ชีวิตสดใส จิตใจชื่นบาน

ชีวิตสดใส จิตใจชื่นบาน สาระข้อมูลความรู้สุขภาพ การดูแลสุข สาระข้อมูลความรู้สุขภาพ การดูแลสุขภาพ

เป็นริดสีดวงควรกินอะไร รักษาริดสีดวงทวารให้หายด้วยอาหารเป็นริดสีดวงทวารควรกินอะไรเพื่อช่วยรักษาริดสีดวงให้หาย หรืออย่างน...
11/12/2017

เป็นริดสีดวงควรกินอะไร รักษาริดสีดวงทวารให้หายด้วยอาหาร

เป็นริดสีดวงทวารควรกินอะไรเพื่อช่วยรักษาริดสีดวงให้หาย หรืออย่างน้อยก็บรรเทาความเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารได้ มาดูอาหารที่คนเป็นริดสีดวงทวารควรกินกันค่ะ

ริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบได้บ่อยและเกิดได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งกรรมพันธุ์ อาการแทรกซ้อนจากโรคอื่น ๆ หรือแม้แต่พฤติกรรมทำร้ายสุขภาพอย่างการกินอาหารไม่ครบหลักโภชนาการที่ดี ขาดไฟเบอร์จนก่อให้เกิดอาการท้องผูก รวมไปถึงอาชีพบางอาชีพที่ต้องนั่งหรือยืนทำงานนาน ๆ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าโรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่เกิดได้กับทุกคน และมักจะพบผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงวัยทำงาน

ฉะนั้นนอกจากการรักษาริดสีดวงทวารตามหลักทางการแพทย์แล้ว กระปุกดอทคอมอยากนำเสนออาหารที่คนเป็นริดสีดวงทวารควรกิน เพื่อช่วยบรรเทาอาการริดสีดวงทวารที่เป็นอยู่ให้มีความรุนแรงน้อยลง เอาเป็นว่ามาดูกันเลยค่ะ เป็นริดสีดวงควรกินอะไรบ้าง

อาหารแก้ท้องผูก

1. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ

อย่างน้อยควรต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8-10 แก้ว เพราะนอกจากน้ำจะเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายแล้ว น้ำยังมีส่วนช่วยให้อุจจาระนุ่ม เวลาขับถ่ายก็จะง่าย ไม่ต้องเบ่งให้เจ็บริดสีดวงทวาร

2. ผัก ผลไม้ อย่าให้ขาด

ไฟเบอร์เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการขับถ่าย โดยมีส่วนช่วยทำให้อุจจาระไม่แข็งตัว การขับถ่ายมีความคล่องตัวมากขึ้น ดังนั้นคนเป็นริดสีดวงควรกินผัก ผลไม้ ให้มากขึ้นเพื่อเติมไฟเบอร์ให้ระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้การขับถ่ายเป็นเรื่องง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ

3. โยเกิร์ต

โยเกิร์ตเปี่ยมไปด้วยแบคทีเรียชนิดดีต่อลำไส้ โดยเฉพาะโยเกิร์ตที่มีแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) หรือโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์ไบฟิดัส (Bifidus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีที่มีหน้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับถ่าย นอกจากนี้โยเกิร์ตที่ทำมาจากนมยังมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ทำให้เราปวดถ่ายง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลกับอาการท้องผูก หรือการนั่งเบ่งถ่ายอีกต่อไป

4. โฮลเกรน/ป๊อปคอร์น

สำหรับคนที่กินผัก-ผลไม้ไม่ค่อยถนัดเท่าไร สามารถรับไฟเบอร์จากโฮลเกรนแทนได้นะคะ อย่างข้าวโอ๊ต ซีเรียลจากธัญพืช ข้าวกล้อง หรือแม้แต่ป๊อปคอร์นเปล่า ๆ ก็มีไฟเบอร์เยอะพอสมควร หากคิดว่ากินผัก-ผลไม้อย่างเดียวไม่น่าจะได้รับไฟเบอร์ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แนะนำให้กินไฟเบอร์จากอาหารที่บอกไว้เสริมเข้าไปด้วยเลย หรืออาจจะกินอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดอื่นร่วมด้วยก็ได้ เพราะปริมาณกากใยอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการขับถ่าย คือร่างกายควรได้รับไฟเบอร์ประมาณ 25-30 กรัมในแต่ละวัน ดังนั้นเลือกกินอาหารไฟเบอร์สูงให้หลากหลาย อย่างอาหารในข้อต่อ ๆ ไปนี้ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

5. ถั่ว

พืชตระกูลถั่วเกือบทุกชนิดมีทั้งโปรตีนและไฟเบอร์ในปริมาณที่สูงพอสมควร โดยถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ในปริมาณครึ่งถ้วยตวงก็ให้ไฟเบอร์มากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณไฟเบอร์ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันแล้ว ที่สำคัญไฟเบอร์ในถั่วยังมีทั้งไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและชนิดไม่ละลายน้ำ ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

6. อัลมอนด์

อัลมอนด์ก็เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่งเช่นกันค่ะ โดยอัลมอนด์ประมาณ 20 เม็ดจะให้ไฟเบอร์ราว ๆ 3 กรัม อีกทั้งอัลมอนด์ยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินอี กรดไขมันดี ทองแดง แมกนีเซียม และมีแคลเซียมสูงอีกด้วยนะคะ ทว่าการรับประทานอัลมอนด์วันละ 20 เมล็ดอาจจะทำให้ร่างกายได้รับแคลอรีเกินความจำเป็น ดังนั้นควรกินอัลมอนด์ประมาณ 1 หยิบมือ (ไม่เกิน 10 เมล็ด) ต่อวัน แล้วพยายามกินอาหารไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี หรือธัญพืชร่วมด้วย

7. มะละกอ

มะละกอเป็นผลไม้ขึ้นชื่อในด้านผลไม้แก้ท้องผูก อยู่แล้ว เพราะนอกจากมะละกอจะมีไฟเบอร์สูง ในมะละกอยังมีเอนไซม์ Papain ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีนในระบบทางเดินอาหาร สามารถกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ย่อยไม่หมดจนขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ออกไปได้ จึงช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น แก้ปัญหาท้องผูกถ่ายยากจนต้องนั่งเบ่ง บรรเทาความทรมานจากการเบ่งถ่ายไปได้พอสมควรเลย

8. ลูกพรุน

ลูกพรุนเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยระบายอยู่ในตัว โดยนอกจากจะมีส่วนช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้นแล้ว ลูกพรุนก็มีคุณสมบัติช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายอุจจาระออกมาได้ง่ายขึ้น ยิ่งหากดื่มน้ำอย่างเพียงพอร่วมด้วย การขับถ่ายจะคล่องตัวอย่างเต็มที่เลยล่ะค่ะ

นอกจากอาหารที่คนเป็นริดสีดวงทวารควรกินเหล่านี้แล้ว เราก็อยากให้เพิ่มการออกกำลังกายให้เป็นหนึ่งในเป็นกิจวัตรประจำวันด้วยนะคะ เพราะการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้การขับถ่ายคล่องตัวมากขึ้นด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
livestrong
webmd
healwithfood
ขอบคุณภาพ:ทางอินเตอร์เน็ต

อันตรายของ “สารตะกั่ว” ที่มีผลกระทบต่อร่างกายในปี 2005 มีการศึกษาพบว่า สารตะกั่วส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะในเด็ก ...
30/11/2017

อันตรายของ “สารตะกั่ว” ที่มีผลกระทบต่อร่างกาย

ในปี 2005 มีการศึกษาพบว่า สารตะกั่วส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะในเด็ก นอกจากจะส่งผลกระทบต่อระดับความเข้มข้นของเลือดแล้ว ยังพบว่า สารตะกั่ว มีส่วนเกี่ยวพันธ์กับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น อารมณ์ก้าวร้าว สมาธิสั้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบด้วยว่า สารตะกั่ว มีผลกระทบต่อความเฉลียวฉลาด เพราะมันทำให้คะแนน IQ ของเด็กลดลง และไม่เพียงแค่เด็กเท่านั้น สตรีมีครรภ์ หากได้รับสารตะกั่ว ก็อาจจะทำให้แท้ง หรือให้กำเนิดทารกที่ผิดปกติได้

สารตะกั่ว ส่งผลร้ายต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย หากได้รับในปริมาณมาก จะทำลายระบบประสาท ความดันโลหิตสูง อาเจียน ชัก และอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต สารตะกั่ว จึงเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับการนำมาใช้ในครัวเรือน หรือแม้กระทั่ง ใช้ในการผลิต ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในครัวเรือน มาตั้งแต่ปี 1971 และในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ก็มีการลดปริมาณการใช้สารตะกั่วในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

แต่อย่างไรก็ตาม สารพิษดังกล่าวนี้ ยังคงมีอยู่ในสภาพแวดล้อม และที่สำคัญคือ มันปนเปือนอยู่ในสิ่งที่เราอาจนึกไม่ถึง ดังต่อไปนี้

1. สี : สมัยก่อนจะมีการใช้สารตะกั่ว ผสมลงไปในสี เป็นเรื่องปกติ เพราะมันช่วยให้สีสวยขึ้น ทาง่ายขึ้น แม้ปัจจุบัน จะมีการใช้สารตะกั่วผสมสีน้อยลงแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจได้ การจะเลือกสีมาใช้ จึงควรต้องมีความละเอียดรอบคอบ


2. น้ำ : น้ำที่เราดื่ม อาจปนเปื้อนสารตะกั่ว แม้ว่าโดยปกติแล้ว เราจะไม่พบสารพิษนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติก็ตาม แต่การนำน้ำมาผ่านกระบวนการแจกจ่ายไปตามอาคารบ้านเรือน อาจมีความเสี่ยง ทั้งจากการเครื่องปั้มน้ำ และท่อน้ำที่มีการสึกกร่อนหรือชำรุด นอกจากนี้ตู้กดน้ำดื่มตามโรงเรียน ก็ถือเป็นจุดเสี่ยงอีกจุดหนึ่ง อุปกรณ์เหล่านี้ จึงควรได้รับการตรวจสอบอยู่อย่างสม่ำเสมอ



3. อาหาร : แม้แต่ผักที่ปลูกในดิน อาหาร ภาชนะใส่อาหาร ก็อาจมีการปนเปื้อนสารตะกั่วได้ จากฝุ่นสี การเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิง ฝุ่นผงจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ลอยมาตามอากาศ ทุกขั้นตอนตั้งแต่การห่ออาหารส่งจำหน่าย การเตรียมอาหาร การเก็บอาหาร ต่างก็มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น



4. ลูกอม : ลูกอมจากหลายประเทศ ถูกสหรัฐอเมริกาเตือนว่ามีการปนเปื้อนสารตะกั่ว แม้จะไม่สามารถตรวจสอบผลที่แน่ชัด แต่ก็ได้มีการออกคำเตือนให้ระมัดระวังการนำเข้าลูกอมจาก เม็กซิโก มาเลเซีย จีน และอินเดีย เพราะทั้งกระบวนการผลิต การเก็บ และส่วนผสมนั้น ยังไม่ได้มาตรฐาน


5. ของใช้ในครัวเรือน : สิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในบ้านของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์โบราณ เครื่องเซรามิค งานศิลปะ อาจจะมีสารตะกั่วปนเปื้อนอยู่ เพราะของเก่า ของโบราณ จะยังใช้สี และการเคลือบเงา ที่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว นอกจากนี้ ยังมีคำเตือนให้ระวังผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกไวนิล จากประเทศจีน ไต้หวัน เม็กซิโก และอินโดนีเซีย อีกด้วย


6. เครื่องประดับ : พวกสร้อย กำไล แหวน ราคาถูก อาจจะมีสารตะกั่วปนเปื้อน และ ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งสำหรับเด็กเล็ก เพราะเด็กอาจจะนำเข้าปากหากผู้ใหญ่อย่างเราไม่ระมัดระวังให้ดี เมื่อปี 2006 มีเด็กเสียชีวิตเพราะกลืนชิ้นโลหะเครื่องประดับ ที่ติดมากับรองเท้ายี่ห้อหนึ่ง เด็กมาโรงพยาบาลด้วยอาการอาเจียน และปวดท้อง จากนั้นอีก 4 วันก็เสียชีวิต เพราะ เครื่องประดับนั้น มีสารตะกั่วมากถึง 99.1 เปอร์เซ็นต์


7. ของเล่น : ของเล่นเด็กบางอย่างก็มีสารตะกั่วปนเปื้อนเช่นกัน โดยเฉพาะของเล่นที่มีสีสีนสวยงาม แม้แต่กล่องใส่อาหาร หรือสีเทียน ก็อาจพบการปนเปื้อนได้ แม้จะปริมาณเล็กน้อย แต่ก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับเด็กบางคนได้เช่นกัน


8. ยาสามัญประจำบ้าน และเครื่องสำอาง : ยารักษาอาการผื่นคัน ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย อาจมีส่วนผสมของสารตะกั่ว ส่วนเครื่องสำอางค์นั้น ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะเครื่องสำอาง ที่มาจากอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง โดมินิกัน และเม็กซิโก


ถึงจะพบสารตะกั่วจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ รอบตัวแทบจะทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าเราจะหลีกเลี่ยงการรับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายไม่ได้นะคะ ทางที่ดีที่สุด คือพยายามใช้ หรือเลือกทานอาหารจากแหล่งผลิตให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ทาน หรือใช้ผลิตภัณฑ์เดิมๆ หรือจากแหล่งผลิตเดิมๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานมากเกินไป จะช่วยหลีกเลี่ยงการสะสมสารปนเปื้อนต่างๆ ที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้ไม่มากก็น้อยค่ะ



ขอบคุณข้อมูลจาก CNN
ขอบคุณภาพ: ทางอินเตอร์เน็ต

 #ดีใจจัง เป็นมาก็นาน ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แต่ก่อน ออกนอกบ้าน ตาสู้แสงก็ไม่ได้ ตามัว มองเห็นภาพซ้อน #อยากส่งต่อสิ่งดีๆ  สำหร...
26/11/2017

#ดีใจจัง เป็นมาก็นาน ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว
แต่ก่อน ออกนอกบ้าน ตาสู้แสงก็ไม่ได้ ตามัว มองเห็นภาพซ้อน

#อยากส่งต่อสิ่งดีๆ สำหรับคนที่เป็น นานแค่ไหนแล้วที่เป็นอยู่ แต่ก็ไม่เคยดีขึ้นเลย วันนี้มีทางออก ลองทักมาปรึกษาเลยจ้า
จะดีไหมถ้ามีผลิตภัณฑ์ ที่ดูแลสายตาคุณ

ติดต่อ/สอบถาม
โทร:061-783-1222
ยินดีให้คำปรึกษาครับ

 #เสียการเสียงานตลอด กลางคืนก็ไม่หลับ กลางวันก็เพลียตกเย็นทีไรหนักใจทุกที หรือนี่อาจเป็นสัญญาณของร่างกาย-นอนไม่หลับ กระส...
25/11/2017

#เสียการเสียงานตลอด กลางคืนก็ไม่หลับ กลางวันก็เพลีย
ตกเย็นทีไรหนักใจทุกที หรือนี่อาจเป็นสัญญาณของร่างกาย

-นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ใช้เวลานานกว่าจะนอนได้
-หลับยาก นอนดึก ตื่นสาย
-นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ รู้สึกตัว ตื่นขึ้นกลางดึก
-ตื่นแล้วไม่สามารถนอนหลับต่อไปได้อีก
-อ่อนล้า หมดแรง ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
-ง่วงนอนตลอดเวลาในตอนกลางวัน นอนไม่หลับในตอนกลางคืน
-ร่างกายอ่อนเพลีย ต้องการการพักผ่อน แต่ก็ยังนอนไม่หลับ หลับยาก
-ไม่มีสมาธิ ทำงานผิดพลาด ความจำไม่ดี

#อย่าปล่อยผ่านนะครับ
เพราะเวลานอนคือ เวลาพักผ่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์เราเพราะร่างกายต้องใช้ในการฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ
ปรึกษาโทร.061-7831222

บาดทะยัก #บาททะยัก เป็นโรคอันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้เป็นครั้งคราวในคนที่มีบาดแผลตามร่างกายแล้วขาดดารดูแลอย่างถูกต...
23/11/2017

บาดทะยัก

#บาททะยัก เป็นโรคอันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้เป็นครั้งคราวในคนที่มีบาดแผลตามร่างกายแล้วขาดดารดูแลอย่างถูกต้อง เมื่อเกิดบาดแผลหากรู้จักดูแลรักษาแต่เนิ่นๆ และมีการฉีดยาป้องกันตามจำเป็น ก็มักจะปลอดภัยจากการถูกโรคนี้เล่นงานได้

ชื่อภาษาไทย บาดทะยัก
ชื่อภาษาอังกฤษ Tetanus

#สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อบาดทะยัก ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “คลอสตริเดียมเตตานิ (Clostridium tetani)” เชื้อนี้จะอยู่ตามดินทรายและมูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่นานเป็นปีๆ และเจริญได้ดีในที่ที่ไม่มีออกซิเจน เมื่อคนเราเกิดบาดแผลที่แปดเปื้อนถูกเชื้อโรคนี้ เช่น เปื้อนถูกดินทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลที่ปากแผลแคบแต่ลึก เช่น ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้เสียบแทง เป็นต้น (ซึ่งมีออกซิเจนน้อย เหมาะสำหรับการเจริญของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจายเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาทำลายระบบประสาท ทำให้เกิดอาการของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย

#ระยะฟักตัวของโรค (นับจากเริ่มติดเชื้อจนมีอาการปรากฏ) ๕ วัน-๑๕วัน (พบมากระหว่าง ๖-๑๕ วัน) ระยะฟักตัวยิ่งสั้น โรคจะยิ่งรุนแรงและอันตราย

#อาการ แรกเริ่มที่พบ ก็คือ อาการขากรรไกรแข็งเนื่องจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้ คนไข้จะอ้าปากลำบาก กลืนลำบาก ทำท่าเหมือนยิ้มแสยะอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีอาการไข้ (ตัวร้อน) ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ เจ็บคอ กระสับกระส่ายร่วมด้วย ในทารกแรกเกิดที่มีการติดเชื้อบาดทะยักทางสะดือ (เช่น การใช้ไม้รวกหรือกรรไกรที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือตามแบบโบราณ การรักษาแผลสะดือไม่ถูกต้อง) ซึ่งโบราณ เรียกว่า “ตะพั้น” หรือ “สะพั้น” แรกเริ่มมีกมีอาการร้องกวน ไม่ยอมดูดนมและอ้าปากไม่ได้

ต่อมากล้ามเนื้อตามแขน ขา หน้าท้อง หลัง และส่วนต่างๆ ของร่างกายจะมีอาการหดตัว เกร็งแข็งและปวด ทำให้มีอาการคอแข็ง หลังแอ่น คนไข้จะมีอาการชักกระตุ้กของแขน ขา และกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเป็นพักๆเวลาสัมผัสถูก หรือเวลาถูกแสงสว่างหรือเสียงดังๆ ขณะชัก คนไข้อาจหายใจลำบาก พูดและร้องไม่ออก และอาจหยุดหายใจได้ โดยทั่วไปคนไข้มักจะมีความรู้สึกตัวดี และรู้สึกเจ็บปวดเวลาชัก ถ้ามีอาการชักเกร็งติดๆกันนานๆ ก็อาจหมดสติได้ คนไข้ส่วนมากจะพบ มีบาดแผลอักเสบร่วมด้วย ในทารกแรกเกิดมักพบว่ามีสะดืออักเสบ แต่บางรายก็ไม่พบบาดแผลชัดเจนก็ได้

#การแยกโรค อาการมีไข้ร่วมกับอาการชักกระตุก นอกจากบาดทะยักแล้ว ยังอาจมีสาเหตุอื่น เช่น

๑. สมองอักเสบ จะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะมาก อาเจียนบ่อย ชัก ซึม เพ้อคลั่ง ไม่รู้สึกตัว

๒. เยื่อหุ้มสมองอักเสบ จะมีอาการแบบเดียวกับสมองอักเสบ และตรวจพบว่าก้มคอไม่ลง (คอแข็ง)

๓. มาลาเรียขึ้นสมอง จะมีอาการแบบเดียวกับสมองอักเสบ และมีประวัติสัมผัสเชื้อมาลาเรีย เช่น เดินทางเข้าไปในเขตป่าเขา หรือได้รับการถ่ายเลือดมาก่อน

๔. พิษสุนัขบ้า จะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย กลัวลม กลัวน้ำ ชัก หมดสติ มักมีประวัติถูกสุนัข แมว หรือสัตว์ป่ากัดหรือข่วนมาก่อน

ส่วนอาการขากรรไกรแข็ง ซึ่งมักพบเป็นอาการแรกเริ่มของบาดทะยักนั้น ก็อาจมีสาเหตุจากการเกิดฝีที่ทอลซิลหรือในคอหอย หรือเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด (เช่น ยาแก็อาเจียน ยาแก็วิงเวียน หรือยาทางจิตประสาท) อย่างไรก็ตาม หากพบอาการผิดปกติดังกล่าวข้างต้น ก็ควรจะไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

#การวินิจฉัย มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดง ได้แก่ ไข้ ขากรรไกรแข็ง ชักเกร็งร่วมกับการตรวจจะพบบาดแผลอักเสบตามร่างกาย แพทย์อาจทำการเจาะหลัง เพื่อแยกโรคทางสมอง (สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ) อาจตรวจเลือดเพื่อแยกโรคมาลาเรียขึ้นสมอง และอาจนำหนองที่บาดแผลไปเพาะหาเชื้อบาดทะยัก

การดูแลตนเอง หากมีอาการสงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ ควรไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว และรับการรักษาอย่างจริงจัง จากทางโรงพยาบาลจนกว่าจะปลอดภัย

#การรักษา แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล (มักจะรับไว้ในห้องบำบัดพิเศษหรือไอซียู) อาจต้องเจาะคอและใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ยาแก้ชัก ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อบาดทะยัก (เช่น เพนิซิลลิน) ยาต้านพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin) คนไข้มักจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเป็นสัปดาห์ๆหรือเป็นแรมเดือน)

#ภาวะแทรกซ้อน อาจพบอาการขาดออกซิเจน ขณะชัก อาการขาดอาหาร เพราะกลืนไม่ได้ ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะไม่ได้ เนื่องจากการเกร็งตัวของหูรูด อาจเกิดโรคปอดอักเสบ (ปอดบวม) แทรกซ้อน ในรายที่ชักรุนแรง อาจมีกระดูกหลังหัก ในรายที่ปล่อยให้โรคลุกลามรุนแรง อาจหยุดหายใจและหัวใจวายตายได้

#การดำเนินโรค ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันกาล คนไข้มักจะเสียชีวิต จากภาวะหยุดหายใจ ภายในเวลาไม่นาน (อาจเป็นสัปดาห์) ส่วนผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผลการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม (มีเพียงอาการขากรรไกรแข็ง) ก็มักจะมีโอกาสหายขาดได้ แต่ถ้าปล่อยไว้จนมีอาการรุนแรง (เช่น หลังแอ่น ชักเกร็งทั้งตัวรุนแรง)โอกาสรอดก็มีน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในทารกแรกเกิดหรือคนสูงอายุ โดยเฉลี่ย คนไข้บาดทะยักมีโอกาสรักษาให้รอดชีวินได้ประมาณร้อยละ ๕๐

#การป้องกัน โรคนี้แม้ว่าจะมีความร้ายแรง แต่ก็สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งมีหนทางปฏิบัติ ดังนี้

๑. เด็กทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก โดยการฉีดวัคซีนรวมป้องกันคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (วัคซีน DTP) รวม ๕ เข็ม เมื่ออายุ ๒ เดือน, ๔ เดือน, ๖ เดือน, ๑ ขวบครึ่ง, ๒ ขวบ และ ๔-๕ ขวบ หลังจากนั้นควรฉีดกระตุ้นทุกๆ ๑๐ ปี

๒. หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้รวม ๓ ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก เข็มที่ ๒ ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย ๑ เดือน และเข็มที่ ๓ ห่างจากเข็มที่ ๒ อย่างน้อย ๖ เดือน (ถ้าฉีดไม่ทันขณะตั้งครรภ์ ก็ฉีดหลังคลอด)

ถ้าหญิงตั้งครรภ์เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้มาแล้ว ๑ ครั้ง ควรให้อีก ๒ ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย ๑ เดือน ในระหว่างตั้งครรภ์

ถ้าหญิงตั้งครรภ์เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้ครบชุด (๓ ครั้ง) มาแล้วเกิน ๕ ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียง ๑ ครั้ง แต่ถ้าเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน ๕ ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น

๓. ควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์คลอดกับบุคลากรที่รู้จักรักษาความสะอาดในการทำคลอด ไม่ใช้ไม้รวก ตับจาก มีดหรือกรรไกร ที่ไม่ได้ทำการฆ่าเชื้อตัดสายสะดือเด็ก นอกจากนี้ควรแนะนำให้รู้จักทำความสะอาดสะดือเด็ก ไม่บ้วนน้ำหมาก น้ำลายลงบนสะดือเด็ก

๔. เมื่อมีบาดแผลตะปูตำ หนามตำ สัตย์กัด ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือบาดแผลสกปรก ควรชะล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที

สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน ถ้าบาดแผลสกปรกหรือแผลใหญ่ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรับการฉีดอิมมูนโกลบูลินต้านพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin) หรือเซรุ่มแก็พิษบาดทะยัก (tetanus antitoxin) ยาชนิดหลังนี้ทำจากเซรุ่มม้า อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ทางที่ดีควรฉีดในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตเตรียมไว้พร้อม

ส่วนผู้ที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน ควรฉีดกระตุ้นซ้ำอีก ๑ เข็ม ไม่ต้องฉีดอิมมูนโกลบูลินหรือเซรุ่มแก็พิษบาดทะยัก แต่ถ้าเพิ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักภายใน ๕ ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 294-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 294
เดือน/ปี: ตุลาคม 2547
คอลัมน์: สารานุกรมทันโรค
นักเขียนหมอชาวบ้าน: รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
ขอบคุณภาพ: ทางอินเตอร์เน็ต

ระวังอาหารทะเลจานโปรดปัจจุบันอาหารทะเลเป็นอาหารที่นิยมบริโภคกันมาก โดยสังเกตจากร้านขายอาหารทะเลที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่...
23/11/2017

ระวังอาหารทะเลจานโปรด

ปัจจุบันอาหารทะเลเป็นอาหารที่นิยมบริโภคกันมาก โดยสังเกตจากร้านขายอาหารทะเลที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะเกิดขึ้นริมฟุตปาทจนถึงยกระดับไปอยู่ในภัตตาคารใหญ่ๆ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คุณค่าและความเป็นพิษของอาหารทะเลก็ไม่ได้ลดลงตามไปด้วยเลย

#คุณค่าของอาหารทะเล

อาหารทะเลนั้นมีแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับมนุษย์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไอโอดีน ธาตุเหล็ก สังกะสี และแคลเซียม โดยเฉพาะไอโอดีนนั้นพบว่า มีมากถึง 600 ไมโครกรัม ในอาหารทะเลสดหนัก 1 กิโลกรัม ซึ่งมีมากกว่าในเนื้อหมูและเนื้อไก่ 2 ถึง 3 เท่า

อาหารทะเลบางชนิด เช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนางรม จะเป็นแหล่งธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง และแคลเซียมที่สำคัญ นอกจากนี้อาหารทะเลยังเป็นแหล่งวิตามินบีรวม และในตับปลาบางชนิดยังมีวิตามินเอที่สำคัญอีกด้วย

#โปรตีนและไขมัน

อาหารทะเลได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เช่น วาลีน (valine) ทรีโอนีน (threonine) เมทิโอนีน (methionine) ไลซีน (lysine) เป็นต้น ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

อาหารทะเลส่วนใหญ่มีกรดไขมันอยู่ในปริมาณต่ำ และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีส่วนช่วยลดระดับของโคเลสเตอรอลในเลือด นอกจากนี้อาหารทะเลเกือบทุกชนิดมีปริมาณโคเลสเตอรอลต่ำ ยกเว้นกุ้ง ปลาหมึก และปู ที่มีปริมาณโคเลสเตอรอลสูง ถึงแม้ว่าอาหารทะเลจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีพิษภัยติดตัวตามมาอีกเช่นเดียวกัน

#ภัยที่มองไม่เห็น

ในขณะที่สิ่งแวดล้อมเป็นพิษที่เกิดขึ้นในขณะนี้ อาหารทะเลก็ไม่ได้รอดพ้นจากมลภาวะต่างๆ เช่นเดียวกัน พบว่า มีโลหะหนักหลายชนิดที่สามารถตรวจพบในอาหารทะเล ไม่ว่าจะเป็นตะกั่ว สังกะสี แคดเมียม และทองแดง พบว่า สารพิษพวกนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกๆปี และสามารถตรวจพบได้ในอาหารทะเลประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปลา ปูม้า กั้งตั๊กแตน หอยนางรม และปลาหมึก โดยพบว่ามีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีพิษภัยอื่นๆ ที่อาจพบได้ในอาหารทะเลอีก คือ

ขี้ปลาวาฬ (red tide) (ไม่ใช่ขี้ของปลาวาฬนะคะ) ขี้ปลาวาฬเกิดขึ้นจากแพลงก์ตอนพวกไดโนแฟลกเจลเลต (Dinoflagellate) ซึ่งโดยปกติสามารถพบได้ในน้ำทะเลทั่วๆ ไป สังเกตได้จากน้ำมีสีน้ำตาลแดง เมื่อมีอุณหภูมิพอเหมาะ เช่น มีอากาศร้อนจัด สัตว์พวกนี้จะแบ่งเซลล์และเจริญเติบโตในน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว

ไดโนแฟลกเจลเลตเข้าสู่สัตว์ทะเลโดยผ่านทางห่วงโซ่อาหาร พบมากในหอย โดยแพลงก์ตอนเหล่านี้จะสร้างสารพิษพวกไบโอท็อกซิน (biotoxin) ที่ทนความร้อน ดังนั้น จึงไม่สามารถทำลายได้ในกระบวนการปรุงอาหาร กรณีเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับหอยแมลงภู่เป็นพิษที่บริเวณปากแม่น้ำปราณบุรี ในปี พ.ศ.2526 พบว่า มีผู้ป่วยประมาณ 50 ราย และมีเด็กเสียชีวิต 1 ราย โดยผู้ป่วยมีอาการชาบริเวณปากและแผ่ไปยังอวัยวะต่างๆ แน่นหน้าอก เคลื่อนไหวลำบาก และบางรายมีอาการอาเจียน

จากการตรวจวิเคราะห์น้ำตัวอย่าง 1 ลิตร พบพวกไดโนแฟลกเจลเลตสูงถึง 40,000 เซลล์ และตรวจพบไบโอท็อกซินในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งส่วนใหญ่พบในหอยสองฝา เช่น หอยกะพง และหอยนางรม หอยนางรมนั้นกินแพลงก์ตอนทุกชนิด และค่าดัชนีความสมบูรณ์สูงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีแพลงก์ตอนพวกนี้มากในน้ำทะเล ดังนั้น โอกาสที่หอยนางรมเป็นพิษอาจเกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนได้เช่นเดียวกัน

#แบคทีเรีย

มีแบคทีเรียหลายชนิดที่สามารถตรวจพบได้ในอาหารทะเล และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคท้องร่วง แต่มีแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของโรคท้องร่วงมากที่สุด คือ เชื้ออหิวาต์เทียม หรือวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus) เชื้อชนิดนี้สามารถพบได้ทั้งในน้ำทะเลและอาหารทะเล เช่น ปลา ปูม้า หอย กุ้ง กั้ง ปูทะเล และปลาหมึก นอกจากนี้ยังพบได้ในอาหารบางชนิด เช่น หอยแครงลวก ปลาดิบ ยำหอยนางรม ปูดอง หอยดอง

เชื้อชนิดนี้สามารถพบได้ตลอดปี แต่พบมากในฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม อาการที่ปรากฏเด่นชัด คือ อาการท้องเสีย อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง อาจมีอาการปวดศีรษะและหนาวสั่นร่วมด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในช่วง 12-24 ชั่วโมงหลังจากกินอาหารทะเลเข้าไป

#พยาธิในอาหารทะเล

มีพยาธิหลายชนิดทีเดียวที่สามารถพบได้ในอาหารทะเล เช่น ในกรณีของหอยนางรมนั้นพบได้ทั้งพยาธิตัวแบน และพยาธิตัวตืด โดยพยาธิเหล่านี้อาศัยในส่วนเยื่อแมนเทิล (mantle) ของหอย นอกจากนี้ยังสามารถพบพยาธิตัวจี๊ดในปลาทะเลได้เช่นเดียวกับในปลาน้ำจืด

#ทางเลือกในการบริโภค

จากที่ได้กล่าวข้างต้น แม้ว่าอาหารทะเลเป็นอาหารที่มีคุณค่า แต่ก็มีพิษภัยเช่นเดียวกับอาหารชนิดอื่น ในแง่ของโลหะหนักนั้นก็คงต้องเลือกบริโภคสักหน่อย ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคหอย เพราะว่าเป็นแหล่งสะสมโลหะหนักหลายชนิด โดยสารพิษเหล่านี้จะไปสะสมที่ระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นส่วนที่คนกินเข้าไป และไม่ควรบริโภคสัตว์ประเภทกันซ้ำซาก เพื่อลดการสะสมสารพิษ

ในแง่ของขี้ปลาวาฬนั้น ผู้บริโภคต้องหมั่นฟังข่าวคราวจากสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ ว่ามีขี้ปลาวาฬเกิดขึ้นในช่วงใด บริเวณใด ก็ควรงดบริโภคอาหารทะเลในช่วงนั้น โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมเป็นช่วงที่มีอุณหภูมิของน้ำทะเลเหมาะสม มีแพลงก์ตอนที่ทำให้หอยเป็นพิษมาก อาจแก้ไขได้โดยนำไปแช่ด่าง เช่น น้ำปูนหรือขี้เถ้าก่อนบริโภคก็จะช่วยลดความเป็นพิษได้ แต่อย่างไรก็ตามการงดบริโภคอาหารทะเลในช่วงนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ก่อนนำอาหารทะเลมาปรุงอาหาร ควรล้างให้สะอาดเสียก่อนและทำให้สุกแม้ว่ารสชาติอาจเสียไปบ้าง แต่สามารถทำให้แบคทีเรียและพยาธิหมดไป และคุ้มกับราคาที่เสียไปด้วย

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 168-013
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 168
เดือน/ปี: เมษายน 2536
คอลัมน์: รู้ก่อนกิน
นักเขียนหมอชาวบ้าน: นิตยา ศรีทอง
ขอบคุณภาพ: ทางอินเตอร์เน็ต

ปวดหัวจากตำราการช่วยชีวิตขั้นสูง ของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ที่มี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เป็นบรรณาธิการ อธิบายว่า โ...
20/11/2017

ปวดหัว

จากตำราการช่วยชีวิตขั้นสูง ของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ที่มี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เป็นบรรณาธิการ อธิบายว่า โรคปวดศีรษะ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ปวดศีรษะแบบที่หาสาเหตุไม่เจอ และปวดศีรษะแบบมีสาเหตุ

ปวดศีรษะกลุ่มที่หาสาเหตุไม่เจอ แยกย่อยไปได้เป็น 3 ชนิด คือ

1.ปวดหัวแบบกล้ามเนื้อตึง มักปวดระดับน้อยถึงปานกลาง ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน ไม่มีอาการของระบบประสาท ไม่เกี่ยวกับการออกแรงหรือเคลื่อนไหว มักสัมพันธ์กับความเครียด อดนอน หิว ใช้ตามาก หรือเมื่อตำแหน่งศีรษะอยู่ผิดที่

การรักษาคือนอนให้พอ ลดการใช้สายตาลง ออกกำลังกายให้หายเครียด ถ้าปวดเมื่อยแถวคอหรือหลังหูก็บีบๆ นวดๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาก็ใช้แค่พาราเซตามอลครั้งละ 500-1,000 ม.ก. หรือแอสไพรินครั้งละ 300-600 ม.ก. ในกรณีที่ปวดศีรษะแบบเรื้อรัง การใช้ยาต้านภาวะซึมเศร้าอาจป้องกันการกลับเป็นถี่ๆ

2.ปวดหัวแบบไมเกรน ปวดแบบตึ๊บๆ ครั้งหนึ่งกินเวลา 4-72 ช.ม. ถ้ามีอาการนำที่เกิดจากการเสียการทำงานของระบบประสาทเป็นการชั่วคราว เช่น เห็นแสงสีวูบวาบ เรียกว่า คลาสสิคไมเกรน ถ้าไม่มีอาการนำ เรียกว่า คอมมอน ไมเกรน มักคลื่นไส้อาเจียน เป็นข้างเดียว มีอาการแพ้แสง นอนไม่หลับและซึมเศร้า

การจัดการความเครียด เช่น คลายกล้ามเนื้อ โยคะ มวยจีน และการฝังเข็ม อาจช่วยบรรเทาอาการได้

3.ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ ปวดรุนแรงเฉพาะบริเวณที่เลี้ยงโดยประสาทสมองคู่ที่ห้า มักเป็นที่หลังลูกตาหรือที่เบ้าตา ร่วมกับมีอาการน้ำมูกน้ำตาไหล เหงื่อหน้าออก ตาแดง หนังตาบวมหรือหนังตาตก โดยที่เป็นอยู่ซีกเดียว เป็นมากจนลุกลี้ลุกลน อยู่ไม่สุข

ส่วนปวดศีรษะกลุ่มที่มีสาเหตุ แยกย่อยเป็น 2 พวกคือ

พวกที่ 1 เกิดจากสาเหตุนอกสมอง ได้แก่

1.โรคต้อหิน เป็นโรคที่มีการเสื่อมสภาพในส่วนของลำของประสาทตา ทำให้เกิดการเสื่อมของการมองเห็น อาจมีการเพิ่มความดันในลูกตา เป็นมากก็ตาบอดได้

2.สายตาผิดปกติ ตาเอียง ตาสั้น ตายาว

3.โพรงไซนัสอักเสบ

4.หูชั้นกลางอักเสบ

5.โรคภูมิคุ้มกันทำลายหลอดเลือดตนเอง มีอาการปวดหัว ปวดคอร่วมกับอาการอักเสบมีไข้ บางครั้งปวดรอบวงไหล่และวงตะโพก

6.กลุ่มอาการปวดข้อกราม เป็นการปวดหัวจากความผิดปกติของการทำงานของข้อกรามที่หน้าหู ซึ่งอาจเกิดจากการกัดฟันขณะนอนหลับหรือเหตุอื่นๆ

7.กระดูกสันหลังระดับคอเสื่อมหรืออักเสบ

8.ความดันเลือดสูง

9.โรคไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไป

10.โรคติดเชื้ออักเสบเป็นไข้ ไม่ว่าจะเป็นที่อวัยวะไหน ก็ปวดหัวได้ทั้งนั้น

11.ปวดจากยาที่กิน เพราะยาใดๆ ที่หมอให้รับประทานล้วนมีฤทธิ์ข้างเคียง และ...

12.พวกติดกาแฟ ก็ปวดหัวได้ง่ายๆ เวลาอยากดื่มกาเฟอีนแต่ไม่ได้ดื่ม

พวกที่ 2 เกิดจากสาเหตุซึ่งอยู่ในสมอง ได้แก่

1.หลอดเลือดในสมองโป่งพองหรือผิดปกติ บางครั้งส่วนที่โป่งพองขยายตัวออก (ใกล้จะแตก) จะทำให้มีอาการปวดศีรษะมาก และถ้าทิ้งไว้ก็จะแตกจริงๆ ซึ่งจะทำให้กลายเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้

2.อัมพาต

3.ลิ่มเลือดก่อตัวในหลอดเลือดดำของสมอง

4.เนื้องอกสมอง

5.ติดเชื้อในสมอง

6.ภาวะความดันน้ำไขสันหลังต่ำ มักเกิดจากน้ำไขสันหลังรั่วออกไปทางใดทางหนึ่ง เช่น หลังอุบัติเหตุ หรือผ่าตัด หรือเจาะหลัง ทำให้มีอาการปวดหัวเมื่อเปลี่ยนท่า

แพทย์ใช้ข้อมูลต่อไปนี้เป็นธงแดง หรือสัญญาณอันตราย บอกว่าอาการปวดศีรษะอาจมาจากสาเหตุที่รุนแรง คือ

1.ปวดแบบสายฟ้าฟาด เร็ว แรง ทันที ถึงขีดสุดในเวลาไม่เกิน 5 นาที หรือปวดจนปลุกผู้ป่วยให้ตื่นขึ้น หรือปวดแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

2.ปวดศีรษะครั้งแรกในคนไข้อายุมากเกิน 50 ปี หรือคนไข้เอดส์ หรือคนไข้มะเร็ง

3.ลักษณะการปวดปลี่ยนไป รวมถึงความถี่และอาการร่วม

4.มีอาการและอาการแสดงของระบบประสาทร่วม รวมถึงการมองเห็นผิดปกติ หรือคอแข็ง หรืออาการไม่เฉพาะที่ เช่น เสียความจำ หรือจอตาบวม

5.มีข้อมูลส่อว่าเป็นโรคระดับทั่วร่างกาย เช่น เป็นไข้ ความดันเลือดสูง น้ำหนักลด

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด/ข่าวสดออนไลน์

ขอบคุณข้อมูลจากเพจ #หมอบ้านบ้าน

พฤติกรรมทำลายตับ รู้ไว้ก่อนสายเกินแก้ หันมาดูแลตับกันนะครับ
18/11/2017

พฤติกรรมทำลายตับ รู้ไว้ก่อนสายเกินแก้ หันมาดูแลตับกันนะครับ

7 เครื่องดื่มที่แย่ที่สุดสำหรับเด็กเล็ก เครื่องดื่มที่ไม่ควรดื่ม ควรกันให้ห่างจากตัวลูก #1 น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่ไม่...
14/11/2017

7 เครื่องดื่มที่แย่ที่สุดสำหรับเด็กเล็ก เครื่องดื่มที่ไม่ควรดื่ม ควรกันให้ห่างจากตัวลูก

#1 น้ำอัดลม
เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีคุณค่าทางอาหารเลย แถมยังหวานด้วยปริมาณน้ำตาลที่มากและเป็นกรดที่จะกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้เจ้าตัวเล็กฟันผุได้

#2 ชานมไข่มุก
ชานมไข่มุกนั้นประกอบไปด้วยน้ำตาลในประมาณที่สูง สารปรุงแต่งรสและสารให้สี ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ ได้ ไข่มุกที่อยู่ในชานั้นยังมีแคลลอรี่ที่สูงและไม่ดีต่อสุขภาพ และที่สำคัญเม็ดไข่มุกอาจทำให้ติดคอลูกเป็นอันตรายได้อีกด้วยนะ

#3 มิลค์เชค
มิลค์เชคที่ทีส่วนผสมของนมนั้นดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่จริง ๆ แล้วมิลค์เชคอุดมไปด้วยน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว ซึ่งไม่ดีต่อลูกเลย แทนที่จะดื่มมิลค์เชค ลองให้ลูกได้ดื่มสมูธตี้ผลไม้ คุณแท่ลองทำเองแบบโฮมเมดง่าย ๆ โดยใช้ผลไม้สดหรือผลไม้แช่แข็งพร้อมใส่โยเกิร์ตรสธรรมชาติแทน แต่อย่าใส่น้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้งหนักมือไปนะคะ

#4 เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
เครื่องดื่มอย่าง ชาเย็น ชาเขียว ชาสมุนไพร มีส่วนผสมของคาเฟอีนและสารกระตุ้นอื่น ๆ ซึ่งไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใด ๆ เลย

#5 เครื่องดื่มชูกำลัง
เครื่องดื่มชูกำลังหรือเครื่องดื่มให้พลังงาน ประกอบไปด้วยคาเฟอีนจำนวนมาก และสารปรุงแต่งรสหวานซึ่งไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใด ๆ และยังอาจเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ อีกด้วย

#6 น้ำผลไม้ผสมโซดา
น้ำโซดาซ่า ๆ ซึ่งมาในรูปแบบของเครื่องดื่มที่มีรสหวานและฟองฟู่ ถ้าเจ้าตัวเล็กอยากจะลิ้มรสมัน ควรให้เด็กได้ดื่มโซดาในปริมาณที่น้อยที่สุด และผสมกับน้ำผลไม้ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำตาลนั้นลดลง

#7 เครื่องดื่มไดเอทต่างๆ
เครื่องดื่มอะไรก็ตามที่มีคำว่า “ไดเอท” ปรากฏอยู่ มักจะประกอบไปด้วยสารเคมีและสารให้ความหวาน ซึ่งไม่เหมาะที่จะให้เด็กเล็กได้ลองดื่มอยู่แล้ว
รู้แบบนี้แล้ว บอกให้เจ้าตัวเล็กอดใจไว้ก่อนนะคะ เวลาโตขึ้นมาจะดื่มเครื่องดื่มแบบนี้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไว้ก่อนดีกว่านะลูก

credit content : sg.theasianparent.com
ขอบคุณภาพ: ทางอินเตอร์เน็ต

5 อันตรายจากการใช้มือถือในที่มืดนานๆSanook!สนับสนุนเนื้อหาไม่ว่าจะวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุ ตอนน...
14/11/2017

5 อันตรายจากการใช้มือถือในที่มืดนานๆ

Sanook!
สนับสนุนเนื้อหา

ไม่ว่าจะวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุ ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนคงจะมีสมาร์ทโฟนกันคนละอย่างน้อย 1 เครื่อง หรือใครอาจจะมีเป็นแท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไปเลย แต่อาการเสพติดโลกออนไลน์ ทำให้เราใช้สมาร์ทโฟนไม่ใช่แค่เพียงพูดคุยผ่านเสียงกันอีกต่อไป

เมื่อเราต้องพิมพ์ ต้องจ้อง ต้องเลื่อนดูภาพไปมาตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาก่อนนอนบนเตียง ทำให้ภาพการเล่นมือถือในห้องนอนเป็นภาพที่คุ้นตา แต่หากเราขี้เกียจถึงขนาดปิดไฟแล้วก็ยังคงนอนเล่นมือถืออยู่ต่อไปอีกสักพัก นานเข้า บ่อยเข้า จะส่งผลเสียอะไรต่อสุขภาพตาของเราบ้าง Sanook! Health จะมาเตือนให้ฟังกันค่ะ



อันตรายจากการใช้มือถือในที่มืดนานๆ



1. เสี่ยงต่ออาการแสบตา ตาแห้ง น้ำตาไหล

2. ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ

3. สายตาไม่ชัด พร่ามัว หรือสายตาสั้นมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

4. มีโอกาสเป็นโรคต้อหิน

5. เส้นประสาทตาถูกทำลาย จนการมองเห็นพร่ามัวมากขึ้น

6. อาจมีความเสี่ยงที่จะตาบอดได้ด้วย (แต่ไม่ได้เป็นมะเร็งที่ตา)

วิธีหลีกเลี่ยงจากอันตรายของการใช้สมาร์ทโฟนในที่มืด

1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง

2. ดื่มน้ำบ่อยๆ เพิ่มความชุ่มชื่นในตา หรือหากท่านใดตาแห้งมากๆ หรือใส่คอนแทคเลนส์ ควรใช้น้ำตาเทียมเมื่อมีอาการตาแห้ง

3. ควรเปิดไฟในห้องให้มีความสว่างเพียงพอ

4. ไม่ควรนอนหงายเล่นสมาร์ทโฟน เพราะหน้าจอจะไม่ได้รับแสงสว่างจากโคมไฟบนเพดาน แม้กระทั่งนอนตะแคงก็อาจทำให้ดวงตาต้องเพ่งจ้องที่หน้าจอหนักกว่าปกติเหมือนกัน

5. ไม่ควรจ้องหน้าจอโทรศัพท์นานจนเกินไป ควรมีการพักสายตาบ้าง ทุกๆ 20-30 นาที


ดวงตาของเรามีแค่คู่เดียว อย่าใช้งานหนักจนลืมให้ความสำคัญกันนะคะ เพราะหากดวงตามีปัญหาขึ้นมา เราจะต้องมานั่งเสียใจว่าทำไมตอนนั้นถึงทำอย่างนี้ รู้งี้ไม่ทำดีกว่า ถึงตอนนั้น็อาจจะสายไปแล้วก็ได้ค่ะ

ขอบคุณภาพ: ทางอินเตอร์เน็ต

ปวดหัวคงไม่มีใครที่ไม่เคยบ่นว่า “ปวดหัว” นั่นเพราะจากความเครียด ไมเกรน ฯลฯ ซึ่งก็ไม่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่ว่าอาการป...
14/11/2017

ปวดหัว

คงไม่มีใครที่ไม่เคยบ่นว่า “ปวดหัว” นั่นเพราะจากความเครียด ไมเกรน ฯลฯ ซึ่งก็ไม่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่ว่าอาการปวดศีรษะบางประเภทที่บ่งบอกถึงความผิดปกติอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิตได้

จากข้อมูลเชิงวิชาการจากศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานี ระบุว่า ของผู้ป่วยที่มีอาการปวดศรีษะทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต การจำแนกโรคปวดศีรษะทั่วไปจากโรคปวดศรีษะที่มีสาเหตุอื่นซ่อนอยู่ โดยเฉพาะ สาเหตุจากภายในสมอง เช่น ก้อนเนื้องอก เลือดออก หรือเส้นเลือดผิดปกติ ถือเป็นสิ่งสำคัญมากทางการแพทย์ และวัตถุประวงค์แรกของแพทย์ในการเริ่มค้นหา และทำการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะเป็นอาการสำคัญ ประวัติและรายละเอียดลักษณะอาการปวดศีรษะจากผู้ป่วย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยโรครวมถึงการสืบค้นสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นต้นเหตุของการปวดศีรษะที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได

9 สัญญาณอันตราย ปวดศีรษะ
ซึ่งมี 9 อาการปวดศีรษะอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์

1.โรคและอาการเจ็บป่วยทางกายอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ปวดกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด มีประวัติโรคมะเร็ง การติดเชื้อ หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เอชไอวี ผู้ที่รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาสเตอรอยด์ ยาละลายลิ่มเลือด ยากดภูมิคุ้มกัน ประวัติเหล่านี้ บ่งบอกถึงโรคติดเชื้อ การอักเสบ และการแพร่กระจายของมะเร็ง
2.อาการแสดงผิดปกติทางระบบประสาท ได้แก่พฤติกรรม หรือ บุคลิกภาพเปลี่ยนจากเดิม แขนขาอ่อนแรง ขา หรือการรับรู้ประสาทสัมผัสผิดปกติ การมองเห็น หรือการได้ยินผิดปกติ
3.อาการปวดศีรษะที่เริ่มต้นหลังตื่นนอน มักบ่งบอกถึงภาวะความดันในกระโหลกศีรษะสูง
4.อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นรุนแรงอย่างเฉียบพลัน ซึ่งมักใช้เวลาเป็นเสี้ยววินาที บ่งบอกถึงภาวะวิกฤตของหลอดเลือดสมองตีบและแตก
5.อาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี แม้ว่าโรคปวดศีรษะปฐมภูมิหลาย ๆ ชนิดอาจเริ่มต้นครั้งแรกหลังอายุ 40 – 50 ปี โดยโรคปวดศีรษะปฐมภูมิไม่ใช่อาการปวดศีรษะที่มีผลจากการรับยา แต่เป็นการปวดศรีษะจากความเครียด ไมเกรน อาการปวดหัวแบบผสม และปวดหัวแบบชุด ๆ แต่อายุที่มากขึ้นมักสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะได้ ที่พบบ่อย เช่น ก้อนเนื้องอก การติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบของหลอดเลือด ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี จึงควรได้รับการอกซเรย์สมองทุกราย ถึงแม้ว่าจะไม่พบความผิดปกติจาการตรวจร่างกายทางระบบประสาท
6.ลักษณะการปวดศีรษะต่างจากอาการปวดศีรษะที่เป็นประจำ โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีช่วงเวลาหายปวด หรือมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น
7.อาการปวดศีรษะที่แย่ลงเมื่อไอจามหรือเบ่ง มักสัมพันธ์กับความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้นเช่นกัน
8.อาการปวดศีรษะที่แย่ลงเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทาง เช่น ปวดมากขึ้นเมื่อยืน นอน หรือเมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะและคอ อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบน้ำในโดพรงสมองและไขสันหลัง หรือกระดูกต้นคอ
9.อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นข้างเดียวตลอดเวลา หรือมักปวดในบริเวณด้านหลังของศีรษะ แสดงถึงพยาธิสภาพที่อาจเกิดอยู่บริเวณนั้นของศีรษะ หากเป็นอาการปวดศีรษะทั่วไปมักมีการสลับข้างซ้ายขวาบ้าง แต่มักพบว่าจะปวดข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้าง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะครั้งแรก แม้จะมีหรือไม่มีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินว่าเป็นโรคปวดศีรษะชนิดใด

ส่วนผู้ที่มีอาการปวดศีรษะอยู่แล้ว หรือปวดศีรษะครั้งแรกล้วมีสัญญาณอันตรายดังกล่าวข้างต้น ให้รีบมาปรึกษาแพทย์ระบบประสาทโดยเร็ว เพื่อสืบค้นสาเหตุที่อาจเป็นอันตรายได้ และเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและตรงกับโรคที่เป็นสาตุ การตรวจวินิจฉัยที่สำคัญ ได้แก่การเอ็กซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การเจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการ และอื่น ๆ ตามแต่โรคที่แพทย์วินิจฉัย

ถึงแม้ส่วนใหญ่ของโรคปวดศีรษะจะไม่เป็นอันตราย แต่การรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การดำรงชีวิตเป็นปกติสุข การคอยสังเกตสัญญาณอันตรายหรือความผิดปกติจะทำให้การวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงทีและส่งผลกระทบกับผู้ป่วยน้อยลงได้

เรื่องของศีรษะจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรคอยสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะแพทย์จะได้วินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที

ข้อมูลจาก นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
ขอบคุณภาพ:ทางอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์ของมะละกอ ผลไม้เพื่อสุขภาพ ต้านโรคได้Sanook!สนับสนุนเนื้อหามะละกอ ผลไม้ที่สามารถทานได้ทั้งดิบและสุก ซึ่งก็มีรสชา...
12/11/2017

ประโยชน์ของมะละกอ ผลไม้เพื่อสุขภาพ ต้านโรคได้

Sanook!
สนับสนุนเนื้อหา

มะละกอ ผลไม้ที่สามารถทานได้ทั้งดิบและสุก ซึ่งก็มีรสชาติอร่อย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทานแบบสดๆ นำมาทำส้มตำ หรือเป็นส่วนประกอบของอาหารก็ตาม และนอกจากการนำมาใช้ประโยชน์แล้ว มะละกอก็ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่จะช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงและต้านโรคร้ายได้อีกด้วย โดยประโยชน์ของมะละกอก็มีดังนี้

ต้านมะเร็ง

จากการวิจัยพบว่า มะละกอมีสารไลโคปีน ที่จะช่วยในการต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงควรทานมะละกอให้มากขึ้น นอกจากนี้ก็พบว่าเมล็ดมะละกอสามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้อีกด้วย จึงมีการนำเมล็ดมะละกอมาสกัดเพื่อเป็นยาบรรเทาอาการมะเร็งนั่นเอง

บำรุงหัวใจ

มะละกอ มีส่วนช่วยในการบำรุงหัวใจให้แข็งแรง และสามารถป้องกันการเกิดไขมันอุดตันเส้นเลือด หรือโรคหัวใจขาดเลือดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว การทานมะละกอบ่อยๆ ก็สามารถบรรเทาอาการของโรคหัวใจได้เหมือนกัน แม้จะไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่เมื่อทานควบคู่ไปกับการรักษาทางแพทย์ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่น้อย

ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น

เนื่องจากมะละกอเป็นผลไม้ที่ย่อยง่าย จึงทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสารอาหารและวิตามินในมะละกอ ก็สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย จึงให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้เต็มที่สุดๆ

เสริมสร้างความจำและบำรุงสมอง

มะละกอ อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารมากมาย ที่จะช่วยเสริมสร้างความจำและบำรุงสมองได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ความจำดีขึ้น แถมลดความเสี่ยงการเป็นอัลไซเมอร์และช่วยให้สมองเกิดความผ่อนคลายอีกด้วย โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงานที่ต้องใช้สมองและความคิดมากเป็นพิเศษไม่ควรพลาดที่จะทานมะละกอเด็ดขาด

บรรเทาอาการท้องผูก

มะละกอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และมีเส้นใยสูง จึงสามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี แถมยังลดความเสี่ยงการเป็นโรคริดสีดวงทวารอีกด้วย ดังนั้นสำหรับใครที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำ การทานมะละกอก็จะช่วยแก้อาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยม และสามารถปรับระบบการขับถ่ายให้เป็นปกติได้ดี

แค่ทานมะละกอเป็นประจำ ก็จะช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงขึ้นได้ และสามารถต้านโรคร้ายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโรคมะเร็ง และเพื่อให้ได้ประโยชน์ของมะละกอมากที่สุด ควรทานมะละกอสุกมากกว่ามะละกอดิบ เนื่องจากจะมีวิตามินและสารอาหารสูงกว่า แถมทานง่าย ย่อยง่ายและอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารอีกด้วย ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี หันมาทานมะละกอบ่อยๆ กันเถอะ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

ขอบคุณภาพ: ทางอินเตอร์เน็ต

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

061-7831222

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ชีวิตสดใส จิตใจชื่นบานผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram