20/09/2025
#เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง
ขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมสัมมนาวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หวังว่าจะได้นำความรู้พร้อมประสบการณ์ไปใช้กับลูกๆแล้วนะคะ
วันนี้ขอสรุป Key Summary ดังนี้ (แฟนเพจก็สามารถรียนรู้จากบทสรุปนี้ได้ค่า)
บ้านที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย ไม่ใช่บ้านที่พ่อแม่ไม่โมโห ไม่ใช่บ้านที่พ่อแม่เพอร์เฟค แต่คือบ้านที่ พ่อแม่เป็นคนธรรมดาที่โมโห เศร้า เสียใจฯได้ แต่เป็นคนธรรมดาที่พยายามเข้าใจโลกภายในตัวเอง มองลึกลงไปใต้ภูเขาน้ำแข็งของตัวเอง จนนำไปสู่การจัดการอารมณ์ที่ยั่งยืน ไม่ใช่เก็บกด.... ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงได้เริ่ม.... แล้วจะพบว่า เราดีขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิด ๆ จนลูกรับรู้ความเปลี่ยนแปลง รับรู้ความปรารถนาดีของพ่อแม่ นำไปสู่การเปิดใจได้ค่ะ
เด็กจะกล้าเปิดใจ ก็เมื่อพ่อแม่ “จัดการอารมณ์ตัวเองได้” และเมื่อพ่อแม่จัดการอารมณ์ตัวเองได้ เขาจะมี "ช่วงเวลาเล็กๆ" ก่อนตอบสนองอะไรออกไป ช่วงเสี้ยวนาทีสั้นๆนี้ ทำให้พ่อแม่มี “ทางเลือก” วิธีตอบสนองลูก” เราจะไม่โทษลูกว่า เพราะดื้อแม่จึงโมโห, ลูกไม่รักษาคำพูด แม่จึงลงโทษฯ แต่เราจะ “เลือกใช้คำพูดที่มีสติ” ที่ทำให้ลูกหันกลับมาจัดการอารมณ์ตนเอง เราจะไม่ตอบสนองกลับด้วยอารมณ์โกรธ, เบื่อฯ ที่ทำให้ลูกรู้สึกผิด, รู้สึกกลัว มองเห็นตัวเองเป็นภาระ จนไม่อยากเล่าเรื่องให้พ่อแม่ฟัง หรือ ไม่อยากเล่าเพราะกลัวถูกดุ....
เมื่อพ่อแม่เข้าใจภูเขาน้ำแข็งของตนเองแล้ว เราก็ควรเข้าใจภูเขาน้ำแข็งของลูก พฤติกรรมที่ลูกไม่เชื่อฟัง, ต่อรอง, ก้าวร้าว, ไม่รับผิดชอบ, ไม่พูดความจริงฯ มาจากชั้นใดในภูเขาน้ำแข็ง และเราจะช่วยลูกอย่างไร
---
ในช่วงเช้า พ่อแม่เรียนรู้เรื่องภูเขาน้ำแข็งและวิธีจัดการอารมณ์
1. หลายครั้งที่พ่อแม่โกรธลูก พฤติกรรมภายนอกคือ เสียงดัง สายตาดุ คำพูดไม่ดีฯ ซึ่งจริงๆแล้ว บางทีที่เราโมโหขนาดนั้นก็ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ลูกทำตรงหน้าอย่างเดียว แต่มันเชื่อมโยงมายังโลกภายในของเรา (เปรียบเหมือนชั้นของ “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่อยู่ใต้น้ำทะเลที่ไม่มีใครเห็น) ความโกรธนั้นอาจเชื่อมโยงกับความกลัวว่าลูกจะรับผิดชอบตัวเองไม่ได้, หรืออาจเชื่อมโยงกับความกลัวปู่ย่าตายายที่คาดหวังให้เราเลี้ยงลูกให้ดี หรือแม้แต่ความโกรธที่ตัวเองเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี...
พฤติกรรมโกรธลูก 1 ฉาก จริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะลูกดื้อ แต่มันยังรวมเอาความรู้สึกกลัว,โกรธฯความคาดหวังฯ มาผสมแล้วผลักให้ความโกรธนั้นพุ่งออกไป 😢
เมื่อเราสามารถมองลึกเข้าไป และเห็นรากของพฤติกรรมต่างๆ พร้อมทั้งสามารถยอมรับสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วด้วยหัวใจ ใจของเราก็จะสงบ เกิดมุมมองใหม่ต่อตนเอง รวมทั้งคาดหวังต่างๆ
อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ก็ต้องมีทักษะการจัดการอารมณ์ เพื่อนำมาใช้ประกอบร่วมกัน
🔹 หายใจเข้า-ออกลึก ๆ หรือจะใช้วิธี Box Breathing ก็ได้ เป็นการฝึกให้ระบบ parasympathetic ให้ทำงานบ่อยๆ เมื่อถึงเวลาคับขัน เราจะเรียกใช้ได้เร็ว
🔹 เบี่ยงเบนสมองด้วยเทคนิค 5-4-3-2-1 (บอกสิ่งที่เห็น 5 อย่าง ได้ยิน 4 อย่าง สัมผัส 3 อย่าง กลิ่น 2 อย่าง และรส 1 อย่าง)
สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะ ควรซ้อมล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้เหตุการณ์จริงเกิดแล้วค่อยทำ มันจะไม่มา
2. กรณีของลูก เมื่อลูกแสดงอารมณ์ออกมา พ่อแม่จะต้องช่วยลูกสงบ ด้วยวิธี Co-regulation คือ พ่อแม่สงบ แล้วนำทางให้ลูกหาวิธีสงบของตนเอง เพราะเขาต้องการพ่อแม่เป็น “ฐานมั่นทางอารมณ์”
พ่อแม่อย่าคาดหวังให้เด็กสงบเอง หรือ ให้สงบเร็วๆ เพราะสมองเด็กยังไม่เติบโตเท่าผู้ใหญ่ แม้แต่เด็กวัยรุ่นที่พูดคุยเหมือนผู้ใหญ่ สมองส่วนหน้าก็ยังไม่พัฒนาเต็มที่ (เต็มที่ประมาณ 25 ปี) ถ้าบ้านไหน เด็กสงบเร็ว บอกให้เงียบก็เงียบ หรือ ไม่เคยโมโห อาจต้องดูว่า เด็กกดอารมณ์ตัวเองหรือเก็บกดหรือไม่ แบบนี้ เขาจะไม่มองเราเป็นพื้นที่ปลอดภัย
วิธีการ..
🔹 เริ่มจาก I FEEL: ช่วยลูกนึกชื่ออารมณ์ เช่น “หนูกำลังโกรธอยู่ใช่มั๊ย”
🔹 ต่อด้วย I CHOOSE: ชวนคิดถึงทางเลือก เช่น “ตอนนี้ หนูจะคุยกับแม่ หรือไปสวนหลังบ้าน หรือฟังเพลงดี”
🔹 จนถึง I CALM: ลูกสงบแล้ว ชวนคุยใช้สมองส่วนคิด ทบทวนและแก้ไข
---
ในช่วงบ่าย พ่อแม่เรียนรู้ทักษะการสื่อสารที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่เป็นพื้นที่ปลอดภัย
หลายครั้ง เด็กๆบอกว่า พ่อแม่ไม่ดุ แต่เล่าไปพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจหรอก หรือ พ่อแม่ไม่ดุแต่ชอบสอน ก็เลยไม่อยากเล่า ดังนั้น นอกจากการจัดการอารมณ์ตัวเองได้แล้ว พ่อแม่ก็ควรรู้วิธีสื่อสารด้วย
🔹 Validate ความรู้สึก, ความคิด, พฤติกรรม: “ฟังแล้วเหมือนหนูกำลังเสียใจใช่มั๊ย” โดยพ่อแม่ต้องใช้ใจในการเข้าถึงลูก เปรียบเหมือนพ่อแม่ใช้เลนส์ตาของลูก ในการสัมผัสเหตุการณ์และความรู้สึกเหล่านั้น
🔹 Reflect feeling (สะท้อนความรู้สึก) “แม่เข้าใจว่าหนูผิดหวังมาก แม่เข้าใจถูกมั๊ย” โดยพ่อแม่ควรฝึกนึกชื่อความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆของลูก (งานวิจัย ชี้ว่า หากเราพูดชื่อความรู้สึก สมองส่วนจัดการอารมณ์จะทำงาน)
ที่บอกมา ไม่ใช่เห็นด้วยกับพฤติกรรม แต่คือการยอมรับว่าความรู้สึกของลูกสำคัญ ไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้ลูกกล้าเล่าเรื่องต่างๆ รวมทั้งเรื่องที่ไม่ดีของตนเอง
🔹 ใช้ I-message ในการสอน, อธิบาย, สั่ง
“หนูไม่ทำการบ้านแบบนี้ เปลืองตังค์พ่อแม่ เสียเวลาพ่อแม่ด้วย ไม่ต้องเรียนเลยดีมั๊ย!” (เป็น you message) → เปลี่ยนเป็น “แม่เป็นห่วงว่า ถ้าการบ้านเสร็จช้า เวลาดูมือถือจะน้อยลง ไม่ได้ 1 ชั่วโมงตามที่ตกลงนะลูก”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราใช้ I-message กับลูก ไม่ได้แปลว่า ลูกจะทำการบ้านนะคะ ลูกจะทำการบ้านเร็ว ช้า หรือรับผิดชอบตนเองหรือไม่ อยู่ที่การออกกติกาและการบังคับใช้กฎของที่บ้านค่ะ (คลาสต่อไป 19 ตุลา)
I-message มีหน้าที่ลดการตำหนิ เคารพความรู้สึกของลูกและสร้างความน่านับถือให้กับพ่อแม่ (การสอนลูกไม่จำเป็นต้องแลกกับสัมพันธภาพนะคะ) และยังทำให้ลูกรับรู้ว่าเราเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกโดยอัตโนมัติ
🔹พยายามไม่จบบทสนทนา โดยไม่ตั้ง “คำถาม” ขอให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการคิด, ตัดสินใจ, แสดงความรู้สึก, แสดงความเห็นต่าง (มีตัวตน)
แนะนำให้ใช้คำถามปลายเปิด เช่น “หนูฟังที่แม่บอกไปแล้ว คิดยังไง เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย” หรือ “ครั้งหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ หนูอยากจะแก้ปัญหาแบบอื่นยังไงดี”
พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกเสนอแนวทาง โดยเฉพาะปัญหาของเขาเอง ให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับตัวตนเขา แล้วเราก็ค่อยๆสะท้อนและเสริมมุมมองให้ลูกค่ะ
---
หวังว่า จะเป็นประโยชน์ทั้งผู้เข้าอบรมและแฟนเพจด้วยนะคะ
คลาสต่อไป “ #วิธีออกกฎกติกาและบทลงโทษ_โดยไม่ทิ้งบาดแผลในใจ” รุ่น 2 วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลานี้ ที่โรงแรมจัสมิน สุขุมวิท23ราคา 9,500 บาทต่อท่าน 2ท่าน ลด 5% , 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)
๒หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก