สติสร้างปาฏิหาริย์ (Miracle of Conscious, Miracle of Life)

สติสร้างปาฏิหาริย์ (Miracle of Conscious, Miracle of Life) We inform and instruct how to practice and live life with full conscious. It's how and what we are.

ตลอดระยะเวลา 20 ปี ในการสอนสติและสมาธิของอาจารย์กฤติยา ประกอบกับความสามารถพิเศษที่มีมาแต่กำเนิด ทำให้สามารถคิดค้นวิธีการฝึกพัฒนาทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ แนวทางและวิธีการฝึกที่อาจารย์คิดค้นขึ้น ได้ส่งผลให้ลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องกับอาจารย์ สามารถพัฒนาทั้งสุขภาพและสติปัญญาของตนเอง จนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน อาจารย์ได้มีการปรับปรุงวิธีการฝึกให้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลการฝึกฝนและผลทางด้านพัฒนาการของลูกศิษย์กลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องหลายปี จนปัจจุบัน..ลูกศิษย์กลุ่มนี้ ก็ยังคงฝึกฝนและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องกับอาจารย์ จึงเป็นเสมือนหลักฐานทางบุคคล ที่พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ของแนวทางและวิธีการฝึกนี้

อาจารย์จะจัดการสอน สติและสมาธิ ทางออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เริ่มในเดือนมกราคม 2023

ติดต่อสอบถาม หรือรับรู้ข้อมูลได้ที่เฟสบุกส์ สติ สร้างปาฏิหาริย์ นี้เท่านั้น

⭐️เชิญอ่าน และ ดาวน์โหลด หนังสือ สติ สร้างปาฏิหาริย์ ฟรี!!!⭐️หนังสือสติสร้างปาฏิหาริย์ เป็นลิขสิทธิ์ของ อาจารย์กฤติยา อั...
23/12/2023

⭐️เชิญอ่าน และ ดาวน์โหลด หนังสือ สติ สร้างปาฏิหาริย์ ฟรี!!!⭐️

หนังสือสติสร้างปาฏิหาริย์ เป็นลิขสิทธิ์ของ อาจารย์กฤติยา อัศวเรืองชัย แต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาติให้มีการจัดจำหน่ายในทุกรูปแบบ หรือดัดแปลงเนื้อหาภายในหนังสือ

สามารถเปิดอ่านด้วย browser​ จะเป็​น Google Chrome, Microsoft Edge หรือ​ ​Firefox โดยการ.​copy link ข้างล่างนี้.​ไปเปิดบน​ browser จะปรากฏหน้าต่างสำหรับอ่าน​ หรือจะ​ดาวน์โหลดเป็น​ PDF เก็บไว้อ่านได้เลยค่ะ​
https://shorturl.asia/LeoJN

หมายเหตุ - ข้อมูลการฝึกสติและสมาธิท้ายเล่มไม่อัปเดทแล้ว

ตอนที่ 9แก้ไขอาการ “จมหัว” ด้วยการฝึกสติและสมาธิแบบตรงประเด็น เป็นอย่างไร และการฝึกตรงประเด็นช่วยอะไร...หากพวกเราได้อ่าน...
28/11/2023

ตอนที่ 9
แก้ไขอาการ “จมหัว” ด้วยการฝึกสติและสมาธิแบบตรงประเด็น เป็นอย่างไร และการฝึกตรงประเด็นช่วยอะไร...

หากพวกเราได้อ่านสองสามตอนที่ผ่านมา คงจะพอเข้าใจแล้วว่า “การจมหัว” เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก และก็ดูเหมือนว่าพวกเรายังหาวิธีแก้ไขยังไม่ค่อยตรงทาง เช่น หากเราติดกับแรงเหนี่ยวนำในหัวตัวเองด้วยการคิดจนเครียด ถ้าเราไปหาหมอก็จะได้ยาคลายเครียด หรือหากเครียดจนนอนไม่หลับ หมอก็จะให้ยาที่ช่วยให้หลับ หรือหากเรามีอาการป่วยที่เกิดจากความเครียด เช่นโรคภูมิแพ้ต่างๆ หมอก็จะให้ยารักษาตามอาการ แต่ทั้งหมดไม่ได้ช่วยแก้ไขการจมหัวซึ่งเป็นต้นเหตุ จึงเป็นการแก้ไขที่ไม่ตรงประเด็นค่ะ...วันนี้ อาจารย์จะลงในรายละเอียดว่า การฝึกสติและสมาธิในแบบที่ตรงประเด็น ช่วยแก้ไขปัญหา “การจมหัว” แบบตรงประเด็นอย่างไร และเพราะเหตุใดถึงช่วยได้ และผลที่ได้คืออะไร...ตามมาอ่านกันค่ะ

การจมหัว..เป็นเรื่องผิดปกติ ซึ่งพวกเราไม่ควรเป็น.. แล้วเราควรเป็นเช่นไร แบบไหน ให้ย้อนกลับไปดูเมื่อเราเป็นเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่งก็คือตอนเป็นเบบี้ค่ะ... นั่นแหละเป็นลักษณะธรรมชาติแต่กำเนิดที่เราควรเป็น ซึ่งก็คือ สำนึกรู้ของเรามีประสิทธิภาพเต็มที่อยู่ที่สัมผัสทั้งห้า ซึ่งเราเกิดมาเป็นเช่นนั้น เมื่อเราเป็นเบบี้ เราจึงชอบมอง ฟัง และจำเก่ง รวมทั้งยังสามารถนำความจำมาใช้ได้เสมอๆ ด้วยเหตุนี้ เบบี้ทุกคนจึงชอบมองและทำตามพ่อแม่ หัดพูด หัดเดิน และวิ่งได้ด้วยตนเองจากการมอง จำได้และทำตาม เบบี้ชอบเรียนรู้และสนุกกับการเรียนรู้ เพราะมันเป็นลักษณะที่แท้จริงของจิตเราซึ่งเก่งมาก การเรียนรู้จึงเป็นนิสัยตามธรรมชาติของจิตมนุษย์ เรียกได้ว่าเป็น นิสัยอัจฉริยะ ซึ่งพวกเราเป็นโดยกำเนิดกันทุกคนค่ะ

แต่ปัญหาคือ... เมื่อพวกเราเริ่มคิดเป็นภาษาในหัว ความคิดซึ่งเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง เมื่อวิ่งวนในหัวแคบ ๆ ย่อมสร้างแรงเหนี่ยวนำจากการวิ่งวน จึงดูดสำนึกรู้ให้ติดอยู่ในหัว ยิ่งนานก็ยิ่งติดเหนียวแน่น จนเป็นอาการ “จมหัว” ซี่งหากไม่รู้วิธีแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การมองลดลงเพราะเข้าไปจมอยู่ในหัวเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่ชอบเรียนรู้ ความจำไม่ดี อารมณ์แปรปรวนง่าย นอนไม่หลับ และสุขภาพเสียหาย ยิ่งเวลาผ่านไป อายุมากขึ้นก็ยิ่งแย่ เพราะอาการจมหัวหนักขึ้นตามระยะเวลา คิดวนจนเริ่มคิดเองเออเอง ขี้บ่น คิดวนพูดวนเรื่องเดิมๆ ความจำเสื่อมหนักขึ้น ร่างกายพังสะสมเพิ่มขึ้นจนป่วยง่ายและแก่เร็ว ความแย่ความพังต่างๆทั้งแพ็คเกจจะเกิดขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ดังที่อาจารย์อธิบายไว้ในตอนก่อนหน้าค่ะ

วิธีแก้ไข คือ... ย้ายสำนึกรู้ออกจากการจมหัวคิด มาใช้อยู่ที่สัมผัสห้าเหมือนเมื่อเป็นเบบี้ ซึ่งก็คือ การ “ฝึกสติ” ด้วยการย้ายสำนึกรู้มาอยู่ที่ตาและหู ให้มากกก...การฝึกสติหรือใช้สำนึกรู้ให้ชัดเจนอยู่ที่ตา คือ การมองให้เห็นแบบจำได้ โดยใส่การสังเกตหรือใส่ใจเข้าไปในการมอง เมื่อไรมองแล้วจำภาพได้ หูก็จะได้ยินชัดเองค่ะ พวกเราสามารถทดสอบตัวเองได้ว่า มองเห็นแบบจำได้หรือยัง เพียงแค่นึกภาพที่เห็นว่านึกออกหรือไม่ ถ้านึกภาพไม่ออก หรือนึกแล้วหันไปดูอีกรอบ ปรากฏว่าภาพที่นึกไม่เหมือนจริง ก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องมองใหม่แบบใส่ใจเพิ่มขึ้นอีกนิดค่ะ ย้ำนะคะ...ต้องย้ายสำนึกรู้ออกมาจากหัว ด้วยการใช้สำนึกรู้ออกมามองแบบใส่ใจ เพราะหากไม่ตั้งใจใช้สำนึกรู้ เขาก็จะจมอยู่ในหัวอย่างเดิมค่ะ... อ้าว แล้วที่มองด้วยตาเห็นอยู่ทุกวันนี้คืออะไร.. คือ การมองแบบเรื่อยๆ โดยสำนึกรู้บางส่วนยังจมอยู่ภายในหัว แม้ว่าตาเปิดมองอยู่ แต่เก็บภาพเป็นความจำไม่ได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดว่าจมหัว เช่น การเหม่อ ตาเปิดอยู่แต่มองไม่เห็น เพราะสำนึกรู้แทบไม่ได้เกาะอยู่ที่ตา ส่วนใหญ่เข้าไปจมในหัวคิดเต็มๆนั่นเอง

หากถามอาจารย์ว่า ต้องฝึกเวลาใดและบ่อยแค่ไหน อาจารย์ขออธิบายว่า.. ร่างกายเราจะบันทึกทุกอย่างที่เราทำ เก็บเป็นความจำ นำมาใช้ และกลายเป็นนิสัย อันไหนเราทำมาก ร่างกายเราจะมีนิสัยอันนั้นมาก โดยไม่จำเป็นต้องพยายามฝึก เพียงแค่ทำมากก็เก่งเรื่องนั้นมาก ดังนั้น หากยังจมหัวอยู่มาก ย่อมมีนิสัยชำนาญการจมหัวมาก หากฝึกสติด้วยการมองมากกว่า ก็จะมีนิสัยการฝึกสติชำนาญมากกว่า ..หากเราฝึกย้ายสำนึกรู้ออกมาใช้ที่ตา เพียงวันละสามรอบ รอบละสิบนาที สามรอบก็สามสิบนาที ส่วนเวลาอื่นที่ตื่นอยู่ประมาณเกินสิบชั่วโมงยังจมหัวอยู่ เท่ากับฝึกสติสามสิบนาที แต่ฝึกจมหัวนานกว่าสิบชั่วโมง ย่อมชำนาญจมหัวแน่นอนค่ะ..อันนี้ก็แล้วแต่จะเลือกค่ะ

การฝึกสติด้วยการมองและฟังนี้ สามารถทำได้ตลอดเวลาที่เปิดตา ตั้งแต่ตื่นนอนยันเวลาหลับ เป็นการย้ายสำนึกรู้ออกมาจากการจมอยู่ในหัว ดึงออกมาใช้อยู่ที่สัมผัสห้าโดยเน้นที่การมอง เป็นการคืนนิสัยของตัวเองให้กลับไปเป็นเหมือนตอนแรกเกิดเป็นเบบี้เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษค่ะ ...การฝึกสติเช่นนี้ เป็นชั้นตอนแรกของการเป็นมนุษย์ “โหมดจิต” และเลิกเป็นมนุษย์ “โหมดคิด หรือ โหมดจมหัว” เพียงแค่ฝึกตามที่อาจารย์แนะนำ สัปดาห์เดียวก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น... ไม่เพียงเท่านั้น การฝึกสติด้วยการมอง นอกจากจะช่วยทำให้นิสัยที่แท้จริงของจิตตัวเองกลับมาแล้ว ยังช่วยให้การฝึกสมาธิในขั้นต่อไป..ซึ่งจะให้ประโยชน์มหาศาล เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกิน ซึ่งอาจารย์จะอธิบายให้เข้าใจโดยละเอียดในตอนต่อๆไปค่ะ
..อย่าลืมติดตามเพจ สติ สร้างปาฏิหาริย์ เพื่ออ่านความรู้ดีๆ ที่อาจารย์นำมาถ่ายทอด และรับข้อมูลข่าวสารเรื่องการเปิดรับสมัครเข้ากลุ่มเรียนออนไลน์ฟรีกับอาจารย์ในรอบไตรมาสหน้านะคะ..สนใจอ่านตอนอื่นๆ คลิกที่ลิงค์เลยค่ะ https://www.facebook.com/photo?fbid=720998700074487&set=a.568267415347617

ตอนที่ 8การจมหัว...เลวร้ายได้แค่ไหน!!!ในสองตอนที่ผ่านมา อาจารย์ได้อธิบายลักษณะธรรมชาติและการทำงานของ “จิต” ไว้ค่อนข้างชั...
23/10/2023

ตอนที่ 8
การจมหัว...เลวร้ายได้แค่ไหน!!!

ในสองตอนที่ผ่านมา อาจารย์ได้อธิบายลักษณะธรรมชาติและการทำงานของ “จิต” ไว้ค่อนข้างชัดเจน หากพวกเราได้อ่านตอนที่ 6 และ 7 จะเข้าใจได้ว่า สภาวะแรงเหนี่ยวนำของกาแลกซี่ ที่อาจารย์เรียกว่า กฎ Almighty แม้จะดูเป็นสภาวะธรรมชาติธรรมดาๆ แต่หากเราได้ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง เราจะรู้ว่ากฎธรรมชาติธรรมดานี้แหละ สามารถตอบโจทย์หรืออธิบายความไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตได้ค่อนข้างชัดเจน เช่น สามารถตอบโจทย์ความกังขาเรื่องภพชาติ อธิบายเรื่องบุญและกรรม อธิบายที่มาและลักษณะของวิวัฒนาการได้ และไม่เว้นแม้แต่การวิวัฒน์ทางด้านวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ทุกๆเรื่อง ทั้งหมดทั้งมวลต้องอิงอาศัยสภาวะธรรมชาตินี้ทั้งสิ้นค่ะ ..ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมันเป็นสภาวะทั้งหมดที่มีอยู่และเป็นอยู่ในธรรมชาติตั้งแต่ต้นกำเนิดของทั้งสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต จนถึงปัจจุบัน มันจึงเป็นทั้งที่มาและที่ไป เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกสรรพสิ่ง พูดง่ายๆก็คือ มันคือทั้งหมดที่มีและเป็นอยู่ หรือ It’s all there is. ในภาษาอังกฤษนั่นเอง

เราจะมาดูกันว่า สภาวะกฎธรรมชาตินี้ ส่งผลให้เราเกิดอาการที่อาจารย์เรียกว่า “จมหัว” ได้อย่างไร เลวร้ายได้แค่ไหน และในที่สุดมันเกี่ยวกับการฝึกสติสมาธิอย่างไร .....อาจารย์จะลำดับให้เห็นผลเสียที่เกิดขึ้นก่อนนะคะ

อย่างแรก...เมื่อ “สำนึกรู้” เข้าไปคิดวิ่งวนในหัว การวิ่งวนทำให้เกิดแรงเหนี่ยวนำ ดึงดูดสำนึกรู้ให้ติดอยู่ในหัวตัวเอง เราจึงมักจมหัวและหยุดคิดไม่ได้ ออกมาจากหัวก็ไม่เป็น ถ้าคิดท้อแท้มากๆ ก็เป็นซึมเศร้า...คิดเรื่องโกรธมากๆ ก็กลายเป็นเคียดแค้น...คิดเรื่องปัญหาต่างๆ ก็เกิดความกังวลและเครียด ยิ่งอายุมากก็ยิ่งคิดมากคิดวนในหัว จึงมักพูดวนหรือบ่นเรื่องเดิมซ้ำๆ... การเกิดอารมณ์และความเครียดต่อเนื่องนานๆ บ่อยครั้งทำให้เราตัดสินใจผิดหรือพลาดในลักษณะต่างๆ ซึ่งสร้างปัญหาให้กับตนเอง

อย่างที่สอง...การจมหัวคิดอย่างต่อเนื่อง จะถูกร่างกายบันทึกเป็นนิสัยใหม่ แทนนิสัยการรับรู้ผ่านสัมผัสทั้งห้า นิสัยการมอง สังเกต จดจำ และเรียนรู้ ซึ่งเป็นธรรมชาติแต่กำเนิดของเราจะลดลง ผลที่ตามมาคือ.. ขี้ลืม เรียนรู้ช้า เข้าใจช้า.. การมองลดลงทำให้ไม่ชอบอ่าน เมื่อบวกกับนิสัยคิดวนอยู่ในหัวแบบหยุดไม่เป็น ทำให้หงุดหงิดง่ายและสมาธิสั้น ปัญหาเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา ตราบที่ยังมีอาการจมหัวอยู่

อย่างที่สาม...เป็นปัญหาสุขภาพ ..สำนึกรู้ที่เข้าไปคิดและวิ่งเป็นวงจรในหัวตลอดเวลา จะเหนี่ยวนำปราณภายในตัวเราให้วิ่งเร็วขึ้นด้วย และเนื่องจากปราณควบคุมการเต้นของหัวใจ หัวใจจึงเต้นเร็วขึ้น ร่างกายจึงเครียดจากทั้งอารมณ์ที่เกิดจากการคิด บวกกับอัตราการเต้นหัวใจที่สูงขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ร่างกายจะบันทึกสภาวะเครียดและปัญหาหัวใจเต้นเร็วเป็นนิสัย ส่งผลเสียต่อเนื่องและยากที่จะแก้ไข ...นอกจากนี้ การจมหัวคิดทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท เมื่อนอนไม่ดี ร่างกายจะไม่สามารถซ่อมแซมตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมาคือ ร่างกายเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ภูมิต้านทานลดลง ป่วยง่าย แก่เร็วกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนการป่วยที่เกิดจากร่างกายเครียดสะสมที่น่ากลัวที่สุด คือ มะเร็งค่ะ

จะเห็นว่า ปัญหาที่เกิดจากการ “จมหัว” ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นต้นเหตุที่สำคัญส่วนหนึ่ง ของการเกิดอารมณ์ ความเครียด และการเสื่อมโทรมจนป่วยของร่างกายของเรา ...นี่เรายังไม่ได้พูดถึงพฤติกรรมการกินผิด และใช้ชีวิตผิดนะคะ.. แล้วเราจะแก้ไขปัญหาการจมหัวได้ไหม..ได้ค่ะ ด้วยวิธีการฝึกสติและสมาธิ ที่ตรงประเด็นค่ะ.... ตรงประเด็นอย่างไร อาจารย์จะอธิบายในตอนหน้าค่ะ
..อย่าลืมติดตามเพจ สติ สร้างปาฏิหาริย์ เพื่ออ่านความรู้ดีๆ ที่อาจารย์นำมาถ่ายทอด และรับข้อมูลข่าวสารเรื่องการเปิดรับสมัครเข้ากลุ่มเรียนฟรีกับอาจารย์ในรอบไตรมาสหน้า นะคะ..สนใจอ่านตอนอื่นๆ คลิกที่ลิงค์เลยค่ะ https://www.facebook.com/photo?fbid=720998700074487&set=a.568267415347617

ตอนที่ 7การจมหัวคิด....เกิดจากอะไร ส่งผลเสียได้ขนาดไหน อาจารย์ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะธรรมชาติ “จิต” ไว้ค่อนข้...
02/10/2023

ตอนที่ 7
การจมหัวคิด....เกิดจากอะไร ส่งผลเสียได้ขนาดไหน

อาจารย์ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะธรรมชาติ “จิต” ไว้ค่อนข้างชัดเจนในตอนที่ผ่านมา ในตอนนี้ อาจารย์จะอธิบายลักษณะธรรมชาติการดำรงอยู่ของจิตในร่างกายของเราให้ละเอียดขึ้นค่ะ

จิตของเราเมื่อมาเกิดในท้องแม่ มีการสร้างร่างกายจากจุดเริ่มต้นที่ยีน Hox ที่มีอยู่เจ็ดตัว สร้างร่างกายด้วยการสร้างและก๊อปปี้เซลล์ จิตสร้างเซลล์ต่อเซลล์เชื่อมต่อกันทั้งร่างกายจากยีนทั้งเจ็ดนี้ที่แกนกลางของร่างกาย จิตของเราในส่วนนี้ ศาสตร์โบราณเรียกว่า “ปราณ” และตำแหน่งยีนทั้งเจ็ดเรียกว่า ฐานจักระ แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีชื่อเรียกจิตในส่วนนี้ อาจารย์ก็จะเรียกตามศาสตร์โบราณว่า ปราณ และฐานจักระ เช่นกันค่ะ

ปราณของเราจะวิ่งวนเช่นเดียวกับกลไกธรรมชาติทั้งหมด การวิ่งวนสร้างแรงสั่นสะเทือนทำให้เกิดอุณหภูมิแตกต่างจากอากาศรอบตัว แรงเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้นจากการวิ่งเป็นวงจรวงกลม จะควบคุมให้หัวใจของเราเต้นตามจังหวะของการวิ่งวนของปราณ แรงเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้น จะควบคุมของเหลวต่างๆให้อยู่ภายในร่างกาย หากเมื่อใดปราณทิ้งร่างกายนี้ จะไม่มีกระแสปราณเหนี่ยวนำสั่งงาน หัวใจจะหยุดเต้น เลือดและของเหลวต่างๆหยุดไหลเวียน และจะเริ่มไหลออกทางทวารต่างๆของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการอุดทวารคนที่เสียชีวิตแล้วนั่นเอง

เราพูดถึงส่วนแรกของจิตที่เรียกว่าปราณพอสังเขปแล้ว คราวนี้มาทำความเข้าใจส่วนที่สองของจิต ซึ่งเป็นส่วนที่จิตหรือปราณของเราส่งออกมาทำงานผ่านสัมผัสทั้งห้า เนื่องจากยังไม่มีการเรียกส่วนนี้ เพราะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก อาจารย์จะเรียกจิตส่วนที่ถูกส่งออกมานี้ว่า “สำนึกรู้” ซึ่งก็จะคล้ายๆ กับคำว่า Conscious ในภาษาอังกฤษ ...สำนึกรู้ ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆภายนอก สำหรับระวังภัยและดำรงอยู่ สัมผัสทั้งห้าคือ การมองเห็นด้วยตา การได้ยินด้วยหู การได้กลิ่นด้วยจมูก การรู้รสด้วยลิ้น และการรับรู้สัมผัสทั้งร่างกาย แต่เนื่องจากจิตของเราเป็นแรงเหนี่ยวนำ ทุกครั้งที่เรารับรู้ เราจะดึงดูดทุกอย่างที่รับรู้ เข้าไปเก็บเป็นข้อมูลภายในจิตส่วนกลาง เรียกว่าความจำ ที่กลายเป็นความรู้ และทักษะ เด็กเล็กๆ แสดงธรรมชาติของจิตชัดเจนมาก ชอบมอง ชอบฟัง อยากรู้อยากเห็นไปหมด ธรรมชาติของจิตคือการบันทึก เด็กเล็กๆจึงสนุกและมีความสุขกับการเรียนรู้ นอกจากนี้ แรงดึงดูด ก็คือ ความรัก มนุษย์และสัตว์ จึงต้องการความรัก ความใกล้ชิดและสัมผัส แม้แต่การรวมตัวกันของกลุ่มคน ทำให้มีความรู้สึกดีและมั่นคง ทั้งหมดก็เพราะจิตมีสภาวะเป็นแรงเหนี่ยวนำและดึงดูดนั่นเอง

ส่วนของสำนึกรู้นี่แหละ ที่เกิดปัญหา..จากการใช้สำนึกรู้ผิดที่ผิดทาง.. แทนที่จะใช้เต็มที่กับการรับรู้ เรียนรู้ ด้วยสัมผัสทั้งห้าเหมือนสมัยที่พวกเราเด็กๆ พวกเรากลับย้ายสำนึกรู้เข้าไปคิดในหัวมากเกินความจำเป็น กระแสของสำนึกรู้ที่คิดในหัว ย่อมวิ่งเป็นวงจรวงกลม จึงสร้างแรงเหนี่ยวนำในหัว ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนี่ยวนำดึงดูดหนาแน่น มารู้ตัวอีกที สำนึกรู้ติดอยู่ในหัวแล้ว หยุดไม่ได้ ออกมาก็ไม่เป็น..เมื่อไปติดอยู่ในหัว จึงไม่ค่อยอยู่ที่สัมผัสห้า ปัญหาที่ตามมาคือ ศักยภาพการเรียนรู้และจดจำลดลงเป็นลำดับ การเชื่อมต่อกับความรู้ที่เคยบันทึกไว้เอง แทนที่จะไหลลื่นเป็นเลิศเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ก็กลายเป็นกระท่อนกระแท่น ความสุขสนุกจากการเรียนรู้ก็หายไปด้วย อาจารย์เรียกปัญหานี้ว่า...การจมหัว ค่ะ

คงไม่ต้องบอกหรืออธิบายว่า การคิดมากมาย ที่อาจารย์เรียกว่า “จมหัว” จนออกจากหัวไม่ได้ มันทรมานขนาดไหน อาจารย์เชื่อว่า พวกเราทุกคนมีปัญหานี้ มีทั้ง โกรธ เครียด กังวล เหงา น้อยใจ เสียใจ ไปถึงนอนไม่หลับ ซึ่งส่งผลเสียกับสุขภาพโดยตรงทั้งหมด...ส่งผลเสียอย่างไร และจะแก้ปัญหาการจมหัวนี้ได้หรือไม่ ติดตามอ่านตอนต่อๆไปนะคะ
..อย่าลืมติดตามเพจ สติ สร้างปาฏิหาริย์ เพื่ออ่านความรู้ดีๆ ที่อาจารย์นำมาถ่ายทอด และรับข้อมูลข่าวสารเรื่องการเปิดรับสมัครเข้ากลุ่มเรียนฟรีกับอาจารย์ในรอบไตรมาสหน้า นะคะ..สนใจอ่านตอนอื่นๆ คลิกที่ลิงค์เลยค่ะ https://www.facebook.com/photo?fbid=720998700074487&set=a.568267415347617

นอกจากเนื้อหาในหนังสือ สติ สร้างปาฎิหาริย์ ซึ่งอาจารย์เขียนในเชิงบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับที่มาของความรู้เรื่องธรรมชาติ...
27/09/2023

นอกจากเนื้อหาในหนังสือ สติ สร้างปาฎิหาริย์ ซึ่งอาจารย์เขียนในเชิงบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับที่มาของความรู้เรื่องธรรมชาติของจิต ซึ่งเพื่อนๆ สามารถดาวน์โหลดได้จากหน้าเพจนี้ อาจารย์ยังได้เขียนเนื้อหาเป็นตอนๆ ที่ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับชีวิต และจิต ในแบบที่อ่านและทำความเข้าใจง่าย คำอธิบายเป็นแนวธรรมชาติ อิงวิทยาศาสตร์ ไม่มีความเป็นศาสนา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับชีวิตของพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกพัฒนาสติและสมาธิ ทั้งหมดมี 6 ตอน คลิกลิงค์ข้างล่างนี้ จะพาไปอ่านแต่ละตอนแบบสะดวกๆ ค่ะ 🤓

ความรู้เกี่ยวกับชีวิต และความสำคัญของการฝึกสติและสมาธิ....
ตอนที่ 1 การฝึกสติและสมาธิ คือ อะไร ฝึกแล้วได้อะไร https://www.facebook.com/photo?fbid=657884836385874&set=a.568267415347617
ตอนที่ 2 “จิต” คือ ตัวตนที่แท้จริงของเรา
https://www.facebook.com/photo?fbid=663766902464334&set=a.568267415347617
ตอนที่ 3 ความมหัศจรรย์ของกฎธรรมชาติ และ “จิต” ของเรา https://www.facebook.com/photo?fbid=699978595509831&set=a.568267415347617
ตอนที่ 4 การเดินทางและทำงานของ “จิต” ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา.... https://www.facebook.com/photo?fbid=707425771431780&set=a.568267415347617
ตอนที่ 5 ลักษณะและสภาวะของ “จิต” ที่สร้างเรา และเป็นเรา https://www.facebook.com/photo?fbid=712468904260800&set=a.568267415347617
ตอนที่ 6 มันเป็นเรื่องจริง...ที่การพัฒนา “จิต” คือการพัฒนาปัญญาและศักยภาพสูงสุดของมนุษย์
https://www.facebook.com/photo/?fbid=716292497211774&set=a.568267415347617
ตอนที่ 7 การจมหัวคิด...เกิดจากอะไร ส่งผลเสียได้ขนาดไหน
https://www.facebook.com/photo/?fbid=724157306425293&set=a.568267415347617
ตอนที่ 8 การจมหัว...เลวร้ายได้แค่ไหน!!!
https://www.facebook.com/photo/?fbid=738309298343427&set=a.568267415347617
ตอนที่ 9 แก้ไขอาการ “จมหัว” ด้วยการฝึกสติและสมาธิแบบตรงประเด็น เป็นอย่างไร และการฝึกตรงประเด็นช่วยอะไร...
https://www.facebook.com/photo/?fbid=759868612854162&set=a.568267415347617

หมายเหตุ : ข้อมูลความรู้ทั้งหมด และแนวทางการฝึกพัฒนาสติสมาธิ รวมทั้งวิดีโอการสอนทั้งหมด เป็นแนวทางและวิธีการฝึกที่คิดค้นและกำหนดขึ้นโดยอาจารย์กฤติยา อัศวเรืองชัย จึงเป็นลิขสิทธิ์ของ อาจารย์กฤติยา อัศวเรืองชัย แต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ต่อ ลอกเลียน หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ทางการค้า หรือ และอื่นๆ ทั้งสิ้น

ตอนที่ 6มันเป็นเรื่องจริง...ที่การพัฒนา “จิต” คือการพัฒนาปัญญาและศักยภาพสูงสุดของมนุษย์หากพวกเราได้ติดตามอ่านเนื้อหาตั้ง...
19/09/2023

ตอนที่ 6
มันเป็นเรื่องจริง...ที่การพัฒนา “จิต” คือการพัฒนาปัญญาและศักยภาพสูงสุดของมนุษย์

หากพวกเราได้ติดตามอ่านเนื้อหาตั้งแต่ตอนที่ 1 เชื่อว่าพวกเราหลายคนน่าจะสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่อาจารย์ได้อธิบายไว้ จนพอจะมองเห็นว่า การพัฒนา “จิต” เป็นการพัฒนาปัญญาและศักยภาพสูงสุดของมนุษย์จริงๆ แต่ถ้ายังไม่ค่อยเข้าใจ..ไม่เป็นไรค่ะ ตามมาอ่านคำอธิบายต่อไปนี้ได้เลยค่ะ

เนื้อหาที่ผ่านมา อาจารย์ได้อธิบายถึงลักษณะของ “จิต” ด้วยการอธิบายลักษณะของกฎธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานวิ่งเป็นวงกลมสร้างแรงเหนี่ยวนำอยู่เต็มพื้นที่ในกาแลกซี่ ส่งผลให้เราที่อาศัยอยู่ใจกลางกาแลกซี่ มีลักษณะธรรมชาติเดียวกัน เป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจ และเห็นที่มาของลักษณะธรรมชาติของ “จิต” ของเราว่าเกิดมาจากอะไร และมีลักษณะเช่นไร แน่นอนว่า หากพวกเราได้เรียนวิชาฟิสิกส์พื้นฐานมาจากโรงเรียน ก็จะเข้าใจสิ่งที่อาจารย์อธิบายได้ไม่ยากนัก ...ที่ผ่านมา อาจารย์ได้อธิบายที่มาของ “จิต” ...วันนี้ อาจารย์จะสรุปให้เห็นว่า ธรรมชาติของ “จิต” ของเรา ได้ส่งผลและสร้างเราให้มีลักษณะเช่นไร โดยจะลำดับเป็นข้อๆอย่างชัดเจนค่ะ

ข้อแรก จิตเราสร้างตัวตน สร้างทั้งนิสัยดีและไม่ดี โง่หรือฉลาด รวมทั้งทักษะและพรสวรรค์ ...เป็นเพราะจิตไม่อยู่นิ่ง แต่วิ่งเป็นวงจรวงกลมอยู่ในร่างกายตลอดเวลา จิตจึงสร้างแรงดึงดูดด้วยตัวของจิตเอง การดึงดูดภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยินเข้าไปเก็บในจิตเรียกว่าความจำ ส่วนการบันทึกการใช้งานร่างกายเรียกว่าทักษะ ที่สำคัญคือเราลบความจำไปจากจิตเราไม่ได้ จิตของเราจึงหอบความจำและทักษะทุกอย่างทุกประเภทที่บันทึกเองไปใช้เองทุกชาติ เราจึงเกิดมาพร้อมกับนิสัย ความโง่หรือฉลาด รวมทั้งพรสวรรค์ และถ้าเป็นความจำที่เกี่ยวกับความอยู่รอด เราจะเอาความจำที่ไม่อยู่รอดเก่ามาปรับตัว สร้างร่างกายใหม่ให้อยู่รอดได้ดีขึ้นในการเกิดครั้งถัดไป การเกิดใหม่ของเราจึงมีการปรับตัวไปกับสภาพแวดล้อม เรียกว่าวิวัฒนาการ

ข้อสอง จิตสร้างภพชาติ บุญ และกรรม...ทุกๆกระแสเจตนาต่อเนื่องไปถึงการกระทำที่เกิดจากจิตของเรา จะสร้างวงจรวงกลมใหม่เสมอ ซึ่งเมื่อได้เริ่มสร้างวงจรวงกลม หากยังไม่จบครบเป็นวงกลม ก็เป็นธรรมดาที่เราจะต้องจบให้ครบวงของเจตนานั้นๆ วงใดที่เราสร้างแล้วไม่จบในชาตินี้ ไม่ว่าจะกี่วง ถ้าดีเรียกว่าบุญ ถ้าเลวเรียกว่ากรรม จะรวม รวบ และลากให้เราไปเกิด เพื่อให้เราจบครบทุกวงที่เราสร้างหรือก่อเองในชาติหน้าและชาติต่อไปจนกว่าจะจบครบเป็นวงกลมทุกวงเจตนา ดังนั้น...เราเองนี่แหละ เป็นผู้สร้างบุญ สร้างกรรม ก่อภพก่อชาติ รวมทั้งวิวัฒนาการให้ตัวเอง

ข้อสาม เข้าเรื่องปัญหาค่ะ...“จิต” ในส่วนที่เราใช้คิด ซึ่งก็เป็นส่วนเดียวกันกับที่เราใช้รับรู้อยู่กับสัมผัสทั้ง5 ซึ่งอาจารย์เรียกว่า “สำนึกรู้” เนื่องจากการคิดในหัวก็มีลักษณะเป็นวงจรวงกลมเช่นกัน ความคิดจึงสร้างแรงเหนี่ยวนำหรือดึงดูดอยู่ในหัวขณะที่คิด เหมือนการสร้างแม่เหล็กดึงดูดจิตส่วนที่คิด ให้จมอยู่ในหัวคิดและคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งติดกับแรงแม่เหล็กดึงดูดอยู่ในหัวที่สร้างขึ้นเอง ผลที่ตามมาคือ ไม่เพียงคิดจนเครียด กังวล กลัว เหงา ซึมเศร้า และอื่นๆ ความสามารถในการใช้สัมผัสทั้ง5 ก็จะลดลงไปด้วย โดยเฉพาะการใช้ตามอง ซึ่งเป็นความสามารถในการเรียนรู้และจำ ที่สำคัญมากสำหรับชีวิต จะลดลงไปด้วย อายุยิ่งเพิ่มก็จะยิ่งจมหัว ยิ่งเรียนรู้ช้า และยิ่งขี้ลืม อย่างเลวร้ายก็คือเครียดจนป่วยหรือเสียชีวิต ส่วนการไม่ค่อยได้ใช้กล้ามเนื้อตา ยิ่งอายุมากขึ้นลูกตาจึงยิ่งเล็กลงและไม่แวววาว ซึ่งตรงข้ามกับเด็กเล็กที่ยังไม่จมหัวคิด “จิต” ของเด็กเล็กจะชอบออกมามอง ชอบฟัง จึงเรียนรู้เร็ว และจำเก่ง ตาจึงกลมโตสดใส และแวววาว

ปัญหาอื่นๆอีก... เนื่องจาก มนุษย์เรามีความสุขกับการได้ใช้สัมผัสทั้ง5 ตามธรรมชาติของจิต เหมือนเช่นเด็กเล็กๆ ที่มีความสุขได้ง่ายๆ เพราะจิตของเด็กเล็กยังอยู่กับสัมผัสทั้ง5 ตลอดเวลา และยังไม่จมหัวจึงยังไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ผู้ใหญ่มักจมหัวจนทุกข์ จึงเริ่มที่จะแสวงหาความสุขด้วยการจงใจใช้สัมผัส5 เพิ่มขึ้น เช่นการได้เห็นที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ดูหนัง ฟังเพลง กินอาหารอร่อย เป็นต้น แต่หากใครจมหัวหนักและทุกข์หนัก อาจเลยเถิดไปถึงการเสพติดเหล้า ยา เกม โซเชียล และอื่นๆ ซึ่งเป็นการลากจิตออกมาจากการจมหัวเพื่อคลายทุกข์เป็นระยะๆ พอหยุดเสพ จิตก็จะวนกลับเข้าไปในหัวทุกข์เหมือนเดิม ทำให้เกิดวงจรทุกข์ๆสุขๆ เป็นวังวน...บางคนก็จมหัวสลับกับการเสพติดให้เบลอจะได้ไม่ทุกข์ วนเวียนอยู่เช่นนั้น
..จะเห็นว่า การจมหัว หรืออยู่ในโหมดหัวคิดตลอดเวลา เป็นต้นเหตุของปัญหาข้างต้น จะป้องกัน และแก้ไขได้อย่างไร ติดตามอ่านตอนหน้านะคะ ...อาจารย์กำลังเปิดสอนฝึกสติและสมาธิ เป็นวิทยาทาน รุ่นที่ 3 จะเริ่มเรียนวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคมนี้ คลิกลิงค์เพื่อดูรายละเอียดได้เลยค่ะ https://www.facebook.com/photo?fbid=657773679730323&set=a.568267415347617

ตอนที่ 5ลักษณะและสภาวะของ “จิต” ที่สร้างเรา และเป็นเราอาจารย์ได้อธิบายลักษณะและสภาวะของกฎธรรมชาติผ่านมา 4 ตอน ซึ่งเป็นคว...
14/09/2023

ตอนที่ 5
ลักษณะและสภาวะของ “จิต” ที่สร้างเรา และเป็นเรา
อาจารย์ได้อธิบายลักษณะและสภาวะของกฎธรรมชาติผ่านมา 4 ตอน ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานที่จำเป็น หากพวกเราต้องการเข้าใจและสนใจการฝึกสติและสมาธิ ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านเนื้อหาทั้ง 4 ตอนที่ผ่านมา จะสามารถเข้าใจโดยเคร่าๆ ถึงสาเหตุที่อาจารย์จำเป็นต้องปูพื้นฐานความเข้าใจลักษณะของกฎธรรมชาติ หากถามว่า ทำไมต้องเข้าใจกฎธรรมชาติ ตอบได้ง่ายๆ...
เพราะลักษณะของกฎธรรมชาติ ก็คือ ลักษณะของจิต...ซึ่งเรากำลังจะเข้าหัวข้อนี้ค่ะ

อาจารย์ได้อธิบายไว้ในตอนก่อนหน้านี้แล้วว่า “จิต” ของเราเกิดมาพร้อมกับกาแลกซี่ทางช้างเผือกนี้ เป็นพลังงานที่ดำเนินอยู่ด้วยกฎธรรมชาติ เดินทางเป็นวงจรวนเวียนไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มจากการเป็นอะตอม ดึงดูด รวมตัว บันทึก ตายแล้วเกิด โดยมีการปรับตัวสร้างลักษณะร่างกายใหม่จากข้อมูลล่าสุดที่บันทึกไว้เอง การปรับตัวที่เรียกว่าวิวัฒนาการนับครั้งไม่ถ้วนนี่แหละ ทำให้จิตของเราสร้างร่างกายที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นๆ ไปพร้อมๆกับเก็บบันทึกข้อมูล ซึ่งไม่เคยหายไปไหน เพราะไม่มีอะไรลบข้อมูลในรูปแบบพลังงานได้ ทำได้เพียงบันทึกข้อมูลใหม่ทับขึ้นไปแค่นั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงเกิดมาพร้อมนิสัย พรสวรรค์ ที่เราบันทึกมาเอง รวมทั้งบุญและกรรมที่เราก่อเอง ซึ่งส่งผลมาถึงรูปร่างหน้าตา ดังที่นักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Hox ได้ค้นพบว่า การเกิดของสิ่งมีชีวิตในครรภ์ของแม่ เริ่มต้นจากยีน 7 ตัว (Hox Gene) ซึ่งเป็นเหมือนพิมพ์เขียวของชีวิต ที่มีบันทึกกำหนดลักษณะรูปร่างหน้าตาไว้แล้ว

แน่นอนว่า “จิต”ของเรา ดำรงอยู่ตรงที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่ายีน และก็ไม่ได้แช่อยู่เฉยๆ แต่มีลักษณะตามกฎธรรมชาติ คือ เป็นพลังงานที่วิ่งเป็นวงจรวงกลมอยู่ในยีนทั้งเจ็ดนี้ เมื่อได้รับอาหารจากแม่ จิตจะเริ่มสร้างร่างกายโดยมียีนทั้งเจ็ดเป็นแกนหลักของร่างกาย เกิดการก๊อปปี้และเพิ่มจำนวนเซลล์จากแกนหลักออกไปเป็นอวัยวะและร่างกาย จิตไม่เพียงสร้าง แต่จะคอยควบคุมกำกับการทำงานของอวัยวะภายในทั้งหมดตลอดเวลาไม่มีหยุด ซึ่งก็คือ การทำงานของจิตในร่างกายของเรา แต่ไม่ได้จบแต่เพียงเท่านั้น... เพราะเมื่อเราคลอดออกมาจากท้องแม่ จิตของเรามีการขยายการรับรู้ มีการเรียนรู้ บันทึก รวมทั้งระวังภัยภายนอกอีกด้วย และส่วนที่จิตของเราออกมารับรู้ ซึ่งอาจารย์เรียกว่า สำนึกรู้ หรือ Conscious นี่แหละ ที่เราสำนึกได้หรือรู้สึกได้ เราจึงสามารถปรับปรุงและพัฒนาได้ และก็จิตในส่วนสำนึกรู้นี้อีกเช่นกัน ที่พวกเรามักใช้ผิดที่ผิดทาง จนตัวเองเครียด เจ้าอารมณ์ รู้สึกเหงา ทุกข์ ซึ่งส่งผลไปถึงการป่วยทางร่างกายด้วย แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฝึกสติและสมาธิค่ะ

ตอนหน้า อาจารย์จะอธิบายลงในรายละเอียดลักษณะธรรมชาติของจิตส่วนที่เรียกว่า สำนึกรู้ จะช่วยให้เราเข้าใจว่า เหตุใดเราจึงเจ้าอารมณ์หรือเครียดจนป่วยได้ และการฝึกสติสมาธิช่วยได้อย่างไร
..อย่าลืม ติดตามเพจ สติ สร้างปาฏิหาริย์ เพื่ออ่านตอนต่อไป และสำหรับผู้ที่สนใจเรียนฝึกสติและสมาธิ สามารถดูข้อมูลรายละเอียด การสมัครเรียนรุ่นที่ 3 ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งจะเริ่มเรียน วันที่ 1 ตุลาคมนี้ คลิกลิงค์เพื่อดูข้อมูลได้เลยค่ะ
https://www.facebook.com/photo?fbid=657773679730323&set=a.568267415347617

ตอนที่ 4การเดินทางและทำงานของ “จิต” ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา....เนื้อหา 3 ตอนที่แล้ว อาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า เจตนากา...
06/09/2023

ตอนที่ 4
การเดินทางและทำงานของ “จิต” ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา....
เนื้อหา 3 ตอนที่แล้ว อาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า เจตนาการทำร้ายผู้อื่น คือการทำร้ายตนเอง สาเหตุทั้งหมดเกิดจากแรงเหนี่ยวนำของกฎธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่เต็มพื้นที่ในกาแลกซี่ เป็นแรงธรรมชาติที่มีอยู่และเป็นอยู่ในทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งสร้างและเป็นตัวเรา ทำให้เราไม่มีทางหนีเจตนาและการกระทำของตนเอง ด้วยเหตุนี้ การเข้าใจกฎธรรมชาติจริงๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะกฎแรงเหนี่ยวนำนี้ ไม่เพียงทำให้พวกเราต้องรับบุญหรือกรรมของตนเองเท่านั้น แต่เกี่ยวไปถึงรูปร่างหน้าตาของเรา ที่เกิดมาดูดีหรืออัปลักษณ์ การเกิดมาเป็นพ่อแม่พี่น้อง ญาติและเพื่อนฝูง รวมทั้งความยากดีมีจน เรียกว่าไม่มีอะไรไม่เกี่ยวกับกฎธรรมชาติ แม้แต่เรื่องการฝึกสติสมาธิ ก็เกี่ยวกับกฎธรรมชาติ เกี่ยวกันอย่างไรนั้น ตามมาอ่านเลยค่ะ

เรามาเริ่มกันที่ว่า กฎธรรมชาติสร้างเราและเป็นเรา เพราะอะไร... ก็เพราะทุกสรรพสิ่งรวมทั้งตัวเรา ถูกสร้างขึ้นมาในกาแลกซี่นี้ ด้วยกฎ Almighty ของกาแลกซี่นี้ไง ตั้งแต่แรกเริ่มตอนเกิดกาแลกซี่ เกิดเป็นพลังงานหมุนเป็นวงจรวงกลม ซึ่งสร้างสนามแม่เหล็กแรงเหนี่ยวนำเต็มพื้นที่ภายในกาแลกซี่ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะนานเท่าไร พลังงานที่เป็นกาแลกซี่ทั้งก้อนนี้ยังคงเท่าเดิม ไม่มากขึ้นหรือน้อยลง ซึ่งพวกเราก็อยู่มาตั้งแต่ตอนนั้น เพียงแต่เราเปลี่ยนไปตามการบันทึกด้วยแรงเหนี่ยวนำของเราเอง เราจะบันทึกทุกอย่างที่เราประสบและปรับตัว บันทึกและปรับตัว จากเป็นอะตอมดึงดูดกันรวมตัวเป็นโมเลกุล จากโมเลกุลรวมตัวเป็นเซลล์ จากเซลล์เป็นสิ่งมีชีวิตไม่มีขา จากไม่มีขาปรับตัวไปเป็นมีขา จากขาสั้นเป็นขายาว จากสี่เท้าเป็นสองเท้า เราปรับตัวด้วยการนำเอาบันทึกในการเกิดครั้งก่อนไปปรับตัวในการเกิดครั้งใหม่ ผ่านไปเป็นล้านๆปี พวกเราปรับตัวจนมีอวัยวะภายในซับซ้อน...หากเราไม่ได้เป็นแรงเหนี่ยวนำเสียเอง เราคงไม่มีการบันทึกและไม่มีความทรงจำ รวมทั้งไม่มีวิวัฒนาการค่ะ

อ้าว..แล้วเราทำไมต้องมาเกิดอีก ก็เพราะเราก่อวงจรวงกลมแล้วมันยังไม่จบครบวงไง เราสร้างด้วยการก่อเจตนาและการกระทำ วงจรวงกลมอันไหนยังไม่ครบวงกลม เราดันตายก่อน วงจรที่เราสร้างเองนี่แหละจะลากให้เรามาเกิดเพื่อทำให้วงจรจบครบวงค่ะ ไม่ว่าจะกี่วง วงเล็กวงใหญ่ วงดีวงชั่ว มาหมด ซึ่งก็รวมทั้งเจตนาให้คนอื่นมีกิน เราก็จะเกิดมาด้วยการมีอันจะกิน หรือเราสร้างสถานที่สาธารณะให้ชาวประชาได้เห็นสบายตา เราก็จะเกิดมาดูสบายตาหรือหน้าตาดี แต่ถ้าเราทำบ้านเมืองสกปรก เราก็จะเกิดมาหน้าตาดูไม่ดีผิวพรรณดูสกปรก มากน้อยหรือนานแค่ไหน ก็เป็นไปตามที่เราก่อไว้เองทั้งสิ้น ดังนั้น เรานี่แหละผู้สร้าง สร้างทั้งวิวัฒนาการของตนเอง นิสัย ความสามารถ พรสวรรค์ รวมทั้งบุญและกรรมค่ะ

ทั้งหมดไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่เพียงคำสอนในศาสนา แต่เป็นความจริงที่เกิดอยู่ในธรรมชาติ ดังนั้น..หากเราฉลาดพอ เราต้องเลิกสร้างความฉิบหายให้ตัวเอง ด้วยการเลือกสร้างแต่เจตนาดีๆ นิสัยดีๆ ฝึกพัฒนาตนเองไม่หยุด เพื่อบันทึกความสามารถไปเป็นพรสวรรค์ ทำเอง บันทึกเอง ก็ได้เอง เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น ...ย้ำอีกทีนะคะ ทุกเจตนาและการกระทำเป็นวงจรวงกลม มันกลับมาหมดค่ะ จะจำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็น อ้อ...และไม่ใช่เพียงแค่ความเป็นตัวเราที่เป็นพลังงานของแรงเหนี่ยวนำ ลองมองไปรอบๆ ในทุกสรรพสิ่ง แรงเหนี่ยวนำของกฎธรรมชาติขับเคลื่อนทุกอย่างในทุกระดับและมิติค่ะ

ตอนหน้า จะเป็นเรื่องของพลังงานบริสุทธิ์ ที่เรียกว่า “จิต” ซึ่งเป็นต้นกำเนิดและเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราค่ะ.... อย่าลืมติดตามเพจ สติ สร้างปาฏิหาริย์ เพื่ออ่านตอนต่อไป และคอยรับข้อมูลข่าวสารการสอน สติและสมาธิเป็นวิทยาทาน ซึ่งอาจารย์จะเปิดรับเร็วๆนี้ค่ะ

ตอนที่ 3ความมหัศจรรย์ของกฎธรรมชาติ และ “จิต” ของเรา......อาจารย์ได้แนะนำลักษณะของกฎธรรมชาติพื้นฐาน ซึ่งเราสามารถมองเห็นด...
24/08/2023

ตอนที่ 3
ความมหัศจรรย์ของกฎธรรมชาติ และ “จิต” ของเรา......
อาจารย์ได้แนะนำลักษณะของกฎธรรมชาติพื้นฐาน ซึ่งเราสามารถมองเห็นด้วยตา หากเรามองลักษณะของกาแลกซี่ที่อยู่ในจักรวาล หรือแม้แต่ระบบสุริยะที่มีโลกเราอยู่ เราเห็นได้ไม่ยากว่า ทั้งกาแลกซี่และสุริยะจักรวาล เป็นระบบที่หมุนเป็นวงจรวงกลมตลอดเวลา

ไม่ต่างจากกฎฟิสิกส์พื้นฐานของพลังงาน ที่เราเคยเรียนในโรงเรียน คือ เมื่อส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดที่ขดเป็นเกลียววงกลมโดยมีผงเหล็กอยู่ตรงกลาง การวิ่งของกระแสไฟฟ้าในขดลวด จะสร้างแรงเหนี่ยวนำเต็มพื้นที่ภายในขดลวด ส่งผลให้ผงเหล็กถูกแรงเหนี่ยวนำกระทำให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พื้นฐานเรื่องพลังงานง่ายๆที่เราเคยเรียนนี่แหละ เป็นกฎพื้นฐานในธรรมชาติ ซึ่งเกิดอยู่ภายในกาแลกซี่และระบบสุริยะจักรวาล กฏวงจรวงกลมนี้แหละที่สร้างแรงเหนี่ยวนำเต็มพื้นที่ภายในกาแลกซี่ ส่งแรงกระทำกับทุกสรรพสิ่งในกาแลกซี่ให้มีลักษณะเหมือนกัน เป็นทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มี ใช่ค่ะ..ส่งผลกับพวกเราเต็มๆ ค่ะ

พูดมาถึงตรงนี้ อาจมีคำถามว่า จะพูดเรื่องกฎธรรมชาติทำไม ไม่เห็นเกี่ยวกับเราตรงไหน...เกี่ยวค่ะ ถ้าไม่เกี่ยวจะไม่พูดถึง หากเราเรียนมาแล้วไม่ลืม หรืออาจใส่ใจในการหาความรู้รอบตัว เราจะรู้ว่า ทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์ มีองค์ประกอบที่เล็กที่สุด เรียกว่า อะตอม ซึ่งมีลักษณะวิ่งเป็นวงกลมเช่นเดียวกันกับกาแลกซี่ค่ะ ...พูดได้ว่า ระบบวงกลมใหญ่สุดคือกาแลกซี่ สร้างแรงเหนี่ยวนำ ทำให้ทุกๆอณูในกาแลกซี่กลายเป็นอะตอมซึ่งเป็นวงจรวงกลมที่เล็กที่สุดในกาแลกซี่ ใหญ่สุดก็เป็นวงกลม เล็กสุดก็เป็นวงกลม ดังนั้น ทุกๆอย่างที่อยู่ตรงกลาง คงไม่มีลักษณะวิ่งเป็นเส้นตรง พูดง่ายๆว่า ทุกสรรพสิ่งในกาแลกซี่ วิ่งเป็นวงจรวงกลมทั้งหมด
...ย้ำ นะคะ ทุกสรรพสิ่ง ทุกอย่างจริงๆ รวมทั้งเจตนา ซึ่งเป็นต้นเหตุและที่มาของการกระทำหรือกรรมของเรา ดังนั้น เราเจตนาและทำอะไรกับใคร ก็จะไม่ต่างจากการวาดรูปวงกลม จุดเริ่มต้นคือจุดจบของวงกลมเสมอ ด้วยเหตุนี้ เจตนาทั้งดีและไม่ดี มันจะวนกลับมาหาเราเสมอ เพราะกฎธรรมชาติ ซึ่งอาจารย์เรียกว่ากฎ Almighty ที่อาจารย์เขียนไว้ในตอนที่ 2 จึงยุติธรรมเสมอ ทำดีเท่าไร ทำชั่วเท่าไร ก็กลับมาเท่านั้น เพราะสร้างเอง ก็ต้องรับเองค่ะ

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการฝึกสติและสมาธิ ....เกี่ยวค่ะ เพราะการฝึกสติและสมาธิ ไม่เพียงช่วยให้เราฉลาดพอที่จะไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการทำร้ายผู้อื่น แต่ยังเป็นเพียงวิธีเดียว ที่ช่วยให้เราฟื้นฟูประสิทธิภาพในการใช้ความสามารถทางจิตของเราได้อย่างมหัศจรรย์อย่างที่เราคิดไม่ถึง และเพราะจิตของเราคือ "ตัวตนที่แท้จริงของเรา" การพัฒนาจิต จึงเป็นการพัฒนาศักยภาพสูงสุดของเราค่ะ

หากสงสัยว่าอาจารย์รู้ได้อย่างไร หรือเอาความรู้เหล่านี้มาจากไหน สามารถอ่านได้จาก หนังสือ สติ สร้างปาฏิหาริย์ ตามลิงค์นี้ ค่ะ https://shorturl.asia/LeoJN

ติดตามอ่านข้อมูลความรู้เรื่องเกี่ยวกับการฝึกสติและสมาธิ ในตอนต่อๆไป และรับข้อมูลข่าวสารการเปิดสอนเป็นวิทยาทาน ในไตรมาสหน้า (ตุลาคม-ธันวาคม) ได้ทางเพจ สติ สร้างปาฏิหาริย์ นี้นะคะ

ตอนที่ 2   “จิต” คือ ตัวตนที่แท้จริงของเราตอนที่แล้ว อาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเราคือ จิต ซี่งเป็นพลังงาน...
24/06/2023

ตอนที่ 2
“จิต” คือ ตัวตนที่แท้จริงของเรา
ตอนที่แล้ว อาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเราคือ จิต ซี่งเป็นพลังงานในธรรมชาติ โดยจิตของเราอาศัยร่างกายเป็นพาหนะสำหรับเดินทาง แต่การจะเข้าใจลักษณะ ทิศทาง หนทาง หรือแม้แต่นิสัยของจิตของเราได้นั้น เราจำเป็นต้องเข้าใจลักษณะพื้นฐานธรรมชาติของพลังงานกันก่อน ซึ่งไม่ได้ยากเกินเข้าใจ

ลักษณะพื้นฐานของพลังงานในธรรมชาติอย่างแรกคือ พลังงานวิ่งหรือเดินทางเป็นวงกลมตลอดเวลา และเพราะลักษณะอย่างแรก จึงเกิดลักษณะธรรมชาติอย่างที่สอง คือ เกิดกระแสแรงเหนี่ยวนำหรือดึงดูดจากการวิ่งเป็นวงกลมนั่นเอง

ลักษณะพื้นฐาน หรือกฎธรรมชาติสองข้อ เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดกาแลกซี่ ได้สร้างทุกสรรพสิ่งตั้งแต่กำเนิดระบบสุริยะ ธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิต รวมทั้งการเกิดวนไปที่เราเรียกว่าภพชาติ การเรียกว่ากฎธรรมชาติ อาจจะดูธรรมดาเกิน อาจารย์อยากจะเรียกกฎสองข้อนี้ว่า กฎ “Almighty” ซึ่งถ้าเราสามารถตีโจทย์แตกในทุกระดับและมิติของการขับเคลื่อนของพลังงาน เราจะสามารถนำกฎนี้มาใช้ประโยชน์กับชีวิตเราได้อย่างมหาศาล ดังเช่นการสร้างกระแสไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ มือถือ และอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งเป็นการพัฒนาความรู้เรื่องกระแสเหนี่ยวนำ จนสามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อความสะดวกสบาย แต่กฎสองข้อนี้ ส่งผลกับชีวิตของเราหรือ “จิต” ของเราได้ลึกซึ้งกว่านั้นมากนัก ต้องเรียกว่าเราสามารถ “สร้างชีวิต” หรือสร้างภพชาติในแบบที่ต้องการ ได้เลยทีเดียว

กฎ Almighty สองข้อนี้ ส่งผลกับชีวิตของเราได้ขนาดไหน และเราจะสร้างชีวิตตัวเองได้อย่างไร แล้วเกี่ยวอะไรกับการฝึกสติและสมาธิ จะอยู่ในตอนต่อไปค่ะ

อาจารย์ได้เปิดสอนสติและสมาธิเป็นวิทยาทาน สำหรับไตรมาสนี้แล้วค่ะ รับสมัครถึงสิ้นเดือนนี้ เป็นการเรียนออนไลน์ ทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 20:00 น. เริ่มเรียนวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม อยู่ตรงไหนในโลกก็เรียนได้ค่ะ ใครสนใจสมัครเข้า ห้องเรียน – สติสร้างปาฏิหาริย์ ส่งข้อความมาทาง Direct Message ได้เลยค่ะ

ดูข้อมูลการสมัครเรียนได้ตามลิงค์นี้ค่ะ
https://www.facebook.com/photo?fbid=657773679730323&set=a.568267415347617

ที่อยู่

148 Srinakarin Road, Nongbon, Pravej
Bangkok
10250

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สติสร้างปาฏิหาริย์ (Miracle of Conscious, Miracle of Life)ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram