หมอตี๋

หมอตี๋ Better Together
จำหน่ายเเละให้คำปรึกษา
ยา อาหารเสริม เวชสำอางค์ เเละเครื่องมือเเพทย์

การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องผิด เเต่การมีเพศสัมพันธ์เเล้วคิดว่าเดี่ยวค่อยกินยาคุมฉุกเฉินป้องกันเป็นครั้งคราวไป  กินเเค่ ...
08/09/2016

การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องผิด เเต่การมีเพศสัมพันธ์เเล้วคิดว่าเดี่ยวค่อยกินยาคุมฉุกเฉินป้องกันเป็นครั้งคราวไป กินเเค่ 2เม็ดเอง ไม่ได้มีอะไรกับเเฟนบ่อยๆ ด้วย ไม่ต้องกินยาคุมเเบบเป็นเดือนหรอก ยุ่งยาก
เอาเเบบนี้เเหละง่าย

หมอตี๋ปวดตับ!!! ต้องขอบอกเลย......ว่า
เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างเเรง ง ง ง ง ง ง ....

ก่อนอื่น ต้องอธิบายก่อนเลยครับว่า
ยาคุมฉุกเฉิน คือยาที่ใช้สำหรับการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีฉุกเฉิน "ขอย้ำว่ากรณี" ฉุ ก เ ฉิ น " เท่านั้น"

คำว่า “ฉุกเฉิน” ในที่นี้ คือ
ความผิดพลาดจาก"วิธีคุมกำเนิดที่ใช้ปกติ" เช่น

1)การรั่วหรือฉีกขาดของถุงยางอนามัย
2)การลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป
3)หรือใช้ในกรณีผู้หญิงที่ถูกข่มขืน
เป็นต้น

หมอตี๋อยากเเนะนำว่า
ยาคุมฉุกเฉิน นอกจากประสิทธิภาพจะด้อยกว่า เมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดแบบปกติชนิดเม็ดแล้ว ยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วยหากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ

ดังนั้นสุดท้ายนี้หมอตี๋ ขอเเนะนำว่าควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นหรือ ฉุกเฉินเท่านั้น นะครับ


#หมอตี๋เเนะนำ
#หมอตี๋
#ยาคุมกำเนิดฉุกเฉน
#ยาคุมกำเนิด
#ด็อกเตอร์ยา

 #เรื่องเก่าเล่าใหม่ #ยาคุม #หมอตี๋
04/09/2016

#เรื่องเก่าเล่าใหม่
#ยาคุม
#หมอตี๋

คุณเภสัชคะ..ทำไมดิฉันถึงท้อง?
ลูกค้า : คุณเภสัชคะ ดิฉันได้รับประทานยาคุมกำเนิดชนิด 21 เม็ดมาทุกเดือน เดือนที่แล้วมีอาการคัดตึงเต้านม คลื่นไส้อาเจียนเหมือนคนท้อง ดิฉันตรวจการตั้งครรภ์ ปรากฎว่าดิฉันท้อง มันเป็นไปได้เหรอคะ
ดร.ยา : ได้ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ้างหรือป่าวคะ
ลูกค้า : ไม่มีทางหรอกค่ะ ดิฉันรับประทานทุกวันไม่เคยลืม
ดร.ยา : ??? (ชักเห็นด้วยกับลูกค้า คิดไปถึงการรับประทานยาที่มีผลทำให้ฤทธิ์ของยาคุมลดลง)
ลูกค้า : คุณเภสัชจำไม่ได้เหรอคะ เดือนที่แล้วดิฉันมาซื้อยาคุมกับคุณ ยาคมแผงนั้นทำให้ดิฉันท้องค่ะ
ดร.ยา : เดือนที่แล้วเหรอคะ (จำลูกค้าไม่ได้อีก)
ลูกค้า : ค่า.. (ลากเสียงยาว) ตอนนั้นดิฉันมาขอซื้อยาคุมชนิด 21 เม็ด คุณเภสัชบอกว่าหมด..เหลือแต่ชนิด 28 เม็ด แต่เหมือนกัน คุณยังบอกอีกว่าถ้าต้องการรับประทาน 21 เม็ดเหมือนเดิมก็ให้ตัดอีก 7 เม็ดทิ้งไปไงคะ
ดร.ยา : เอ่อ..(ชักมีลางสังหรณ์ไม่ดี) ขอโทษนะคะ คุณลูกค้าตัด 7 เม็ดใหนออกคะ
ลูกค้า : ก็ตัด 7 เม็ดแรกออกอ่ะค่ะ
ดร.ยา : T__T (รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่ได้เป็นคนตัดยาให้กับลูกค้า)
การอธิบายบางอย่างให้กับคนไข้และคนไข้พยักหน้าเข้าใจนั่นไม่ได้หมายความว่าเค้าเข้าใจในสิ่งที่เราพูดเหมือนในกรณีนี้...

27/07/2013

Better Together
จำหน่ายเเละให้คำปรึกษา
ยา อาหารเสริม เวชสำอางค์ เเละเครื่องมือเเพทย์

25/05/2013

เมื่อลูกเป็นหวัดจำเป็นต้องได้ยาฆ่าเชื้อหรือไม่ ?
โรคหวัดเป็นโรคที่พบบ่อย แทบทุกคนเคยเป็นหวัดมาแล้ว และส่วนมากก็เป็นมากกว่า 1 ครั้ง บางคนเป็นปีละหลายครั้ง โรคนี้พบบ่อยในเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็ก และเด็กที่อยู่ที่ daycare คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักพาลูกไปพบแพทย์เมื่อลูกมีอาการของหวัด หลังจากคุณหมอตรวจร่างกายแล้ว และบอกคุณพ่อ คุณแม่ว่าลูกเป็นหวัด บางท่านจะถามคุณหมอว่า ลูกต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อ (หรือมักเรียกกันว่ายาแก้อักเสบ) หรือไม่

โรคหวัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ในเด็กอาจมีไข้ ไอ น้ำมูกไหล เด็กบางคนอาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่นอาเจียนหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาการมักจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง สาเหตุของโรคหวัดส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้ฆ่าเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ (ยกเว้นไข้หวัดใหญ่ซึ่งปัจจุบันมียาที่ใช้รักษา) การรักษาโรคหวัดจึงเป็นแบบประคับประคองให้ร่างกายค่อยๆ กำจัดเชื้อหวัดไปได้เอง เด็กบางคนอาจใช้เวลาไม่นาน บางคนอาจใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ ดังนั้นการรักษาไข้หวัด จึงมุ่งเน้นการรักษาตามอาการ เช่นให้ยาลดไข้ ถ้าไอมีเสมหะมาก คุณหมออาจพิจารณาให้ยาแก้ไอ เป็นต้น สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือ พักผ่อนให้เพียงพอ ให้เด็กได้รับน้ำ และอาหารอย่างพอเพียง รักษาร่างกายให้อบอุ่น พยายามอย่าไปรับเชื้อเพิ่มโดยให้พักอยู่กับบ้านจนอาการดีขึ้น โดยส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น อย่างไรก็ตามถ้าเด็กมีอาการแย่ลง เช่น ไข้สูงขึ้น มีหอบเหนื่อยมากขึ้น ซึมลง ถ้าเป็นเช่นนี้ควรรีบพาเด็กกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะอาจมีโรคแทรกซ้อนอื่นเกิดขึ้น เช่น ภาวะปอดบวมเป็นต้น ยาฆ่าเชื้อที่กล่าวถึงหมายถึงยาปฏิชีวนะ (antibiotics) ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นคุณหมอจะสั่งให้แก่ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัย หรือสงสัยว่าจะติดเชื้อแบคทีเรีย โรคติดเชื้อทางเดินหายใจบางโรคอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้ เช่นโรคคออักเสบจากเชื้อกรุ๊ปเอ สเตร็ปโตคอคคัส (group A Streptococcus) โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคโพรงไซนัสอักเสบ โรคปอดบวม (โรค 3 โรคหลังอาจเกิดจากเชื้อไวรัสได้เช่นกัน) การให้ยาปฏิชีวนะแก่คนไข้เหล่านี้ที่สงสัยว่าติดเชื้อแบคทีเรียก็จะทำให้อาการดีขึ้นเร็ว และป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

การได้รับยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นมีผลเสียหรือไม่ ยากลุ่มนี้บางชนิดมีผลข้างเคียง เช่นบางคนอาจมีอาการแพ้ยา บางคนอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน หรือถ่ายเหลว ยาบางชนิดมีราคาแพง ที่สำคัญก็คือยาเหล่านี้จะทำให้แบคทีเรียในร่างกายเปลี่ยนไป ในคนปกติจะมีแบคทีเรียเกาะอยู่ตามผิวหนัง ช่องปาก ทางเดินหายใจส่วนต้น และในลำไส้ แบคทีเรียเหล่านี้ในภาวะปกติเราเรียกว่าแบคทีเรียประจำถิ่น แบคทีเรียเหล่านี้อาจมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่นแบคทีเรียประจำถิ่นเหล่านี้ช่วยป้องกันการบุกรุกของแบคทีเรียก่อโรค แบคทีเรียประจำถิ่นในลำไส้ช่วยร่างกายสร้างวิตามินเคได้ เป็นต้น ดังนั้นการได้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น ยาจะไปฆ่าเชื้อเหล่านี้ซึ่งอาจทำให้ร่างกายมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคได้ง่ายขึ้น มีงานวิจัยใหม่ๆ แสดงให้เห็นว่าแบคทีเรียประจำถิ่นเหล่านี้อาจมีส่วนในการช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย งานวิจัยบางงานชี้ว่าการได้รับยาปฏิชีวนะบ่อยๆ อาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคภูมิแพ้บางชนิด โรคหอบหืด เป็นต้น นักวิจัยบางคนยังเชื่อว่าถ้าเด็กเล็กได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่อายุยังน้อยอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคอ้วนในระยะเวลาต่อมา นอกจากนี้การได้รับยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นบ่อยๆ จะทำให้เกิดการคัดเลือกเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาเกิดขึ้น เวลาเชื้อเหล่านี้ทำให้เกิดโรคจะทำให้การรักษาโรคติดเชื้อยากมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะควรจะใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ไม่ควรไปซื้อยาปฏิชีวนะรับประทานเองเพราะอาจจะเกิดผลเสียต่างๆ ตามมาได้ เมื่อลูกไม่สบายควรพาไปพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าเด็กควรจะได้รับยาปฏิชีวนะหรือไม่ ควรได้ยาอะไร และนานเท่าไร
ขอบคุณข้อมูลดีดี: http://www.ra.mahidol.ac.th/dpt/PD/academic/academic/knowlegde/0001

ประโยชน์จากการฝึกสมาธิ...   เคยไหม? บางครั้งที่เราเจอปัญหา หรืออะไรมาสะกิดใจเพียงนิดเดียว ก็เกิดอาการควบคุมจิตใจไม่ได้ เ...
24/05/2013

ประโยชน์จากการฝึกสมาธิ...
เคยไหม? บางครั้งที่เราเจอปัญหา หรืออะไรมาสะกิดใจเพียงนิดเดียว ก็เกิดอาการควบคุมจิตใจไม่ได้ เกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวาย มีเรื่องรบกวนไปเสียหมด นั่นเพราะไม่เคยรับการบำบัดทางจิต หรือลองฝึกสมาธิมาก่อน หลายคนที่เคยลองฝึกจิต หรือฝึกสมาธิ จะสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีกว่าคนอื่น ๆ และยังมีสติ ทำอะไรด้วยความไม่ประมาทด้วย
- หากเราได้ฝึกสมาธิอยู่เป็นประจำแล้ว ประโยชน์ที่เราจะได้รับก็คือ
1.ส่งผลให้จิตใจผู้ทำสมาธิผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ จึงช่วยให้หลับสบายคลายกังวล ไม่ฝันร้าย

2.ช่วยพัฒนาให้มีบุคลิกภาพดีขึ้น กระปรี้กระเปร่า สง่าผ่าเผย มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น รู้สึกควบคุมอารมณ์ จิตใจได้ดีขึ้น เหมาะสมกับกาละเทศะ

3.ผู้ฝึกสมาธิบ่อย ๆ จะมีความจำดีขึ้น มีการพินิจพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ รอบคอบมากขึ้น ทำให้เกิดปัญญาในการทำสิ่งใด ๆ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเล่าเรียน และการทำงานดีขึ้น

4.ช่วยคลายเครียด และลดความเครียดที่จะเข้ามากระทบจิตใจได้ เมื่อเราไม่เครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารทำให้เกิดความสุข ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะมีภูมิต้านทานเชื้อโรค และยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย

5.ทำให้จิตใจอ่อนโยนขึ้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เกิดความประพฤติดีทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ

6.ระงับอารมณ์โมโห อารมณ์ร้ายต่าง ๆ ได้ เพราะการฝึกสมาธิช่วยให้จิตสงบนิ่งมากขึ้น และเมื่อจิตสงบนิ่งแล้วจะมีพลังยับยั้งการกระทำทางกาย วาจา ใจได้

7.มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิจะมีความดันอัตราการหายใจลดลง หัวใจเต้นช้าลง คลื่นสมองช้าและเป็นระเบียบขึ้น การเผาผลาญอาหารในร่างกายลดลง ความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้มีสุขภาพดี และช่วยบำบัดโรคได้ โดยเฉพาะหากปฏิบัติร่วมกับการออกกำลังกาย

เห็นไหมว่า นอกจาก "สมาธิ" จะมีประโยชน์ทางด้านจิตใจแล้ว "สมาธิ" ยังมีประโยชน์โดยตรงต่อสุขภาพด้วย ว่าแล้วก็ลองนำไปปฏิบัติกันดูนะคะ หลักการฝึกสมาธิเบื้องต้นแบบง่าย ๆ ที่นี่:
http://health.kapook.com/view17660.html

"โรคลมแดด"(Heat stroke) โรคที่น่าสนใจ ในยุคโลกร้อน-   ภาวะ Heat Stroke นี้เป็นอาการที่มีความรุนแรงที่สุด เดิม เคยมีข้อบ่...
18/05/2013

"โรคลมแดด"(Heat stroke) โรคที่น่าสนใจ ในยุคโลกร้อน
- ภาวะ Heat Stroke นี้เป็นอาการที่มีความรุนแรงที่สุด เดิม เคยมีข้อบ่งชี้ในการวินิจฉัยคือ อุณหภูมิกายสูงกว่า 41.1 องศาเซลเซียส ภาวะเหงื่อไม่ออก(anhydrosis) และมีความผิดปกติทางระบบประสาท แต่ในปัจจุบันความรู้ทางด้านนี้มากขึ้น มีการแบ่งกลุ่มจากสาเหตุการเกิดได้ชัดเจน ทำให้ตัดภาวะเหงื่อไม่ออก(anhydrosis) ออกเป็นแค่ข้อบ่งชี้ที่เป็น criteria ประกอบในกลุ่ม Classical Heat Stroke เท่านั้น
*** การจัดกลุ่มโรค
- 1) การเกิด Heat Stroke จากการออกกำลังกายหนัก (Exertional Heat Stroke; EHS) กลุ่มนี้เกิดขึ้นกับกลุ่มที่มีร่างกายแข็งแรงมาก่อน เช่น เด็กโต วัยรุ่น นักกีฬา ทหารเกณฑ์ทีฝึกหนักในอากาศร้อนจัด ผู้ที่ไม่ฟิตแต่ออกกำลังกายหนักเกินตัว ซึ่งการเกิดขึ้นต้องอาศัยปัจจัยภายนอกที่อุณหภูมิร้อนสูงร่วมด้วย
- 2) การเกิด Classical Heat Stroke (Classic Non-exertional Heat Stroke ; NEHS) กลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มที่มีอายุมาก กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว ผู้ป่วยที่ต้องมียากินประจำ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคผิวหนัง คนแก่อายุมากซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ผู้ป่วยที่มีโรคอ้วนซึ่งไขมันที่มีมากจะเป็นตัวชนวนการระบายความร้อนอย่างดี
*** อาการแสดงของโรค
- 1) มีอุณหภูมิกายสูงมากกว่า 41 องศาเซลเซียส(hyperthermia) มีเหงื่อออกมากในกลุ่ม EHS และไม่มีเหงื่อออกใน NEHS สัมพันธ์กับประวัติกิจกรรมในที่อากาศร้อนชื้น ถ่ายเทยาก หรือมีประวัติออกกำลังกาย หรือฝึกหนักก่อนมีอาการมาพบแพทย์
- 2)อาการ ทางคลินิกสามารถรุนแรงมากขึ้นหากมี ภาวะต่าง ๆเหล่านี้ นำมาก่อน เช่น proceeding viral infection, มีภาวะขาดน้ำ, ร่างกายอ่อนเพลีย, มีโรคอ้วน, ผักผ่อนนอนหลับไม่พอเพียง, ร่างกายไม่ฟิตพอ(poorly physical fitness) มีการปรับตัวกับอากาศร้อนไม่ได้ดี(lack of acclimazation)
- 3) อาการทางระบบประสาท ตั้งแต่กระสับกระส่าย, delusion, มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจากปกติ, หูแว่วเห็นภาพหลอน(hallucination), ชักเกร็ง และโคมา อาการโคมา อาจมีผลจากการผันผวนของสารน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย, ภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ, ภาวะ hepatic encephalopathy, มีเลือดออกในสมอง จากการบาดเจ็บที่ศีรษะ และอื่น ๆ จนถึงอาการทางสมองบวมจนถึงมีการเคลื่อนตัวของสมองมากดแกนสมอง เป็นต้น
***การรักษา
- 1)ภาวะ นี้ถือว่าเป็นภาวะเร่งด่วนฉุกเฉินทางการแพทย์ ที่ต้องรีบให้การรักษาโดยทันที ดังนั้นผู้ประสบเหตุจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษา เพราะถ้านึกถึง สงสัย และให้การช่วยเหลือเบื้องต้น จนถึงส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วจะช่วยลดอัตราตายลงได้ถึงร้อยละ 10 ส่วนการวัดไข้ต้องวัดโดยทางทวารหนักจะเที่ยงตรงที่สุดเพราะเป็นตัวสะท้อน core temperature ที่ดี ควรรับผู้ป่วยไว้ติดตามอาการต่าง ๆใน รพ. อย่างน้อย 48 ชม. ในหอผู้ป่วยวิกฤติ(ICU)
- 2)ลดอุณหภูมิกายลงโดย ค่อย ๆ ลดลงมาที่ 39 องศาเซลเซียสก่อน ยังไม่ต้องรีบลดลงจนเป็นปกติเร็วเกินไป ถอดเสื้อผ้าออก พ่นละอองฝอยของน้ำเป็นสเปรย์ละเอียด ร่างกายผู้ป่วยคลุมด้วย Water Soak Sheet หรืออาจเอาถุงน้ำแข็งวางบริเวณซอกรักแร้และขาหนีบทั้งสองข้างร่วมไปด้วย
- 3) ใส่ท่อช่วยหายใจถ้าจำเป็น ให้ออกซิเจนผู้ป่วย
- 4) เปิดเส้นเลือดดำ ให้สารน้ำทางหลอดเลือดให้พอเพียง แก้ไขภาวะน้ำตาลในหลอดเลือดหากพบว่ามีการต่ำกว่าปกติ
- 5) หัวใจหรือหลักการรักษา ต้องค่อย ๆลดอุณหภูมิกายลง 0.2 องศาเซลเซียส ต่อนาที จนลงมาที่ 39 องศาสเซลเซียสก็พอเพียง เพราะไม่ต้องการให้ลดเร็วจนเกินไป โดยวิธีการรักษาในห้องฉุกเฉินหรือไอซียูนั้นการใช้ละอองน้ำพ่นใส่ (intermittent spray)โดยใช้ละอองน้ำอุ่น ๆ ร่วมกับเปิดพัดลมเป่า จะช่วยส่งเสริมการระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดีที่สุด ซึ่งอ้างว่าจะปลอดภัยกว่าวิธีเดิมที่ใช้ Ice-water immersion เช่นจุ่มลงในน้ำผสมน้ำแข็ง เพราะจะทำให้เกิด shivering ,peripheral vasoconstriction ทำให้ความร้อนยิ่งเพิ่มขึ้น ระบายไม่ออกจากร่างกาย
- 6) การลดความร้อน อื่น ๆ ไม่มีข้อสนับสนุนชัดเจน ทางวิชารว่าดีแต่ยังสามารถทำได้ เช่น การใส่สายเข้าไปในกระเพาะอาหาร(stomach), ช่องท้อง(peritoneal),ทวารหนัก(rectum) แล้วทำการล้างด้วยน้ำเย็น หรือน้ำแข็ง การใช้น้ำเกลือที่มีความเย็น(Cold sal, ne),ใช้ไอออกซิเจนเย็น(Cold humidified oxygen)ให้ผู้ป่วย จนถึงการทำ Cardiopulmonary bypass แต่มักทำได้ยากเพราะมักต้องใช้เครื่องมือ บุคลากรที่มีความรู้
- 7) การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำควรพอดี โดยเฉพาะช่วงแรก เน้น Coolling อย่างเดียวก็สามารถทำให้ทุกอย่างกลับมาปกติ แต่ถ้ามีการสลายของกล้ามเนื้อ (rhabomyolysis) มี hemoglobinemia ซึ่งพบราว 25-30 % อาจต้องให้สารน้ำมากขึ้น(บางครั้งอาจถึง 10 ลิตร) ทำปัสสาวะให้เป็นต่าง ร่วมกับการให้ manitol โดยพยายามให้มีปัสสาวะออกราว 3 ซีซีต่อน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม ต่อชัวโมง พยายามให้ปัสสาวะมีความเป็นด่าง pH 7.5-8
- 8) ตรวจหาติดตามการเกิด MOD(multiple organ dysfunction) และรีบแก้ไขให้กลับสู่ปกติ
- ดังที่กล่าวมาถ้าเป็นแล้วการรักษามีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นเราควรป้องกันไว้ก่อน จะดีที่สุด
***การป้องกัน
- 1) ในสภาวะที่อากาศร้อนมาก ควรดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณ 2 ลิตร ต่อวัน(ราว 6-8 แก้ว) หลีกเลียงอากาศร้อนชื้น ถ่ายเทไม่สะดวก
- 2) ในการออกกำลังกายในช่วงอากาศร้อนไม่ควรโหมหนัก ต้องรู้จักพัก, warming up และ warm down
- 3) ใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ง่าย และโปร่งสบาย เช่น ผ้าฝ้าย
- 4) สำหรับเด็กเล็ก คนชรา ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ในช่วงที่อากาศร้อนมีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ควรต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิด ช่วยหาอาหารและน้ำให้รัปประทานอย่างเพียงพอ
- 5) ใช้หลักการ Risk modification behavior เช่น อาบน้ำทำตัวให้เย็นสบาย ปะแป้ง เปิดแอร์ เปิดพัดลมคลายร้อน งดอาหารประเภทมีแอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิดที่มีผลต่อารเพิ่มความร้อนในร่างกายเช่น ยาแอมเฟตามีน โคเคน ยารักษาโรคบางชนิดที่กินประจำแต่อาจมีผลรบกวนในเรื่องระบายความร้อน ก็อาจปรับเปลี่ยนให้เหมะสม
- 6) อาการแสดงที่บอกเราว่าจะเกิดภาวะนี้ได้แก่ เมื่อเราอยู่ในที่อากาศร้อน ชื้น การถ่ายเทไม่ดี หรือร่วมกับการฝึกหรืออกกำลังกาย อย่างหนัก หากมีอาการเหล่านี้ เหงื่อออกมาก หน้าซีด
ตะคริว อ่อนเพลีย มึนงง ปวดศรีษะ คลื่นไส้อาเจียน เป็นลม ตัวร้อนจัด ควรนึกถึงโรคนี้และรีบนำผู้ป่วยส่ง รพ.ทันที
ที่มา http://ramathibodi.blogspot.com/2010/03/heat-stroke.html

15/05/2013

อาหารสมอง น้ำตาลกลูโคส (glucose) มีประโยชน์
กลูโคสเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่มีความสำคัญ เพราะเป็นน้ำตาลพื้นฐานของคาร์โบไฮเดรตทุกตัว หรือเป็นสารตั้งต้นของการผลิตพลังงาน น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวทุกตัวจะต้องเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสที่ตับก่อน จึงจะนำไปใช้ได้ ด้วยเหตุนี้น้ำตาลกลูโคสจึงเป็นน้ำตาลที่พบมากในร่างกายโดยเฉพาะในเลือดบางครั้งจึงเรียกว่า บลัด ซูการ์ (blood sugar) ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดปกติจะประมาณ 70-110 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เซลล์ในสมองใช้น้ำตาลกลูโคสเพียงอย่างเดียวเป็นแหล่งพลังงาน สมองจึงต้องได้รับน้ำตาลกลูโคสจากเลือดตลอดเวลา

น้ำตาลกลูโคส (glucose) มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป ในพืช ผัก ผลไม้ องุ่น ข้าวโพด น้ำผึ้ง เป็นน้ำตาลที่สลายให้พลังงานมากที่สุดในสิ่งมีชีวิต มีความหวานเป็นที่สองรองจากน้ำตาลฟรักโทส ทางการแพทย์ใช้กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานที่ต้องการใช้อย่างรวดเร็ว เช่น ในคนป่วยที่อ่อนแอ น้ำตาลกลูโคสเป็นน้ำตาลชนิดเดียวในกระแสเลือดของมนุษย์ที่ได้จากการย่อยคาร์โบไฮเดรตจึงเรียกว่า น้ำตาลในเลือด (blood sugar)

เซลล์จำนวนมากใช้ไขมันและโปรตีน ในการสร้างพลังงานได้ อย่างไรก็ดี เนื้อเยื่อประสาทใช้กลูโคสอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนในสัตว์มักพบน้ำตาลกลูโคสมีอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเป็นสารที่จำเป็นต้องใช้ในการเปลี่ยนโมเลกุลของไขมันและโปรตีนเป็นคาร์โบไฮเดรต

นอกจากนั้นกลู ยังช่วยกระตุ้น insulin เพิ่มการดูดซึมโปรตีนเข้าสู่กล้ามเนื้อ (ไปพร้อมกับกลูโคส) และสังทำการสังเคราะห์สารไกลโคเจนในการสร้างกล้ามเนื้อหลังจากที่เราออกกำลังกายมาเหนื่อยๆ และหากเราได้กินน้ำผลไม้ที่มีส่วนประกอบจากน้ำตาลกลูโคสด้วยแล้ว จะทำให้เราไม่รู้สึกเหนื่อย หรือเพลียมากนัก เนื่องจากน้ำตาลกลูโคส จะเปลี่ยนเป็นพลังงานที่ร่างการสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที

15/05/2013

ไลฟ์สไตล์คนกรุงน่าห่วง ทำงานเร่งรีบ เครียด บริโภคอาหารฟาสต์ฟูด อ้วน ขาดการออกกำลังกาย เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน

15/05/2013

วิธีดูแลตัวเองเมื่อต้องเดินตากฝน...
มีเคล็ดลับการดูแลตัวเองง่าย ๆ มาฝากกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกบ่อย ๆ แบบนี้ ส่งผลให้ใครหลายคนเปียกฝนไปตาม ๆ กัน ขณะที่เพิ่งออกจากที่ทำงานได้ไม่นาน ฝนตกลงมาพอดี และบังเอิญคุณหาที่หลบฝนไม่ทัน หลายคนบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอสักหน่อย แต่ทำอย่างไรได้ฝนตกลงมาพอดี ถ้ารอให้ฝนหยุดก็อาจจะกลับบ้านช้า ก็เลยมีบางครั้งที่ทำให้เราเผลอเดินตากฝนโดยไม่ตั้งใจ ผลที่เกิดขึ้นนอกจากเสื้อผ้าจะเปียกชื้น และร่างกายของคุณหนาวเหน็บแล้ว ยังเป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อันเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคผิวหนังอีกด้วย
วิธีการดูแลรักษากรณีเดินลุยฝน...
1. เริ่มต้นจากการทำเสื้อผ้าให้แห้งสนิท โดยเร็ว
2. เมื่อกลับถึงบ้านให้คุณรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที เหตุผลก็คือการใส่เสื้อผ้าเปียกๆ ก่อให้เกิดการหมักหมม และอาจกลายเป็นแหล่งเชื้อราโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ และอาจทำให้คุณไม่สบายเป็นหวัด รวมไปถึงเป็นปอดบวมได้อีกด้วย
3. แน่นอนที่ถุงเท้ากับรองเท้าย่อมเปียกฝน เพราะฉะนั้นให้คุณถอดออกทันที และควรเร่งทำให้แห้งแต่โดยเร็ว
4. เราควรเรียนรู้ว่าการปล่อยให้เท้าเปียกชื้นนานๆ ส่งผลให้เท้าซีด และอาจลอกเป็นขุยได้
5. คุณต้องเข้าใจว่าหากปล่อยให้เท้าชื้นนานๆ อาจจะทำให้ติดเชื้อราได้ง่าย ทั้งนี้ โรคเชื้อราที่พบบ่อยคือ ฮ่องกงฟุต โดยเฉพาะที่บริเวณซอกนิ้วเท้า
6. เมื่อกลับมาถึงบ้าน และเท้ายังเปียกชื้น อันเป็นผลมาจากการย่ำน้ำในซอยของหมู่บ้าน ให้คุณเร่งทำความสะอาดที่เท้าด้วยการฟอกสบู่ จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาด ต่อมาก็เช็ดเท้าให้แห้ง
7. การใช้แป้งฝุ่นทาที่เท้าหลังทำความสะอาดจะช่วยให้เท้าสบายมากขึ้น
วิธีการดูแลเส้นผม...
1. เมื่อกลับมาถึงบ้านให้คุณเร่งทำความสะอาดเส้นผม ด้วยการสระผมด้วยแชมพูสระผมหรือผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมไปเลย
2. จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณอาจจะต้องใช้แชมพูสระผมที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา นั่นเป็นเพราะว่าการที่คุณเดินตากฝนนั้น อาจจะมีเชื้อโรคปะปนมา และการที่คุณไม่ยอมสระผมในค่ำคืนนั้นเลยเส้นผมของคุณอาจเกิดอาการได้รับเชื้อราและรังแคได้ เพราะฉะนั้นให้สระผมหลังจากที่คุณเพิ่งเดินตากฝน
3. ที่สำคัญก็คือคุณไม่ควรนอน ในขณะที่เส้นผมยังเปียกน้ำฝนอยู่
หลักการง่ายๆ ที่กล่าวมานี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ต้องวิตกกังวลกับฝนที่กระหน่ำตกลงมานัก ทว่าวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ก็คือ การหลีกเลี่ยง ไม่เดินตากฝนนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก http://health.kapook.com/view3710.html

15/05/2013

Coffee break for health ^^
- ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ คือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7 trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeine ถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก
- กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกาย โดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ ดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟ จะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมอง ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ วันหนึ่งๆ เราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก. ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย
* ดื่มนานๆ จะติดกาแฟหรือไม่...
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆ แล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติด เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย
* ผลดีของกาแฟ...
- กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไข้หวัด
- ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่น การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น
- กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟ เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
- กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆ มีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
- กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล
- การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี
* กาแฟกับสุขภาพสตรี...
กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้ว ขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด
* กาแฟกับโรคกระดูกพรุน...
มีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอ แนะนำว่าควรจะดื่มนมเพิ่ม สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป
* กาแฟกับโรคเบาหวาน...
จากการศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrine เพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
ขอบคุณข้อมูลดีดี: http://hilight.kapook.com/view/29448

14/05/2013

การปฏิบัติตนเมื่อเป็นกลากเกลื้อน
1. รักษาความสะอาดของร่างกายให้ทั่วถึงอย่างสม่ำเสมอ อาบน้ำฟอกสบู่และเช็ดตัวให้แห้งทุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกอับเช่น รักแร้ ขาหนีบ ง่ามเท้า เป็นต้น
2. ตัดเล็บมือ เล็บเท้าให้สั้น หรือล้างมือ ล้างเท้าให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการเกา เพราะจะทำให้เชื้อลุกลามไปที่อื่น ผู้ที่ทำงานโดยมือและเท้าสัมผัสน้ำนานๆ ควรสวมถุงมือหรือรองเท้าบูธกันน้ำ
3. ป้องกันการแพร่เชื้อโดยการแยกเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และของใช้ส่วนตัว เช่นรองเท้า หวี กรรไกรตัดเล็บ ไม่ควรใช้ปะปนกัน และควรทำความสะอาดหลังใช้แล้วทุกครั้ง ของใช้ชิ้นใดที่ตากแดดได้ก็ควรตากแดดหลังทำความสะอาดทุกครั้ง เช่น ถุงเท้า รองเท้า เสื้อผ้า เป็นต้น
4. หากมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน ควรตรวจดูว่าสัตว์เลี้ยงมีโรคผิวหนังหรือไม่ เพราะจะเป็นพาหะนำเชื้อราไปสู่คนได้
5. ควรได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
การรักษาเชื้อราที่ผิวหนังมีทั้งยาทาและยารับประทาน ชนิดและเวลาของการใช้ยาขึ้นอยู่กับโรคและบริเวณที่เป็น โดยทั่วไปจะใช้ยาทาวันละ 2 – 3 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากหายแล้วควรทายาต่ออีก 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ แต่ถ้าโรคลุกลามเป็นหลายแห่ง อาจต้องใช้ยารับประทานร่วมด้วย กรณีเชื้อราที่เล็บและหนังศีรษะยาทามักซึมได้ไม่ดี จึงต้องใช้ยารับประทานในการรักษา ซึ่งขนาดและเวลาในการรักษาจะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์
ที่มา http://www.ra.mahidol.ac.th/th/dpt/MD/know12-skin-11

อากาศรอบตัวท่านบริสุทธิ์หรือไม่...    หากลองกลั้นหายใจแล้วจับเวลาดู  ท่านคิดว่าจะทำได้นานเท่าไหร่  มีน้อยคนจะกลั้นได้ถึง...
12/05/2013

อากาศรอบตัวท่านบริสุทธิ์หรือไม่...
หากลองกลั้นหายใจแล้วจับเวลาดู ท่านคิดว่าจะทำได้นานเท่าไหร่ มีน้อยคนจะกลั้นได้ถึงหนึ่งนาที แต่นั่นก็เป็นเวลาแค่สั้นๆ เมื่อเทียบกับการที่คนเราหายใจตลอดเวลา เมื่อใดที่ร่างกายขาดอากาศก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 5 ถึง 6 นาที และสมองจะเริ่มถูกทำลายหากขาดออกซิเจนเกิน 4 นาที เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเราจึงต้องการออกซิเจนเพื่อความอยู่รอด
อากาศมีอยู่ทุกที่ ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่ไม่ต้องหาซื้อที่ไหน หากท่านอาศัยอยู่ในเมืองที่มีมลภาวะทางอากาศสูง ในแต่ละวันท่านสูดรับอากาศที่มีสารปนเปื้อน 200 ส่วนในล้านส่วน ในปริมาณสูงถึง 8,500 ลิตร สารปนเปื้อนที่ว่านี้มีทั้งละอองฝุ่น ไอเสียจากรถยนต์ ควันจากโรงงานที่ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วไป ฟังดูแล้วน่ากลัวจริงๆ มลพิษในอากาศเป็นสาเหตุทำให้คนมากมายเป็นโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหืดหอบ จนถึงขั้นมะเร็งปอด
หลายคนมีสุขภาพดีขึ้นเมื่อได้ย้ายออกสู่ชนบท ในที่ที่อากาศสะอาดและบริสุทธิ์ คงไม่ใช่ทุกคนที่สามารถย้ายออกจากเมืองได้
เราควรทำอย่างไรดีเพื่อให้อากาศที่เราหายใจนั้นบริสุทธ์และปลอดภัย...
หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองเครื่องปรับอากาศ ตั้งค่าระบบเครื่องปรับอากาศเพื่อนำเอาอากาศใหม่เข้ามามากขึ้น หรือนำต้นไม้มาปลูกในห้อง หรือที่ทำงาน น่าอัศจรรย์ที่ต้นไม้สาารถดูดซึมสารพิษ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราหายใจออกมา แล้วคายออกซิเจนออกมาให้เรามีอากาศบริสุทธิ์ได้หายใจอีกด้วย
ออกไปสูดอากาศบริสุทธ์ที่นอกเมืองบ่อยๆ เช่น ภูเขา ทะเล น้ำตก
เมื่อต้องเจอกับจราจรที่คับคั่งหรือฝุ่นควันมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากปิดจมูก หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในที่ที่มีมลพิษ เพราะ แทนที่จะได้ประโยชน์กลับต้องเสียสุขภาพเพราะควันพิษ
ประโยชน์ของอากาศบริสุทธิ์...
สมองจะทำงานได้ดีหากได้รับอากาศบริสุทธิ์ จากการวิจัยพบว่าเด็กที่มีปัญหาด้านการเรียนรู้หากได้รับอากาศบริสุทธิ์จะ ช่วยให้มีพัฒนาการดีขึ้น ส่วน ผู้ที่รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงานหรือการเรียน อาจเป็นเพราะท่านได้รับอากาศบริสุทธิ์ไม่เพียงพอก็ได้
ร่างกายของท่านต้องการการพักผ่อน...
แต่ละวันคนเราหายใจรับอากาศในปริมาณมาก วันหนึ่งๆ เราหายใจประมาณ 20,000 ครั้ง หัวใจเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง และพร้อมกันนั้นออกซิเจนก็ถูกแจกจ่ายไปทั่วร่างกายผ่านไปทางเส้นเลือดที่ยาว ถึง 95,000 กิโลเมตร เป็นการช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีซึ่งปกติเคลื่อนไหวราววันละ 2,000 ครั้ง อีกทั้งช่วยให้เซลล์สมองประมาณ 14 ล้านเซลล์ทำงานต่อเนื่องตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เมื่อร่างกายทำงานอย่างหนักเช่นนี้จึงจำเป็นต้องพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ขอบคุณข้อมูล: http://nattasap.blogspot.com/2011/02/blog-post.html

ที่อยู่

Bangkok
10400

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอตี๋ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอตี๋:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram