม่เจตนา” มักเป็นความผิดจราจร/ปรับ แต่ “เจตนาขัดขวาง” จะยกระดับเป็นคดีอาญาเฉพาะ (เช่น UK 2006 Act, CA PC 148) คล้ายกับแนวไทยที่แยก “กฎจราจร” ออกจาก “อาญา ม.138”

4) ตีความหน้างานแบบ “ยุติธรรมกับทุกฝ่าย”

ถ้าเปิด ไฟ–ไซเรนชัดเจน แล้วคุณยัง “กันทาง/ขับปาดปิดช่อง” = พฤติการณ์ชวนให้เห็นว่า เจตนาขัดขวาง → เสี่ยงทั้ง ม.76/127 และ ม.138 (หากเป็นทีมที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย)

ถ้า รถติดมากจริง/ทางตัน แล้วพยายามหลบอย่างปลอดภัย—โดยหลัก ไม่ถือว่าขัดขวางโดยเจตนา (ทั้งไทย–UK ยังเน้น “ปฏิบัติให้ปลอดภัยและอยู่ในกรอบกฎอื่น” เช่น ไม่ฝ่าไฟแดง/เข้าช่องห้าม)

ถ้า อ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นรถฉุกเฉิน เพราะไม่เห็นไฟ–ไม่ได้ยินไซเรน ต้องชั่งน้ำหนักข้อเท็จจริงว่า เป็น “สำคัญผิดในข้อเท็จจริง” ที่สมเหตุผล หรือเป็นเพียง ความประมาท (ศาลดูเป็นคดี ๆ ไป)

สรุปจำง่าย ๆ

ไม่หลบรถพยาบาล = ผิดแน่ ตามกฎหมายจราจรไทย (ม.76/ม.127) และอาจโดนหนักขึ้นถ้ามีเหตุร้ายแรงตามมา.

ขวางทีมแพทย์/กู้ชีพระหว่างปฏิบัติหน้าที่ = เข้าข่ายอาญา ม.138 ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีพฤติการณ์ชัดว่า “เจตนาขัดขวาง”.

มีผู้เสียชีวิตเพราะความล่าช้า และพิสูจน์เหตุสัมพันธ์ได้ → เสี่ยง ม.291 (ประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย) เพิ่ม.

“ไม่รู้กฎหมาย” อ้างพ้นผิดไม่ได้ (ม.64) ส่วน “สำคัญผิดในข้อเท็จจริง” (ม.62) ต้องพิสูจน์ว่ามีเหตุผลจริง และถ้าเกิดเพราะความประมาท ก็ยังรับผิดฐานประมาทได้.

🌿 กินสมุนไพร ควรกินตามสมดุล มากกว่ากินตามอินฟลูทุกวันนี้สมุนไพรกลายเป็นเทรนด์สุขภาพแต่สุขภาพไม่ใช่ “กระแส” — มันคือ “สมด...
18/10/2025

🌿 กินสมุนไพร ควรกินตามสมดุล มากกว่ากินตามอินฟลู

ทุกวันนี้สมุนไพรกลายเป็นเทรนด์สุขภาพ
แต่สุขภาพไม่ใช่ “กระแส” — มันคือ “สมดุล”

สมุนไพรแต่ละตัวมีฤทธิ์ของมัน
บางตัวร้อน บางตัวเย็น บางตัวขับ บางตัวบำรุง
สิ่งที่ดีต่อคนหนึ่ง…อาจทำร้ายอีกคนหนึ่งได้

การกินสมุนไพรโดยไม่รู้ธาตุตัวเอง
เหมือนจุดเตาไฟโดยไม่รู้ว่ามีฟืนอยู่เท่าไร —
บางคนร่างกายเย็นอยู่แล้ว ดันกินรางจืดทุกวัน
บางคนธาตุไฟแรงอยู่แล้ว ดันซัดขมิ้นวันละสามแคปซูล
สุดท้าย “ตั้งใจดูแลตัวเอง” แต่กลับเสียสมดุลยิ่งกว่าเดิม

ศาสตร์แพทย์แผนไทยไม่ได้สอนให้กินตามใคร
แต่สอนให้ “รู้จักตัวเอง” และฟังร่างกายของเราให้เป็น

✨ บทความเต็ม :
“กินสมุนไพร ควรกินตามสมดุล มากกว่ากินตามอินฟลู”
อ่านต่อด้านล่างครับ 👇

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแส “สุขภาพแนวธรรมชาติ” มาแรงเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นน้ำขมิ้นชัน น้ำรางจืด ฟ้าทะลายโจร หรือสมุนไพรจีนหลายชนิด
พอมีอินฟลูเอนเซอร์หรือเพจดังพูดถึงว่า “ดีต่อร่างกาย”
คนจำนวนมากก็มักรีบซื้อมากินตามทันที
โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ดีต่อคนหนึ่ง อาจไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่งเลยก็ได้

🩺 สมุนไพรไม่ใช่ขนม

คำว่าสมุนไพรในทางแพทย์แผนไทย หมายถึง “ยา”
และทุกอย่างที่เป็นยา ย่อมมีฤทธิ์ มีคุณ และมีโทษในตัวเองเสมอ
ไม่มีสมุนไพรชนิดใดที่ “กินได้ทุกคน ทุกวัน ตลอดชีวิต”

สมุนไพรแต่ละตัวมี “รสยา” และ “กำลังยา”
ซึ่งสัมพันธ์กับ “ธาตุเจ้าเรือน” ของแต่ละคนโดยตรง
คนธาตุไฟร่างกายร้อน กินของร้อนมากไปยิ่งร้อน
คนธาตุน้ำเย็น กินของเย็นมากไปยิ่งชื้นและอ่อนแรง
การกินโดยไม่รู้สมดุลของตัวเอง จึงไม่ต่างจากการเติมเชื้อไฟผิดจังหวะให้ร่างกาย

🔥 ยกตัวอย่างง่าย ๆ

“ขมิ้นชัน” — สมุนไพรยอดนิยมที่มีฤทธิ์ร้อน
ช่วยกระตุ้นไฟธาตุ ย่อยอาหาร ขับลม ลดการอักเสบ
เหมาะกับคนธาตุเย็น มือเท้าเย็น ท้องอืดง่าย ย่อยช้า
แต่ถ้าเป็นคนธาตุไฟ เช่น ร้อนง่าย เหงื่อออกมาก เป็นกรดไหลย้อน
การกินขมิ้นบ่อย ๆ จะยิ่งเพิ่มไฟ ทำให้กระเพาะระคาย แสบคอ ปากแห้งได้

หรืออย่าง “รางจืด” ที่มีชื่อเสียงเรื่องขับพิษ
รางจืดมีฤทธิ์เย็นมาก เหมาะกับคนที่ร่างกายร้อนเกิน
แต่ถ้าคนธาตุน้ำหรือคนที่มีภาวะร่างกายเย็นอยู่แล้วกินทุกวัน
จะเกิดอาการมือเท้าเย็น ท้องอืด หนาวในอก ปวดเอว ปวดข้อ
บางรายถึงขั้นความดันต่ำ อ่อนแรง เหนื่อยง่าย ทั้งที่ตั้งใจจะ “ล้างพิษ”
สุดท้ายกลับล้าง “พลังชีวิต” ออกไปด้วย

🌬️ หลักคิดของแพทย์แผนไทย

แนวคิดเรื่องการกินสมุนไพรในแพทย์แผนไทยอยู่บนฐาน “ตรีธาตุ” —
วาตะ (ลม) ปิตตะ (ไฟ) และ เสมหะ (น้ำ)

สุขภาพที่ดีคือภาวะที่สามธาตุนี้สมดุลกัน
โรคเกิดขึ้นเพราะธาตุใดธาตุหนึ่งมากหรือน้อยเกิน
สมุนไพรจึงมีหน้าที่ “ปรับธาตุ” ให้กลับสู่สมดุล

ดังนั้นหมอจะไม่เริ่มจากคำถามว่า “กินอะไรดี”
แต่จะเริ่มจาก “ตอนนี้ธาตุในร่างกายคุณเป็นอย่างไร”
บางคนมือเท้าเย็น เหงื่อไม่ออก ระบบย่อยอ่อน — ต้องเสริมไฟ
บางคนร้อนในง่าย เครียด ไฟกำเริบ — ต้องลดไฟ เพิ่มน้ำ
บางคนลมเดินไม่ดี นอนไม่หลับ — ต้องคลายลมให้เดินสะดวก

เมื่อเข้าใจธาตุตัวเอง การใช้สมุนไพรจึงเป็นการ “เจรจากับร่างกาย”
ไม่ใช่การ “ตามเทรนด์ในโลกออนไลน์”

🌸 การแพทย์สมัยใหม่ก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน

แม้ศาสตร์ตะวันตกจะไม่ได้พูดถึง “ธาตุ”
แต่ก็มีแนวคิดเรื่อง biochemical individuality —
ความแตกต่างเฉพาะตัวทางชีวเคมีของแต่ละคน

อาหารหรือสมุนไพรชนิดเดียวกัน
อาจกระตุ้นระบบประสาทของคนหนึ่งให้สดชื่น
แต่ทำให้อีกคนหนึ่งนอนไม่หลับและหัวใจเต้นเร็ว
เพราะระบบเอนไซม์ ฮอร์โมน และพันธุกรรมต่างกัน
นี่คือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของคำว่า “กินไม่เหมาะธาตุ”

เมื่อเรามองอย่างเป็นกลาง จะเห็นว่า
แพทย์ตะวันออกกับแพทย์ตะวันตกกำลังพูดเรื่องเดียวกัน
เพียงใช้ภาษาคนละแบบ — “ธาตุ” กับ “ระบบชีวภาพ”
แต่เป้าหมายเหมือนกัน คือ “คืนสมดุลให้ร่างกาย”

💧 หลักง่าย ๆ ในการกินสมุนไพรอย่างปลอดภัย

รู้ธาตุของตัวเองก่อนเสมอ
หากไม่แน่ใจ ให้ปรึกษาแพทย์แผนไทยหรือผู้เชี่ยวชาญ

กินตามอาการ ไม่กินสะสม
สมุนไพรส่วนใหญ่เหมาะกับการกินเป็นคอร์สสั้น ๆ 7–15 วัน

สังเกตตัวเอง
ถ้ารู้สึกแปลก เช่น มือเท้าเย็น ปวดท้อง นอนไม่หลับ
ให้หยุดทันที แล้วฟังร่างกายว่าเกิดอะไรขึ้น

อย่ากินหลายอย่างพร้อมกันโดยไม่จำเป็น
สมุนไพรแต่ละชนิดมีฤทธิ์ทางเคมี
การกินรวมหลายตัวอาจเกิดการตีกันในร่างกาย

ไม่เชื่อคำว่า “ไม่มีโทษ”
ทุกสิ่งที่มีฤทธิ์ย่อมมีผลข้างเคียง
ความปลอดภัยอยู่ที่ปริมาณ ความเหมาะสม และช่วงเวลา

🌿 สรุป

สมุนไพรคือของดี แต่ของดีต้องใช้ให้ “ถูกกับเรา”
สุขภาพที่แท้ไม่ใช่การกินเหมือนคนอื่น แต่คือการรู้จักตัวเอง
และปกติหมอสมุนไพรจะจ่ายเป็นสมุนไพรตำรับเท่านั้น ไม่จ่ายตัวเดียวๆ

อินฟลูอาจบอกว่าขมิ้นดี รางจืดดี หรือฟ้าทะลายโจรดี
แต่หมอจะถามต่อว่า — ดี “กับใคร” และ “เวลาไหน”

เพราะร่างกายของเราทุกคนมีสมดุลเฉพาะตัว
การดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด
คือการรู้จังหวะของตัวเอง และเคารพธรรมชาติในกายเรา

หมอทรงกลด วัฒนพรชัย
แพทย์แผนไทยประยุกต์
ทรงกลด สหคลินิก
ภูมิปัญญาเพื่อเพื่อนมนุษย์

#หมอไทยพร้อมคุย #ทรงกลดสหคลินิก
#หมอทรงกลด #แพทย์แผนไทยประยุกต์
#ฟังร่างกายให้ลึกกว่าที่ตาเห็น #แผนไทย
#ศาสตร์ชีพจร #แพทย์องค์รวม #ธรรมชาติบำบัด

ว่าตัวเรื่องการตรวจชีพจรวิเคราะห์โรคหรือหลายๆคนรู้จักในนสมของคำว่า "แมะ"ซึ่งจริงๆแล้ว ศาสตร์จับชีพจรเพื่อวิเคราะห์โรคนั้...
18/10/2025

ว่าตัวเรื่องการตรวจชีพจรวิเคราะห์โรค
หรือหลายๆคนรู้จักในนสมของคำว่า "แมะ"
ซึ่งจริงๆแล้ว ศาสตร์จับชีพจรเพื่อวิเคราะห์โรคนั้น มีทั้งการแพทย์แผนจีน การแพทย์อินเดีย รวมถึงการแพทย์แผนไทยด้วย
และที่น่าอัศจรรย์คือ ทั้งสามศาสตร์เมื่อวิเคราะห์แล้วแทบจะเหมือนกัน

เรามาคุยกันเรื่อง
"ฟังชีวิตด้วยปลายนิ้ว"

ศาสตร์โบราณที่หมอไทยใช้ “ฟังร่างกาย”
ใครจะเชื่อว่า...
เพียงแค่จังหวะเต้นของชีพจรที่ข้อมือ
สามารถบอกเราได้มากกว่าผลเลือดหรือกราฟจากเครื่องตรวจทุกชนิด

แพทย์แผนไทยเรียกศาสตร์นี้ว่า “ตรวจชีพจรวิเคราะโรค” — ศิลปะแห่งการฟังธาตุในร่างกาย
ลม ไฟ น้ำ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในตัวเรา
หมอจีนอ่านพลังชีวิตผ่านชี่และเลือด
ส่วนหมออายุรเวทอินเดีย ใช้ชีพจรเดียวกันเพื่อฟังเสียงของวาตะ ปิตตะ และกผะ

การจับชีพจร ไม่ใช่เพียงเทคนิคของหมอ
แต่คือสมาธิของใจผู้รักษา
คือช่วงเวลาที่หมอและผู้ป่วย “หายใจร่วมกัน”
เพื่อฟังเสียงที่ละเอียดที่สุดในร่างกาย —
เสียงของชีวิต

และในวันนี้…
การแพทย์สมัยใหม่เริ่มหันกลับมามองศาสตร์โบราณนี้อีกครั้ง
ไม่ใช่เพื่อย้อนยุค
แต่เพื่อ “เชื่อม” โลกของเทคโนโลยีเข้ากับความรู้สึกที่มนุษย์ลืมฟังไป

🌿 ศาสตร์ชีพจร : บทสนทนาแห่งชีวิตในภูมิปัญญาการแพทย์ตะวันออก

ในโลกของการแพทย์แผนตะวันออก — ไม่ว่าจะเป็นแผนไทย แผนจีน หรืออายุรเวทอินเดีย
“ชีพจร” คือกุญแจที่เปิดไปสู่ความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง
เป็นบทสนทนาที่ละเอียดอ่อนระหว่างผู้รักษากับร่างกายของผู้ป่วย
ที่มิใช่แค่เสียงหัวใจเต้น แต่คือ “ภาษาของชีวิต”

ต่างจากการแพทย์ตะวันตกที่มองโรคในเชิงศัตรูที่ต้องกำจัด
ศาสตร์ตะวันออกมองโรคว่าเป็น “สัญญาณของความไม่สมดุล”
การรักษาจึงไม่ใช่การต่อสู้ แต่คือการฟื้นคืนความกลมกลืนระหว่างกาย ใจ และพลังชีวิต

🩺 แผนไทย : ฟังธาตุในจังหวะชีวิต

หมอแผนไทยใช้ปลายนิ้วทั้งสามวางบนข้อมือ
นิ้วชี้แทนวาตะ (ลม) นิ้วกลางแทนปิตตะ (ไฟ) นิ้วนางแทนเสมหะ (น้ำ)
สามธาตุนี้คือรากของชีวิต — ลมพัดพา ไฟหล่อเลี้ยง น้ำคงตัว

ตำแหน่งแรกเหมือนคลื่นลมที่พัดเข้าฝั่ง
ตำแหน่งสองคือแรงสะท้อนของไฟ
ตำแหน่งสามคือน้ำที่กลับมานิ่งสงบ
เพียงปลายนิ้วสัมผัส หมอที่ฝึกดีสามารถรู้ได้ถึงสมดุลของธาตุ
หรือแม้กระทั่งความแปรปรวนในอวัยวะที่ลึกที่สุด

การแมะของไทยจึงไม่ใช่แค่เทคนิค แต่เป็นการ “ฟังชีวิตด้วยใจที่นิ่ง”
ต้องอาศัยสมาธิ สติ และความเมตตาต่อผู้ป่วย
เพราะขณะหมอวางนิ้วลง ก็เท่ากับเปิดบทสนทนาระหว่างสองชีวิต

🧧 แผนจีน : ภาษาของลมปราณและเลือด

หมอจีนใช้ชีพจรเป็นหน้าต่างของ “ชี่และเลือด”
ตรวจที่ข้อมือสามตำแหน่งทั้งสองข้าง (ชุน กวน ฉือ)
เพื่อฟังเสียงของหัวใจ ปอด ตับ ม้าม ไต และระบบภายในทั้งหมด

ชีพจรจีนไม่ได้มีแค่เร็วหรือช้า แต่มีถึง 28 ลักษณะ
ลอย จม นิ่ม แข็ง ลื่น ตึง ฯลฯ —
ทุกลักษณะคือเบาะแสของสภาวะในร่างกายและอารมณ์ของคนคนนั้น

หมอจีนจะรู้ว่าชีพจรตึงอาจหมายถึงความเครียด
ชีพจรลื่นอาจมีความชื้นสะสม หรือชีพจรเร็วคือพลังร้อนใน
ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดที่ว่ากายและใจไม่แยกจากกัน
อารมณ์ที่คั่งค้างสามารถกลายเป็นโรค และโรคก็สะท้อนกลับเป็นอารมณ์

🕉️ อายุรเวท : ชีพจรแห่งจิตวิญญาณ

ในอินเดีย การอ่านชีพจรเรียกว่า “นาดีปริกษา”
ผู้ตรวจจะฟังเสียงของโดชา — วาตะ ปิตตะ กผะ
ซึ่งเทียบได้กับลม ไฟ และน้ำเช่นเดียวกัน

ชีพจรวาตะเหมือนงูเลื้อย
ชีพจรปิตตะเหมือนกบกระโดด
ชีพจรกผะเหมือนหงส์ลอยน้ำ
สามจังหวะนี้สะท้อนสมดุลของพลังชีวิตในแต่ละคน

หมออายุรเวทจะไม่เพียงตรวจร่างกาย แต่ยังสัมผัสถึงพลังใจ
ว่ามีความกังวล ซึมเศร้า หรือความร้อนอารมณ์ซ่อนอยู่หรือไม่
เพราะในสายตาของศาสตร์นี้ “โรคเริ่มต้นที่ใจ ก่อนปรากฏในกาย”

💫 จุดร่วมของสามศาสตร์

ไม่ว่าจะไทย จีน หรืออินเดีย ต่างสอนสิ่งเดียวกันว่า

“สุขภาพคือความสมดุล ไม่ใช่การไม่มีโรค”

ผู้ตรวจชีพจรจึงต้องเป็นมากกว่าคนฟังจังหวะหัวใจ
แต่ต้องเป็นผู้มีสติ สมาธิ และใจที่ละเอียดพอจะรับรู้ชีวิตของผู้อื่น
ทุกจังหวะที่นิ้วสัมผัส คือการสื่อสารระหว่างพลังชีวิตสองดวง
และทุกการรักษา คือการคืนความกลมกลืนให้ธรรมชาติในตัวเราเอง

⚕️ เมื่อโลกตะวันออกจับมือกับตะวันตก

การแพทย์สมัยใหม่ให้ความแม่นยำทางเครื่องมือ
ส่วนแพทย์ตะวันออกให้ความเข้าใจในพลังชีวิตที่มองไม่เห็น
เมื่อทั้งสองศาสตร์ทำงานร่วมกัน —
เราจะไม่เพียง “รักษาโรค” แต่ “เยียวยาคนทั้งคน”

เพราะแท้จริงแล้ว การฟังชีพจรไม่ใช่เรื่องของปลายนิ้ว
แต่คือการฟัง “ชีวิต” ที่กำลังพูดกับเราอยู่ทุกลมหายใจ

#หมอไทยพร้อมคุย #ทรงกลดสหคลินิก
#หมอทรงกลด #แพทย์แผนไทยประยุกต์
#ฟังร่างกายให้ลึกกว่าที่ตาเห็น #แผนไทย
#ศาสตร์ชีพจร #แพทย์องค์รวม #ธรรมชาติบำบัด

เคยมั้ย?? เวลาปวดหลังทำไมร้าวลงแขน/ขากลไกการปวดร้าวจากระบบประสาท (Radicular Pain)อาการปวดที่ร้าวจากหลังลงสู่แขนหรือขาไม่...
04/09/2025

เคยมั้ย?? เวลาปวดหลังทำไมร้าวลงแขน/ขา

กลไกการปวดร้าวจากระบบประสาท (Radicular Pain)
อาการปวดที่ร้าวจากหลังลงสู่แขนหรือขาไม่ใช่แค่การ "ปวดธรรมดา" แต่เป็นผลมาจากการที่เส้นประสาทไขสันหลังถูก กดทับ, อักเสบ หรือระคายเคือง ซึ่งจะส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปตามแนวเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงส่วนนั้น ๆ อย่างตรงไปตรงมา

กลไกที่เกิดขึ้นมีดังนี้:
* การกดทับทางกายภาพ: สาเหตุที่พบบ่อยคือ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท (Herniated disc) ซึ่งเปรียบเสมือนหมอนรองที่ปลิ้นออกมาจากที่เดิมและไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการปวดแปลบคล้ายไฟฟ้าช็อต หรืออาการชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรงตามมา
* การอักเสบทางเคมี: เมื่อหมอนรองกระดูกเกิดการเคลื่อนหรือฉีกขาด สารเคมีที่เรียกว่า ไซโตไคน์ (Cytokines) และสารอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบจะถูกปล่อยออกมาและไปกระตุ้นเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดแม้จะไม่มีการกดทับโดยตรงก็ตาม
ตัวอย่างอาการปวดร้าว:
* ปวดร้าวลงแขน (Cervical Radiculopathy): เกิดจากการกดทับเส้นประสาทที่ออกจากกระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical vertebrae) ทำให้มีอาการปวดร้าวลงไปที่แขนและมือ ซึ่งมักจะสอดคล้องกับตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกดทับ เช่น หากกดทับเส้นประสาท C6 ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดร้าวและชานิ้วโป้ง
* ปวดร้าวลงขา (Sciatica): เป็นอาการที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาทไซอาติก (Sciatic nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เส้นประสาทนี้เกิดจากการรวมตัวกันของรากประสาทหลายเส้นที่ออกจากกระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar) และกระเบนเหน็บ (Sacral) การกดทับจะทำให้เกิดอาการปวดที่หลังหรือสะโพก แล้วปวดร้าวลงไปที่ขา น่อง หรือเท้า

ภาวะปวดร้าวอ้างอิง (Referred Pain)
นอกจากอาการปวดร้าวจากระบบประสาทแล้ว ยังมีปรากฏการณ์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า "ปวดร้าวอ้างอิง" (Referred Pain) ซึ่งเป็นการปวดที่รู้สึกในส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ต้นเหตุแท้จริงมาจากอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งอธิบายได้ด้วยทฤษฎี "การรวมตัวของสัญญาณ" (Convergence-projection theory)
ทฤษฎีนี้อธิบายว่า เส้นประสาทรับความรู้สึกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อหลังและข้อต่อในกระดูกสันหลัง กับเส้นประสาทรับความรู้สึกจากส่วนปลายทาง เช่น กล้ามเนื้อขาหรือข้อเข่า อาจเดินทางมารวมตัวกันที่ไขสันหลังในจุดเดียวกัน ทำให้สมองตีความสัญญาณความเจ็บปวดผิดพลาดและคิดว่าอาการปวดนั้นมาจากปลายทาง

ตัวอย่างอาการปวดร้าวอ้างอิง:
* ปวดเข่าหรือสะโพก: บางครั้งอาการปวดที่ข้อเข่าอาจไม่ได้มาจากตัวข้อเข่าโดยตรง แต่เกิดจาก ข้อต่อ Facet Joints หรือกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังส่วนเอวที่มีอาการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งส่งสัญญาณปวดไปที่สมองและสมองตีความว่าเป็นอาการปวดที่เข่า
* ปวดข้อศอก: อาการปวดที่ข้อศอกหรือแขนบางกรณีอาจมีต้นเหตุจาก กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ ที่ตึงตัวหรือมี Trigger Points (จุดกดเจ็บ) ซึ่งส่งสัญญาณปวดไปตามแนวกล้ามเนื้อจนถึงปลายทาง

การวินิจฉัยอาการปวดที่ถูกต้องจึงต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมถึงการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างอาการปวดร้าวจากระบบประสาทและการปวดร้าวอ้างอิง เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพที่สุดครับ

หมอทรงกลด วัฒนพรชัย
แพทย์แผน​ไทย​ประยุกต์

ที่อยู่

2/946 หมู่1 หมู่บ้านศุภาลัยบุรี ต. คลองสี่ อ. คลองหลวง จ. ปทุมธานี
Bangkok
12120

เบอร์โทรศัพท์

+66622892245

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอไทยพร้อม by ทรงกลด สหคลินิกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอไทยพร้อม by ทรงกลด สหคลินิก:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท