A cup of now หลากเรื่องเล่าด้านภูมิปัญญาการพัฒ?

พระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณา พระนามท่านมีความหมายว่า “ผู้สดับฟังอย่างลึกซึ้ง”มหาโยคีผู้ทรงตบะเดชะแห่งหิ...
08/08/2020

พระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณา พระนามท่านมีความหมายว่า “ผู้สดับฟังอย่างลึกซึ้ง”

มหาโยคีผู้ทรงตบะเดชะแห่งหิมาลัย ผู้ตั้งใจมุ่งสู่การหลุดพ้น ได้ปรากฏนิมิตว่า องค์อวโลกิเตศวรเสด็จมาประทับ ณ ฟากหนึ่งของแม่น้ำสินธุ เพื่อรอถ่ายทอดโยคะเพื่อการหลุดพ้นแก่ท่าน

มหาโยคีจึงเร่งออกเดินทางพร้อมศิษย์ในทันที ด้วยเกรงว่าจะคลาดจากการได้สักการะพระองค์

ณ ริมฝั่งแม่น้ำสินธุซึ่งมีเรือข้ามฟากอยู่เพียงลำเดียว ปรากฏร่างของหญิงชราซูบผอมนอนป่วยร้องครางด้วยพิษไข้ ร่างกายนางมีน้ำหนองไหลเยิ้มส่งกลิ่นเหม็นชวนคลื่นไส้ โยคีหนุ่มเห็นแล้ว จึงเอ่ยต่อมหาโยคีว่า ตนอยากจะอยู่ดูแลรักษาพยาบาลให้นางก่อน

“ศิษย์รัก หนทางอันประเสริฐกว่ารอเราอยู่เบื้องหน้าที่อีกฟากของแม่น้ำนี้ เป้าหมายสำคัญของเราคือการบรรลุถึงการหลุดพ้น หญิงชรานี้ป่วยไข้ก็ด้วยวิบากกกรรมเก่าของนางเอง อีกทั้ง เราทั้งสองเป็นผู้ถือสมณเพศ ไม่ควรที่จะแตะต้องร่างกายของสตรี เรารีบขึ้นเรือไปสักการะพระมหาโพธิสัตว์เถิด หากช้ากว่านี้ อาจจะพลาดโอกาสอันเป็นมหามงคลได้”

แม้มหาโยคีจะกล่าวย้ำถึงสามครั้ง แต่โยคีหนุ่มกลับยืนกรานถึงสามครา มหาโยคีจึงตัดใจขึ้นเรือจากไป ทิ้งศิษย์ตนไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้น

ฝ่ายโยคีหนุ่มได้รักษาพยาบาลหญิงชรานั้นอย่างเต็มกำลัง เขาสละน้ำดื่มที่พกติดตัวมาสำหรับตนเองให้นางดื่ม ถอดผ้าจีวรไปชุบน้ำจากแม่น้ำ มาเช็ดล้างร่างกายของนางจนสะอาดโดยมิได้รังเกียจ ออกเดินหาสมุนไพรรากไม้มาปรุงเป็นยารักษานาง เวลาผ่านไปเนิ่นนานกระทั่ง นางจะทุเลาอาการและมีกำลังพูดคุยกับเขาได้

“สาธุเจ้า โยคีผู้ประเสริฐ ข้าได้ข่าวว่าองค์อวโลกิเตศวรเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ที่ฟากโน้นของแม่น้ำสินธุ จึงตั้งใจว่าจะไปกราบสักการะพระองค์สักครั้งก่อนตายให้ได้ จึงยอมกัดฟันลากสังขารที่ป่วยไข้เรื้อรังนี้มา”

“พอดีเลย อาตมาเองก็ตั้งใจจะเดินทางไปกราบพระองค์เช่นกัน อาตมาจะทำให้ท่านสมปรารถนาให้ได้”

เมื่อปราศจากเรือข้ามฟาก โยคีหนุ่มจึงแบกร่างหญิงชราขึ้นขี่หลังใช้ผ้าจีวรผูกมัดร่างนางไว้ให้แน่น แล้วว่ายข้ามแม่น้ำไปโดยไม่ลังเล เขารู้สึกหวาดเกรงต่อกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากนั้น และห่วงความปลอดภัยของหญิงชราด้วย แม้โยคีหนุ่มจะมั่นใจในพละกำลังของตน แต่ก็ไม่อาจวางใจในโชคชะตาและกระแสน้ำได้ เขาจึงตั้งสมาธิจิตระลึกถึงองค์อวโลกิเตศวร เพื่อขอประทานพลังแก่เขาให้ข้ามฟากได้สำเร็จ และขจัดความกลัว ความลังเลฟุ้งซ่านต่างๆที่รบกวนเขา โดยการสวดบทหฤทัยมนตราแห่งพระอวโลกิเตศวร

“โอม มณี ปัทเม ฮุม ”

โยคีหนุ่มสวดท่องมหามนตราขณะว่ายน้ำไปตลอดทาง เมื่อไปถึงกลางแม่น้ำ คลื่นกระแสน้ำลูกใหญ่ได้กระแทกคนทั้งสองอย่างแรง ร่างของทั้งสองจมดิ่งลงไป โยคีหนุ่มตั้งสติ รวบรวมพลังพาตนเองผุดพ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำได้สำเร็จ แต่ที่หลังเขาปราศจากหญิงชรานั้นเสียแล้ว

เขาดำผุดขึ้นลงค้นหาหญิงชราอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่เจอ กระแสน้ำยังคงพัดแรง แต่เขากลับไม่หยุดดำค้นหาร่างของนาง ทันใดนั้น กระแสน้ำก็สงบนิ่งลง และปรากฏเสียงร้องเรียกเขาดังก้องมาจากฟากฟ้าเบื้องบน

โยคีหนุ่มได้เห็นร่างหญิงชราลอยอยู่บนท้องฟ้า ค่อยๆกลายเป็นองค์อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้ประทับอยู่บนบัลลังค์ดอกบัว ฉัพพรรณรรังสีของพระองค์เจิดจ้าครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ ด้วยแสงนั้น ทำให้ร่างกายเขาลอยอยู่กับผิวน้ำได้โดยไม่ต้องออกแรงว่ายพยุงตัวแต่อย่างใด

“เธอประหลาดใจอันใด ในเมื่อเธอเรียกหาฉัน เธอก็ได้พบฉัน”

โยคีหนุ่มประหลาดใจว่าเหตุไฉนพระองค์จึงอยู่ที่นี่ ในร่างของหญิงชรา มิใช่ประทับอยู่ ณ อีกฟากของแม่น้ำสินธุ

“ฉันไม่ได้ดำรงอยู่ที่ฟากโน้นหรือฟากนี้ของแม่น้ำสายไหน

ฉันไม่ได้อยู่ก่อนหรือหลังเวลาใด แต่ฉันดำรงอยู่ที่นี่ในปัจจุบันขณะเวลานี้

ฉันดำรงอยู่กับเธอมาโดยตลอด เช่นเดียวกับที่ฉันดำรงอยู่กับครูของเธอมาตลอดเช่นกัน เสียดายเพียง ครูของเธอนั้นเต็มไปด้วยมายาคติแห่งสังโยชน์ จึงทำให้เขามองไม่เห็นฉัน

ปุถุชนเข้าใจว่าการสักการะบูชาที่แท้คืออะไร?

เข้าใจว่าการแสวงหาการบรรลุธรรมเป็นฉันใด ?

สิ่งนั้นไม่ใช่จุดหมายปลายทางเบื้องหน้าไกลตัว แต่กลับเป็นทุกขณะที่ดำรงอยู่

ดูก่อนโยคี เมื่อเธอสวดภาวนาบทหฤทัยมนตรานั้น ฉันอยู่กับเธอ

แต่เมื่อเธอตัดสินใจไม่ขึ้นเรือไป และอยู่ช่วยเหลือหญิงชราผู้นั้น เมื่อนั้น เธอได้กลายเป็นฉันแล้ว”

กล่าวจบ แสงประภัสสรแห่งพระองค์ก็สุกสว่างเจิดจ้าเป็นที่สุด แล้วจึงค่อยๆจางหายไป ท้องฟ้าแจ่มใส ร่างของโยคีหนุ่มพลันข้ามมาอยู่บนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ

วันที่ 8 เดือน 8 วันสำเร็จมรรคผลแห่ง
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมีอันไพศาลไร้ประมาณ ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากบ่วงมารแลวัฏสงสาร ผู้ประกาศปณิธานธรรม ตราบใดสัตว์โลกทั้งปวงยังไม่หลุดพ้น เราจักไม่ขอสู่นิพพาน

ขอศานติ ไมตรี อภัยทาน จงมีแด่ทุกท่าน ณ ช่วงเวลาที่ชาวโลกกำลังเผชิญบททดสอบที่ท้าทายที่สุด

-------------------------------

ภาพประกอบ : พระอวโลกิเตศวรปางพันกร วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ จ.กาญจนบุรี

หลายวันมานี้ ผู้เขียนได้รับข้อความจากกัลยาณมิตรหลายท่านเรื่องความอันตรายของสุริยปราคาในวันพรุ่งนี้เชื่อว่าหลายท่านก็คงได...
20/06/2020

หลายวันมานี้ ผู้เขียนได้รับข้อความจากกัลยาณมิตรหลายท่านเรื่องความอันตรายของสุริยปราคาในวันพรุ่งนี้

เชื่อว่าหลายท่านก็คงได้รับเช่นเดียวกัน

“ข่าวนี้เป็นจริงมั้ยคะ”

หากพิจารณาดูให้ดี ข้อความดังกล่าวคล้ายคลึงแทบเป็นอันเดียวกันกับที่ส่งต่อๆกันทุกครั้ง เมื่อใดที่มีปรากฏการณ์ราหูมาเยือน

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พระราหู ยังคงรับบท “ผู้ร้าย” เสมอ

ศึกษาตำนานท่านให้ดีเถิด วีรกรรมท่านน่ะ ออกจะ “ฮีโร่” นะ

เช้านี้ ในหน้าเฟสบุ๊คส่วนตัว ปรากฏ “ความทรงจำ” เมื่อ 8 ปีก่อนขึ้นมา เลยลองอ่านดูว่าเมื่อตอนนั้นเราเขียนอะไรเอาไว้

อ่านแล้วก็เห็นว่า เหมาะสมดีกับช่วงเวลานี้

ทั้งเรื่องโควิทและราหู

รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจ ความเป็นไปของบ้านเมืองและโลกนี้

ขออนุญาตนำมาแบ่งปันไว้ให้พิจารณากัน

(มีแก้ไขข้อความเล็กน้อย)
.............................................................................
"พลังความเชื่อ" เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลต่อชีวิต

พลังความเชื่อ ที่ส่งผลต่อ ทัศนคติ วิสัยทัศน์ บุคลิกภาพ พฤติกรรม ความเคยชิน

หากคนรักของคุณเคยทำผิดต่อคุณ แ้ม้ว่าเขาจะพยายามปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเพียงใด แต่พลังความเชื่อของคุณก็จะยังคงฝังเป็นความหวาดละแวงเรื่อยไป ท้ายสุด คุณก็ทุกข์ในความหวาดระแวงนั้น กลายเป็นรอยแผลที่สร้างระยะขึ้นเรื่อยๆในความสัมพันธ์

พ่อแม่ที่มองเห็นความผิดพลาดของลูกมาแต่เนิ่นนาน และฝังลึกความเชื่อนั้นลงไปในจิตใต้สำนึกของตนเองอย่างเหนียวแน่น ไม่ว่า ลูกจะพยายามพิสูจน์ตนเอง ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเพียงใด แต่หากพลังความเชื่อด้านลบของพ่อแม่นั้นยังฝังแน่นอยู่ พวกท่านก็จะมองเห็นความดีงามนั้น ไม่เทียบเท่า "สัญญา" ด้านลบเก่าๆที่ยังคงเชื่ออยู่อย่างแน่นหนา

รอยแผลในความสัมพันธ์นั้น ถูกบ่มให้ลึกและกว้างขึ้น เพียงเพราะความเชื่อ ที่มีพลังมากกว่า "พลังของเหตุและผล"

มากกว่า 90 % ของการทำงานทางจิตของมนุษย์ถูกขับเคลื่อนจากอารมณ์ ความเคยชิน และความเชื่อภายใน มากกว่าด้านเหตุและผล

การเจริญเมตตาภาวนาและ อโหสิกรรม คือ กระบวนการวิทยาศาสตร์ทางจิตรูปแบบหนึ่งในการชำระล้างจิตใต้สำนึก ด้วยตนเอง

อันนำไปสู่การให้อภัย ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และความเป็นไปตามธรรมดาของโลกนี้

โลกร้อนขึ้น เพราะเราัฟังกันน้อยลง เปิดใจกันน้อยลง เลือกเชื่อในสิ่งที่ตนเองคุ้นเคย และพยายามจะนำเสนอทัศนะที่เปี่ยมด้วยอัตตา อคติ

โลกจะเย็นขึ้น เมื่อเรา "วางตัวตน" ของเราให้เล็กลง เปิดพื้นที่ในใจให้กว้าง ว่าง ฟังและมองโดยปราศจากอคติ สัญญาเก่าๆ
...........................

ภาพประกอบ : พระพุทธไสยาสน์ วัดพระปฐมเจดีย์ จ. นครปฐม ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๔ ปางสีหไสยาสน์ แสดงความหมายถึงการดำรงสติ ตื่น รู้ แม้ยามนอน ก็พร้อมตื่นขึ้นจากการหลับใหลในมายา ไม่หลงในอวิชชาใดๆ เป็นปางที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่พระอสุรินทราหู จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา อธิษฐานจิตขอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตวงศ์ ทรงพระนามว่า "พระนารทพุทธเจ้า"

“ปู่ราหู” เพิ่งมาเยือนเมื่อวันที่ 6 ไปแป๊บๆ ปีนี้ท่านจะมาอีกไม่กี่วันนี้แล้ว21 นี้ ตรงกับวันอาทิตย์ เป็นสูรยปราคา‘อาทิตย...
19/06/2020

“ปู่ราหู” เพิ่งมาเยือนเมื่อวันที่ 6 ไปแป๊บๆ ปีนี้ท่านจะมาอีกไม่กี่วันนี้แล้ว

21 นี้ ตรงกับวันอาทิตย์ เป็นสูรยปราคา

‘อาทิตย์’ กับ ‘สูรยะ’

“บังเอิญ” หรือ “ตั้งใจ” หนอ

สายวิทยาศาสตร์มองเพียงปรากฏการณ์ธรรมดา ธรรมชาติของดวงดาวในระบบ

สายพลัง สายจิตวิญญาณเขารู้กัน ว่าดวงดาวแต่ละดวง ล้วนมีชีวิต มีพลังงาน การโคจรจัดเรียงตัวแต่ละรูปแบบ เปรียบเหมือนการต่อวงจรไฟฟ้า อันส่งผลแตกต่างกันไป

ผู้เขียนกล่าวอยู่เนืองๆมาเรื่อยๆ ถึง “ปู่ราหู” หรือพระนามเต็มว่า “อสุรินทราหูโพธิสัตว์”

ท่านดำรงศักดิ์เป็นมหาเทวะฝ่ายอสูร

“อสูร” เป็นเทวะกลุ่มหนึ่ง ย้ำอีกครั้ง อสูรไม่ใช่ปีศาจร้าย

หากไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไปหาอ่านนะ “เทวตำนานในอริยวิถี” คนเขียนเขาเขียนดี เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจดีแล้ว

ทรงดำรงศักดิ์เป็นพระนิตยโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ ผู้ได้รับพุทธทำนายที่จะมาตรัสรู้เป็น “พระอนาคตวงศ์” หรือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล

พุทธสมัยไม่ได้ยุติจบสิ้นเพียงยุคพระศรีอริยเมตไตรย หากแต่ยัง “เวียนเกิด เวียนดับ” อีกหลายรอบ หลายหน

วีกรรมของเหล่าอสูรในเทวตำนาน ถือว่าปู่ราหูมีวีรกรรมอันทรงคุณธรรมยิ่ง

ช่วงเวลานี้ โลกวุ่นวายนะ

เหตุการณ์ในอเมริกาไม่รู้จะจบตรงไหนอย่างไร

เกาหลีเหนือเพิ่งประกาศสัญญาณอันตรายไปหมาดๆ

บ้านเรา พอโควิทเบาลง นักการเมืองก็หันมาทะเลาะกันต่อ

เดี๋ยวจะมีอะไรอีกล่ะท่าน !?

จะมีอะไร จะอะไรมา ก็ตามแต่เถอะ ล้วนแล้วไม่พ้นเรื่อง “ละครโลก”

โลกนี้คือละคร ชีวิตเราท่านเป็นเพียงบทบาทสมมุติชั่วครั้งชั่วคราว

อย่าอิน !!

เมื่อเร็วๆนี้ ครอบครัวหนึ่งเพิ่งสูญเสียบุตรแรกคลอดไป กำลังมีเรื่องพิพาทกับโรงพยาบาล น่าจะบานปลายถึงขั้นฟ้องร้อง

ผู้เกี่ยวข้องขอคำปรึกษาจากเรา

“ทุกอย่างเป็นไปเพียงเพื่อ ทุกตัวละครจักเรียนรู้ทดสอบซ้ำ จนกว่าจะก้าวผ่านเรื่อง เมตตา ยอมรับ และ อภัย”

เหตุการณ์ในครอบครัวหนึ่ง ในโรงพยาบาลหนึ่ง เป็นไปอย่างไร

เหตุการณ์ในบ้านเมืองหนึ่ง ประเทศหนึ่ง โลกหนึ่ง เป็นไปอย่างไร

“เมตตา ยอมรับ อภัย” ฤาใช้ต่างกันเล่า

พระราหู จึ่งต้อง “คายคืน” ทั้งสูรยะและจันทรา

โลภะ โทสะ โมหะ มิอาจไม่ “วางคลาย”

เมื่อนั้น จึง “ว่าง”

หลายคนตระเตรียมวุ่นวายหมายไหว้ของดำในวันพระราหูเสด็จ

ไหว้เพื่อ “เอา” หรือ ไหว้เพื่อ “เกลา”

ตรองดูให้ดีเถิด

แท้จริง ปู่ท่าน “อมเพื่อเอา” หรือ “อมเพื่อคาย”

หากโลกนี้ร้อนเร่าเพราะต่างแย่งกันเอา

ปู่ท่านก็สอนอยู่นี่ไง ว่า “ค(ล)ายสิ จะได้เย็น”

----------
ภาพประกอบ : โบสถ์มหาอุตม์ วัดปราสาท จ.นนทบุรี

19 พ.ค. "วันอาภากร" วันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุ...
19/05/2020

19 พ.ค. "วันอาภากร"

วันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

น้อมกราบพระบาท ด้วยความสำนึกในพระเมตตา อีกทั้งทรงดำรงพระองค์เป็นแบบอย่างอันเลิศล้ำแก่ลูกหลานไทยทั้งผอง

น้อมถวายบุญทานการกุศลบารมีทั้งปวงที่บำเพ็ญเพียรสั่งสมมาเป็นคุรุบูชา

สาธุ

------------------------------

เครดิตรูปภาพ : http://thaitribune.org/contents/detail/331?content_id=16590

เช้านี้ ไปกราบสักการะพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ที่มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย พุทธมณฑลสาย 6ตั้งสัจจะไว้ว่าหลังโควิท 19 คลี่คลาย...
15/05/2020

เช้านี้ ไปกราบสักการะพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ที่มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย พุทธมณฑลสาย 6

ตั้งสัจจะไว้ว่าหลังโควิท 19 คลี่คลาย และทางอารามเปิดปกติแล้ว จะไปกราบท่านและทำบุญที่อาราม

ภาพนี้ คือ องค์พระกษิติครรภโพธิสัตว์ หินแกรนิตสลักสูง 13.99 เมตร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้ประทานพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานภายในพระอุณาโลม

บริเวณรอบลาน ประดิษฐานด้วยเทวรูปพญายมราชทั้ง 10 ตามคติของมหายาน ซึ่งแต่ละพระองค์ทรงเป็นนิรมานกายของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์หลายพระองค์ ทำหน้าที่ควบคุมการพิพากษาและลงฑัณฑ์สัตว์นรก ซึ่งทำผิดบาปในอกุศลกรรมต่างๆ

สาธุชนมักมากราบขอขมากรรม หรือ สารภาพบาปกัน ณ เบื้องหน้าพระโพธิสัตว์และพญายมราช

หนึ่งในความดีงามของชีวิตมนุษย์ คือ เรามีโอกาสเสมอที่จะสำนึกผิด ขอขมา อโหสิกรรม และ เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

บุญใดที่ได้กระทำแล้ว ขอปันแก่ทุกท่าน ณ ที่นี้ และ เวไนยสัตว์ทุกภพภูมิ

สาธุ

"วิสาขบูชาและคืนเป็งปุ๊ด"วิสาขบูชา เป็นวันดีมีความพิเศษอันควรแก่การรำลึกถึงคุณแห่งพระพุทธเจ้า คุรุผู้อารีผู้ประเสริฐ ผู้...
06/05/2020

"วิสาขบูชาและคืนเป็งปุ๊ด"

วิสาขบูชา เป็นวันดีมีความพิเศษอันควรแก่การรำลึกถึงคุณแห่งพระพุทธเจ้า คุรุผู้อารีผู้ประเสริฐ ผู้ชี้ทางออกจากวัฏจักรแห่งการเวียนวายตายเกิด หล่นจมในกองทุกข์ได้สำเร็จ

ในยุคสมัยหนึ่งจะมีเพียงมหาบุรุษพระองค์เดียว ที่แลเห็นว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ กรงทุกข์อันพึงแสวงหาทางออก

คำว่า “พุทธะ” และ “อรหันต์” แท้จริง มีใช้ในสังคมชมพูทวีปมาช้านานแล้วแต่ครั้งก่อนพุทธกาล แต่หาได้เป็นไปในทางพาสู่การหลุดพ้นจากวัฏสงสารไม่ ตราบจนพระมหาโพธิสัตว์ ทรงประสูติและตรัสรู้ โลกจึงได้เริ่มมีพระอรหันตสาวกเกิดขึ้น ภายในเวลาเพียง 7 เดือนนับจากทรงประกาศธรรม ได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้น 1,250 รูป ซึ่งมาเฝ้าพระพุทธองค์ในวันเพ็ญเดือน 3 หรือคืนมาฆบูชา

จากนั้น การ “ต่อเทียน” จึงดำเนินต่อเนื่องสืบมาถึงปัจจุบัน

วิสาขบูชาปีนี้วิเศษยิ่งอีกประการ คือ ตรงกับคืนเป็งปุ๊ด

คืนเป็งปุ๊ด หรือ "เพ็ญพุธ" คือ วันพุธที่ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ หรือคืนเดือนเพ็ญ ชาวล้านนาเชื่อว่ายามเที่ยงคืนของเป็งปุ๊ด คือ เวลาที่พระอุปคุปต์จะออกโปรดสัตว์รับบาตรจากสาธุชน เกิดเป็นประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนของทางเหนือ

พระอุปคุปต์เป็นตำนานพระอรหันต์เถระในช่วงยุคพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเป็นช่วงหลังพุทธกาลไปแล้วหลายร้อยปี โดยพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้แต่ครั้งพุทธกาลว่า พระอุปคุปต์ผู้เป็น “อนุพุทธ” จะเป็นผู้ทรมานพญามาร

“อนุพุทธ” หมายถึง พระสาวกผู้บรรลุธรรมได้ได้ด้วยการฟัง (สุตะ) คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธะจนรู้ตามสำเร็จอรหันต์ และสามารถสอนให้ผู้อื่นรู้ตามได้

คำว่า “ทรมาน” ในทางธรรม แตกต่างจากทางโลกที่เคยคุ้นกัน โดยหมายถึง “การเปลี่ยนแปลง” จากตัวตนหนึ่งไปสู่อีกตัวตนหนึ่ง (Transformation) ในที่นี้ คือ การช่วยให้พญามารได้ถึงซึ่งศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ถึงกับตั้งสัจจาธิษฐานขอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีพระนามว่า “พระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า”

ท้าวพญามารผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรนิมมิตวสวัตตี จึงมีฐานะเป็น “นิยตโพธิสัตว์” คือ พระโพธิสัตว์ผู้ได้รับพยากรณ์ หรือ “คอนเฟิร์มแล้ว” ว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เรื่องนี้ ผู้เขียนย้ำนักหนา เพื่อให้เราท่านระวังจิตระวังวาจา ในการเลือกใช้คำว่า “มาร” ในทางผิดเพี้ยนตามวิถีโลก

ตำนาน “พระอุปคุปต์ปราบมาร” จึงมิใช่การปราบทรมานในเชิงเอาดีไปข่มร้าย เอาถูกไปขู่ผิดในทางโลก หากแต่แยบคายลุ่มลึกตามกระบวนการพุทธวิถี ซึ่งมุ่งการเปลี่ยนแปลงจากภายใน (Inner Transformation)

ด้วยเหตุนี้พญามารจึงเคารพพระอุปคุปต์มาก จากศัตรูกลายเป็นมิตร จากผู้ขัดขวางมนุษย์มิให้หลุดพ้นจากบ่วงมาร กลับกลายเป็นผู้เอื้อเฟื้อช่วยเหลือให้มนุษย์เร่งพ้นบ่วงมารแห่งตนได้เร็วขึ้น

(เวลาเจอเรื่องวิกฤตหนักๆแรงๆในชีวิต จึงควรขอบคุณท่าน มิใช่ไปตัดพ้อต่อว่าท่าน)

ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป พระอุปคุปต์จึงขอให้พญามารผู้เคยพบพระพุทธเจ้าเนรมิตรูปกายแห่งพระศาสดาให้ชมดูว่าทรงมีพุทธลักษณะเช่นไร

พญามารยินดีจึงเนรมิตกายเป็นพระศาสดาเจ้า เปล่งประกายด้วยฉัพพรรณรังสีส่องสว่างไสว รายล้อมด้วยพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอานนท์ พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธ พระสุภูติ และพระสงฆ์สาวกอีกจำนวนนับหมื่นสามพันห้าร้อยองค์เรียงรายดุจอัฒจันทร์แวดล้อม

พระอุปคุปต์ปิติยินดียิ่ง จึงน้อมจิตสู่พุทธานุสติ กระทำอัญชลีถวายสักการะแก่รูปนิรมิตนั้น ทำเอาพญามารต้องรีบห้ามไว้ เพราะไม่อาจรับได้ซึ่งการกราบสักการะจากพระอรหันต์ แต่พระอุปคุปต์ได้ไขความว่า ท่านไม่ได้ถวายสักการะแก่พญามาร หากแต่ถวายสักการะแก่พระพุทธองค์

ณ เวลานั้น ไม่มีพระเถระ ไม่มีพญามาร มีแต่ “พุทธะ” รู้ ตื่น เบิกบาน เป็น "จิตหนึ่งเดียว"

การถวายสักการะแก่พระศาสดา คือ การระลึกถึงพุทธคุณ หรือ คุณแห่งพระพุทธะ อันเกิดขึ้นเพียงช่วงขณะหนึ่งในยุคสมัยหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับเวลาในจักรวาลและวัฏสงสารทั้งหมดแล้ว ถือว่า “สั้นมาก”

ยิ่งในยุคแห่งพระพุทธโคตมนี้ ถือว่าสั้นที่สุดในภัทรกัลป์นี้

เราท่านเวียนผ่านวิสาขบูชามาแล้วกี่สมัย

เราท่านน้อมจิตถ่อมใจเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะอย่างไร

พิจารณาเถิดว่า เป็นบุญกุศลมหาศาลเพียงใดที่ได้เกิดมาในยุคสมัยที่ยังมีพระธรรมคำสอนที่พระสงฆ์สาวกถ่ายทอดสืบสานไม่ขาดสาย

อีกทั้ง กระแสพลังแห่งพระพุทธะยังคงสถิตย์ ณ ทุกที่ ทุกเวลา

เมื่อคืนเที่ยงคืนนี้ ผู้เขียนได้เจริญภาวนาสักการะบูชาพระอุปคุปต์ในโอกาสคืนเป็งปุ๊ด ขอปันบุญนี้แก่ทุกท่าน สาธุ

อนึ่ง เรื่องพระอุปคุปต์และพญามาร สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลายแห่งความรู้ รวมทั้งหนังสือ “เทวตำนานในอริยวิถี” ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายไว้หลากหลายแง่มุม

-------------------------------
ภาพประกอบ : พระอุปคุปต์ จิตรกรรมฝาผนัง วัดป่าดาราภิรมย์ จ.เชียงใหม่

พลานิสงส์แห่งการเจริญภาวนากราบ สาธุ
04/05/2020

พลานิสงส์แห่งการเจริญภาวนา

กราบ สาธุ

วันสงกรานต์ทางล้านนาเรียก "ปี๋ใหม่เมือง"วันที่สองของปี๋ใหม่เมือง ทางล้านนาเรียกว่า "วันเน่า"เป็นคติธรรมว่า วันนี้ต้องสำร...
14/04/2020

วันสงกรานต์ทางล้านนาเรียก "ปี๋ใหม่เมือง"

วันที่สองของปี๋ใหม่เมือง ทางล้านนาเรียกว่า "วันเน่า"

เป็นคติธรรมว่า วันนี้ต้องสำรวมระวังถ้อยคำวาจาให้ดี หากใครด่าทอ ทะเลาะเบาะแว้งกัน จะทำให้ปากเน่าเหม็นถือเป็นอัปมงคล

เป็นกุศโลบายให้ผู้คนเจริญอยู่ในอนุสติ ถ้อยทีถ้อยอาศัย พูดคุยเจรจาด้วยปิยวาจา

เป็นความลุ่มลึกของภูมิปัญญาโบราณ ชวนพิจารณาให้เห็นถึงสาระสำคัญแห่งการดำรงอยู่ร่วมกัน

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมายแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งถ้อยคำ ตัวอย่างเช่น เขาแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้ไปรุมด่าทอสาปแช่งใส่ดอกไม้กระถางหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งให้ล้อมวงชื่นชม ขอบคุณ บอกรัก พูดคุยกับดอกไม้ด้วยถ้อยคำดีๆสารพัด

เวลาผ่านไปไม่นาน ดอกไม้กระถางแรกถึงกับเหี่ยวเฉา ตายไป ส่วนกระถางที่สองกลับเบ่งบานสดใส ทั้งที่ให้น้ำให้ปุ๋ยปลูกด้วยดินเดียวกัน

"ปิยวาจา" ถือเป็นยาดีที่ไม่ควรละเลย สิ่งนี้สำคัญไม่ต่างจากวัคซีนที่เร่งผลิตเร่งคิดค้นกัน

มีคนถามไถ่ว่า ทำไมเราเรียกเชื้อโควิท - 19 ว่า "คุณโกวิท"

"ก็วางเขาเป็นครู เป็นเพื่อนสิ จะไปวางเป็นศัตรูทำไม"

สูงสุดของเอาชนะศัตรู คือ การอภัย

"อภัย" หรือ "อภย" แปลว่า "ไม่กลัว"

เพราะไม่กลัว จึงรักได้ ปรองดองเป็น อีกทั้ง ก่อเกิดสันติสุขภายใน ซึ่งมีแต่ศัตรูเท่านั้นที่จะมอบบทเรียนเรื่องนี้แก่เราท่านได้ในชีวิตหนึ่ง

เช้านี้ จรดพู่กันเขียนอักษรจีนคำว่า "安" อ่านว่า "อัน" ( ān) เพื่อมอบให้กัลยาณมิตรอาวุโสท่านหนึ่ง ในโอกาสสงกรานต์

คำนี้คำเดียว มีความหมายหลากหลาย แต่ทุกความหมายล้วนสอดคล้องกัน ได้แก่

ความสงบสุข

ความเงียบ

ความปลอดภัย

สุขภาพดี

เห็นว่าเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันดี จึงเขียนคำนี้ให้ท่าน เมื่อท่านรับไปก็ยิ้มแย้มปิติยินดี

"สถานการณ์เช่นนี้ บางทีการนิ่งเงียบไว้ กลับเป็นการเยียวยาฟื้นฟูสุขภาพที่ไม่เลว"

อาจบางที ในบรรดาปิยวาจาทุกถ้อยคำ "ความเงียบ" กลับถือเป็นถ้อยคำที่ทรงพลังยิ่ง

ขอความสุข สวัสดี และปิยวาจาจงมีแด่ทุกท่านครับ

สุขสันต์วันเน่า

“นางสงกรานต์ ปี 2563 โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ พระหัตถ์ขวาทรงธนูหรือไม้เท้า พระหัตถ์ซ้ายทรงพระขรรค์ เสด็จไสยาสน์ลืม...
13/04/2020

“นางสงกรานต์ ปี 2563 โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ พระหัตถ์ขวาทรงธนูหรือไม้เท้า พระหัตถ์ซ้ายทรงพระขรรค์ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตรเหนือหลังพยัคฆะ มหาชนร้อนใจด้วยอาหารแลน้ำน้อย”

คติธรรมเนียมโบราณ คำพยากรณ์จากโหราจารย์ถือเป็นการให้อนุสติแก่ผู้คน ทั้งชนชั้นปกครองและไพร่ฟ้าทุกหมู่เหล่า ในการวางแผนการดำรงชีวิตตลอดทั้งปี มิให้ตั้งอยู่บนความประมาท

หาใช่พยากรณ์เพื่อให้อกสั่นขวัญแขวน หวาดกลัวไปตามกัน

ปีใด คำพยากรณ์ ยิ่งหนัก ยิ่งแรง ถือว่ายิ่งท้าทายพลังจิตหมู่ บุญรวมของผู้คนว่าจะร่วมแรงร่วมใจ ฝ่าฟันไปบนฐานแห่งทาน ศีล ภาวนา ได้เพียงใด

สงกรานต์ปี 63 นี้ ถือว่าถูกสอบอารมณ์กันถ้วนหน้า

ล่วงเข้าถึงวันนี้แล้ว ปรับตัว ปรับใจเป็นปกติกันได้เพียงใดแล้วเล่า

พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ไม่มี ไม่เป็น ได้มากน้อยเพียงใด

ขอเป็นกำลังใจแก่ทุกท่านในการเดินทางร่วมกัน

สงกรานต์ปีนี้ ขอให้ทุกท่านดำรงมั่นในบุญทานการกุศล เจริญซึ่งศีล สมาธิ ปัญญา และ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

สัพพะทุกขา สัพพะภะยา สัพพะโรคา วินาสสันตุ

ขอสรรพทุกข์ สรรพโรค ภัยพาล ล้วนวินาสไปด้วยพระธรรมาวุธอันสันติ

ด้วยเดชะผลบุญทั้งหลาย จงเป็นพลวัตรปัจจัยเอื้อเฟื้อเราท่าน ดั่งน้ำใสเย็นชื่น ช่วยรินหลั่งดับร้อนซึ่งไฟกิเลสเพลิงทุกข์ทุกกอง

พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ

ขอความสุขสวัสดี ศานติและไมตรีจงมีแก่ท่าน

ภาพบรรยากาศบางส่วนจากพิธีมหาศิวราตรี เมื่อคืนนี้ ที่งาน หัวหิน โยคะ เฟสติวัล 2020ขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมเกื้อกูลให้งานนี้ผ...
22/02/2020

ภาพบรรยากาศบางส่วนจากพิธีมหาศิวราตรี เมื่อคืนนี้ ที่งาน หัวหิน โยคะ เฟสติวัล 2020

ขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมเกื้อกูลให้งานนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งทางแรงกายและแรงใจ

แม้จิตอนุโมทนายินดี ก็ถือว่ามีส่วนร่วมเช่นกัน

เรื่อง "จิต" นี้สำคัญ พลังแห่งการร่วมชื่นชมยินดีมีอานิสงส์มหาศาล อย่าได้ดูเบา

นี่คือเครื่องเชื่อมโยงอันสำคัญสู่ความเป็นหนึ่งเดียว

นี่คือสายสัมพันธ์อันสำคัญในการเข้าถึงซึ่งมหาเทวะผู้ทรงกรุณา

งานศิวราตรี คือ การข้ามพ้นไปจากกรอบเกณฑ์ทางศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ เหตุและผลใดๆในการอธิบายเรื่องเทวะ

หากแต่คงเหลือเพียง "ความเป็นหนึ่งเดียว" อันหลอมรวมด้วย ความรัก ความกรุณา และสันติภาพ

พรใดอันประเสริฐ ขอจงประสิทธิแก่ทุกท่าน

สาธุ

ป.ล. มีแผนในใจว่าจะทำหนังสือ "เทวตำนานในโยคะวิถี" เป็นเล่มต่อเนื่องจาก "เทวตำนานในอริยวิถี" แต่เวลายังไม่เป็นใจเท่าใดนัก รายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีอารตี และ มหาศิวราตรี คงได้เรียบเรียงไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าวครับ (ไม่ถือเป็นการสัญญาแต่อย่างใด 5555)

“มหาศิวราตรีและพิธีอารตี”“ศิวราตรี” แปลว่า ราตรีแห่งการบูชามหาคุรุศิวะเทพ เป็นเทศกาลสำคัญของเหล่าโยคี ในเดือนมาฆะ โดยมีต...
20/02/2020

“มหาศิวราตรีและพิธีอารตี”

“ศิวราตรี” แปลว่า ราตรีแห่งการบูชามหาคุรุศิวะเทพ เป็นเทศกาลสำคัญของเหล่าโยคี ในเดือนมาฆะ โดยมีตำนานที่มาอันหลากหลาย ได้แก่

• เป็นคืนวิวาห์ของพระศิวะและพระแม่ศรีอุมาเทวี : ย้อนถึงเหตุการณ์ “พระสตี” ทรงเผาร่างตนเพื่อรักษาพระเกียรติคุณแห่งองค์ศิวะ จากนั้นมา พระศิวะทรงเข้ากรรมฐานนานนับกัลป์ กระทั่ง พระสตีจุติเกิดใหม่เป็น “พระปารวตีเทวี” ทรงกระทำโยคะกรรมแสดงภักติ จนพระศิวะทรงออกจากกรรมฐาน และวิวาห์กับพระแม่เจ้า ซึ่งเปลี่ยนพระนามใหม่เป็น “พระศรีอุมาเทวี” ทรงเป็นศักติแห่งมหาเทวะ

• เมื่อครั้งเหล่าเทวะและอสูรร่วมมือกันกวนเกษียรสมุทรเพื่อปรุงน้ำอมฤต ได้ปรากฏพิษร้ายแรงขึ้นจากเกษียรสมุทรอันมีฤทธิ์ทำลายล้างจักรวาลได้ มหาศิวะเทพ จึงทรงดื่มพิษนั้นทั้งหมดด้วยพระองค์เองเพียงผู้เดียว ทำให้พระศอเป็นสีดำ จึงทรงได้รับพระนามว่า “นิลกัณฑะ” เพื่อถวายพระเกียรติในฐานะพระผู้ทรงเสียสละ หรือ ผู้ทรงไถ่บาปแก่สัตว์ทั้งปวง

ทั้งสองตำนานมีความเชื่อมโยงกัน คำว่า “ศักติ” (Shakti) คือ พลังฝ่ายหญิง ได้แก่ ความรัก ความเมตตากรุณา การก่อกำเนิด การช่วยเหลือ อุปถัมภ์สนับสนุน เป็นต้นธารกำเนิดแห่งพลังของ “เทวะ” (Deva) คือ พลังฝ่ายชาย ได้แก่ การกระทำ การขับเคลื่อน ความเป็นไปในธรรมชาติและจักรวาล

“ศักติเทวะ” ในคติโยคะจึงเทียบเท่า “หยินหยาง” ในเต๋า และ “อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท” ในพุทธ

ศิวราตรี จึงเป็นช่วงเวลาที่คลื่นสั่นสะเทือนของจักรวาลอยู่ในสภาวะสมดุลที่สุดแห่งหยินหยาง ซึ่งในรอบหนึ่งปีจะมีปรากฏการณ์นี้เพียงสองครั้ง คือ ศิวราตรีในช่วงต้นปี และ “นวราตรี” ในช่วงปลายปีซึ่งเป็นวันของพระแม่ศรีอุมาเทวี

-------------------------------

ถาม : “คลื่นสั่นสะเทือนในภาวะสมดุลนี้ ส่งผลอย่างไรต่อมนุษย์บ้าง ?”

ตอบ : มหาศาลเลย ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ จิตวิญญาณ พลังชีวิต หลายคนอาจไม่รู้สึก อาจคิดว่าก็แค่วันๆหนึ่ง แต่คนฝึกโยคะ ชี่กง นักภาวนาที่สัมผัสละเอียดจะรับรู้ได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่กายใจมีปฏิสัมพันธ์และความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การภาวนา เจริญปัญญา สวดมนต์ แผ่เมตตา สำรวมกาย วาจา ใจ ให้เป็น “ปกติ” เป็นช่วงเวลาที่ควรงดอบายมุข สำรวมกายใจรู้เท่าทันต่อสิ่งเร้าผัสสะให้เร่าร้อนลุ่มหลงทั้งปวง

เป็นช่วงเวลาที่ ถ้า “คลื่นจิตดี” จะส่งผลดีมหาศาลกับตัวท่าน

เป็นช่วงเวลาที่ ถ้า “คลื่นจิตลบ” จะส่งผลลบมหาศาลกับตัวท่านเช่นกัน

แม้อาจไม่เห็นผลทันที แต่เชื่อเถิดว่า “การสั่งสม” ย่อมค่อยๆเป็นไปตามกาลอันเหมาะควร

---------------------------------

ถาม : “ชาวพุทธควรวางท่าทีอย่างไรต่อการบูชาเทพ ?”

ตอบ : เอาเรื่องพุทธกับเทพวางลงก่อน มองเรื่องเทพเป็นเรื่อง “พลังงาน”

"เทวะ" คือ พลังงานความถี่ละเอียดที่ตามองไม่เห็น กายหยาบสัมผัสไม่ได้ เฉกเช่น คลื่นโทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ มองไม่เห็น แต่มีจริง ไม่ว่าจะปิดหรือเปิดเครื่องรับหรือไม่ก็ตาม

"มหาเทวะ" คือ พลังงานความถี่ที่ละเอียดยิ่งกว่า ถ้าเปรียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้า คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปที่ยิ่งไม่อาจรับคลื่นความถี่ระดับนี้ได้ ต้องเปลี่ยนรุ่น ต้องปรับคุณภาพ ต้อง R&D กันใหม่

คลื่นแห่งเทวะและมหาเทวะ เฉกเช่น แสงอาทิตย แสงจันทร์ ที่ไม่ได้นำพากับความเชื่อไม่เชื่อของใคร กระทั่ง ความดีความชั่วของใคร ท่านส่องแสงให้พลังชีวิตแก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม และธาตุในกาย ในอาหารให้เราท่านตลอดเวลาอยู่แล้ว สุดแท้แต่ใครจะสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติ สุดแท้แต่ใครจะสัมผัสรับรู้ได้

การบูชาเทพ คือ การวางจิตในภาวะกตัญญู สำนึกบุญคุณ การชื่นชม ขอบคุณต่อพลังธรรมชาติ จิตที่สำนึกรู้ gratitude ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์วิจัยไว้ ว่าส่งผลต่อระบบภูมิต้านทานและระบบฟื้นฟูตนเองอย่างมหาศาล

กล่าวถึงตรงนี้ หากเราท่านมีจิตกตัญญุ สำนึกพระคุณธรรมชาติ หรือ อย่างน้อย เรารู้จักอนุโมทนาบุญ ยินดีในความดีงามของสรรพชีวิต สรรพสิ่งต่างๆ เราเท่ากับบูชาเทพแล้วเช่นกัน

เทวะ มิได้ต้องการพิธีกรรมอะไรมากมายวุ่นวายอลังการนัก ยิ่งมหาเทวะ ท่านข้ามพ้นเรื่องสมมุติเหล่านี้ไปไม่ข้องเกี่ยวด้วย ในภาวะแห่งพุทธะ และ มหาเทพ ย่อมข้ามพ้นสมมุติเรื่องศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกายต่างๆไปเสียสิ้น คงมีแต่ “ความเป็นหนึ่งเดียวทางจิตวิญญาณ” (Oneness of Spirit)

----------------------------

ถาม : “ถ้าเช่นนั้น ทำไมต้องมีพิธีกรรม ?”

ตอบ : เพราะมนุษย์จำนวนมากเป็นปุถุชนผู้ยังไม่ข้ามพ้นสมมุติ มนุษย์จำนวนมากยังติดกับรูป ยังไม่อาจเข้าถึงได้ว่า มหาเทวะทรงเป็น “อรูป” คือ ไร้รูปลักษณ์

ท่านมิได้ถือสามง่าม นุ่งหุ่มหนังเสือ มีแปดกร ทรงพระโค ดังที่เห็นเป็นเทวรูปทั่วไป หากแต่ทรงเป็นคลื่นพลังงานอันละเอียดงามลุ่มลึก เกินกว่าจิตปุถุชนจะสัมผัสเข้าถึงได้ เพราะมนุษย์ยังไม่อาจข้ามพ้นอายตนะทางหยาบ แม้เข้าใจเรื่องนี้จากการอ่าน การฟัง แต่ก็ยังไม่ใช่การเข้าถึง ดังนั้น พิธีกรรมจึงยังคงมีสืบสานเพื่อเป็น “สื่อกลาง” ในการเจริญซึ่งปัญญาตามลำดับขั้นตอนของผู้คน

เปรียบเทียบโดยง่าย ว่า เรายังจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ ระบบ Line, Facebook ในการติดต่อสื่อสารกัน แต่ในระหว่างที่ใช้นั้น เรากลับมิได้ตระหนักว่า ต้องมีสื่อกลางสำคัญ คือ ระบบ wifi และตัวส่งสัญญาณ หากระบบดาวเทียมล่ม เสาสัญญาณล่ม หรือ โทรศัพท์ก็ใช้งานไม่ได้ แต่คลื่นเหล่านั้นยังมีอยู่

พิธีกรรมกับเทวะก็เช่นกัน สำหรับผู้เจริญฌานจนจิตละเอียด ย่อมสัมผัสติดต่อกับคลื่นพลังงานต่างๆได้ โดยไม่จำต้องใช้เครื่องมือใดๆ แม้แต่จะติดต่อกับคนที่ห่างไกลด้วยโทรจิตก็ยังได้ ง่าย และเร็วกว่าโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตเสียอีก

-----------------------

ถาม : “พระศิวะเป็นใคร เกี่ยวข้องอย่างไรในพุทธศาสนา?”

ตอบ : ศิวะ (Shiva) เป็นชื่อตำแหน่ง จักรวาลนี้มีผู้เวียนมาดำรงตำแหน่งศิวะแล้วนับไม่ถ้วน องค์ปัจจุบันมีพระนามว่า “รุทร” (Rudra) ทรงเป็นมหาโพธิสัตว์ คือ เป็นพระอนาคามี ผู้พร้อมจะสำเร็จอรหันต์เข้านิพพานได้ทุกเวลา หากแต่ทรงประวิงไว้เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือสรรพสัตว์ ให้พ้นทุกข์ พ้นบ่วงมาร บ่วงวัฏสงสารให้มากที่สุด เท่าที่ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของท่านจะสิ้นสุดลง ท่านจึงเข้านิพพาน แล้วมหาเทวะองค์ใหม่ก็จะมารับหน้าที่ศิวะองค์ต่อไปในยุคหน้า

พระองค์ทรงช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ทั่วจักรวาล ไม่เฉพาะบนดาวเคราะห์ดวงนี้ จึงไม่เลือกปฏิบัติว่าช่วยเฉพาะชาวฮินดูเท่านั้น คนทุกศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ท่านดูแลช่วยเหลือหมด ทรงอุปัฏฐากอุทิศช่วยเหลือหมด ทั้งพระพุทธเจ้า พระนบีมูฮัมหมัด พระเยซู กระทั่ง พระสงฆ์ บาทหลวง โต๊ะอิหม่าม และศาสนิกชนทุกศาสนา หรือ แม้แต่คนไม่นับถือศาสนาใดๆ ท่านก็ช่วยเหลือดูแล เฉกเช่น แสงตะวัน แสงจันทร์ ที่ไม่เคยเลือกปฏิบัติ และไม่เคยเรียกร้องการตอบแทนคืนกลับ

การช่วยเหลือของท่านบ่อยครั้งมักเป็นทางแรง เช่น เผชิญโรคภัยไข้เจ็บ ความผิดหวัง ความทุกข์ยาก วิกฤตชีวิต เคยเกิดมาร่ำรวย ต่อมายากจน เคยสำเร็จในธุรกิจการงานตำแหน่ง ต่อมาล้มครืนแทบล้มทั้งยืน จนเราเห็นสัจธรรมชีวิต ปลง ปล่อยวาง หันหน้า เปิดใจได้ยินเสียงธรรมในใจ (ไม่ใช่จากซีดีหลวงพ่อ)

หนึ่งในพระนามท่าน คือ “ตาณฑวะ” แปลว่า “ผู้ทำลาย” หรือ “ความเปลี่ยนแปลง” หมายถึง สรรพสิ่งล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นมายา หากปราศจากทุกข์ ผู้คนย่อมยากจะเห็นธรรม ปราศจากมาร บารมีย่อมไม่เกิด มนุษย์มีหน้าที่สำคัญ คือ บำเพ็ญสั่งสมบารมี มิใช่เวียนเกิดตายเพื่อเสพสุขสำราญ อันประมาทหลงกับวัฏสงสาร

ดังนั้น จึงเตือนไว้เสมอว่า อย่าได้โอดครวญกับชีวิตที่ทุกข์ยากลำบากนัก เพียรเจริญปัญญามองให้ออกเสียซึ่ง “พรจำแลง” อันเป็นมายาแห่งมหาเทวะ จึงจะถึงซึ่งปัญญาอันก้าวข้ามในที่สุด

------------------------

ถาม : “พิธีอารตีในคืนศิวราตรี คือ อะไร ?”

ตอบ : คำว่าอารตี มาจากภาษาสันสกฤตว่า “อารติกยมฺ” หรือ “นีราชนมฺ” แปลว่า "การเวียนประทีป" อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของนักบวชโบราณ โดยใช้ไฟเป็นสื่อสำคัญ

ไฟ คือ พลังงานแรกที่มนุษย์รู้จักในฐานะผู้มีพระคุณ ทั้งให้แสงสว่าง ความอบอุ่น ปรุงอาหาร

ไฟ คือ พลังธาตุที่บริสุทธิ์ในการชำระล้างสิ่งไม่ดี สิ่งอัปมงคล เป็นสัญลักษณ์ของการชำระสะสางของเก่า เพื่อนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา

การถวายไฟอารตีในคืนศิวราตรี มีความหมายที่ลึกลงไปอีก คือ การพิจารณาเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ดั่งเถ้าถ่านกองกูณฑ์ ซึ่งไม่ว่าจะได้สิ่งใดมาครอบครองมากมายเพียงใด ล้วนสูญสลายในที่สุด เพื่อการคืนกลับมาเริ่มต้นใหม่ อันเป็นเทวานุภาพแห่งมหาศิวะ

การพิจารณาธรรมในการถวายไฟอารตี คือ การหวนพิจารณาแสงสว่างแห่งปัญญาที่อยู่ภายในตน เพื่อปลุกให้ลุกโชนขึ้นมา เผากิเลส ชำระจิตวิญญาณตน ละ เลิก ความผิดพลาดที่เคยหลงทางมาเนิ่นนาน และให้โอกาสตนเองได้เริ่มต้นใหม่อย่างโชติช่วงชัชวาลย์

ศิวาราตรีปีนี้ ตรงกับวันศุกร์ที่ 21 ก.พ. 63 ผมได้รับเชิญจากผู้จัดงาน Hua Hin Yoga Fest 2020 ให้เป็นผู้นำพิธีอารตีและร่วมบรรเลงบทเพลงคีรตัน (Kirtan : บทเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า) ณ ชายหาดหัวหินซอย 75 - 75/1 โดยพิธีจะเริ่มในช่วงเวลา 18:00 น. เป็นต้นไป

ในโอกาสนี้ ผมมีความตั้งใจจะนำพาผู้เข้าร่วมพิธีเจริญเมตตาภาวนา เพื่ออุทิศบุญกุศลแก่ผู้วายชนม์ในเหตุการณ์ความรุนแรงและความสูญเสียต่างๆในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตลอดจน ร่วมกันอธิษฐานจิตคลี่่คลายวิกฤตโรคร้ายต่างๆที่โลกกำลังเผชิญอยู่

ผู้ใดสะดวกสามารถเดินทางมาเข้าร่วมพิธีได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด หรือ หากไม่สะดวกกับการเดินทาง ก็สามารถสำรวมกายใจอยู่ในศีลอันบริสุทธิ์ ตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลในช่วงเวลาเดียวกันได้ ณ ทุกที่ ทุกสถาน

ขอบคุณครับ

สาธุ

.พุทธบูชาธรรมบูชาสังฆบูชานะโมพุทธายะ โพธิสัตว์พละโอม คุรุบูชา มหาวันทามิน้อมกุศลจิต ถวายคุรุอาจาริยะบูชาแต่ปางบรรพ์ขอแสง...
16/01/2020

.พุทธบูชา

ธรรมบูชา

สังฆบูชา

นะโมพุทธายะ โพธิสัตว์พละ

โอม คุรุบูชา มหาวันทามิ

น้อมกุศลจิต ถวายคุรุอาจาริยะบูชาแต่ปางบรรพ์

ขอแสงแห่งรักและปัญญาโปรดนำทาง

สวัสดีวันครู

พฤหัส ๑๖ ม.ค. ๖๓

ที่อยู่

Bangkok
10100

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ A cup of nowผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram