Your Private Counseling

Your Private Counseling "YourPrivateCounseling" provides professional counseling service for individuals, couples and families to promote the psychological well-being of everyone

(English)
"YourPrivateCounseling" provides professional counseling service for individuals, couples and families to promote the psychological well-being of everyone

"Individual Counseling Development Program (ICDP)"

+ Academic improvement
+ High concentration
+ Peaceful
+ Compliance
+ Emotional intelligence
+ Good relationship
+ Acceptance
+ High Self-esteem & Self respect
+ High Self-satisfaction
+ Healthy lifestyle
+ High Self-independent

(THAI)
"YourPrivateCounseling" บริการให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ ให้แก่ ตัวท่าน คู่ครอง บุตรหลาน และคนที่ท่านรัก เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตใจและความสุขอย่างยั่งยืน

"หลักสูตรพัฒนาทักษะและเพิ่มศักยภาพรายบุคคล (ICDP)"

+ ICDP001: หลักสูตรเสริมสร้างสมาธิเพื่อการเรียนและการทำงาน (Att. M)
+ ICDP002: หลักสูตรการจัดการและบริหารอารมณ์ตนเอง (EQ)
+ ICDP003: หลักสูตรการเลิกบุหรี่และยาเสพติด (Q)
+ ICDP004: หลักสูตรการค้นหาความถนัดทางวิชาการและสายอาชีพ (CP)
+ ICDP005: หลักสูตรการจัดการกับปัญหาและข้อขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพ (CM)
+ ICDP006: เทคนิคการบริหารตนเองเพื่อเป็นเลิศด้านการเรียน (AM)
+ ICDP007: หลักสูตรการพัฒนาบุคลิกภาพความเป็นผู้นำ (LM)
+ ICDP008: เทคนิคการสัมภาษณ์งานเพื่อให้ได้งานที่ตรงใจ (IM)
+ ICDP009: หลักสูตรการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องพึ่งพายา (EM)
+ ICDP010: หลักสูตรการแก้ไขอาการนอนไม่หลับโดยไม่ต้องพึ่งพายา (SM)
+ ICDP011: หลักสูตรการแก้ไขอาการกลัวสิ่งต่างๆโดยไม่ต้องพึ่งพายา (FM)
+ ICDP012: หลักสูตรเพิ่มความมั่นใจและคุณค่าให้ตนเอง (Con.M)
+ ICDP013: หลักสูตรพัฒนา/บริหารสมองและเพิ่มความจำ (MM)
+ ICDP014: หลักสูตรจัดการกับความโกรธและความรุนแรง (VM)
+ ICDP015: หลักสูตรพัฒนาระบบความคิด (IQ)
+ ICDP016: หลักสูตรพัฒนาการริเริ่มสร้างสรรค์ (CQ)
+ ICDP017: หลักสูตรพัฒนาความฉลาดทางศีลธรรมและจริยธรรม (MQ)

 #อุทาหรณ์ความใจร้อนบนถนนจากข่าวเหตุการณ์ วิศวกร ยิง หนุ่ม ม. 4 เสียชีวิต หลังจากได้ดู VDO แล้วเราได้เรียนรู้/บทเรียน อะ...
10/02/2017

#อุทาหรณ์ความใจร้อนบนถนน
จากข่าวเหตุการณ์ วิศวกร ยิง หนุ่ม ม. 4 เสียชีวิต หลังจากได้ดู VDO แล้วเราได้เรียนรู้/บทเรียน อะไรจากเรื่องนี้กันบ้างคะ ?
ข้อคิด
1. ขับขี่ตามกฏจราจร ไม่สร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่น
2. หากเผชิญกับผู้ขับขี่ผิดกฏจราจร ต้องใจเย็น ให้อภัย ไม่หาเรื่อง
3. หลีกเลี่ยงการบีบแตร เปิดไฟสูง และลงจากรถค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ :)

#วิศวกรยิงหนุ่มม4
ที่มาของVDO: https://www.youtube.com/watch?v=Dzw_QJihEJ8&feature=youtu.be

ติดตามเราได้ที่ Website : http://www.thairath.tv Facebook : https://www.facebook.com/thairathtv Twitter : https://twitter.com/Thairath_TV Instagram : https:/...

สรุปย่อผลงานวิจัย: ทีมนักจิตวิทยาชาวอังกฤษจากมหาวิทยาลัยแลงแคสเตอร์ (Lancaster University) ได้รวบรวมผลงานวิจัยจำนวน 800 ...
13/01/2017

สรุปย่อผลงานวิจัย: ทีมนักจิตวิทยาชาวอังกฤษจากมหาวิทยาลัยแลงแคสเตอร์ (Lancaster University) ได้รวบรวมผลงานวิจัยจำนวน 800 ชิ้นที่ทำการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างโรคซึมเศร้า (Depression) และพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 88 ปี จำนวน 35,000 คน ผลการวิเคาะห์พบว่า กลุ่มผู้เป็นโรคซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเล่นโซเชียลมีเดีย (เช่น เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์) ดังต่อไปนี้
1. ชอบเปรียบเทียบ “ภาพปรุงแต่งของผู้อื่นในสื่อ (On-line lives)” กับ “ชีวิตแท้จริงของตัวเอง (Off-line life)” ทำให้เกิดความอิจฉา ดราม่าและรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าไร้ราคา
2. ชอบใช้สื่อโซเชียลมีเดียส่องติดตามชีวิตของแฟนเก่า (Former partners) ทำให้ตนเองจมอยู่กับอดีต ตัดใจไม่ได้ เดินต่อไม่ไหว
3. ชอบโพสเผยแพร่เรื่องราวแย่ๆของชีวิตตนเอง ขุดปัญหา ด่าทอตัวเอง ทำให้ยิ่งทวีความรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง และมีความเสี่ยงสูงที่จะทำร้ายตนเอง
4. ชอบหลงยึดติดกับการสร้างและรักษาภาพลักษณ์เสมือนของตนเอง (Virtual identity) ในสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้เผลอประเมินค่าของตนเองแบบผิดๆ เช่น วัดคุณค่าตนเองจากการนับจำนวน like และ comment ที่ได้รับ เมื่อได้ like น้อยก็ด่วนสรุปว่าไม่มีใครสนใจ ไม่เป็นที่ต้องการ
ถ้าหากผู้ใช้สามารถเลี่ยงพฤติกรรมการเล่นโซเชียลมีเดียแบบดังกล่าวข้างต้น โซเชียลมีเดียก็จะเป็นเครื่องมือชั้นเลิศที่ก่อประโยชน์อย่างมากมายต่อสังคมและประเทศค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

ที่มารูปภาพ: https://seasonsmedical.com
ที่มาเนื่อหา: Baker, David A., and Guillermo Perez Algorta. "The Relationship Between Online Social Networking and Depression: A Systematic Review of Quantitative Studies." Cyberpsychology, Behavior, and Social Networking 19.11 (2016): 638-48

"ไม่รู้ว่าชอบทำงานอะไร" "ไม่แน่ใจจะทำงานอะไรดี" หากมีคำถามเหล่านี้ค้างคาในใจ อย่าไปเสียเวลากับงานที่ทรมานใจค่ะ ตอนนี้ยัง...
13/01/2017

"ไม่รู้ว่าชอบทำงานอะไร" "ไม่แน่ใจจะทำงานอะไรดี" หากมีคำถามเหล่านี้ค้างคาในใจ อย่าไปเสียเวลากับงานที่ทรมานใจค่ะ ตอนนี้ยังไม่สายเกินแก้ รีบหยุดสำรวจความต้องการตัวเอง แล้วลองมาทำ "Career Personality & Aptitude Test: แบบทดสอบบุคลิกภาพและทัศนคติต่อการเลือกอาชีพ" (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) กันดูนะคะ กดเข้าไปใน link ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
http://psychologytoday.tests.psychtests.com/take_test.php?idRegTest=3242
แบบทดสอบชุดนี้มีทั้งหมด 240 ข้อ ใช้เวลาทำประมาณ 40 นาที อยากให้ใจเย็นๆ ค่อยๆ อ่านคำถามทีละข้อ แล้วพยายามตอบให้ตรงกับใจเราให้มากที่สุด เพื่อให้ผลวิเคราะห์ออกมาตรงกับความเป็นตัวคุณที่สุดค่ะ คุณอาจพบงานใหม่ที่ทำแล้วมีความสุขมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งแหงนคอ รอเวลากลับบ้านอีกต่อไป
ใครทำเสร็จแล้ว ได้เฉลยเป็นอาชีพอะไรกันบ้างคะ ลองมาแชร์กันนะคะ :)
ที่มา: แบบทดสอบนี้จัดทำขึ้นโดย http://psychologytoday.tests.psychtests.com
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ :)

#ทำอาชีพอะไรดี
#การเลือกอาชีพ
#ความถนัดทางอาชีพ
#ความสุขในการทำงาน

6 ขั้นตอนรักษาแผล "อกหัก"(how to survive a break up)===================นักบำบัดความโกรธชื่อจอห์น คิม (John Kim) ได้นำเสน...
22/12/2016

6 ขั้นตอนรักษาแผล "อกหัก"
(how to survive a break up)
===================
นักบำบัดความโกรธชื่อจอห์น คิม (John Kim) ได้นำเสนอ 6 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อช่วยผู้ที่กำลังผิดหวังในเรื่องของความรักค่ะ
ขั้นที่ 1: Reframe the story of your breakup (เปลี่ยนมุมมองของคุณ) = การเลิกกัน ไม่มีฝ่ายใดผิด คุณไม่ได้ทำอะไรพลาด ความรักมันก็เหมือน นมกล่อง เมื่อนมหมดอายุ คุณจำเป็นต้องเลิกดื่ม เพราะมันบูด มันไม่ดีต่อร่างกาย ทำให้ท้องเสีย ความรักก็มีวันหมดอายุเช่นกัน
ขั้นที่ 2: Cut the cord (ตัดใจ ตัดการติดต่อ) = คุณคงอยากจะโทรหา ทักไลน์ หรือสืบเรื่องแฟนเก่าในเฟสบุค อยากมากๆ ห้ามใจไม่ได้ แต่ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองเข้มแข็งแค่ไหนหรือทำใจได้แล้ว ก็ไม่ควรหาทางติดต่อ เพราะมันจะยิ่งทำให้คุณคิดถึงเวลาเก่าๆและทำให้แผลใจชอกช้ำมากกว่าเดิม คุณจำเป็นต้องกลั้นใจ ต้องตัดใจอย่างเด็ดขาด
ขั้นที่ 3: Create a self-care plan (วางแผนดูแลตัวเองอย่างดี) = คุณต้องดึงความรัก(หัวใจ)ที่เคยฝากไว้ที่เเฟนเก่า แล้วเอากลับมามอบคืนให้ตัวเอง แล้วดูแลตัวเองให้ครบ 6 อย่างดังนี้
3.1) Emotional need = ใส่ใจความรู้สึกตัวเอง อย่าทิ้งให้ตัวเองอยู่คนเดียว รีบหาคนที่ไว้ใจคุยด้วย เช่น พ่อ แม่ ครอบครัว เพื่อน หรือนักจิตวิทยา
3.2) Purpose need = ตั้งใจทำงานหรือหน้าที่ของคุณ อย่าปล่อยให้แฟนเก่ามาเอาทุกอย่างไปจากชีวิตคุณ คุณต้องตั้งเป้าหมาย พร้อมเดินต่อไป
3.3) Sexual need = หากอยากมี s*x คุณไม่ต้องแคร์แฟนเก่า จงเปิดใจ ออกไปหาประสบการณ์ใหม่กับคนใหม่ๆ
3.4) Physical need = ฟิตหุ่น ออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ ทำตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ คุณค่าของคุณ คุณกำหนดเอง
3.5) Intellectual need = เลือกหนังสือดีๆ (ที่ไม่เกี่ยวกับความรัก) มาลองอ่านสักเล่ม เพื่อเพิ่มมุมมองที่แตกต่างให้ชีวิต
3.6) Spiritual need = มองหาสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น หลักปรัชญา คติธรรม ศาสนา หรือแนวคำสอนของผู้ที่คุณเคารพ ศรัทธา
ขั้นที่ 4: Assess the damage (ย้อนมองรอยแผลใจ ค้นหาตัวเอง) = สำรวจใจและความคิดของคุณว่า การเลิกกับแฟนเก่า ทำให้ใจคุณเปลี่ยนไปไหม เช่น อาจเปลี่ยนความเชื่อเรื่องความรักว่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย หรือคิดว่าจะเป็นโสดตลอดไป เพราะไม่มีคนดีๆอีกแล้ว หยุดค่ะ อย่าปล่อยให้แฟนเก่า มาเปลี่ยนตัวตนของคุณ คุณต้องกลับไปหาตัวเองให้เจอ อดีตคือหนังเรื่องเก่า อนาคตคือหนังเรื่องใหม่ อย่าขังตัวเองในหนังเรื่องเก่าเด็ดขาด เพราะหนังเรื่องใหม่คุณอาจได้เป็นตัวเอง (พระเอก/นางเอก) อย่าปิดโอกาสตัวเอง
ขั้นที่ 5: Accepting and forgiving (ยอมรับและให้อภัย) = จงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน เมื่อคุณผ่านมาได้ มันทำให้คุณแข็งแกร่งมากขึ้น และให้อภัยเเฟนเก่าของคุณ การให้อภัย ไม่ใช่ทำเพื่อเค้า แต่เป็นการทำเพื่อฟื้นฟูและรักษาจิตใจคุณเอง
ขั้นที่ 6: Create non-negotiables for your life and your next relationship (ปล่อยตัวเองเป็นอิสระ พร้อมเริ่มความสัมพันธ์ใหม่) = อย่าฝังใจกับเหตุการณ์เก่าๆ อย่ายึดติดกับคนเดิมๆ คุณต้องเดินออกมา ไม่ต้องกลัวว่าจะเจ็บซ้ำ เพราะคุณมีภูมิต้านทานแล้ว จะไม่มีใครมาทำให้คุณเจ็บแบบนั้นอีก
ท่ามกลางการเดินทางผ่านแต่ละขั้น ต้องใช้ความพยายาม ความอดทน และความรักตัวเอง คุณจะสามารถผ่านได้ด้วยตัวคุณเองค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

#อกหัก #เลิก
แหล่งอ้างอิง: https://www.psychologytoday.com/blog/the-angry-therapist/201612/6-steps-bounce-back-expired-relationship

How to survive a break up

 #คิดอย่างไรให้เป็นทุกข์ความคิดคาดหวัง 3 อย่าง ที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ ! =================================นักจิตวิทยาชื่อ อ...
21/12/2016

#คิดอย่างไรให้เป็นทุกข์
ความคิดคาดหวัง 3 อย่าง ที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ !
=================================
นักจิตวิทยาชื่อ อัลเบิร์ต เอลลิส (Albert Ellis) ผู้คิดค้นทฤษฎีการบำบัดทางจิตวิทยาโดยให้ความสำคัญกับ การใช้เหตุผล อารมณ์และพฤติกรรม หรือที่เรียกว่า "Rational Emotive Behavior Therapy (REBT)" เขาพบว่า การเปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรม คือหนทางนำไปสู่การมีสุขภาพจิตที่ดี อัลเบิร์ตนำเสนอความคิดประเภทความคาดหวัง 3 อย่างที่เป็นต้นตอทำให้คนเครียดและเป็นทุกข์ มีอะไรบ้า่ง? ติดตามอ่านกันได้เลยค่ะ
ความคิดคาดหวัง 3 แบบ ที่ทำให้คนเป็นทุกข์ ! (ถ้ามี ต้องรีบหยุดคิดนะคะ)
แบบที่ 1. “I must do well. I must be successful. If I do not attain these goals, I am a miserable failure and deserve the worst." คิดว่าฉันต้องทำได้ดีเสมอ ฉันต้องประสบความสำเร็จทุกอย่าง แล้วถ้าทำผิดพลาด มักจะรีบสรุปกับตัวเองว่า ฉันมันห่วย ไม่มีปัญญาทำอะไรได้ = ความคิดแบบนี้ คือ ความคิดใส่ร้ายตัวเอง (self-denigration) และจะทำให้เกิดความคิดเกลียดตัวเอง (self-hatred) ค่ะ
แบบที่ 2. “Others must treat me well” คิดว่าคนอื่นต้องทำดีกับฉันตลอดเวลาและคนอื่นต้องให้เกียรติฉัน ยุติธรรมกับฉัน ถ้าคนอื่นไม่ทำดี ไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ความยุติธรรม ฉันไม่ยอมๆๆ = ความคิดแบบนี้คือต้นเหตุของความโกรธแค้นและนำไปสู่การใช้กำลังและทะเลาะวิวาทค่ะ
แบบที่ 3. “I should never have to deal with hardships or difficulties.” คิดว่าฉันไม่ควรมา่เจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันต้องเจอปัญหาอีกแล้ว เมื่อไหร่ปัญหาจะจบๆไปซะที = ความคิดประเภทนี้ จะทำให้ท้อแท้ หดหู่ และล้มเลิกความพยายามค่ะ
ถ้าใครมีความคิดแบบที่ 1-3 ต้องรีบสละทิ้งไปโดยด่วน แล้วชีวิตจะมีความทุกข์น้อยลงแน่นอนค่ะ :)
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

แหล่งที่มา: https://www.psychologytoday.com/blog/think-well/201612/three-expectations-typical-unhappy-people

Here is a toxic triad of unreasonable expectations that often leads to misery.

"ความเครียด" ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆเสมอไปนะคะ ขออนุญาตแชร์บทความดีมีสาระจากเพจ The MATTER ที่ช่วยอธิบายอีกเเง่มุมหนึ่งของ...
24/11/2016

"ความเครียด" ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆเสมอไปนะคะ ขออนุญาตแชร์บทความดีมีสาระจากเพจ The MATTER ที่ช่วยอธิบายอีกเเง่มุมหนึ่งของความเครียดที่น่าสนใจ โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปรที่สำคัญคือ ระดับของความเครียด VS ประสิทธิภาพของการทำงาน ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ? ติดตามอ่านต่อได้เลยค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

ความเครียดในการทำงาน ดีหรือเปล่า?
ก่อนหน้านี้เราก็เคยพูดถึงว่า “ความสุข” ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์มันลดน้อยถอยลง เป็น “ความเครียด” และแรงกดดันนี่แหละที่ช่วยให้มนุษย์สามารถคิดหาหนทางใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น
แล้วคนที่สามารถควบคุมความเครียดที่เกิดจากการทำงานได้ ก็สามารถช่วยให้พวกเขาพัฒนาได้ทั้งผลิตภาพและประสิทธิภาพ
อย่าง Jennifer Welker อดีต พยาบาลเด็กอ่อนที่บอกว่า เธอเคยจัดการงานของตัวเองได้ดีมาก อันเป็นผลมาจากการทำงานภายใต้ความกดดัน
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเธอก็เริ่มเจอปัญหาจากความเครียดเรื้อรัง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดต่ำลง และนอนไม่หลับ เธอจึงเริ่มทำธุรกิจอัญมณีเพื่อเป็นช่องทางในการบำบัดปัญหาที่เธอเจอจากอาชีพพยาบาล
เมื่อสุภาพของเธอย่ำแย่ลง เธอก็ตัดสินใจออกจากการเป็นพยาบาลแล้วหันมาทำธุรกิจอัญมณีอย่างเต็มตัว
ความตึงเครียดจึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับคุณได้ แต่ความเครียดเรื้อรังก็อาจจะกระทบต่อคุณภาพของงาน และทำให้คุณเสียการเสียงาน รวมถึงเกิดปัญหาในชีวิตส่วนตัวได้ด้วย
แต่การจะรู้ว่า ความเครียดที่เรามีกำลังจะไปถึงจุดที่เกิดปัญหาแล้วหรือยัง เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ ซึ่งเราอาจจะต้องมองย้อนหลังไปในอดีตเพื่อหาสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกินระยะเวลาเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ
อีกวิธีหนึ่งในการจัดการกับปัญหาความเครียด Alan Levin ที่เป็นนักบำบัดบอกว่า มันมีเทคนิคอยู่ ซึ่งก็มีเรื่องของมุมมองต่อความเครียดเป็นสำคัญ เพราะเมื่อความคิดที่คุณมีต่อความเครียดเปลี่ยนไป ผลกระทบที่มาจากความเครียดก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“ความเครียดเป็นความรู้สึกที่เรามีเวลาที่เราคิดว่า เรามีความต้องการ หรือมีหน้าที่อะไรบางอย่างแต่เราไม่มีทรัพยากรที่เหมาะสมพอที่จะเอาไปใช้จัดการเรื่องนั้นๆ ได้” Levin กล่าว
การบำบัดของ Levin เขาใช้วิธีที่เรียกว่า cognitive behavioral therapy หรือการบำบัดพฤติกรรมการรับรู้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับการบำบัดเข้าใจว่าการบิดเบือดข้อมูลที่ได้รับจากประสบการณ์ของพวกเขาเกิดขึ้นได้อย่างไรและเมื่อใด
Levin บอกว่า หลายคนเมื่อสามารถแยกความคิดเชิงลบ และรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เรียกว่า “cognitive distortions” (กระบวนการที่จิตใจของเราพยายามทำให้เราเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องจริง) ก็สามารถก้าวข้ามปัญหาความเครียดมาได้โดยใช้ความเข้าใจของตัวเองในการเปลี่ยนมุมมองต่อประสบการณ์ที่ผ่านมา
ฉะนั้นถ้าจะเครียดเพื่อประสิทธิภาพก็ขอให้เครียดกันเบาๆ ถ้าเริ่มจะเครียดกันยาวๆ ก็คงต้องมองหาตัวช่วยกันหน่อยนะ
ที่มา: http://www.bbc.com/capital/story/20161116-stress-is-good-for-you-until-it-isnt

บทคัดย่อ: งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Biological Psychiatry พบว่า อาการซึมเศร้าของคุณแม่ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ (perinatal...
18/11/2016

บทคัดย่อ: งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Biological Psychiatry พบว่า อาการซึมเศร้าของคุณแม่ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ (perinatal depression) และภาวะซึมเศร้าภายหลังจากคลอดลูก (postpartum depression ) ส่งผลกระทบต่อกระบวนการการพัฒนาสมองของลูกน้อย เช่น สมองส่วนหน้า (frontal cortex) มีความหนาลดลง ทำให้ลดประสิทธิภาพการคิดของเด็ก ลดการควบคุมอารมณ์ตนเอง เด็กอาจมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติด้านการเรียนรู้และด้านพฤติกรรมค่ะ ดังนั้นนอกเหนือจากเวลาที่เหล่าคุณแม่เอาไปดูแลลูกน้อย คุณแม่ต้องอย่าลืมหันมาดูแลสุขภาพจิตใจของตัวเองด้วยนะคะ ส่วนคุณพ่อก็จำเป็นต้องอยู่คอยเอาใจใส่คุณแม่ หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้คุณแม่ไม่พอใจ หงุดหงิดหรือโกรธค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ :)
#ศูนย์บริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตใจ

#โรคซึมเศร้าหายได้ด้วยตัวคุณเอง
สอบถามรายละเอียดและขอคำปรึกษาได้ที่ Inbox
https://www.facebook.com/yourprivatecounseling
#คุณแม่ #การเลี้ยงลูก #พัฒนาการเด็ก
ที่มางานวิจัย: https://www.sciencedaily.com/releases/2016/11/161115123323.htm
ที่มารูปภาพ: http://ecosmartworld.com/2016site/wp-content/uploads/2012/02/pregnancyphoto.jpg

“เหล่าดาราดังและนักร้อง งดดื่มสุรา เลิกยาเสพติด แล้วหันมาแก้เครียดด้วยการคุยกับนักจิตวิทยา” ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ? ติดตามอ...
16/11/2016

“เหล่าดาราดังและนักร้อง งดดื่มสุรา เลิกยาเสพติด แล้วหันมาแก้เครียดด้วยการคุยกับนักจิตวิทยา” ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ? ติดตามอ่านรายละเอียดได้เลยค่ะ >>>
ใครเชื่อว่า เป็นดาราแล้วจะมีความสุขตลอดเวลา ไม่จริงค่ะ ดาราเองก็มีหลายเรื่องต้องเครียด เช่น ต้องแข่งขันกับเวลาในการทัวร์คอนเสิร์ต ไปไหนก็ต้องคอยระวังตัว หลายคนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อต่างๆและแฟนเพลงในทางลบ โดนด่า ผลงานไม่ได้รับการยอมรับ ได้รับแรงกดดันจากเพื่อนร่วมวงการ ทำให้ดาราหลายคนเกิดความเครียดสูง เสียกำลังใจ เสียความมั่นใจ และมีอาการซึมเศร้า (depression) และอาการวิตกกังวล (anxiety) จากผลการสำรวจของเวปไซค์ชื่อดังของอังกฤษ helpmusicians.org.uk พบว่า กลุ่มของผู้มีอาชีพนักดนตรีมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าคนทั่วๆไปถึง 3 เท่า และมีนักดนตรีจำนวนมากกว่า 7 ใน 10 คนที่เล่าว่าพวกเขาเคยมี อาการวิตกกังวล (anxiety) และมีอาการตื่นตระหนก (panic attacks) อย่างเช่น (1) เคต บุช (Kate Bush) ศิลปินหญิงเดี่ยวในสหราชอาณาจักรที่ประสบความสำเร็จที่สุดในรอบ 30 ปีและเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีซิงเกิ้ลอันดับ 1 ที่เขียนเพลงเอง เธอเล่าว่า ตัวเธอเองก็เคยรู้สึกหวาดกลัวและกระวนกระวายทุกคืนก่อนถึงวันที่จะต้องขึ้นไปแสดงสด และ (2) เซน จาวัดด์ “เซย์น" แมลิก (Zain Javadd "Zayn" Malik) นักร้องสมาชิกวงแมลิก ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเคยรู้สึกกลัวการขึ้นไปแสดงมากจนต้องยกเลิกการจัดแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศดูไบไปอย่างน่าเสียดาย
เมื่อเหล่าดาราเผชิญความเครียดสูง พวกเขาจะทำอย่างไรล่ะ วิธีแก้เครียดที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักร้องนักดนตรีก็คือ ออกปาร์ตี้ ดื่มสุรา ตลอดจนไปถึงการใช้ยาเสพติด ซึ่งวิธีการเหล่านี้ก็แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเหล่าศิลปินชั้นนำค่ะ
ด้วยเหตุนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเพลงของอังกฤษที่ชื่อว่า quitegreat.co.uk จึงพยายามสรรหาวิธีที่ช่วยดูแลสุขภาวะทางจิตใจ (mental health) โดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจของเหล่าศิลปิน ทางบริษัทเลือกที่จะให้ศิลปินเข้าพูดคุยและเรียนรู้วิธีจัดการความเครียดกับทีมนักจิตวิทยาการปรึกษา โดยศิลปินชั้นนำมากมายได้เข้าร่วมกับโครงการนี้ เช่น (1) เซอร์ ไมเคิล ฟิลิป "มิก" แจ็กเกอร์ (Sir Michael Philip "Mick" Jagger) นักร้องนำวงเดอะโรลลิงสโตนส์, (2) แวน มอร์ริสัน, โอบีอี (Van Morrison, OBE) ผลงานเพลงสตูดิโออัลบั้มชุด Astral Weeks และ Moondance และผลงานอัลบั้มแสดงสด It's Too Late to Stop Now, (3) สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder) นักประพันธ์เพลงผู้ได้รับรางวัลออสการ์สาขาเพลงยอดเยี่ยม, (4) มารายห์ แครี่ย์ (Mariah Carey) ศิลปินที่เคยมียอดขายสูงสุดของค่ายโคลัมเบีย และรวมถีงไปศิลปินนานาชาติชื่อดังอีกหลายคน
หลังเสร็จสิ้นโครงการ quitegreat.co.uk พบว่า การให้ศิลปินได้เข้าพบทีมนักจิตฯ ถือเป็นวิธีการที่ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและให้ผลดีในระยะยาวแก่เหล่าดารานักร้อง เพราะกลุ่มศิลปินได้เรียนรู้ที่จะรับมือคำวิพากวิจารย์ที่รุนแรง ฝึกการควบคุมอารมณ์ตนเอง และปรับสภาพจิตใจเข้ากับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ทำให้เหล่าศิลปินสามารถพัฒนาผลงานของตนเองได้อย่างต่อเนื่องและลดความเสี่ยงที่ต้องหยุดหรือเลิกล้มการแสดงหรืองดผลงานกลางคัน ซึ่งถือเป็นการยืดอายุงานของศิลปินในสายงานบันเทิงอย่างคุ้มค่า ผลลัพธ์ของโครงการนี้ดึงดูดความสนใจจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่หลายประเทศ และค่ายเพลงต่างๆเริ่มมีการผนึกกำลังกับทีมนักจิตฯให้เข้ามาช่วยดูแลนักร้องนักแสดงตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วงการเพื่อหวังที่จะปลูกพื้นฐานด้านจิตใจให้แข็งแกร่งเตรียมพร้อมรับกับแรงกดดันและความเครียดต่างๆในอนาคต น่าขบคิดต่อว่า แล้ววงการบันเทิงและดาราไทย ใช้วิธีอะไรในการแก้เครียดคะ ?
ที่มาภาพและเนื้อหา: https://www.theguardian.com/society/2016/nov/13/musicians-mental-health-therapists
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

10/11/2016

#ร่วมสู้กับโรคซึมเศร้า #หายซึมเศร้าได้ด้วยตัวคุณเอง
ขอแบ่งปันประสบการณ์การต่อสู้กับโรคซึมเศร้า จากคุณเอก (นามสมมุติ) ที่ช่วยส่งเรื่องราวอันมีค่านี้มาทางinboxเพื่อเผยแพร่ให้แก่เพื่อนๆค่ะ
สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ย่ำแย่ แต่ถือเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับผมมากๆ เท่าที่จำได้ ตั้งแต่ตอนอายุ 15 ผมก็เริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ติดต่อกันมา 5 ปี ผมยืนยันได้เลยว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต ไม่ใช่คนบ้าอย่างที่มีความเชื่อผิดๆในสังคมไทย อันที่จริงแล้ว มันเป็นการปรับเปลี่ยนทางร่างกายที่เกี่ยวกับสมอง สมองมันหลั่งสารบางอย่างที่ทำให้ความสุขในชีวิตของผมน้อยลง มองไปทางไหนก็เศร้า มืดมน ทุกอย่างมันแย่ หมดแรง แค่ลืมตาก็เหนื่อยแล้ว ผมคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง ไม่ได้คิดสั้นนะ ไม่ได้อยากตายด้วย กลัวเจ็บ ไม่ต้องการเรียกร้องความสนใจ ไม่อยากให้ใครมานั่งเสียใจด้วย ผมเขียนในจม.เลยว่าถ้าตายไม่ต้องจัดงานศพ ไม่ต้องลำบาก ตอนนั้นคิดว่าถ้าตายจะได้หายทรมาน คนรอบตัวก็พยายามเข้ามาพูดให้กำลังใจ ผมพยายามรับฟัง แต่ลึกๆมันก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยนะ ผมฝืนความรู้สึกตัวเองหลายครั้ง ฝืนใช้ชีวิตประจำวัน แค่จะลุกจากเตียงก็ยากมากๆ ตัวมันหนัก ตื่นมาร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุ มองก้อนเมฆก็หม่นหมอง ถามตัวเองตลอดว่ามีชีวิตไปเพื่ออะไร แต่ก็สู้ พยายามทำสิ่งที่เคยทำแล้วมีความสุข ดูหนังก็ไม่จบเรื่อง กินอะไรก็ไม่ลง เหมือนมันมีแต่ร่างกายลอยไปลอยมา แล้วผมเริ่มไม่อยากออกไปไหน อยู่คนเดียวในห้อง ไม่อยากเจอใคร เหนื่อยที่จะยิ้ม เหนื่อยขยับปาก เหนื่อยที่จะต้องคิดว่าจะต้องคุยอะไรกับใคร แค่คุยกับตัวเองตอบคำถามตัวเองก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว มันมีคำถามผุดในหัวเยอะมาก เรามีดีอะไร ดีคืออะไร ทำไมต้องดี อยู่ไปทำไม ทำไมต้องใช้ชีวิต ทำไมมีชีวิต ทำไมคนเราต้องเกิดมา ผมตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง โดยคำถามพวกนี้ไล่จนมุม ตอบไม่ได้หมด เริ่มไม่มีจุดหมายชีวิต หดหู่ ท้อแท้ ผมทนไม่ได้ความทรมานนี้ไม่ได้จริงๆ ผมคว้ายาอะไรไม่รู้เข้าปาก ยัดไปประมาณ 30 เม็ด พอกินเข้าไปหมด ผมคิดเลยว่าตัวเองต้องตายแน่ มันรู้สึกเหมือนพลัดตกจากขอบเหว ร่างกายมันปั่นป่วนไปหมด ทรมานกว่าอาการซึมเศร้าหลายร้อยพันเท่า ผมรีบสวดมนต์บทอะไรที่พอจะนึกออก ผมอยากย้อนเวลากลับไป ผมเสียใจมาก เจ็บปวดแบบสุดๆ ผมปวดท้องมาก นอนขดตัว กลัวตาย ไม่อยากตายแล้ว ทรมานเหลือเกิน ผมเริ่มรู้สึกว่าหัวใจเต้นแปลกๆ มั่นใจว่าต้องตายแน่ ทั้งกลัว ทั้งเหงา คิดถึงคนในครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน ไม่อยากจากพวกเค้าไปแล้ว โชคดีมากๆที่ญาติๆผมเดินมาเจอผมนอนตัวซีดอยู่ในห้องน้ำ เลยพากันหามส่งรพ. ทีมหมอรีบล้างท้อง ยัดสายยางเข้าไปในรูจมูก สอดเข้าไปลึกมาก ลึกแบบไม่มีที่สิ้นสุด ผมรู้สึกเจ็บทุกเสี้ยววินาทีที่หมอขยับสายลึกขึ้นๆ มันเป็นความเจ็บที่มากกว่าเจ็บ เจ็บเกินเจ็บ สายยางเสียดสัมผัสกับผนังลำคอ มันเจ็บแสบมากๆ เจ็บจนอ้วก ยิ่งอ้วกก็ยิ่งเจ็บ ผมทนเจ็บไม่ไหวจนสลบ พอรู้ตัวอีกทีก็วันรุ่นขึ้นแล้ว ร่างกายมันชา ความเจ็บยังค้างอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย สายยางก็ยังค้างอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ นี่คือความทรมานที่สุดในชีวิต อย่างกับนรกทั้งเป็น พอร่างกายเริ่มฟื้นตัว ผมก็ถูกส่งไปพบกับนักจิตวิทยาการปรึกษา ครั้งแรกคุยกันยาว 3 ชั่วโมง ผมไม่คิดว่าจะคุยนานขนาดนี้ ตอนแรกนึกว่าจะถามๆตอบๆแล้วจบ แต่คุยแล้วรู้สึกว่าเค้าเข้าใจเราทุกอย่าง เหมือนเรากำลังนั่งคุยกับจิตใจตัวเอง ยิ่งคุยก็ยิ่งเห็นภาพตัวเองชัดขึ้น ผมเลยระบายความคิดออกมาหมด คุยกันแทบทุกเรื่อง ผมรู้สึกว่าเค้าไม่ได้พยายามชี้นำหรือผลักผมให้เดินไปข้างหน้า แต่เค้ามาเดินวนไปวนมาอยู่กับผมจนผมเจอทางออกแล้วเค้าก็เดินตามผมออกมา ผมเจอความคิดดีๆที่ผมลืมไปแล้ว ผมเห็นตัวเองอีกแบบ ผมเห็นโลกอีกใบ ผมไม่ได้มีความสุขมากขึ้นนะ แต่ผมมีความทุกข์น้อยลง ถึงแม้ผมยังไม่มีเป้าหมายชีวิต แต่ผมเห็นคุณค่าของชีวิต ผมไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม แต่ผมรู้ว่าผมอยากอยู่เพื่ออะไร ผมว่าผมก็อาจจะยังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แหละ แต่ผมพอจะอยู่กับมันได้ ผมไม่ต้องมีความสุขตลอดหรอก ผมรู้จักและเข้าใจความคิดตัวเองและไม่ตั้งคำถามมาทำร้ายตัวเอง ผมดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้ แค่นี้ผมก็โอเคแล้ว แม้ว่าตอนนี้ผมจะทำลายโรคซึมเศร้าไม่ได้ แต่มันก็มาทำลายชีวิตผมไม่ได้เช่นกัน ผมขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้โรคซึมเศร้าทุกคนนะครับ
ขอขอบคุณประสบการณ์อันมีค่าของคุณเอก (นามสมมุติ) ค่ะ
หากใครอยากแชร์ประสบการณ์ #ร่วมสู้กับโรคซึมเศร้า เชิญส่งเรื่องราวเข้ามาในinboxได้เลยนะคะ เพื่อร่วมเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ :)

 #กราบรถกู จากความโกรธเพียงชั่ววูบ กลายเป็นวลีดัง ทำให้ดาราดับ เพียงชั่วข้ามคืน เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้? แล้วเ...
09/11/2016

#กราบรถกู จากความโกรธเพียงชั่ววูบ กลายเป็นวลีดัง ทำให้ดาราดับ เพียงชั่วข้ามคืน เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้? แล้วเราจะป้องกันและแก้ไขได้อย่างไร? ติดตามอ่านเรื่องราว “ที่มาและการจัดการความโกรธ (Anger management)” ได้เลยค่ะ
ความโกรธ (Anger) เป็นอารมณ์พื้นฐานตามธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์และสัตว์ โดยมีสมองส่วนที่ชื่อว่า "อไมกดาลา (Amygdale)” ที่มีรูปร่างคล้ายเม็ดแอลมอนด์ ทำหน้าที่ในการรับรู้อารมณ์โกรธ ความโกรธมีความสำคัญมาก ทำหน้าที่เป็นสัญชาตญาณการป้องกันภัยของสิ่งมีชีวิตเพื่อป้องกันอันตราย จากสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกถูกคุกคาม ไม่ปลอดภัย ช่วยให้ร่างกายมนุษย์ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ หรือหนีภัยจากสัตว์ป่าที่ดุร้ายนานาชนิด แล้วเอาชีวิตรอด สืบทอดเผ่าพันธุ์ จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ได้
โดยปกติ เมื่อความโกรธเกิดขึ้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชื่อ “คอร์ติซอล (Cortisol)” สารตัวนี้กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ (Sympathetic nervous system) ทำให้เส้นเลือดหดตัว เลือดขึ้นหน้า กล้ามเนื้อบีบตัว หายใจแรง หัวใจบีบตัวแรงและเร็วขึ้น เพื่อสูบฉีดเลือดส่งออกซิเจนไปเลี้ยงสมองส่วนอไมกดาลา เมื่อเลือดไปหล่อเลี้ยงสมองส่วนนี้มาก สมองส่วนอื่นๆที่สำคัญจะได้รับเลือดหล่อเลี้ยงน้อยลง โดยเฉพาะสมองส่วนที่ชื่อว่า “Prefrontal cortex” (บริเวณสมองส่วนหน้าสุดใต้กะโหลกหน้าผาก ทำหน้าที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ วางแผนและใช้เหตุผล) ดังนั้นช่วงเวลาที่คนเราโกรธ สมองส่วน Prefrontal cortex จะทำงานน้อย ทำให้ช่วงวินาทีนั้น มนุษย์มักจะขาดเหตุผล ขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ เราเรียกปรากฏการณ์ทางจิตวิทยานี้ว่า “Amygdala Hijack” หรือ “การปล้นสติ” ทำให้สมองคนเราหยุดใช้เหตุผลและทำตามอารมณ์ เช่น ใช้กำลัง ทำลายข้าวของ ขึ้นเสียง ด่า หรือทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยอารมณ์ชั่ววูบค่ะ
เทคนิคง่ายๆ ในการป้องกันการปล้นสติ (Amygdala Hijack)
(1) คอยสังเกตุสัญญาณเริ่มต้นของอารมณ์โกรธ ฝึกสังเกตจากสัญญาณทางจิตใจ เช่น เริ่มรู้สึกว่าโกรธ หงุดหงิด ฉุนเฉียว และสัญญาณทางร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อเริ่มตึงมากขึ้น คิ้วขมวด กำหมัดแน่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว
(2) ค่อยๆหลับตาลง (เพื่อหยุดประสาทสัมผัสการรับรู้สิ่งเร้าภายนอก) และสูดลมหายใจเข้า (พยายามหายใจช้าที่สุดและลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้) แล้วค่อยๆหายใจออก (หายใจออกช้าๆและถ่วงเวลาให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้) หายใจเข้า-ออกแบบนี้ รวมทั้งหมด 20-30 รอบ เพื่อดึงออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วน Prefrontal cortex ช่วยเติมพลังให้กับสมองช่วยทำงานใช้เหตุผลและไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะลงมือทำตามอารมณ์ และอาจใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การเบี่ยงเบนความสนใจออกจากสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์โกรธย้ายไปมุ่งความสนใจที่ฝ่ามือ โดยการกำมือ-แบมือ (บีบ-คลาย) ทำช้าๆ 30-40 รอบ วิธีการนี้จะช่วยชะลอการทำงานของอไมกดาลา และเร่งการทำงานของ Prefrontal cortex ส่งผลให้อารมณ์โกรธลงน้อยลงค่ะ
(3) สำรวจความคิด คิดถึงข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์และโทษ ความคุ้มค่า ผลระยะสั้นและยาว พิจารณาผลลัพธ์ที่ตามมาจากการกระทำในแต่ละทางเลือก ก่อนลงมือทำสิ่งต่างๆ
(4) คิดให้อภัยคนที่ทำให้เราโกรธ เพราะคนเราทำผิดพลาดกันได้และถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากทำผิด ทำลายชีวิตตัวเอง จริงไหมคะ
หากเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับ #กราบรถกู เกิดขึ้นกับเพื่อนๆ เราต้องรู้จักวิธีการป้องกันการปล้นสติ (Amygdala Hijack) ด้วยการฝึกรู้ตัว ตั้งสติ สังเกตุสัญญาณความโกรธของตนเอง หายใจเข้า-ออกเพิ่มพลังสมอง เพื่อป้องกันการกระทำอันไร้สติซึ่งอาจส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่นค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ



#การจัดการความโกรธ

เรื่องราวการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าของ "มิแรนด้า เคอร์ (Miranda Kerr)" นางฟ้าปีกเหล็กแห่งวิคตอเรีย ซีเคร็ต (Victoria's Secr...
03/11/2016

เรื่องราวการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าของ "มิแรนด้า เคอร์ (Miranda Kerr)" นางฟ้าปีกเหล็กแห่งวิคตอเรีย ซีเคร็ต (Victoria's Secret)
มิแรนด้า เคอร์ นางแบบสาวเบอร์หนึ่งจากออสเตรเลีย เธอเกิดวันที่ 20 เมษายน ปี 1983 และได้เป็นหนึ่งในนางแบบให้ วิคตอเรีย ซีเคร็ต ในปี 2007 มิแรนด้าพบรักและเริ่มออกเดทกับ ออร์แลนโด้ บลูม (Orlando Bloom) หนุ่มหล่อจากเกาะอังกฤษและนักแสดงหนังดังหลายเรื่อง เช่น Lord of the Rings และ Pirates of the Caribbean ทั้งคู่รักกันมากจนตัดสินใจแต่งงานกันและให้กำเนิดหนุ่มน้อยฟลินน์ (Flynn) แต่ในที่สุดชีวิตคู่ต้องจบลงและประกาศแยกทางกัน โดยมิแรนด้าให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เธอเสียใจมากและมีอาการซึมเศร้าขั้นรุนแรงมาก เมื่อก่อนเธอเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน เธอไม่คิดว่าตัวเองจะมาเป็นโรคนี้ แต่เธอไม่ยอมแพ้ วิธีที่เธอใช้ในการเอาชนะโรคซึมเศร้าคือ การฝึก/บังคับตัวเองให้เลือกมองสิ่งต่างๆในแง่บวกอย่างมีสติ และเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราคือผู้ที่ควบคุมจิตใจและความคิดของเรา อย่าปล่อยให้มันทำร้ายเรา ทำให้เธอก้าวผ่านโรคซึมเศร้ามาได้ เธอเลือกที่จะลุกขึ้น และเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวค่ะ
อย่าลืมแชร์ เพื่อมอบกำลังใจให้ผู้ที่กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้ากันนะคะ

#สู้รบกับโรคซึมเศร้า
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ :)

แหล่งที่มา:
http://www.news.com.au/entertainment/celebrity-life/hook-ups-break-ups/miranda-kerr-reveals-battle-with-depression-after-orlando-bloom-split/news-story/8763d2e8041bb941c00b720c630638ff

MIRANDA Kerr has revealed she “fell into a really bad depression” after her breakup from Orlando Bloom.

 #ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไปเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จั...
14/10/2016

#ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี
การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ นำความโศกเศร้าอันใหญ่หลวงสู่มวลมหาชนคนไทย ส่งผลให้ชาวไทยหลายคนอาจเผชิญสภาวะความเครียดสูงและเกิดอาการซึมเศร้าได้ค่ะ ดังนั้นเราต้องอย่าลืมช่วยกันดูแลจิตใจของครอบครัวคนไทยกันนะคะ
#การดูแลผู้ที่โศกเศร้าจากการสูญเสีย
อารมณ์เศร้าจากการสูญเสียเป็นปฏิกิริยาทางจิตใจที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ บางคนสามารถผ่านช่วงอารมณ์นี้แล้วกลับสู่กิจวัตรประจำวันได้เร็ว แต่บางคนอาจมีอารมณ์เศร้าขั้นรุนแรงและนานกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่อยากออกไปเจอผู้คน ขังตัวเองในห้อง ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกว่า อารมณ์เศร้าที่ผิดปกติต่อการสูญเสียค่ะ
อาการทั่วไปของผู้ประสบกับการสูญเสียมี 3 ระยะ
1) ระยะมึนชา >>> ตกใจ ไม่เชื่อ ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น มึนชา ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงถึง 3-4 สัปดาห์
2) ระยะซึมเศร้า >>> เศร้า ร้องไห้ คร่ำครวญ ย้ำคิดถึงผู้ที่เสียชีวิต ไม่อยากอาหาร นอนไม่หลับ ซึม ไม่อยากทำอะไร ใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ อาการอาจดีขึ้นเองในเวลา 3-4 เดือน คนส่วนใหญ่มักจะไม่เกิน 6 เดือน
3) ระยะคืนสู่ปกติ >>> กลับสู่ชีวิตประจำวันตามปกติ
อาการทั้ง 3 ระยะนี้ ไม่จัดเป็นความผิดปกติทางจิตเวช เพราะอาการจะค่อยๆดีขึ้นโดยไม่ต้องรักษา แต่บางคนมีอารมณ์เศร้าจากการสูญเสียที่รุนแรงและยาวนานเกินปกติ ทำให้เกิดความผิดปกติทางด้านจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า ลักษณะอาการของโรคซึมเศร้าที่มาจากอารมณ์เศร้าที่ผิดปกติต่อการสูญเสีย มีดังนี้ค่ะ
1. โทษ/ตำหนิตัวเอง รู้สึกผิดเกินจริง ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้ผู้นั้นเสียชีวิต
2. คิด/ตั้งใจจะฆ่าตัวตาย พยายามฆ่าตัวตาย
3. บางคนเคลื่อนไหวเชื่องช้า บางคนกระวนกระวาย
4. มีอาการโรคจิต เช่น ประสาทหลอน มองเห็น ได้กลิ่นหรือได้ยินผู้ที่เสียชีวิตมาพูดคุยด้วย
วิธีการรักษาเบื้องต้น:
- รับฟังและพูดคุยให้ผู้ป่วยเข้าใจการสูญเสียที่เกิดขึ้น
- รับรู้และยอมรับความรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียของผู้ป่วย
- ช่วยผู้ป่วยให้ได้คิดทบทวนถึงความสัมพันธ์กับบุคคลที่เสียชีวิตในเรื่องที่ดี
- ครอบครัวและเพื่อนฝูงช่วยมอบกำลังใจและดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยอย่างเต็มที่
ในกรณีที่มีอารมณ์เศร้าจากการสูญเสียที่รุนแรงหรือมีอาการของโรคซึมเศร้า ควรไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

ที่อยู่

Lat Phrao
Bangkok
10230

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Your Private Counselingผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Your Private Counseling:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram