OrientMed and Bodyworks

OrientMed and Bodyworks OrienMed and Bodyworks
We specialize in oriental Medicine with Therapeutic Bodywork

18/10/2025

🔥 กินดีแค่ไหน ถ้าไฟธาตุย่อยอ่อน… ร่างกายก็รับไม่หมด

“ท้องอืด ลมเยอะ” คือเสียงเตือนจากไฟธาตุที่เริ่มอ่อนแรง

หลายคนตั้งใจดูแลสุขภาพ กินคลีน ดื่มน้ำผักปั่น กินอาหารดีมีประโยชน์ทุกวัน
แต่กลับรู้สึกว่า “ร่างกายยังไม่ดีขึ้น”
ยังมีอาการ แน่นท้อง อืดง่าย เหนื่อย เพลีย ลมเยอะ

หมอไทยมักพูดว่า

“กินดีแค่ไหน ถ้าไฟย่อยอ่อน… ร่างกายก็รับพลังจากอาหารไม่ได้อยู่ดี”

🔥 ไฟธาตุ คืออะไร?

ในทางแพทย์แผนไทย “ไฟธาตุ” หรือที่เรียกว่า เตโชธาตุ
คือพลังที่ช่วยให้ “ร่างกายย่อย ดูดซึม และเผาผลาญ” อาหาร

🔥 ไฟในกระเพาะ (ไฟย่อย) → ย่อยอาหาร
🔥 ไฟในตับ (ไฟกลั่น) → แปรอาหารเป็นพลังงาน
🔥 ไฟในหัวใจ (ไฟอุ่น) → กระตุ้นเลือดให้หมุนเวียน

เมื่อไฟธาตุทำงานดี
อาหารจะถูกย่อยเป็นพลังงานได้หมด — ร่างกายแข็งแรง กระฉับกระเฉง

แต่ถ้าไฟธาตุเริ่มอ่อน…
ระบบย่อยทั้งหมดจะเริ่ม “ช้าลง”
ของดีที่กินเข้าไปก็ไม่ถูกแปรเป็นพลังงานเต็มที่

💨 เมื่อไฟอ่อน ลมก็เริ่มคั่ง

เมื่อไฟธาตุอ่อน → ย่อยช้า → เกิดลมหมักในลำไส้
หมอไทยเรียกว่า “ลมกำเริบในท้อง”

สังเกตง่าย ๆ คือ
• ท้องแน่น จุกเสียดหลังมื้ออาหาร
• เรอบ่อย มีลมในท้อง
• บางคนแน่นถึงหน้าอก หายใจไม่สุด
• หรือรู้สึกง่วง เพลีย หลังรับประทานอาหาร

เพราะเมื่อไฟธาตุอ่อนลง ลมจะเดินไม่สะดวก
และลมที่ไม่เดินจะ “วน” จนเกิดอาการอึดอัดในช่องท้อง

🌿 พฤติกรรมที่ทำให้ไฟธาตุย่อยอ่อน

❌ กินอาหารไม่เป็นเวลา
❌ ดื่มน้ำเย็นจัดบ่อย
❌ รีบกิน เคี้ยวไม่ละเอียด
❌ นอนทันทีหลังอาหาร
❌ เครียดและพักผ่อนไม่พอ

สิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ กดไฟในกายให้มอด
จนร่างกายเริ่มสะสม “ลมในท้อง” และ “ความเย็นในกระเพาะ”

🌱 วิธีฟื้นไฟธาตุให้กลับมาทำงานอีกครั้ง

✅ เริ่มต้นวันด้วยน้ำอุ่น 1 แก้ว
ช่วยกระตุ้นไฟย่อยให้เริ่มทำงานตั้งแต่เช้า

✅ กินอาหารให้ตรงเวลา
ให้ร่างกายรู้จังหวะของไฟธาตุ

✅ ใช้สมุนไพรอุ่นไฟย่อย
เช่น ขิง ดีปลี ตะไคร้ กระชาย ไพล
ช่วยให้ไฟธาตุกลับมาร้อนพอดี ขับลมส่วนเกินออกจากลำไส้

✅ นวดประคบท้อง หรืออบสมุนไพร
ช่วยเปิดทางลม ลดอาการแน่น จุก เสียด
โดยเฉพาะในผู้ที่มีลมคั่งบริเวณกลางลำตัว

✅ ผ่อนคลายจิตใจ
เพราะไฟธาตุในหัวใจสัมพันธ์กับอารมณ์โดยตรง
ยิ่งเครียด ไฟจะยิ่งดับ

“ไฟธาตุ คือชีวิต ถ้าไฟอ่อน ทุกระบบในกายก็ช้าตาม”

อย่ามองว่าแค่ “ท้องอืดแน่น” เป็นเรื่องเล็ก
เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความไม่สมดุลทั้งร่างกาย

เมื่อไฟธาตุกลับมาเดินดี
ลมจะเคลื่อนไหวสมดุล
อาหารจะย่อยเต็มที่
และพลังชีวิตจะกลับมาสว่างอีกครั้ง 🌿

18/10/2025

#การแพทย์แผนไทย_หลักคิด_หลักวิชา_หลักปฏิบัติ

วันนี้ วิทยากรบรรยาย “การแพทย์แผนไทย: หลักคิด หลักวิชา หลักปฏิบัติ” ให้แก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้นำการประกอบการเวลเนสเพื่อการสร้างชาติ (นสช. Wellness) รุ่นที่ 8 ที่ Kompass campus สถาบันการสร้างชาติ เวลา 1 ชม.

ในการพูดเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยให้เข้าใจและเห็นคุณค่า ไม่ง่ายนักแต่ก็ท้าทาย ศาสตร์การแพทย์แผนไทย เป็นศาสตร์ ไม่ใช่ความเชื่อ มีทฤษฎีและหลักการที่มีเหตุมีผล อธิบายให้เห็นได้ว่าตรงกับความเป็นจริงในชีวิต และสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์อย่างน่าทึ่ง

หลักคิดสำคัญทางการแพทย์แผนไทยคือ ทฤษฎีสมดุลธาตุ เรียกสั้นๆว่า ทฤษฎีธาตุ โดยเน้นธาตุหลัก 4 กลุ่มของร่างกายคือ มหาภูตรูป 4 (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ) และยกเอารูปในรูปปรมัตถ์ 28 ของขันธ์ 5 คือ ปริเฉทรูป หรือช่องว่างในร่างกายมาเป็นอากาศธาตุ จึงเรียกรวมกันว่า เบญจมหาภูตรูป

ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งเสียสมดุล ธาตุที่เหลือจะเสียสมดุลตามไปด้วย จึงเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น การส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้นฟูก็ทำเพื่อให้ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สมดุล อากาศธาตุก็สมดุลตามไปด้วย แล้วเข้าสู่ภาวะปกติ หรือ สุขภาพ

ขณะที่ศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันมีหลักคิดมาจากทฤษฎีเชื้อโรค (Germ theory) สุขภาพเป็นภาวะสมดุลของปัจจัย 3 คือ ตัวคน (host) ตัวเชื้อโรค (Agent) และตัวสิ่งแวดล้อม (Environment) มายุคปัจจุบันโรคติดเชื้อลดลง โรคไร้เชื้อมากขึ้น ตัวเชื้อโรคจึงเปลี่ยนไปเรียกว่า ตัวก่อโรค หรือ ปัจจัยก่อโรค อาจเป็นเชื้อโรค สารเคมี หรือปัจจัยอื่น ๆ

หลักวิชาที่สำคัญทางการแพทย์แผนไทย ถูกบันทึกไว้เป็นพระคัมภีร์ (Textbook) จะเน้น 3 เรื่อง คือ ตัวคน (ร่างกายมนุษย์) ตัวโรค (เวชกรรมไทย) ตัวยา (เภสัชกรรมไทย) / การบำบัด (เวชกรรมไทย นวดไทย ผดุงครรภ์ไทย)

หลักปฏิบัติ นำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบดูแลสุขภาพด้วย สมุฏฐาน 5+1 ได้แก่ ธาตุ/ตรีธาตุสมุฏฐาน อายุสมุฏฐาน กาลสมุฏฐาน อุตุสมุฏฐาน ประเทศสมุฏฐาน และมูลเหตุเกิดโรค (พฤติกรรมก่อโรค)

กรณี ยังไม่ป่วยเพื่อส่งเสริมป้องกัน จะใช้ธาตุเจ้าเรือนกำเนิด/ตรีธาตุเจ้าเรือนแทนธาตุ/ตรีธาตุสมุฏฐาน ธาตุเจ้าเรือนคิดจากวันเกิด ตรีธาตุเจ้าเรือนประเมินจากลักษณะของแต่ละคน

กรณี เจ็บป่วยเพื่อรักษาฟื้นฟู ให้ดูจากธาตุสมุฏฐาน/ตรีธาตุสมุฏฐาน ซึ่งจะบอกได้จากอาการอาการแสดงของผู้ป่วยและระยะเวลาที่แสดงอาการนั้น พร้อมสมุฏฐานสนับสนุนอีก 4 เรื่อง คือ อายุ กาลเวลา ฤดูกาล และถิ่นที่อยู่ กับพฤติกรรมก่อโรค

ตัวอย่าง คนที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ มีตรีธาตุเจ้าเรือนหรือประกฤติลักษณะแบบปิตตะ (ธาตุไฟ) จะมีธาตุไฟเด่นหรือแข็งแกร่ง เมื่อถูกกระทบจะทำให้ธาตุไฟแปรปรวน (กำเริบ หย่อน พิการ) ได้ง่าย

ในแต่ละวันพิจารณาตามกาลสมุฏฐาน
ช่วงเช้า 06:00-10:00 น. เวลาของเสมหะ (ธาตุน้ำเด่น) ธาตุไฟกับธาตุน้ำเป็นอริธาตุกัน แต่จะไม่ส่งผลต่อคนธาตุไฟมากนักเพราะต่างฝ่ายต่างเด่น ตัวอย่างอาหารก็ต้องสมดุลทั้งธาตุไฟ/ธาตุน้ำ เครื่องดื่มที่เหมาะสม เช่น น้ำมะนาว (รสเปรี้ยวเสริมธาตุน้ำ ขณะเดียวกันรสเปรี้ยว มีฤทธิ์ร้อนกลางๆช่วยเสริมธาตุไฟด้วย)

พอตกช่วงกลางวัน 10:00-14:00 น. เวลาของปิตตะ (ธาตุไฟ) จะเสริมความแข็งแกร่งของธาตุไฟ ทำให้ธาตุไฟกำเริบได้ง่าย เพราะเวลาเสริมแรงธาตุไฟ เครื่องดื่มที่เหมาะสม เช่น น้ำแตงโม มีฤทธิ์เย็นลดธาตุไฟ และมีรสหวานช่วยกระตุ้นธาตุน้ำเพราะทำให้ชุ่ม

พอตกช่วงเย็น 14:00-18:00 น. เวลาของวาตะ (ธาตุลม) ธาตุไฟจะได้แรงเสริมจากธาตุลมที่เป็นมิตรธาตุ ธาตุไฟกับธาตุลมจะกำเริบได้ง่าย เครื่องดื่มที่เหมาะสม เช่น น้ำใบเตย มีรสหอมเย็นกระตุ้นธาตุลมและมีฤทธิ์เย็นระงับธาตุไฟได้ด้วย

ช่วงกลางคืนจะเหมือนช่วงกลางวัน คือ 18:00-22:00 น. (เสมหะ) 22:00-02:00 น. (ปิตตะ) และ 02:00-06:00 น. (วาตะ)

แต่ถ้ามีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุน้ำ ตรีธาตุเจ้าเรือนเป็นเสมหะประกฤติ ก็จะพิจารณาในแต่ละช่วงของวันคล้ายธาตุไฟตามที่กล่าวมาแล้วแต่

06:00-10:00 น. เวลาเสมหะ คนธาตุน้ำจะมีธาตุน้ำกำเริบได้ง่าย
10:00-14:00 น. เวลาปิตตะ คนธาตุน้ำจะไม่กำเริบเพราะน้ำกับไฟจะดุลกัน
14:00-18:00 น. เวลาวาตะ คนธาตุน้ำจะมีธาตุน้ำหย่อนได้ง่ายเพราะวาตะจะกระตุ้นธาตุลมและธาตุลมเป็นมิตรกับธาตุไฟ ไปลดความแข็งแกร่งของธาตุน้ำลง

นี่ยกตัวอย่างแค่ 2 สมุฏฐานมาอธิบาย ถ้าเป็นฤดกาลต่างกัน (อุตุสมุฏฐาน) ช่วงวัยต่างกัน (อายุสมุฏฐาน) ถิ่นที่อยู่ต่างกัน (ประเทศสมุฏฐาน) ก็สามารถปรับเปลี่ยนไปได้ต่างกัน

เด็ก 6 ขวบ กับผู้ใหญ่อายุ 40 ปี ธาตุไฟเจ้าเรือนเหมือนกัน ช่วงเช้าเหมือนกัน อาหารการกินเพื่อส่งเสริมสุขภาพมื้อเช้าก็ต่างกัน

คนธาตุไฟภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง (เช่น นนทบุรี) ไปอยู่ภาคเหนือ กับภาคใต้ การปรับตัวเรื่องอาหารการกินก็แตกต่างกัน

กรณีตัวอย่าง ธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ ตรีธาตุเจ้าเรือนเป็นปิตตะ (ไฟ) ประกฤติ จะไปทางเดียวกัน จะไม่ค่อยยุ่งยากมากนัก เพราะเกิดมาธาตุไฟ บุคลิกลักษณะก็เป็นธาตุไฟ ไปทางเดียวกัน คล้ายๆเกิดมาเป็นชาย (s*x) เพศสภาพ (gender) ก็เป็นชาย

แต่ถ้าธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ แต่ตรีธาตุเจ้าเรือนเป็นเสมหะ (น้ำ) ประกฤติ เกิดมาเป็นธาตุไฟแต่บุคลิกลักษณะเป็นธาตุน้ำ การออกแบบดูแลสุขภาพก็จะซับซ้อนมากกว่า คล้ายๆเกิดเป็นเพศชายแต่เพศสภาพเป็นหญิง การดำเนินชีวิตก็จะปรับตัวมากหน่อย ทำนองนี้

เมื่อวิเคราะห์ได้ ก็สามารถประยุกต์สมุนไพรมาปรับใช้ได้ ทั้งเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องหอม รวมไปถึงการออกกำลังกาย

ถ้าป่วย จะวิเคราะห์ธาตุสมุฏฐาน/ตรีธาตุสมุฏฐาน เช่น คนไข้ชาย 3 คน อายุ 30 ปี มาหาหมอด้วยอาการไข้ต่ำ ๆ เป็นช่วง ๆ มีคัดจมูก น้ำมูกไหลใส ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ป่วยมา 3 วันแล้ว ตรวจร่างกายปอด หัวใจ และอื่น ๆ ปกติดี มีเยื่อจมูกบวมแดง วัดไข้ 38°C

ถ้าผมในบทบาทแพทย์แผนปัจจุบัน ผมจะวินิจฉัยว่า “ไข้หวัด (Common cold)” และสั่งยาแก้ไข้พาราเซตามอล ยาแก้หวัดคัดจมูก และยาแก้ไอแบบละลายเสมหะ พร้อมคำแนะนำปฏิบัติตัว 3-5 วันก็หาย

แต่ถ้าผมในบทบาทแพทย์แผนไทย ผมจะวินิจฉัยว่า “ไข้หวัดน้อย” แล้วสอบทานประวัติเพื่อบอกสมุฏฐานวินิจฉัย (Root cause analysis) ดังนี้

- คนที่ 1: วันแรกมีไข้ต่ำ ๆ มาก่อน แล้วตามด้วยอาการอื่น ๆ → เตโชธาตุ (ไฟ) สมุฏฐาน พิกัดสันตัปปัคคี (ไฟอุ่นกาย) กำเริบ

- คนที่ 2: วันแรกมีน้ำมูกใส ๆ แล้วคัดจมูกก่อน แล้วตามด้วยอาการอื่น ๆ → อาโปธาตุ (น้ำ) สมุฏฐาน พิกัดสิงฆานิกา (น้ำมูก) และเสมหัง (เสมหะ) กำเริบ

- คนที่ 3: วันแรกมีครั่นเนื้อครั่นตัวนำมาก่อน แล้วตามด้วยอาการอื่น ๆ → วาโยธาตุ (ลม) สมุฏฐาน พิกัดอังคมังคานุสารีวาตา (ลมพัดทั่วกาย) กำเริบ

เมื่อจะรักษา ต้องพิจารณาว่าจะ “กระทุ้ง รุ ล้อม รักษา หรือบำรุง” ด้วยยาตำรับใด

สามรายนี้อาจใช้ “ยาจันทลีลา” เพื่อกระทุ้ง รุ ล้อม รักษา และให้ยาบำรุงธาตุ เช่น

“ตรีผลา” (สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม) โดยใช้สัดส่วนตัวยาแตกต่างกันตามสมุฏฐาน ไม่ใช่ 1:1:1 เรียกว่า “มหาพิกัดตรีผลา” ตามปิตตะ/วาตะ/เสมหะสมุฏฐาน

แต่จะใช้ยามหาพิกัดตรีผลานี้ก็ต่อเมื่อ 3 คนนี้ป่วยในฤดูร้อน (แรม 1 ค่ำเดือน 4 ถึง ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 วันอาสาฬหบูชา)

ถ้าป่วยฤดูฝน (แรม 1 ค่ำเดือน 8 ถึง ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 วันลอยกระทง) จะใช้มหาพิกัดตรีกฏุก (เหง้าขิงแห้ง เมล็ดพริกไทย ดอกดีปลี) แทนตรีผลา

ถ้าป่วยฤดูหนาว (แรม 1 ค่ำเดือน 12 ถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 4) จะใช้มหาพิกัดตรีสาร (รากเจตมูลเพลิงแดง เถาสะค้าน รากช้าพลู) แทนตรีกฏุก

จะเห็นว่า การแพทย์แผนไทย ต้องจัดยาเฉพาะโรค เฉพาะราย เฉพาะสาเหตุ เป็น Personalized Medicine มีความละเอียดอ่อน พิถีพิถัน และใส่ใจอย่างมาก

โดยไม่ได้สนใจเชื้อโรคหรือตัวก่อโรค แต่สนใจที่ “การปรับสมดุลธาตุ”

จึงกล่าวได้ว่าการแพทย์แผนไทยเป็น “การรักษาคน ไม่ใช่การรักษาโรค”

และเป็นการแพทย์แบบอยู่ร่วมเกื้อกูล มิใช่การแพทย์แบบทำลายล้าง

นพ.พิเชฐ บัญญัติ
รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
นายกสมาคมเวชกรรมไทย
16 ตุลาคม 2568

#แก่นการแพทย์แผนไทย
#แพทย์แผนไทย

18/10/2025

#การใช้สมุนไพรตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย

บางครั้งคำถามสั้น ๆ จากเพื่อน…ก็เปิดประตูสู่ความเข้าใจลึกในศาสตร์การแพทย์แผนไทยได้

เหงือกปลาหมอกับโรคไต : คำถามจากเพื่อน…คำตอบจากแพทย์แผนปัจจุบันที่เป็นแพทย์แผนไทย

วันนี้ผมได้รับเชิญจากสถาบันการสร้างชาติให้ไปบรรยายในหลักสูตร นสช. Wellness รุ่นที่ 8
ในหัวข้อ ”การแพทย์แผนไทย: หลักคิด หลักวิชา หลักปฏิบัติ“

การพูดเรื่องการแพทย์แผนไทยให้คนที่ไม่ใช่แพทย์แผนไทย หรืออาจไม่มีพื้นฐานมาก่อน เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก

ผมเริ่มต้นด้วยความตั้งใจว่าอยากให้ผู้ฟัง “เข้าใจศาสตร์การแพทย์แผนไทยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์” มากกว่าแค่ฟังว่าสมุนไพรตัวไหน “ดีอย่างนี้ ดีอย่างนั้น”เพราะเมื่อเข้าใจหลักคิดของศาสตร์แล้ว จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้หรือรู้เท่าทันได้ดีกว่า

ผมจึงยกตัวอย่าง 2 เรื่อง เพื่ออธิบายให้เห็นคุณค่าของการประยุกต์ใช้การแพทย์แผนไทย
เรื่องแรกคือ “ยอกสะดุ้ง” ที่ผมเล่าไว้เมื่อวันก่อน และเรื่องที่สอง คือคำถามจากเพื่อนเกี่ยวกับการใช้สมุนไพร

💬 คำถามจากเพื่อน

วันก่อน เพื่อนสมัยมัธยมคนหนึ่งไลน์มาถามว่า
“ถามหน่อยคับ สมุนไพรนี้ พ่อตาอายุ 80 ไตวายระดับ 4 กินได้มั้ยคับ?”

ผมเปิดดูภาพที่ส่งมา — เป็นต้นเหงือกปลาหมอ
คำถามสั้น ๆ แต่มีความหมายมาก เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยนิยมใช้สมุนไพรชนิดนี้ ด้วยเชื่อว่าช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ หรือแก้ร้อนใน

🩺 คำตอบจากหมอ

ผมตอบกลับไปว่า
“ตามหลักวิชา การกินสมุนไพรชนิดเดียวไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 7 วันนะ

เหงือกปลาหมอเป็นสมุนไพรรสเค็ม คนเป็นโรคไตควรระมัดระวังครับ”

คำตอบอาจสั้น แต่เบื้องหลังมีทั้งหลักของแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยอยู่ในนั้น

🔬 มุมมองของแพทย์แผนปัจจุบัน

งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า เหงือกปลาหมอมีสารฟลาโวนอยด์และฟีนอลิก ที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้ดีขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน เหงือกปลาหมอก็มีแร่ธาตุโซเดียม (Na) และโพแทสเซียม (K) ในระดับค่อนข้างสูง

ซึ่งในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะ 4 ไตไม่สามารถขับเกลือแร่เหล่านี้ออกได้ดี

