09/12/2025
ถ้ายังไม่รู้ปมตนเอง มาเล่นถาดทราย อาจเห็นร่องรอยปมค้างใจที่ไม่รู้ตัว ครับ
https://www.facebook.com/share/p/1HJYztRJWB/
สมองจะ “ไม่สร้างนิสัยใหม่” ถ้าเรายังใช้เชื้อเพลิงจากปมในใจ
(ทำไม เทคนิคการจัดการเวลา เคล็ดลับต่างๆมันจะใช้ไม่ได้ผลเลย ถ้าเราไม่แก้ปัญหาข้างในตัวเราก่อน )
เมื่อวานวันหยุด เบ้นนั่งดูอันนี้มาคือแบบดีมากๆ คลิปยาวมาก 2 ชั่วโมงกว่า จนอธิบาย เรื่องนึงที่สงสัยมานานคือ
"ทำไมเราจะไม่มีทาง Copy productivity system คนอื่นไม่ได้"
หลายคนสงสัยว่า
ทำไมเราพยายามเปลี่ยนนิสัยมานาน แต่ชีวิตไม่ขยับสักที
อ่านหนังสือ ทำ Planner ลงคอร์ส productivity
แต่พอเหนื่อยๆ มากๆ ก็กลับไปเป็นคนเดิมตลอด ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย
Dr. Alok Kanojia (Dr.K) อธิบายแกอธิบายได้ดีมากว่า:
ถ้าระบบประสาทของเรายังขับเคลื่อนด้วย “ปมในใจวัยเด็ก”
สมองจะไม่ยอมสร้างนิสัยใหม่ให้เราหรอก มันยังอยู่ในโหมดเอาตัวรอด
และสิ่งที่ผลักเราทุกวันนี้ อาจไม่ใช่ความอยากโต
แต่คือ "Toxic Fuel" ที่เราพกมาตั้งแต่เด็ก
และสิ่งที่ผลักคุณอยู่ตอนนี้ อาจไม่ใช่วินัย
แต่คือ บาดแผลวัยเด็กที่ยังไม่ถูกเยียวยา
มันต้องเข้าใจตรงนี้กันก่อนที่เราจะเสียเวลาทั้งชีวิตไปพัฒนาผิดจุด
#อ่านจบปุ๊ปเก่งขึ้นปั๊ป
----------------------------
[1] Toxic Fuel คือพลังงานจาก trauma (แผลใจ) ที่ผลักให้เราต้องเป็นคนเก่ง แต่ทำลายเราจากข้างใน
Dr. K ยกตัวอย่างคนไข้ของเขาขึ้นมา
คนที่สร้างชีวิตขึ้นมาจากศูนย์ภายใน 4 ปี
แต่พอสำเร็จกลับรู้สึก “ว่างเปล่า เหมือนไม่ใช่ตัวเอง”
เพราะเขาไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย curiosity(ความอยากรู้)
แต่ใช้ anger ,shame ,fear ,loneliness ,childhood wounds
(ความโกรธ ความอาย ความกลัว ความเหงา ปมในเด็ก)
เป็น “เชื้อเพลิง( Fuel)” ขับเคลื่อนชีวิตเราทั้งหมด
Dr. K เรียกสิ่งนี้ว่า Toxic Fuel (เหมือนพลังงานแบบไม่ดี)
เพราะมันคือพลังงานที่ “ยืมมาจากความเจ็บปวด”
รุนแรงจริง พาไปไกลจริง แต่…ทำลายตัวเราเองไปพร้อมกัน
-----------------
[2] สมองในโหมด survival = ไม่เรียนรู้อะไรใหม่
Dr. K อธิบายว่า trauma ทำให้สมองต้องอยู่ใน fight-or-flight ตลอดเวลา
เพราะระบบประสาทคิดว่า “เราไม่ปลอดภัย”
เมื่อเป็นแบบนี้:
-Prefrontal Cortex (เหตุผล) ถูกปิด
-Amygdala (ภัยคุกคาม) คุมเกมชีวิตเรา
-สมองเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน
-คิดสั้นลง ตอบสนองแบบ reactive
-ไม่มี bandwidth สำหรับการเปลี่ยนแปลงนิสัย
A brain stuck in survival mode cannot self-start
สมองที่อยู่ในโหมดเอาตัวรอด จะเริ่มอะไรใหม่ไม่ได้เลย
----------------
[3] ทำไมเราทำงานหนักแต่ไม่เคยรู้สึก “พอ”?
Dr. K อธิบายว่า trauma ทำให้คน “วิ่งหาความปลอดภัย”
ไม่ใช่วิ่งหาความสำเร็จ
ดังนั้น pattern จะเป็นแบบนี้:
1.ทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ว่า “ฉันไม่ไร้ค่า”
2.กลัวล้มเหลว เพราะ ล้มเหลว = จะโดนทิ้ง
3.ขยันเพื่อกลบความอายหรือความไม่พอ
4.หยุดไม่ได้ เพราะ “หยุด = อันตรายไม่ปลอดภัย”
5.ยิ่งสำเร็จ ยิ่งรู้สึกปลอม (imposter)
นี่คือ Toxic Fuel 100%
มันคือการ “ใช้ชีวิตเพื่อแก้ปมในวัยเด็ก” แบบที่เราเข้าใจมาตลอดว่าเราเป็นคนขยัน เป็นคนเก่ง เป็นคนสำเร็จ
---------------
[4] ถ้าไม่รู้สึก “ปลอดภัย” สมองจะไม่ให้เราเปลี่ยนตัวเอง
Dr. K แกบอกว่า
ก่อนจะพูดถึง productivity, habit formation, self-discipline อะไรก็ตาม
"ต้องสร้างความปลอดภัยให้ระบบประสาทก่อน"
เพราะสมองมีลำดับความสำคัญแบบนี้:
Stage A : เอาตัวรอดก่อน
Stage B : พอรอดแล้ว ถึงเริ่มอยากเรียนรู้เพิ่ม
Stage C : พอเรียนรู้แล้ว เราก็จะเติบเติบโต
แต่คนยุคนี้ทำตรงกันข้าม
เราบังคับตัวเองให้โต ทั้งที่ระบบประสาทยัง “กลัวตาย” อยู่ข้างใน
เขาเลยบอกว่า
“You can’t out-discipline your nervous system.”
(คุณไม่มีทางมีวินัยไปชนะระบบประสาทที่ยังไม่ปลอดภัยได้)
และนี่แหละคือเหตุผลว่าทำไม
-เราพยายามเริ่มนิสัยใหม่แต่ไม่รอด
-เราวางแผนชีวิตแต่ทำได้วันเดียว
-เราอยากโฟกัสแต่ใจวอกแวกทั้งวัน
-เราอยากนิ่งแต่สมองเหมือนมีมอเตอร์ติดอยู่ตลอดเวลา
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเรา “ไม่เก่งพอ”
แต่เพราะ สมองยังคิดว่าโลกไม่ปลอดภัย
--------------------------------
[5] ทำไมคนเก่งหลายคน “ยิ่งได้ ยิ่งไม่รู้สึกดี”?
Dr. K บอกว่า มีคนไข้จำนวนมากเก่งแบบมหาศาล
เป็น Founder, เป็น VP, เป็นคนที่ society ยอมรับ
แต่ทุกคนมี ปัญหาเดียวกัน ปมเดียวกัน
"ไม่ว่าจะสำเร็จแค่ไหน ก็ยังรู้สึกกลวงอยู่ดี"
เพราะ trauma ไม่เคยถูกแตะ มันแค่ถูกกลบด้วย ความสำเร็จ
และสมองก็เรียนรู้อะไรแบบผิดๆ เช่น:
ถ้าอยากให้คนรัก = ก็ต้องทำงานหนัก
ถ้าอยากปลอดภัย = ก็ต้องเก่งขึ้นอีก
ถ้าอยากมีคุณค่า = ก็ต้องไม่แพ้
พอได้ “สิ่งนั้น” มา มันเลยไม่เคยเติมเต็มเรา
เพราะเราไม่ได้อยากได้มันแต่แรก
[เราวิ่งเพราะ กลัว ไม่ใช่เพราะ อยาก]
นี่คือ Toxic Fuel ในรูปแบบที่ชัดเจนที่สุด
สำเร็จมากขึ้น แต่รู้สึกน้อยลง ; (
----------------------------
[6] แล้วเราจะเปลี่ยนเชื้อเพลิงได้ยังไง?
Dr. K ไม่สอนให้ “Hard core แบบ เฆี่ยนวินัย”
55555 แบบบังคับตัวเองให้เก่งเหมือน David Goggins
แต่สอนสิ่งตรงกันข้ามคือ
ให้ระบบประสาทรู้สึกปลอดภัยก่อน
เขาบอกว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมจริง ๆ มาจาก 3 อย่าง
1. Safety
ทำให้ร่างกายรู้ว่า “ไม่ต้องหนีแล้ว”
เช่น นอนให้พอ, ลดสิ่งกระตุ้น, ลดความกดดันที่ไม่จำเป็น
2. Awareness
นั่งกับความคิดตัวเอง 5 -10 นาที
ดูว่าอะไรขับเคลื่อนในใจเรา
ดูว่าเราเหนื่อยเพราะงาน หรือเหนื่อยเพราะปมในใจ
นี่คือการเปิด ACC (anterior cingulate cortex) ส่วนควบคุมตัวเอง
ที่ทำให้เราหยุดโหมด นี้ได้
3. Processing
มอง trauma ปมเราแบบตรงไปตรงมา
ยอมรับมัน แทนที่จะกดไว้หรือทำเป็นไม่รู้
เพราะถ้าไม่ process มัน มันจะคุมชีวิตเราตลอด
------------------------------------
[7] เป้าหมายที่แท้จริง จะค่อยๆ โผล่มาเอง
หนึ่งในประโยคที่เบ้นชอบมากของ Dr. K คือ
“When your fuel changes, your goals change.”
เมื่อเชื้อเพลิงข้างในเปลี่ยน เป้าหมายในใจก็เปลี่ยน
เขาเล่าว่า พอคนไข้เริ่มหายจาก trauma
สิ่งที่เคย “อยากได้มากๆ” จะจางหายไปเอง
เพราะมันไม่ใช่ความต้องการของเราตั้งแต่แรก
แต่คือกลไกการเอาตัวรอด
ในทางกลับกัน
เป้าหมายที่แท้จริงจะเริ่มชัดขึ้น เรียบง่ายขึ้น สงบขึ้น
ไม่ต้องใช้ความกลัวมาเป็นตัวผลักอีกต่อไป
นี่คือ Healthy Fuel
ที่ขับเคลื่อนด้วย curiosity, purpose, และความสงบจากข้างใน
-------------------
#สรุปแบบลงดาบ
ผมนึกถึงตัวเองสมัยเป็นเด็กเริ่มทำงานใหม่ๆ ทำธุรกิจแรกๆ
ไม่เคยเริ่มทำธุรกิจออกมาจาก ความอยากรู้ หรือพลังงานดีๆเลย เบ้นเต็มไปด้วย Toxic Fuel
ตอนนั้นเบ้นอยู่ใน Status ที่เพื่อนๆรอบตัวบอกว่า "โครตจะ Productive"
ตื่นตี 5 มาวิ่งทุกวัน อ่านหนังสือ ปีนึง 52 เล่ม พัฒนาตัวเองตลอดเวลา ทำงาน 7 วัน/สัปดาห์ ไม่หยุดติดต่อกัน 4 ปี
แต่ถ้าวันนี้มองย้อนกลับไป Drive ของเราคือปมในใจเราที่ต้องการ
การยอมรับจากสังคม ลึกๆรู้สึกไม่มีค่า
พอวันหยุด ไม่ทำงานปั๊ป เอาละ 555555
เริ่มรู้สึกไม่ดีละ เริ่มเกลียดตัวเอง เกลียดวันหยุด ถึงขนาดเคยตั้ง
Club ทำงานวันหยุด แล้วชมกันเองในกลุ่มด้วย ใครหยุดงานโดน Bully ใครป่วยโดนปรับ 5555555
แต่สุดท้ายสิ่งนั้นอยู่ได้ 4 ปี เราก็เริ่ม Burnout ทำงานหนัก แต่ข้างในสับสนตัวเอง ยิ่งทำยิ่งรู้สึกไม่มีคุณค่า
พอทำไปสักพักมันจะเริ่มติดคิดอะไรไม่ออก ธุรกิจก็ไม่โตอีกเลย
เราไม่ต้องเลิกพัฒนา แต่ต้องเลิกใช้เชื้อเพลิงผิด
สิ่งที่ Dr. K สอนคือ "ไม่ต้องหยุดพัฒนา แต่ต้องเปลี่ยนเชื้อเพลิง"
จาก anger(ความโกรธ) → เป็น awareness (การรับรู้)
จาก shame(ความอาย) → เป็น self-compassion (ความเห็นใจ)
จาก fear(ความกลัว) → เป็น safety (รู้สึกปลอดภัย)
จาก childhood wounds(ปมวัยเด็ก) → เป็น healing (การรักษา)
เราจะยังพัฒนาเหมือนเดิม แต่จะพัฒนาแบบที่ ไม่ต้องแลกหัวใจตัวเองไปด้วย
ผมเชื่อว่าคนที่อ่านโพสต์นี้
กำลังอยู่ในจุดที่ พร้อมจะเปลี่ยนเชื้อเพลิงในชีวิตแล้วจริงๆ
นี่แหละคือจุดที่ชีวิตเริ่มเดินด้วยความสงบ ไม่ใช่หนีจากตัวเราเอง
และเป็นจุดที่นิสัยใหม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเฆี่ยน ไม่ต้องพิสูจน์ใครทั้งนั้น
ผมหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยสร้างวันของคุณ