15/03/2024
แผลแบบไหนควรพบแพทย์หรือสามารถปล่อยให้หายเอง?
เมื่อเราได้รับบาดเจ็บจนเกิดเป็นแผลโดยปกติจะใช้เวลา 1 ถึง 2 เดือนที่แผลจะหายเองได้โดยเซลล์ที่มีบทบาทสำคัญในการะบวนการหายของแผลก็จะมี
เซลล์เม็ดเลือด (blood cell), เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวกัน (connective tissue), เซลล์พาเรงคิมา (parenchyma cell),
สารเคลือบเซลล์ (extracellular matrix, ECM), ไซโทไคน์ (cytokines) และ โกรทแฟคเตอร์ (growth factor)
สำหรับแผลของคนทั่วไป
การรักษาบาดแผลมี 4 ขั้นตอนหลักๆ
1. การหยุดเลือด (Hemostasis): สารคอลลาเจนจะเหนี่ยวนำให้เกร็ดเลือดมาเกาะที่บริเวณบาดแผลและจะมีสารกลุ่ม pro-thrombin และ fibrinogen มากระตุ้นให้เกร็ดเลือดแข็งตัว (platelet aggregation) ในระหว่างกระบวนการนี้เกร็ดเลือดจะปล่อยสาร cytokine, growth factor และสารกระตุ้นการอักเสบ (pro-inflammatory) เช่น ADP, serotonin, Von Willebrand factor, prostaglandin เข้าสู่พลาสมา เพื่อทำให้เกร็ดเลือดฟอร์มตัวเป็นลื่มเลือดและทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด
2. การอักเสบ (Inflammation): ในระยะนี้เกล็ดเลือดที่รวมตัวกันจะหลั่งสาร growth factors และ pro-inflammatory เพื่อเรียกระบบภูมิคุ้มกันกลุ่มนิวโทรฟิล (neutrophils) และ แมคโครฟาจ (macrophage) เพื่อทำลายเซลล์ที่เสียหาย และ เชื้อแบคทีเรีย เมื่อนิวโทรฟิลทำลายแอนติเจนหมดแล้ว ตัวนิวโครฟิวจะทำลายตัวเอง (Apoptosis) หรือย้ายกลับเข้าไปอยู่ในหลอดเลือด ส่วนแมคโครฟาจที่มีอายุมากกว่าจะมาเก็บกวาดเศษซากที่เหลือโดยเปลี่ยนร่างตัวเองให้อยู่ในรูป M1 (pro-inflammatory) และ M2 (anti-inflammatory)
M1: จะกระตุ้น cytokines พวก interleukin IL-1β, TNFα, IL-6, IL-12 และ matrix metalloproteinase (MMPs) เพื่อทำลายเซลล์แปลกปลอมหรือย่อยโปรตีนที่เสื่อมสภาพ
3. การสร้างเนื้อเยื่อ (Proliferation): แมคโครฟาจที่เปลี่ยนมาอยู่ในรูป M2 จะสร้างเอนไซม์ arginase, TGF- β, CCL18, PGE2 และ IL-10 เพื่อกระตุ้นการสมานแผลและหยุดการอักเสบ
ในขณะเดียวกัน endothelial cell บริเวณบาดแผลจะสร้างสาร growth factor เช่น epidermal growth factor (EGF), transforming growth factor-beta (TGF-β) และ platelet-derived growth factor (PDGF) เพื่อสร้างโปรตีนไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เพื่อสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
นอกจากนี้ ตัว M2 ยังช่วยในกระบวนการลดการอักเสบ, กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดและเนื้อเยื่อ
4. การปรับสมดุลโครงสร้างแผล (Remodeling): ในขั้นตอนนี้จะมีการสร้าง extracellular matrix (ECM) ใหม่ เช่น คอลลาเจน (collagen), อีลาสติน (elastin), โปรตีโอไกลแคน (proteoglycan) และ กรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic acid) เพื่อช่วยในการสร้างชั้นแกรนูเลชั่น (granulation) เพื่อฟื้นฟูการเกิดลิ่มเลือดและการหดตัวของขนาดแผล
ในแผลทั่วไป เซลล์ keratinocyte จะเคลื่อนที่มาปกคลุมเนื้อเยื่อแกรนูเลชั่น (granulation tissue) และ ทำการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวใหม่ (re-epithelize) ผ่านทางการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ keratinocyte กับ โมเลกุล ECM
ในขั้นตอนนี้แผลมักจะ บวม แดง และ คัน
4.1 เนื้อเยื่อแกรนูเลชั่นที่มีคอลลาเจนจะมีเส้นเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นและชั้นหนังกำพร้าก็จะถูกสร้างขึ้นด้วยที่กระบวนการนี้
4.2 ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ไม่ได้ถูกใช้ในกระบวนการซ่อมแซมก็จะสลายไป
4.3 เอนไซม์ MMP จะเปลี่ยน collagen type III ให้เป็น Collagen type I และเซลล์ myofibroblasts จะสร้าง collagen fiber สำหรับการหดตัวของแผล (wound contraction)
4.4 ในขั้นตอนสุดท้าย collagen fiber จะจัดเรียงตัวแบบ cross-linked ที่ถูกควบคุมโดย growth factor เพื่อให้เนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นมาใหม่มีความแข็งแรงมากขึ้น และเซลล์ myofibroblasts จะถูกทำลาย
อย่างไรก็ตามในสภาวะ แผลเรื้อรัง กระบวนการหรือเซลล์เหล่านี้จะทำงานผิดปกติและไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายขึ้นมาใหม่ได้
Reference: Maheswary, T., Nurul, A. A., & Fauzi, M. B. (2021). The insights of microbes’ roles in wound healing: A comprehensive review. Pharmaceutics, 13(7), 981.