การได้รับเกลือแร่เพิ่มอาจทำให้เกิดภาวะ “คั่งน้ำ” หรือ “หัวใจทำงานหนัก” ได้

ดังนั้น แพทย์ปัจจุบันจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงสมุนไพรหรืออาหารที่มี Na และ K สูงในผู้ป่วยไตเสื่อม

🌿 มุมมองของแพทย์แผนไทย

ในทางแพทย์แผนไทย เหงือกปลาหมอมีรสเค็มกร่อย เฝื่อน และขม
- รสเค็มกร่อย → ซึมซาบลงล่าง ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ
- รสเฝื่อน → เป็นรสเมาเบื่ออ่อน ๆ ช่วยถอนพิษร้อนและพิษโลหิต
- รสขม → ถ่ายพิษ แก้ไข้ และบำรุงไฟธาตุ

เมื่อรวมกันแล้ว เหงือกปลาหมอจึงเป็นยาที่ช่วยขับพิษและขับปัสสาวะได้ดี

แต่ในผู้ที่ “ธาตุน้ำหย่อน” หรือ “ไตพร่อง” ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคไต

การใช้สมุนไพรรสเค็มจะยิ่ง “ซึมซาบลงไต” ทำให้ไตทำงานหนักและกำลังลดลง

แพทย์แผนไทยจึงเตือนไว้อย่างชัดเจนว่า
“รสเค็มใช้แก้ลม แก้น้ำ แต่ถ้าใช้เกินพอดี จะทำให้น้ำพร่องและไตอ่อนกำลัง”

หลักเภสัชกรรมไทย สมุนไพรชนิดเดียว ยังไม่จัดเป็นยา จัดเป็นแค่อาหาร หรือ เครื่องยา เท่านั้น ถ้าขะกินเป็นอาหาร ก็ให้ปรุงกินแบบอาหารที่เคยกินสืบต่อกันมา

ถ้าใช้เป็นยาต้องมีสมุนไพรมากกว่า 1 ชนิด หรือ ชนิดเดียวแต่ใช้ 2 แบบร่วมกัน เช่น ตำลึงตัวผู้/ตำลึงตัวเมีย ชะเอมไทย/ชะเอมเทศ กระเพราแดง/กระเพราขาว มะปรางเปรี้ยว/มะปรางหวาน

แต่ถ้ามีสมุนไพรชนิดเดียวจริงๆ จะมาทำเป็นยา ต้องใช้ทั้ง 5 คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผลหรือเมล็ด มาทำเป็นยารวมกัน จึงจะจัดเป็นยา

💡 เมื่อสองศาสตร์มาบรรจบ

น่าสนใจว่า เมื่อเปรียบเทียบกันจริง ๆ ทั้งสองศาสตร์เตือนในเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ใช้ “ภาษาคนละแบบ”

มุมมอง | เหตุผล | ผลที่เกิด
---------|---------|---------
แพทย์ปัจจุบัน | มี Na, K สูง → ไตขับออกไม่ได้ | ไตเสื่อมเร็วขึ้น
แพทย์แผนไทย | รสเค็มกร่อย ซึมซาบลงไต → ไตพร่อง | กำลังธาตุน้ำลดลง

สุดท้ายแล้ว คำตอบจึงตรงกัน —
เหงือกปลาหมอไม่เหมาะกับผู้ป่วยไตเสื่อมระยะ 4
หากจำเป็นต้องใช้ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์แผนไทยหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรเท่านั้น

🌸 สรุปใจความ

สมุนไพรทุกชนิดมี “คุณ” และ “โทษ” ในตัวเอง
ใช้อย่างรู้ เข้าใจ และพอดี — คือหัวใจของการแพทย์แผนไทย

การใช้เหงือกปลาหมอหรือสมุนไพรใด ๆ ไม่ใช่เรื่องผิด
แต่ต้องรู้ว่า “รสยา” นั้นส่งผลต่อธาตุใด
และร่างกายเราพร้อมรับพลังของธาตุนั้นหรือไม่

2 เรื่องเล่านี้ ช่วยปูทางให้ผู้ฟังเข้าใจศาสตร์การแพทย์แผนไทย
และนำเข้าสู่แก่นของ “หลักคิด หลักวิชา หลักปฏิบัติ” ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

นพ.พิเชฐ บัญญัติ
รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
นายกสมาคมเวชกรรมไทย
๑๖/๑๐/๒๕๖๘

#เหงือกปลาหมอ
#สมุนไพรไทย
#แพทย์แผนไทย
#เภสัชกรรมไทย
#รู้รสยารู้ชีวิต
#หมอพิเชฐ

14/10/2025

โรคหัวไหล่ติด 💪

โรคหัวไหล่ติด (Adhesive Capsulitis) คือภาวะที่เกิดการอักเสบและเกิดการหดรัดของเยื่อหุ้มหัวไหล่ ทำให้การเคลื่อนไหวของหัวไหล่มีข้อจำกัดและมีอาการปวด มักเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนหรือเกิดจากการบาดเจ็บ ความชุกของโรคในประชากรประเทศไทยพบมากในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคที่เกี่ยวกับการเผาผลาญ โดยสถิติจากกรมการแพทย์ ระบุว่าประชากรที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีอาการที่พบคือ อาการปวดหัวไหล่ เคลื่อนไหวได้น้อยลง มีความตึงของกล้ามเนื้อในหัวไหล่ และบางรายมีอาการปวดร้าวไปที่คอหรือแขน

🔸 การรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน : การรักษาโรคหัวไหล่ติดในทางการแพทย์แผนปัจจุบันมีหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปการรักษาจะประกอบด้วยการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs การทำกายภาพบำบัด การฉีดยาลดการอักเสบเช่น corticosteroids ในกรณีที่อาการรุนแรงมากอาจพิจารณาการผ่าตัด

🔸 การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู : ใช้การทำกายภาพบำบัดเป็นหลัก เช่น การยืดกล้ามเนื้อ การใช้ความร้อนและความเย็น และอุปกรณ์ช่วยฟื้นฟูการทำงานของข้อต่อหัวไหล่ รวมถึงการใช้เทคนิคการนวดบำบัดเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึงของเนื้อเยื่อ

🔸 การรักษาทางแพทย์แผนจีน : นิยมใช้การฝังเข็มและการนวดแบบทุยหนาในการรักษาโรคหัวไหล่ติด เพื่อลดอาการปวดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด การใช้ยาจีนที่มีสมุนไพรช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลหยินหยางในร่างกายก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่นิยมใช้

📖 โรคหัวไหล่ติดในมุมมองของการแพทย์แผนไทย
ในศาสตร์การแพทย์แผนไทย โรคหัวไหล่ติดมองว่าเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุลมและธาตุน้ำ ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อและกล้ามเนื้อผิดปกติ อาจเกิดจากการที่ลมในร่างกายไม่ไหลเวียนดีพอ ทำให้เกิดการแข็งตัวของเส้นเอ็น

🔬 การรักษาทางแพทย์แผนไทย
แพทย์แผนไทยมักใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนและการนวดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ร่วมกับการประคบสมุนไพรที่ช่วยลดอาการปวดและอักเสบ เช่น การใช้สมุนไพรเถาวัลย์เปรียง ซึ่งมีฤทธิ์แก้ปวดและลดการอักเสบ

✅ เถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ และช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย ตามข้อมูลทางเภสัชวิทยา เถาวัลย์เปรียงมีสารประกอบที่ช่วยยับยั้งการสร้างสารอักเสบเช่น prostaglandins นอกจากนี้ยังมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่ามีความปลอดภัยเมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม

✅ กระดูกไก่ดำ : เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เด่นด้านการรักษาโรคข้อกระดูก จึงน่าจะเป็นที่มาของชื่อ “กระดูกไก่ดำ” จากการศึกษาการออกฤทธิ์ของกระดูกไก่ดำ พบว่า มีผลแก้ปวด ลดอักเสบ ไม่แตกต่างจากยาแผนปัจจุบัน และทดสอบแล้วในผู้ป่วยที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พบว่า 90% หลังจากใช้สเปรย์กระดูกไก่ดำระบุว่าหายปวดหลังใช้สเปรย์กระดูกไก่ดำเพียงครั้งเดียว

👉 ทำท่ากายบริหาร เพื่อช่วยยืดองศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ เป็นประจำ สม่ำเสมอ จะช่วยให้อาการหัวไหล่ติดค่อยๆดีขึ้นได้ (ขอบคุณภาพประกอบจาก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)

✅ การดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องหัวไหล่ติด
การดูแลตัวเองเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยโรคหัวไหล่ติดสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การยืดกล้ามเนื้อหัวไหล่เป็นประจำ การใช้ความร้อนและความเย็นสลับกันบริเวณหัวไหล่เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ และควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักเกินไปหรือเคลื่อนไหวหัวไหล่ผิดท่า

📚 ข้อมูลอ้างอิง
-โรคหัวไหล่ติด,กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
-การรักษาโรคหัวไหล่ติดด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู, American Physical Therapy Association (APTA)
-การรักษาโรคหัวไหล่ติดด้วยแพทย์แผนจีน,Journal of Traditional Chinese Medicine
-หัวไหล่ติดเทียม, BMJ (British Medical Journal)
-หัวไหล่ติดทางการแพทย์แผนไทย,กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
-เถาวัลย์เปรียง, Journal of Ethnopharmacology
-ท่าบริหารหัวไหล่ติด โดยคลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ แผนกเวชศาสตร์ครอบครัวและแพทย์บูรณาการ, มหาวิทยาลัยมหิดลคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก

**************************
ปรึกษาสุขภาพกับเรา👩‍⚕️‍👨‍⚕️
◾️ คลินิกแพทย์แผนไทยออนไลน์: https://lin.ee/E5weKTc
◾️ สถาบันการแพทย์แผนไทย: https://sites.google.com/view/abhthaimed
◾️ ปรึกษาสุขภาพ ☎ 037-211289 , 087-5820597 (เฉพาะวันเวลาราชการ)

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=122270524742214982&id=61556449470358
08/10/2025

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=122270524742214982&id=61556449470358

💊 กินยามาแล้ว ยามันรู้ได้ไงว่าต้องไปทำงานที่ไหน?


มันไม่รู้หรอกค่ะ ยาไม่ได้ติดระบบนำวิถีอะไรแบบนั้น
ยาถูกออกแบบมาให้เหมือน ‘ลูกกุญแจ’ ที่สวมได้กับแม่กุญแจ


พอกินแล้ว มันก็ไหลตามเลือดทั่วร่างนั่นแหละค่ะ
เจอแม่กุญแจที่ไหน มันก็เสียบ ออกฤทธิ์ไป

ผลจากการเสียบจุดที่เราต้องการ ก็เป็นผลการรักษา
ผลจากการเสียบจุดที่เราไม่ต้องการ ก็เป็นอาการผลข้างเคียง


เช่น

1. ยาแก้แพ้ antihistiamine
ชนิด Hydroxyzine

🎯แม่กุญแจเป้าหมาย:
ตัวรับ histamine (H1), ยาเสียบกับตัวรับแล้ว
สารชื่อ histamine จะมาเสียบเพื่อออกฤทธิ์ไม่ได้

✅ อวัยวะที่มีแม่กุญแจ:
โพรงจมูก ⮕ กินแล้วเลยแก้ภูมิแพ้ ลดบวม ลดน้ำมูก
(เพราะ histamine ทำให้หลอดเลือดขยาย ผนังบวม น้ำมูกไหล)

❌ อวัยวะที่มีแม่กุญแจ แต่เราไม่ต้องการ:
สมอง ⮕ ง่วงแทน
(เพราะ histamine ทำให้ตื่นตัว)


2. ยาแก้ปวด Naproxen

🎯แม่กุญแจเป้าหมาย:
เอนไซม์ชื่อ COX ไว้สร้างสารชื่อพรอสตาแกลนดิน (PG)
ยาเสียบแล้ว จะทำให้ COX หมดฤทธิ์

✅ อวัยวะที่มีแม่กุญแจ:
จุดอักเสบ ⮕ กินแล้ว PG ลดลง ลดอักเสบ
(เพราะ PG เป็นสารก่ออักเสบ)

❌ อวัยวะที่มีแม่กุญแจแต่เราไม่ต้องการ:
กระเพาะอาหาร ไต
⮕ ลดเมือก ลดด่าง เสี่ยงแผลกระเพาะ
⮕ หลอดเลือดไตตีบชั่วคราว เสี่ยงไตวาย

⚠️ เสี่ยงในคนที่มีความเสี่ยงสูง: อายุมาก, เคยเป็นแผลกระเพาะ, ใช้มากกว่า 1 ชนิด, มีปริมาตรเลือดต่ำอยู่ ฯลฯ



ยาตัวอื่นก็ประมาณนี้ค่ะ ยาไม่รู้หรอกว่าต้องไปไหน มันแค่ไปหาเป้าหมายของมัน
▪️ ยาโดนเป้าหมายที่ต้องการ ⮕ ฤทธิ์การรักษา
▪️ ยาโดนเป้าหมายที่ไม่ต้องการ ⮕ ผลข้างเคียง
▪️ ยาโดนภูมิคุ้มกันจำได้ แล้วต่อต้าน ⮕ แพ้ยา

04/10/2025

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ OrientMed and Bodyworksผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง OrientMed and Bodyworks:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram