ศูนย์ที่ปรึกษา ด้านกระดูกและข้อ ประจำประเทศ ลาว

ศูนย์ที่ปรึกษา ด้านกระดูกและข้อ ประจำประเทศ ลาว ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก ศูนย์ที่ปรึกษา ด้านกระดูกและข้อ ประจำประเทศ ลาว, โรงพยาบาล, Bangkok.

จำหน่ายผลิตภัณอาหารเสริม D-BOONE ดีบูน กระดูกและข้อ ของแท้จากบริษัทดีเน็ตเวเวิร์ดซึ้งเป็นสินค้า นวตกรรม มีลิขสิทธ์ถูกต้องตามกฏหมาย ปวดข้อ ปวดหลัง หมอนหองกระดูกทับเส้นประสาท เส้นประสาท ปวดหลัง ข้ออักเสบ ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน รูมาตอย เก๊าท์ นิ้วล็อก เส้นหลัง ไหล่บ่า คอ หมดประจำเดือน ขาดแคลเซียม เป็นต้น เราพร้อมให้คำปรึกษา โทร 0864689678 คุณประมาณ ภักดี

ใครจะรู้ว่า ใช้ชีวิตสนุกสุดเหวี่ยงอยู่ดีๆ จะกลายมาเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองลามเข้าหัวใจที่มีเพียง 1% ในโลก ! Perspectiv...
13/09/2018

ใครจะรู้ว่า ใช้ชีวิตสนุกสุดเหวี่ยงอยู่ดีๆ จะกลายมาเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองลามเข้าหัวใจที่มีเพียง 1% ในโลก !

Perspective : Wealth and Wellness ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ [29 ก.ค 61]

https://www.youtube.com/watch?v=pmSElqJ8Of8&feature=youtu.be

นอนดึกมาก นอนน้อย วันละ 3 - 4 ชม. ดื่มน้ำน้อย โหมงานหนัก ไม่ออกกำลังกาย กินอาหารขยะ

รายการ Perspective ออกอากาศ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 21.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 ใครจะรู้ว่า ใช้ชีวิตสนุกสุดเหวี่ยงอยู่ดีๆ ....

*จะป้องกันหรือจะรักษา*.  คุณเลือกได้?*โรคกระดูกทับเส้นประสาท* คือ.. ภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของโครงสร้างกระดูกสันหลัง...
22/01/2018

*จะป้องกันหรือจะรักษา*
. คุณเลือกได้?

*โรคกระดูกทับเส้นประสาท*

คือ.. ภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของโครงสร้างกระดูกสันหลัง ซึ่งเกิดจากอายุที่มากขึ้นและการเสื่อมสภาพของร่างกาย การยกของหนัก การสูบบุหรี่ ตลอดจนอุบัติเหตุกระแทกบริเวณกระดูกสันหลังบ่อย ๆ ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมเร็วขึ้น

*ผลกระทบต่อระบบประสาท จากกระดูกทับเส้น

* กระดูกทับเส้น ช่วงต้นคอ *

ข้อที่ C1-C5 ส่งผลกระทบ แขนอ่อนแรง ขาอ่อนแรง อัมพาตแขนขาและระบบการหายใจ
ข้อที่ C5-C6 ส่งผลกระทบ อัมพาตขา แขนอ่อนแรง
ข้อที่ C6-C7 ส่งผลกระทบ อัมพาตขา การหมุนของข้อมือ อ่อนแรงมือ
ข้อที่ C6-T1 ส่งผลกระทบ อัมพาตขา ลำตัวและมือ

*ผลกระทบต่อระบบประสาท จากกระดูกทับเส้น

*กระดูกทับเส้น ช่วงทรวงอก*

ข้อที่ T2-T4 อัมพาตขา และลำตัว สูญเสียความรู้สึกต่ำกว่าราวนมลงไป
ข้อที่ T5-T8 อัมพาตขา และต่ำลำตัว สูญเสียความรู้สึกต่ำกว่าซี่โครงลงไป
ข้อที่ T9-T11 อัมพาตขา สูญเสียความรู้สึกต่ำกว่าสะดือลงไป
ข้อที่ T12-L1 อัมพาตขา สูญเสียความรู้สึกต่ำกว่าหน้าขาลงไป

> โดยผู้ป่วยจะมีอาการ คือ ปวดหลัง เป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานานมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ปวดขาตั้งแต่บริเวณสะโพกร้าวไปบริเวณน่อง เท้า ซึ่งจะปวดมากเวลาเดิน ต้องหยุดเดินเป็นระยะ ๆ อาการปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างถือเป็นอาการเด่นของโรค

> ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมากหรือปวดน้อยขึ้นอยู่ว่ากดมากหรือน้อยเป็นสำคัญ ถ้าทิ้งไว้นานเส้นประสาทจะทำงานได้น้อยลง กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง เดินและควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ อาจถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหลังและร้าวลงขา ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษา

> ส่วนใหญ่โรคนี้สามารถรักษาหายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ ร่วมกับให้ยาลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นรอบๆ

*กระดูกทับเส้น ช่วงเอว

ข้อที่ L2-L5 ขาอ่อนแรง และบังคับลำบาก
กระดูกทับเส้น กระดูกสันหลังใต้กระเบนเหน็บ
ข้อที่ S1-S2 ขาอ่อนแรง และบังคับลำบาก
ข้อที่ S3-S5 มีปัญหาระบบปัสสาวะ และระบบลำไส้

*อาการที่เป็นของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกัน

เพื่อสะดวกในการให้ข้อมูล คลิกลิ้งค์เพิ่มเพื่อนเลยค่ะ

ปรึกษาฟรี โทร 📞0864689678
คุณประมาณ

■พิษจากดื่มน้ำเย็น■~~~~~~~~~~~~~★จะปวดหลัง ข้อเข่า ไตอ่อนแอ  •••••••○••••••○••••••◆ใครจะไปเชื่อว่า..การดื่มน้ำเย็นจะมีพิ...
05/09/2017

■พิษจากดื่มน้ำเย็น■
~~~~~~~~~~~~~
★จะปวดหลัง ข้อเข่า ไตอ่อนแอ
•••••••○••••••○••••••
◆ใครจะไปเชื่อว่า..
การดื่มน้ำเย็นจะมีพิษ
มีภัย และให้โทษได้ถึงขนาดนี้
((((▶
♣หมอได้พบผู้ป่วย
ที่มีอาการแขนขาอ่อน
แรง หรือที่เรียกกันว่า โรคอัมพฤกษ์ ซึ่งสืบค้นต้นตอไปๆมาๆ ก็พบว่า สาเหตุมาจากพฤติกรรมการดื่มน้ำเย็น หรือ น้ำแข็งเป็นประจำนั่นเอง ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่า ไม่กินผักมาตั้งแต่เล็กๆ รับประทานแต่เนื้อสัตว์ ที่สำคัญคือชอบดื่มน้ำ
เย็นเป็นประจำมาตั้งแต่
เด็ก และต้องเป็นน้ำเย็นจากตู้เย็นเท่านั้น

■ก่อนที่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น ร่างกายผู้ป่วยได้ส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้ง เช่น มึนเวียนศีรษะง่าย เห็นเหมือนแสงไฟแวบๆขณะกระพริบตา การพูดเริ่มติดๆขัดๆ สุดท้ายเกิดอาการวูบกะทันหัน ต้องนำส่งโรงพยาบาล เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งผู้ป่วยก็ไม่สามารถขยับร่างกายซีกซ้ายได้แล้ว นี่คืออาการของโรคเส้นเลือดตีบที่สมองในวัยเพียง 40 ปี ที่ชอบทานแต่น้ำเย็นมาตลอดเวลา

★การดื่มน้ำเย็น สำหรับคนไทยนั้น ทำให้ "ไต ต้องรับกำจัดความเย็น
ออกจากร่างกาย
อย่างรวดเร็ว" ขับน้ำเย็นมากักเก็บ
ไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ เตรียมขับออกเป็น
น้ำปัสสาวะทำให้ผู้ที่
ชอบทานน้ำเย็นก็ยิ่ง
ขาดน้ำจนเลือดข้น
หนืดไปหมด ประกอบกับหลอดเลือดที่เริ่มแข็งกระด้างไม่ยืดหยุ่น ทำให้มีคราบไขมัน และของเสียไปยึดเกาะตามผนังหลอดเลือด
จนเกิดการพอกพูน
กลายเป็นโรคหลอด
เลือดตีบ
ก็เพราะน้ำเย็นที่ชอบ
ทานเป็นประจำนั่นเอง

★ไตของเราเปรียบ
เสมือนเครื่องกรองน้ำ
อันน่าอัศจรรย์ ทำหน้าที่ช่วยกรอง
ของเสียออกจากเลือด แล้วขับออกทาง
ปัสสาวะการทำหน้าที่
ตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุดของไตนั้น ถ้าเราไปซ้ำเติมด้วยการรับประทานสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกายรวมทั้ง

★น้ำเย็นด้วยก็จะทำให้
เกิดภาวะไตอ่อนแอและจะส่งสัญญาณร้อง
ให้เราทราบดังนี้

★1.ปัสสาวะบ่อยขึ้น อั้นปัสสาวะไม่ได้นาน ดื่มน้ำเข้าไปแล้วต้อง
วิ่งเข้าห้องน้ำบ่อยๆ
กลางคืนก็ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำหลายเที่ยว

★2.มีอาการปวดหลัง ปวดเอวบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆ

★3.ปวดเมื่อยตามข้อ และ ร่างกายง่าย เช่น ปวดข้อเข่า ปวดต้นคอ

★4.หลอดเลือดตีบตัน หรือ หลอดเลือดแข็งได้ง่าย

★หากใครยังทาน.......
●น้ำเย็น นมเย็น ●กาแฟเย็น น้ำอัดลม ●น้ำหวานเย็น ชาเย็น อยู่เป็นประจำ ●มีอาการปวดหลังแน่ๆ
ก็ต้องดูแลตนเองง่ายๆ ดังนี้

■1.ปรับเลือดที่หนืดข้น
ให้หายข้นด้วยการเพิ่ม
น้ำเข้ากระแสเลือด โดยทานน้ำอุ่นให้ได้ 8-10 แก้ว ทุกวัน

■2.ทำให้เลือดไหล
เวียนสะดวกอย่าง
ต่อเนื่องด้วยการ.....
■ออกกำลังเป็นประจำที่สามารถทำได้ หรือ อาจใช้การจัดกระดูก ช่วยให้เลือดไหลเวียน
สม่ำเสมอ

■3.ไม่กินอาหาร.....
◆เนื้อสัตว์ ของทอด ◆ของหวานจัดเพราะ ◆ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
ปริมาณมากจนทำให้ หลอดเลือดแข็ง หรือ ตีบตันได้ง่าย

■4.งดการทานน้ำเย็น
เด็ดขาดรู้แล้วอย่า
เฉยเมยนะควรปฎิบัติ
ด้วยและรู้แล้วอย่า
เก็บไว้คนเดียวโปรด
แบ่งปันให้คนรอบข้าง
ของตัวเรา
(((((((▪

... "จะเสียใจยิ่งหาก..ตายไปแล้วไม่ได้ดูหรือได้รู้เลย..**by Dr.Raymond USAอยากให้ทุกคนดูให้ได้สำหรับคลิปนี้ และบอกต่อทุกๆ...
21/08/2017

... "จะเสียใจยิ่งหาก..ตายไปแล้วไม่ได้ดูหรือได้รู้เลย..**
by Dr.Raymond USA
อยากให้ทุกคนดูให้ได้สำหรับคลิปนี้ และบอกต่อทุกๆคนที่คุณรักและห่วงใย

ของดี สุดยอดคุ้มค่าจริง ๆ ดูให้ได้
6.30 นาที คุณจะไม่ป่วยอีก
https://youtu.be/lco5qhoh-T0

คุณจะไม่ป่วยอีกต่อไป you never be sick again. น้ำตาลคือยาพิษ อันตรายต่อสุขภาพ เลี่ยงการบริโภคน้ำตาล จะเป็นการทำให้สุขภาพ ดีขึ้น

บริโภคถั่วงอกดิบระวังสารฟอกสีอันตรายที่มา : กองอาหารสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เป็นสารฟอกสีที่มีฤทธิ์ฟอกขาวได้สูง นิยมใช้ในอุ...
21/06/2017

บริโภคถั่วงอกดิบระวังสารฟอกสีอันตราย
ที่มา : กองอาหาร
สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เป็นสารฟอกสีที่มีฤทธิ์ฟอกขาวได้สูง นิยมใช้ในอุตสาหกรรมฟอกย้อมแห อวน แต่มีผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าบางรายประเภทถั่วงอก น้ำตาลปึก ขิงหั่นฝอย หน่อไม้ดอง กลับนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ของตนเพื่อหวังผลในการจูงใจลูกค้าซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการบริโภคสินค้าดังกล่าวได้
ปัจจุบันผู้จำหน่ายถั่วงอกบางรายมักนำสารฟอกขาวมาผสมน้ำแช่ถั่วงอกเพื่อให้ถั่วงอกมีสีขาว อวบ น่ารับประทานและเก็บไว้จำหน่ายได้นาน สารฟอกขาวดังกล่าวมีทั้งประเภทที่อนุญาตให้นำมาใช้ในอาหารได้ เช่น โซเดียมซัลไฟต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฟอกต่ำ ผู้จำหน่ายจึงนิยมใช้สารฟอกขาวประเภทที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร คือ โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์มาผสม สารนี้มีฤทธิ์ฟอกขาวได้สูงกว่าประเภทแรก 2-3 เท่า สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้แต่มีอันตรายต่อร่างกายเมื่อบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง สำหรับผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือป่วยเป็นโรคหอบหืดจะมีอาการรุนแรงขึ้น มีอาการช็อค หมดสติและอาจเสียชีวิตได้ตามที่เคยเป็นข่าวว่ามีการผสมสารชนิดนี้ลงในหน่อไม้ดอง ลอดช่อง-น้ำกะทิที่ทำจากน้ำตาลปึก และมีผู้นำไปบริโภคจนเสียชีวิตมาแล้ว
ในส่วนของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวมาโดยตลอดและได้พัฒนาและผลิตชุดทดสอบสารไฮโดรซัลไฟต์จนสามารถแยกสารฟอกขาวทั้ง 2 ชนิดออกจากอาหารที่ต้องสงสัยว่าจะมีการปนเปื้อนได้ ซึ่งปกติผู้ผลิตจะมีการนำสารประเภทนี้มาใช้ในความเข้มข้น 0.2% ขึ้นไป แต่ชุดทดสอบดังกล่าวสามารถตรวจความเข้มข้นของสารฟอกสีต่ำสุดได้ถึง 0.1% จึงทำให้สามารถวิเคราะห์หาสารฟอกสีได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังได้จัดทำโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าสู่ชุมชนเพื่อให้อาสาสมัครสาธารณะสุข นักเรียน นักศึกษา และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกระดับสามารถนำชุดทดสอบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ไปใช้ในชุมชนได้โดยในปีที่ผ่านมาได้รับรายานการตรวจสอบถั่งงอก หน่อไม้ดอง ขิงหั่นฝอย ผลไม้สด น้ำตาลปึก และทุเรียนกวน จำนวน 2,438 ตัวอย่าง พบสารปนเปื้อนโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ 392 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 16 ซึ่งหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบได้แจ้งให้ผู้ประกอบการทราบและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว
สำหรับประชาชนทั่วไปควรเพิ่มความระมัดระวังในการบริโภคสินค้าดังกล่าว โดยเฉพาะถั่วงอกซึ่งเป็นสินค้าใกล้ตัวและสามารถหาซื้อได้ง่าย ไม่ควรเลือกถั่วงอกที่มีสีขาวผิดปกติ หลีกเลี่ยงถั่วงอกที่มีสีคล้ำ มีส่วนเน่าเสียปนอยู่เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ นอกจากนี้ก่อนบริโภคถั่วงอกควรทำให้สุกเสียก่อนเพราะสารไฮโดรซัลไฟต์ที่อาจมีอยู่ในถั่วงอกจะถูกทำลายด้วยความร้อน ซึ่งจะปลอดภัยกว่าการนำถั่วงอกดิบมารับประทานสด ๆ

กินยาอย่างไรให้ถูกวิธี คำถามที่ควรรู้คำตอบ เพื่อประโยชน์ในการรักษาที่สูงสุดและสุขภาพที่ดี ไม่ป่วยเรื้อรังเพราะใช้ยาแบบผิ...
21/06/2017

กินยาอย่างไรให้ถูกวิธี คำถามที่ควรรู้คำตอบ เพื่อประโยชน์ในการรักษาที่สูงสุดและสุขภาพที่ดี ไม่ป่วยเรื้อรังเพราะใช้ยาแบบผิด ๆ

เราเรียนรู้กันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่า ยา เป็นหนึ่งปัจจัย 4 ที่สำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยโรคใดก็มักจะต้องใช้ยาเพื่อช่วยให้อาก­­­ารป่วยทุเลาลง แม้แต่อาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้หวัด หรือแพ้อากาศ ซึ่งอาการป่วยเหล่านี้เราสามารถรักษาตัวเองได้ด้วยการรับประทาน­­­ยา

แต่ทว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังรับประทานยาไม่ถูกวิธี ทำให้อาการป่วยที่ควรจะหายได้ในเวลาไม่กี่วันหลังจากการรับประท­­­านยาก็กลับไม่หายสักที นั่นก็เป็นเพราะยาที่เรารับประทานเข้าไปทำงานได้อย่างไม่เต็มปร­­­ะสิทธิภาพจากการใช้ยาที่ผิดวิธีนั้นเอง วันนี้เราก็เลยนำข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับการรับประทานยาที่ถูกต้องมาฝากกันค่ะ ป่วยคราวหน้าจะได้รับประทานกันได้ถูกวิธี

รู้ให้ชัด กินยาอย่างไรให้ถูกวิธี

วิธีการใช้ยาตามฉลากให้ถูกวิธี

* ยาก่อนอาหาร - ให้กินยาก่อนรับประทานอาหารประมาณ 30 นาที และควรรับประทานขณะที่ท้องว่าง

* ยาพร้อมอาหาร - ควรรับประทานยาดังกล่าวพร้อมอาหารคำแรก หรือหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วครึ่งหนึ่ง

* ยาหลังอาหาร - ควรกินยาดังกล่าวหลังจากรับประทานอาหารเสร็จประมาณ 15 - 30 นาที

* ยาหลังอาหารทันที - ควรรับประทานยาทันทีหลังจากทานอาหารเสร็จ

* รับประทานยาชนิดนี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ - ควรดื่มน้ำตามหลังจากกินยาให้มาก ๆ เพราะยาดังกล่าวอาจมีผลข้างเคียงให้คลื่นไส้อาเจียน หรืออาจตกตะกอนในไตได้ง่าย การดื่มน้ำตามมาก ๆ จะช่วยลดผลข้างเคียงจากยาดังกล่าวได้

* รับประทานยานี้แล้วอาจมีอาการง่วงนอน - หลังจากรับประทานยาชนิดนี้แล้วควรหลีกเลี่ยงการขับรถหรือการใช้­­­เครื่องจัก เพราะยาประเภทนี้จะมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางและควรหลีกเลี่ยงก­­­ารดื่มสุราและของมึนเมาทุกชนิด เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้

* รับประทานยาติดต่อกันจนกว่าจะหมด - ยาบางชนิดเป็นยาที่จะต้องได้รับอย่างต่อเนื่องถึงจะหายขาด หากรับประทานไม่ครบอาจทำให้อาการป่วยกลับมาหรือเกิดการดื้อยา ยกตัวอย่างเช่นยาในกลุ่มรักษาโรคติดเชื้อเป็นต้น

* เคี้ยวยาให้ละเอียดก่อนกลืน - ยาบางกลุ่ม เช่นยาลดกรด ก่อนกลืนควรเคี้ยวให้ละเอียดเพื่อที่ตัวยาจะได้กระจายตัวทั่วส่­­­วนต่าง ๆ ของระบบทางเดินอาหารได้ทั่วถึง และทำให้ยาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

รู้ให้ชัด กินยาอย่างไรให้ถูกวิธี

ใช้ยาอย่างไรให้ได้ผลดี ?

ยา ถึงแม้ว่าจะช่วยรักษาโรคแต่ก็ยังมีความอันตรายและมีโทษอยู่ดี ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้ดีทุกครั้งก่อนที่จะใช้ยา และควรปฏิบัติตามหลักดังต่อไปนี้เพื่อให้ยาที่ใช้มีประโยชน์ต่อ­­­การรักษาสูงสุดค่ะ

- อ่านฉลากและคำแนะนำ และข้อบ่งใช้ให้ละเอียด ศึกษาวิธีการใช้ยา ปริมาณที่ใช้ และระยะในการใช้ยา รวมทั้งตรวจดูวันผลิตและหมดอายุให้ดี เพื่อป้องการใช้ยาหมดอายุค่ะ

- ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยา หรือคำสั่งจากแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ไม่ควรเพิ่มและลดยาเองโดยไม่จำเป็น

- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่มีฉลากหรือเอกสารประกอบยา เพราะอาจทำให้รับประทานยาผิดได้

- หากเกิดอาการผิดปกติ เช่น มีผื่นขึ้นตามตัว ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ให้รีบหยุดใช้ยาและแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรที่จ่ายยาทันที เพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น

- หากยาหรือบรรจุภัณฑ์มีลักษณะที่ผิดปกติเช่นเกิดการเสื่อมสภาพ ไม่ควรนำมาใช้ และควรทิ้งทันทีเพื่อป้องกันการหยิบนำมาใช้ผิด

- เก็บยาให้เป็นที่ ไม่วางปนกับอาหารหรือของใช้อื่น ๆ

- ผู้ที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร และผู้ที่มีอาการของโรคร้ายแรง ไม่ควรใช้ยารักษาด้วยตนเอง จะต้องได้รับคำสั่งจากแพทย์เท่านั้นจึงจะใช้ยาได้ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน

- การใช้ยารักษาอาการบวมเขียวหรือช้ำ อย่างเช่นยาหม่อง หรือยาทาบางชนิด ไม่ควรใช้ทันทีหลังจากบาดเจ็บเพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการบวม­มากขึ้น ก่อนใช้ยาควรประคบด้วยความเย็นเพื่อให้เส้นเลือดที่บวมจากการบา­­­ดเจ็บหดตัวลงก่อนแล้วจึงจะใช้ยาทาบรรเทาอาการเจ็บปวด

- ไม่ควรรับประทานยาโดยตรงจากขวด เพราะเชื้อโรคที่อยู่ในปากและคอจะลงไปเจือปนในขวดยา และยังส่งผลให้ปริมาณในการรับประทานยาแต่ละครั้งไม่เท่ากันอีกด­­­้วย

- หากลืมรับประทานยา ไม่ควรเพิ่มยาเป็น 2 เท่าในครั้งต่อไปเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้ได้รับยาเกินขนาดจนเป็นอันตรายได้ หากลืมทานยาควรรับประทานทันทีที่นึกได้จะดีกว่า

รู้ให้ชัด กินยาอย่างไรให้ถูกวิธี

ข้อควรทราบเกี่ยวกับการใช้ยา

ยาฉีดไม่ได้ดีกว่ายารับประทานเสมอไป

ยาฉีดเป็นยาที่ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ยารับประทานได้ หรือจะต้องได้รับยาในระดับสูงทันทีเท่านั้น เนื่องจากตัวยาจะมีความรุนแรงในการรักษามากกว่าและแก้ไขได้ยากห­­­ากเกิดการผิดพลาดในการใช้

ยาแพงไม่ได้ดีกว่าเสมอไป

ราคาของยาไม่ได้บ่งชี้ถึงคุณภาพของยา เพราะบางครั้งยาตัวเดียวกันอาจจะมีราคาแตกต่างกันเพราะค่าใช้จ่­­­ายในการผลิต หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้ ยาบางชนิดอาจจะมีราคาที่ถูกกว่าแต่ให้ผลการรักษาที่ดีกว่าก็เป็­­­นได้

ยาตัวใหม่อาจส่งผลข้างเคียงได้มากกว่า

หลายคนอาจจะคิดว่ายาตัวใหม่จะสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้ดีกว่­­­า แต่จริง ๆ แล้วยาตัวใหม่อาจส่งผลข้างเคียงได้มากกว่า หรือรักษาอาการป่วยได้ช้ากว่า เนื่องจากยาตัวใหม่ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้ออกฤทธิ์ดีเท่ายาตัว­­­เก่าที่มีการพัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว

รู้ให้ชัด กินยาอย่างไรให้ถูกวิธี

ยาขนานแรงไม่เหมาะกับทุกคน

ยาขนานแรงไม่ใช่ยาที่ดีที่สุดค่ะ เพราะถึงแม้ว่าจะขนานแรง แต่ถ้าไม่ใช่ยาที่รักษาได้ตรงอาการก็ไม่สามารถหายป่วยได้เช่นกั­­­น แถมยังอาจจะส่งผลเสียทำให้ยาเกิดการตกค้างในร่างกายได้อีกด้วย

ยาชุดอาจจะเป็นอันตรายกว่ายาทั่วไป

ยาชุดบางชนิดมีการเพิ่มตัวอย่างบางอย่างเข้าไปจนกลายเป็นอันตรา­­­ย อย่างเช่นสารสเตียรอยด์ เพื่อให้ยาเหล่านั้นแรงขึ้นและทำให้หายป่วยไว แต่ถ้าหากรับประทานบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ การรับประทานเพียงชนิดเดียวสามารถรักษาให้หายป่วยได้เช่นกันและ­­­ปลอดภัยกว่ามาก

รับประทานยาไม่ตรงเวลา ยาที่ใช้ก็ไร้ประโยชน์

ยาหลายชนิดมีการระบุเวลาการใช้ยาเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งควรทำตาม เพราะหากรับประทานยาไม่ตรงเวลา ยาเหล่านั้นก็อาจจะออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่หรือไม่มีผลต่อการรักษ­­­าเลยก็ได้ หรือยาบางชนิดอาจจะมีผลข้างเคียงซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย­­­ได้หากรับประทานยาผิดเวลา

การรับประทานยาที่ถูกวิธี ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดเลยใช่ไหมล่ะคะ แค่เพียงเราต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการใช้ให้ชัดเจนก่อ­­­นจะใช้ยาเท่านั้น ฉะนั้นทุกครั้งก่อนรับประทานยาอย่าลืมอ่านฉลากให้แน่ใจก่อนด้วย­­­นะ เพื่อที่ยาเหล่านั้นจะได้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และปลอดภัยต่­­­อสุขภาพ

วงการแพทย์ได้มีการพิสูจน์ว่า ผู้ที่บริโภคอาหารประเภทปิ้งย่างและทอดเป็นประจำ จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ปัจจุบันไ...
21/06/2017

วงการแพทย์ได้มีการพิสูจน์ว่า ผู้ที่บริโภคอาหารประเภทปิ้งย่างและทอดเป็นประจำ จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ปัจจุบันไม่ว่าทีวีโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์ต่างประกาศว่า กินอาหารปิ้งย่างและทอดเป็นประจำจะมีผลเสียต่อสุขภาพ แต่ย่อมมีผู้คนจำนวนมากอดไม่ได้ ชอบนัดเพื่อนกินอาหารปิ้งย่างและทอด และกินเบียร์ในตลาดสด โอโฮ้ ทั้งกินอาหารที่ชอบ ทั้งคุยกันกับเพื่อนๆ ตลอดทั้งคืน บรรยากาศสบายๆ ราคาก็ไม่แพงมาก แต่เช้าวันรุ่งขึ้น คุณก็จะได้รับการประท้วงจากร่างกาย ต่อไปขอแนะนำผลข้างเคียงของการกินอาหารปิ้งย่างและทอด และกินเบียร์เป็นประจำว่ามีอะไรบ้าง
ประการแรก "จะเกิดโรคร้อนใน"
การเกิดโรคร้อนใน เช่น เกิดสิวใหญ่ แผลในปาก ปวดเหงือกที่บวม‎ เลือดกำเดาไหล และท้องผูก เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นจากคุณกินอาหารที่ไม่ค่อยมีสารอาหารมากนัก เช่นอาหารปิ้งย่างและทอดที่มีรสเผ็ดมาก บวกกับส่วนประกอบอาหารในอาหารปิ้งย่าง เช่น ผงยี่หร่าและพริกเป็นอาหารประเภทร้อน ดังนั้นจะส่งผลกระทบต่อความสมดุลของร่างกายและทำให้เกิดโรคร้อนในได้
ประการที่ 2 "กระเพาะและลำไส้พันกัน"
จริงๆ แล้ว กินอาหารปิ้งย่างในเช้าตรู่ก็จะทำลายระบบกระเพาและลำไส้ได้เช่นกัน บวกกับพริกและความเย็นซึ่งจะทำให้กระเพาะและลำใส้ที่เข้มแข็งก็จะได้รับผลกระทบด้วย ทำให้เกิดอาการอาเจียนและท้องเสียซึ่งอาจทำให้เป็นโรคลำไส้อักเสบ
ประการที่ 3 "สายตาพร่ามัว"
อาการนี้มักเกิดขึ้นสำหรับวัยเยาวชน เด็กที่ไม่สนใจกินเนื้อแบบธรรมดาเนื่องจากติดรสสชาติปิ้งย่างก็เริ่มชอบเนื้อแกะย่างและเนื้อปลาย่าง และครอบครัวก็ไม่ค่อยบังคับปล่อยให้ แต่กินอาหารปิ้งย่างมากเกินไป จะทำให้เกิดโปรตีนจำนวนมากเกิดความต้องการของร่างกายและน้ำในร่างกายถูกดูดซึมมาก จึงทำให้น้ำในร่างกายไม่เพียงพอ ทำให้เส้นเลือดเล็กๆ ในประสาทตาเข้มข้นมาก จนทำให้เกิดอาการมองไม่ชัดและพร่ามัว
ประการที่ 4 "พยาธิที่อยู่ในเนื้อสัตว์"
แม้ว่าเนื้อย่างที่กึ่งสุกกึ่งดับจะให้รสชาติที่อร่อย แต่ถ้าเนื้อไม่ได้สุกทั้งหมดก็คือเนื้อที่ไม่เข้ามาตรฐาน เพราะมักมีพยาธิอยู่ในร่างกาย หญิงก็เคยได้ดูข่าวที่ว่า มีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งก็มีพยาธิอยู่ในหัว เพราะเขาชอบกินซาเซมิ
ประการที่ 5 "เกิดโรคระเร็ง"
ควันดำๆ จากร้านปิ้งย่างจะทำให้มะเร็งโดยผ่านทางผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหารเข้าสู่ร่างกาย จนก่อให้เกิดโรคมะเร็ง อาหารปิ้งย่างทำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า เฮทเทอโรซัยคลิก เอมีเนส์ (Heterocyclic amines) โดยสารดังกล่าวสามารถทำลายสารพันธุกรรมที่อยู่ในร่างกาย ทำให้มีผลต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และกระเพาะอาหาร นอกจากนี้สารเหล่านี้ยังสามารถซึมผ่านเข้าสู่เนื้อเยื่ออื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายได้อีกด้วย

การมีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ซึ่งประกอบด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเราเองอย่างเหมาะสมถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหาร อ...
20/06/2017

การมีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ซึ่งประกอบด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเราเองอย่างเหมาะสมถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหาร อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ การป้องกันโรค การใช้ไลฟ์สไตล์ (Life Style) ที่ถูกต้องไม่ทำลายสุขภาพของตัวเราทั้งระยะสั้นและระยะยาว และที่สำคัญคือ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกาย(กล้ามเนื้อ)มีความแข็งแรง มีความสดชื่น กระฉับกระเฉง เป็นต้น

ซึ่งวิธีการออกกำลังกายนั้นทำได้หลายวิธีแตกต่างกันเช่น การเดินเร็ว ๆ การวิ่งเยาะ ๆ การเต้นแกว่งแขน ยกขา อยู่กับที่ ในบ้าน ในสนามหน้าบ้าน การรำมวยจีน ไทเก็ก การใช้ไม้พลองประกอบ การทำโยคะ การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้อง และที่สำคัญมาก ๆ คือ จะต้องดูตัวเราเองว่า อายุ สุขภาพ ของเราเหมาะกับการออกกำลังกายแบบไหนดีที่จะมีประโยชน์เหมาะกับร่างกายของเรา มากที่สุด ไม่ใช่ว่าจะออกกำลังกายตามคนอื่น ๆ
วิธีการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นจะต้องให้กล้ามเนื้อหลักๆ หรือกล้ามเนื้อชุดใหญ่ได้เคลื่อนไหวหรือที่เรามักจะพูดกันว่า ให้กล้ามเนื้อหลัก ๆ ได้ทำงาน เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน ขา ท้อง คอ รวมทั้งปอดและหัวใจ
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
1. ทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ หรือร่างกายนั่นเอง การทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อคล่องแคล่วขึ้น
2. ช่วยขับของเสียที่เกิดจากกระบวนการ เมแทโบลิซึม (Metabolism) ของเซลล์ ออกจากร่างกาย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ออกมาพร้อมลมหายใจออก ของเสียที่ออกมาพร้อมเหงื่อ และ ปัสสาวะ เป็นต้น
3. กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงขึ้น สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี รวมทั้งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจด้วยเช่นกัน
4. ช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อดีขึ้น เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ลดไขมันในเลือด กล้ามเนื้อ และ กระดูกแข็งแรง ช่วยให้เอ็นที่ยึดข้อต่อต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น
6. ช่วยให้ ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ระบบ อิมมูน (Immune System) ของร่างกายแข็งแรงดีขึ้น
7. ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เป็นการลด ความเครียด ของร่างกาย เพราะถ้าเรามีความเครียดมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน โรคหัวใจ การขับถ่ายผิดปกติ และ ที่สำคัญยิ่งคือ ความเครียดจะนำไปสู่การเป็น โรคมะเร็ง ได้
เวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย
เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนเราในสังคมยุคปัจจุบัน ทั้งในเมืองเล็กเมืองใหญ่ ในแต่ละวันจะต้องตื่นแต่เช้าร่งไป

ทำงาน ตอนเย็นเลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน การจราจรที่ติดขัด ดังนั้นการที่จะบอกว่า ออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดนั้นคงบอกชัดเจนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเวลา และความพร้อมของแต่ละคน
ตอนเช้าอากาศค่อนข้างดี มีมลภาวะน้อย ก็เหมาะในการออกกำลังกาย ตอนเย็นหลังจากเลิกงาน ช่วงเวลา 16:00 - 18:00 น. ก็เหมาะสม ไม่ต้องกังวลเรื่องไปทำงาน และเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อที่ได้เคลื่อนไหวมาในตอนกลางวันแล้ว ทำให้การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อดีขึ้นที่จะออกกำลังกายในตอนเย็น
ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนที่จะต้องพิจารณาตัวเอง ว่าควรจะออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง คงไม่มีกฎตายตัวสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือร่างกายของคนเราต้องมีการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมีสุขภาพดี
ระยะเวลาในการออกกำลังกาย
ระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายนาน กี่นาที กี่ชั่วโมง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทางด้านการแพทย์ก็ไม่ได้กล่าวไว้ตายตัวว่าออกกำลังกายนานแค่ไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เช่นความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ
แต่โดยทั่วไปทางการแพทย์แนะนำให้ ออกกำลังกายนานประมาณ 10 – 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันเว้นวัน หรือ ออกกำลังกาย 10 นาที แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดพักก่อน แล้วจึงออกกำลังกายต่ออีก จนครบเวลา 30 นาที ก็ได้
การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ อภิชาติ อัศวมงคลกุล ภาควิชาศัลยศาสตร์ ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่า ผู้ที่ออกกำลังกายควรเลือกการออกกำลังกายตามแบบที่ชอบและสะดวกที่สุด แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีออกกำลังกาย นอกจากนี้การออกกำลัง

กายในครั้งแรก ๆ ไม่ควรหักโหมมาก การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม
ในขณะออกกำลังกายให้ท่านสังเกตอาการของตัวเราในขณะออกกำลังกายด้วย โดยสังเกตอาการดังต่อไปนี้
1. หัวใจเต้นมาก เต้นแรง จนรู้สึก
2. หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
3. เหนื่อย ใจหวิว ๆ จนเป็นลม
หากมีอาการดังกล่าวก็ให้หยุดออกกำลังกาย พักร่างกายสัก 2 วัน และเวลาออกกำลังกายครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลงการเตรียมตัวสำหรับการออกกำลังกาย
1. ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรรับประทานอาหารรองท้อง เช่น ดื่มนม โอวัลติน หรือน้ำเต้าหู้ 1 แก้ว (ไม่ใช่รับประทานเป็นอาหารหลัก) หากไม่กินอะไรเลยเวลาออกกำลังกายมีโอกาสเป็นลมได้
2. ต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง เช่นเดินภายในบ้าน รอบ ๆ บ้าน ในสนาม หรือที่ๆ เหมาะสม ประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น หลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น
3. เริ่มออกกำลังกายตามปกติ
4. หลังจากออกกำลังกายตามปกติแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายทันที ควรผ่อนการออกกำลังกายลงจนกระทั่งชีพจรหรือการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ จึงหยุดการออกกำลังกาย
ขอให้มีความสุขกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพโดยรวมจะได้แข็งแรง สุขภาพดี จิตใจดี อารมณ์ดี ความเครียดลดลง โรคภัยจะได้ไม่มาเยี่ยมกรายเรา

หน่อไม้..ไซยาไนด์ สารพิษร้ายใกล้ตัว โดย 17 ก.ค. 2555 05:00 ไซยาไนด์...สารพิษชนิดนี้ร้ายแค่ไหน “สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ...
20/06/2017

หน่อไม้..ไซยาไนด์ สารพิษร้ายใกล้ตัว โดย 17 ก.ค. 2555 05:00 ไซยาไนด์...สารพิษชนิดนี้ร้ายแค่ไหน “สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/276390

ผงชูรสไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการแต่ "ผงชูรส มีประโยชน์เพียงทำให้อาการมีรสชาติโดยรวมดีขึ้น ต้องใส่ในปริมาณเหมาะสม"อันตรายจา...
20/06/2017

ผงชูรสไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการแต่ "ผงชูรส มีประโยชน์เพียงทำให้อาการมีรสชาติโดยรวมดีขึ้น ต้องใส่ในปริมาณเหมาะสม"
อันตรายจาก ‘ผงชูรส’ thaihealth
อันตรายของผงชูรสถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม กล่าวคือผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟเป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายมากกว่า ซึ่งมีพิษภัยอันตรายดังนี้คือ
- ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ลดลง
- ทำให้เกิดการคลั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน ทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ อาจเป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย
- เพิ่มอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ อาทิ เช่น โรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจเป็นต้น
2.พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้ ส่งผลดังนี้
- ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น
- ทำลายสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง
- ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอด - ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย ทำให้โลหิตจางได้
- ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 แก้โรคแพ้ผงชูรสได้
- เกิดโรคมะเร็ง และทำลายระบบประสาทส่วนกลางทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
- เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง และจมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น

ทุกท่านคงรู้จักเข่า(Knee) เป็นอย่างดี แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า เข่าหรือข้อเข่าประกอบด้วยส่วนปลายของกระดูกต้นขา(Femur) มาต่อ...
20/06/2017

ทุกท่านคงรู้จักเข่า(Knee) เป็นอย่างดี แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า เข่าหรือข้อเข่าประกอบด้วยส่วนปลายของกระดูกต้นขา(Femur) มาต่อกับส่วนต้นของกระดูกปลายขา( กระดูกหน้าแข้ง) (Tibia) รวมทั้งกระดูกสะบ้าหัวเข่า (Patella) ด้วย

หัวเข่ามีปลอกหุ้ม (Capsule) อยู่รอบ ๆ กระดูกข้อเข่าภายในปลอกหุ้มมีส่วนแผ่นเยื่อบาง ๆ (Synovial membrane) บุอยู่ภายใน ซึ่งมีหน้าที่สร้างน้ำสำหรับหล่อลื่นข้อเข่าหรือเรียกว่า น้ำมันไขข้อ (Synovial fluid) เพื่อไม่ให้ปลายกระดูกต้นขาและต้นกระดูกปลายขาเกิดการสึกกร่อนได้ง่าย
ข้อเข่ามีเอ็นยึด (Ligament) อยู่ทางข้าง ๆ ระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกปลายขา เพื่อป้องกันการเคลื่อนหลุดของกระดูกข้อเข่า นอกจากนั้นกระดูกข้อยังต่างจากข้ออื่น ๆ ของร่างกายที่ยังมีเอ็นยึดอยู่ภายในข้อเข่าไขว้กันอยู่ เป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับข้อเข่าอีกด้วย

ภายในข้อเข่าระหว่างกระดูกข้อต่อ ยังมีกระดูกอ่อน (Cartilage) รูปครึ่งวงกลม 2 อัน สำหรับเป็นหมอนรองรับน้ำหนักจากกระดูกต้นขา เพื่อกันกระแทกคล้าย ๆ กับเครื่องกันสะเทือน (โช๊คอัพ) ของรถยนต์
สะบ้าหัวเข่า (Pateela) เป็นกระดูกที่อยู่ภายในเอ็นกล้ามเนื้อซึ่งหุ้มอยู่ทางหน้าของข้อเข่า และเป็นส่วนหนึ่งของปลอกหุ้มทางหน้า, ทางด้านบน, ด้านล่าง และทางด้านหน้าของสะบ้านี้มีถุงเบอร์ซ่า (Bursa) สำหรับป้องการการเสียดสีที่เกิดขึ้นระหว่างกล้ามเนื้อกับกระดูกหรือระหว่างกระดูกกับผิวหนัง
ในการเกิดอุบัติเหตุหกล้ม หัวเข่าอาจจะกระแทกพื้นแรง ๆ ทำให้สะบ้าหัวเข่าแตกได้ จึงควรระวังอวัยวะส่วนนี้ของร่างกายบ้างพอสมควร.




คำบรรยายภาพ

1.กระดูกต้นขา ( Femur )
2.กระดูกหน้าแข้ง( Tibia )
3.เอ็นกล้ามเนื้อด้านหลัง
4.เอ็นกล้ามเนื้อใต้สะบ้า
5.กระดูกสะบ้า( Patella )
6.กล้ามเนื้อด้านหน้าของต้นขา
7.ถุง( น้ำ) เบอร์ซ่าใต้สะบ้า
8.ถุง( น้ำ) เบอร์ซ่าเหนือสะบ้า
9. กระดูกอ่อนหุ้มปลายกระดูกแข็ง
10.กระดูกอ่อนรูปครึ่งวงกลม 2 อัน
11.เยื่อและน้ำบุภายในข้อ
12.ไขมันในบริเวณข้อเข่า
13.กล้ามเนื้อด้านหลังของต้นขา
14.กล้ามเนื้อด้านหลังของปลายขา

ร่างกายของคนเราประกอบด้วยกระดูกเป็นโครงร่าง ซึ่งมีทั้งหมด 206 ชิ้น ประกอบด้วย29 ชิ้น กะโหลกศีรษะ25 ชิ้น กระดูกซี่โครง(ทร...
20/06/2017

ร่างกายของคนเราประกอบด้วยกระดูกเป็นโครงร่าง ซึ่งมีทั้งหมด 206 ชิ้น ประกอบด้วย

29 ชิ้น กะโหลกศีรษะ
25 ชิ้น กระดูกซี่โครง(ทรวงอก)
26 ชิ้น กระดูกสันหลัง
64 ชิ้น กระดูกแขนและมือ
62 ชิ้น กระดูกขาและเท้า

หน้าที่ของกระดูก
เป็นโครงร่างของร่างกาย ปกป้องอวัยวะภายใน ช่วยเคลื่อนไหว เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ

ข้อ (Joint)

เกิดจากการประกอบขึ้นของปลายกระดูก 2 ชิ้น แบ่งเป็น 2 ชนิด ข้อเป็น มีการเคลื่อนไหว เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อตาย ข้อที่ยึดติดแน่นและรวมกัน เช่น กะโหลกศีรษะ

ฟกช้ำ (Contusion)

คือ การบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อน

สาเหตุ : จากแรงกระแทกของวัตถุที่ไม่มีคมกระทบร่างกายโดยตรง

อาการ : ปวด บวม

การปฐมพยาบาล พักบริเวณที่ถูกกระแทก ถ้ายกสูงได้ให้ยกสูง ประคบความร้อน-เย็น

ขัดยอก (Strain)

คือ การที่ส่วนของกล้ามเนื้อเอ็นถูกดึงหรือยืดขยายอย่างแรงมากกว่าปกติ หรือมีการฉีกขาดของกล้ามเนื้อหรือเอ็นที่ถูกดึงอย่างแรง

สาเหตุ : กล้ามเนื้อถูกบิดอย่างแรงหรือมีการเคลื่อนไหวส่วนของร่างกายเร็วเกินไป เช่น ยอกหลัง

อาการ ปวด แข็งตึง บวมเล็กน้อย

การปฐมพยาบาล ให้พักกล้ามเนื้อส่วนนั้น ประคบด้วยความร้อน นวด ให้ยาแก้ปวด ถ้าอาการไม่ทุเลาให้ไปพบแพทย์

ข้อเคล็ด (Sprain)

เป็นการฉีกขาดของเอ็นที่อยู่รอบๆ ข้อและเยื่อหุ้มข้อ

สาเหตุ การบิด การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การเหวี่ยงอย่างแรงตรงบริเวณข้อต่อเกินกว่าข้อนั้นสามารถจะทำได้

อาการ ปวด กดเจ็บ บวม

การปฐมพยาบาล ให้ข้อที่บาดเจ็บอยู่นิ่งๆ อาจใช้ผ้าพันรอบข้อให้แน่นพอควร 24 ชั่วโมงแรก ประคบความเย็น หลัง 24 ชั่วโมง ประคบความร้อน ยกข้อให้สูง ควรแนะนำให้ไปโรงพยาบาล

ข้อเคลื่อน (Dislocation)

คือ ภาวะที่ปลายกระดูกหรือหัวกระดูก 2 อัน ที่มาชนกันขึ้นเป็นข้อเคลื่อนจากตำแหน่งที่เคยอยู่

สาเหตุ พิการจากกำเนิด มีพยาธิสภาพ มีการกระแทกที่บริเวณข้อ

อาการ ปวด บวมรอบๆ ข้อ กดเจ็บ เคลื่อนไหวข้อไม่ได้ตามปกติ รูปร่างของข้อเปลี่ยนไปจากเดิม สีของบริเวณข้อที่ได้รับบาดเจ็บเปลี่ยนไปจากเดิม

การปฐมพยาบาล ให้ข้อนั้นอยู่นิ่ง ๆ ประคบด้วยน้ำแข็งบริเวณข้อ ใช้ผ้าพยุงหรือดามไว้ นำส่งโรงพยาบาล

กระดูกหัก (Fracture)

คือ การเสียความต่อเนื่องอย่างใดอย่างหนึ่งของกระดูก

สาเหตุ ความแรงที่มากระทบกับตัวกระดูกที่หักโดยตรง
/ แรงกระแทกกับตัวกระดูกที่หักโดยตรง
/ แรงกระแทกทางอ้อม
/ การหดตัวของกล้ามเนื้อหรือกล้ามเนื้อกระตุกอย่างแรง
/ กระดูกมีพยาธิสภาพ

ชนิดของกระดูกหัก
/ หักแบบขาดออกจากกัน
/ หักอย่างธรรมดา (หักสองท่อน)
/ หักอย่างมีบาดแผลภายนอก (มีกระดูกโผล่ออกมา)
/ หักอย่างละเอียด เป็นชิ้นๆ หลายชิ้น
/ หักและมีอาการแทรกซ้อนคือ หักแล้วปลายกระดูกที่หักไปทิ่มอวัยวะอื่นๆ
/ หักบางส่วนโดยไม่ขาดออกจากกัน
/ กระดูกร้าว
/ กระดูกยุบ
/ กระดูกเดาะ

อาการของกระดูกหัก
/ มีเลือดออก (ภายใน , ภายนอก)
/ อาจมีอาการช็อก (จากการเจ็บปวดมากหรือการเสียเลือด)
/ มีไข้ จากการเสียเลือด ขาดน้ำ ติดเชื้อ การฉีกขาดของกล้ามเนื้อ

อาการและการตรวจพบที่กระดูกหัก
/ ปวด ตำแหน่งที่หัก กดบริเวณนั้นยิ่งปวด
/ บวม จากมีเลือดออก
/ จับโยกไปมา มีเสียงกรอบแกรบ
/ ท่อนกระดูกที่หักผิดรูป
/ ทำงานไม่ได้ตามปกติ
/ อวัยวะที่กระดูกหักจะยุบ นูน โก่ง บิด สั้นหรือยาวกว่าข้างที่ปกติ
/ ถ้ากระดูกหักมีบาดแผลที่ผิวหนังด้วย อาจเห็นปลายกระดูกทิ่มออกมาที่แผล

การปฐมพยาบาล

จุดประสงค์ เพื่อรักษาชีวิต รักษาอวัยวะไว้

หลักการปฐมพยาบาล ถ้าพบผู้บาดเจ็บเป็นลม หมดสติ หรือช็อค ต้องรีบช่วยเหลือก่อน ถ้ามีเลือดออก ต้องห้ามเลือด จับต้องอวัยวะที่หักอย่างระมัดระวัง ตัดผ้าบริเวณแขนขาที่หัก ห้ามถอดเสื้อผ้าแบบธรรมดา ถ้ามีบาดแผลควรเช็ดรอบๆ แผลให้สะอาด ไม่ล้างแผล เข้าเฝือกให้ถูกต้องเหมาะสมโดยเร็ว นำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

เฝือก (Splint/Cast)

เฝือกที่ใช้เมื่อมีกระดูกหักในเวลาเกิดอุบัติเหตุ มีหลายชนิด เฝือกสำเร็จรูป เป็นเฝือกที่ทำไว้ใช้ อาจเป็นไม้หรือโลหะ มีหลายขนาดแตกต่างกัน เฝือกธรรมชาติ คือการใช้กระดูกข้างเคียงทับกระดูกที่หักเป็นเฝือกได้ชั่วระยะที่ให้การพยาบาล เฝือกชั่วคราว คือเฝือกที่ทำขึ้นเองโดยใช้วัตถุสิ่งของง่ายๆ เท่าที่หาได้ในบริเวณที่เกิดเหตุและผู้ช่วยเหลือสามารถดัดแปลงนำมาเป็นเฝือกได้

วัตถุประสงค์ของการเข้าเฝือก
ให้ส่วนที่หักได้พัก ไม่ให้ปลายกระดูกที่หักเสียดสีกัน ทำลายเส้นเลือด เส้นประสาท และกล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียง หรือหลุดแยกออกจากกัน บรรเทาอาการเจ็บปวด เคลื่อนย้ายได้สะดวก

หลักการเข้าเฝือก
เฝือกต้องยาวพอที่จะบังคับข้อต่อซึ่งอยู่เหนือและใต้บริเวณที่สงสัยว่าหัก ควรมีผ้าหรือสำลีรองที่เฝือก เข้าเฝือกในท่าที่เป็นอยู่ อย่าจัดกระดูกเข้ารูปเอง เชือกมัดเฝือกไม่ตรงบริเวณแผล มัดเฝือกให้แน่นพอควร

การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย

ผู้ประสบอุบัติเหตุจำนวนมาก หลังจากที่ได้รับอันตรายแล้วไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้ บุคคลเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้าย เพื่อไปร

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

0864689678

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์ที่ปรึกษา ด้านกระดูกและข้อ ประจำประเทศ ลาวผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ศูนย์ที่ปรึกษา ด้านกระดูกและข้อ ประจำประเทศ ลาว:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท