ศูนย์สมองดี HealthyBrain - Alertide

ศูนย์สมองดี HealthyBrain - Alertide ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อเลอไทด์ alertide บำรุงสมอง เพิ่มพลังความจำ ลดความเครียด

🤸🤷 เด็กสมาธิไม่มี จะเรียนดีได้อย่างไร ?"สมาธิ" จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ !!                                             ...
19/02/2021

🤸🤷 เด็กสมาธิไม่มี จะเรียนดีได้อย่างไร ?

"สมาธิ" จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ !!
สมาธิ คือ การจดจ่อกับสิ่งที่จะทำอย่างแน่วแน่ เพื่อพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

👦👧 เด็กบางคน เก่ง ฉลาด พูดจาฉะฉาน ความจำดี ดูนิ่ง และ มีความตั้งใจทำอะไรได้นาน แต่เด็กบางคนมีพฤติกรรมต่างกันสิ้นเชิง นั่นเพราะว่า ขาดสมาธิ ซึ่งสมาธิ เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ และ จดจำของเด็ก

ผลงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า "สมาธิ" มีความสัมพันธ์กับสมอง เพราะ เวลาเด็กนิ่ง (Focus) เป็นเวลานานระยะหนึ่ง (Sustain) สมองส่วนซีรีบรัม (Cerebrum) จะเกิดการทำงานของคลื่นสมองแอลฟ่า (Alpha)ได้ดี ทำให้เด็กเกิดการจำ การเรียนรู้ และ การเข้าใจสิ่งต่างๆได้ง่าย

เด็กบางคนมีสมาธิดีแต่กำเนิดก็จริงอยู่ แต่ถ้าได้รับการฝึกปฏิบัติด้วย ก็จะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน และ มีความประพฤติต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

✳️ สาเหตุที่เด็กไม่มีสมาธิ

1. ขาดความสนใจในสิ่งที่กำลังทำ

2. หมกมุ่นในเรื่องอื่นๆ มากเกินไป เช่น เล่นเกม ดูการ์ตูน ฯลฯ

3. สนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน

4. มีความวิตกกังวล และ ความเครียด รบกวนจนละเลยที่จะรับรู้ หรือ สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

5. ภาวะความบกพร่องของร่างกาย และ ความเจ็บป่วยบางโรค เช่น โรคสมาธิสั้น ฯลฯ

6. ภาวะความไม่พร้อมอื่นๆ เช่น ความหิว ความอ่อนเพลีย การขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้

7. สิ่งแวดล้อมไม่สงบ มีสิ่งเร้ามากเกินไป หรือ มีเสียงดังรบกวนสมาธิ

🔘 เทคนิคเพิ่มสมาธิให้ลูก เริ่มได้ตั้งแต่เด็ก

การจะช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิในการเรียน ทำกิจกรรมต่างๆ พ่อแม่ต้องมีเทคนิคเพิ่มสมาธิให้ลูก การฝึกสมาธิ ไม่ใช่การพาเด็กๆไปนั่งสมาธิที่วัดแต่อย่างใด เพราะหากให้ทำเช่นนั้นจริงๆ อาจยังไม่ได้อยู่ในวัยที่ลูกจะสามารถนั่งนิ่งๆ ทำสมาธิกันได้อย่างแน่นอน การเพิ่มสมาธิให้ลูก ทางสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ได้แนะนำเทคนิคง่ายๆ 10 วิธี ให้ดังนี้

👉 10 เทคนิคเพิ่มสมาธิให้ลูก

1. มอบความรัก : ความเข้าใจในธรรมชาติและพัฒนาการตามช่วงวัยรุ่นต่างๆของลูก จะช่วยให้ลูกพัฒนาการเรียนรู้ และ อารมณ์ อย่างสอดคล้องกับวัย

2. จัดสิ่งแวดล้อม : ควรมีการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้มีสมาธิ เช่น การจัดบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่วุ่นวาย และ มีมุมสงบที่ลูกสามารถทำการบ้าน และ อ่านหนังสือ โดยไม่มีเสียงดังรบกวนอยู่ใกล้ๆ ให้เสียสมาธิ

3. อาหารและออกกำลังกาย : ดูแลลูกให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมตามช่วงวัย ให้ออกกำลังกาย และ ให้พักผ่อนที่เพียงพอ เมื่อลูกมีร่างกายที่แข็งแรง ก็ย่อมมีความพร้อมในการจดจ่อและเรียนรู้สิ่งต่างๆ

4. ฟังเพลงคลาสสิค : มีผลการวิจัยระดับโลกที่ยืนยันว่า เพลงคลาสสิค หรือ เพลงบรรเลงที่มีจังหวะช้าๆ สม่ำเสมอ เข้ากับการเต้นของหัวใจ จะช่วยให้ร่างกายมีสภาวะที่ผ่อนคลาย เพิ่มความสามารถทางด้านความจำ และ การเรียนรู้ได้รวดเร็ว

5. ส่งเสริมศิลปะ : ศิลปะและการประดิษฐ์ต่างๆ เช่น การวาดรูป พับกระดาษ งานปั้น งานฝีมือต่างๆ ฯลฯ ตามความสนใจและความถนัดของเด็ก ซึ่งช่วยให้เด็กเพลิดเพลิน มีความสุขในสิ่งที่ทำ และ สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้นาน

6. ของเล่นที่ดี : เลือกของเล่นที่เหมาะกับวัย และ ช่วยให้ลูกจดจ่อให้การเล่นได้นาน เช่น จิ๊กซอว์ เลโก้ ร้อยเชือก บล็อกไม้ ฝึกให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่าง จะช่วยให้ลูกมีสมาธิกับการเล่นได้นานขึ้น

7. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง : ขณะที่เด็กฟังนิทาน ลูกได้มีโอกาสฝึกการใช้ประสาทสัมผัส การมองสีหน้า ท่าทางของพ่อแม่ขณะเล่า ฝึก ประสาททาง หู ในการฟัง และ ปากในการพูดตาม รวมทั้งการใช้สมาธิจดจ่อในเรื่องราวที่พ่อแม่เล่า ซึ่งเด็กจะจดจำเรื่องราวเหล่านี้ไว้อย่างไม่น่าเชื่อ

8. ฝึกวินัย : การฝึกวินัย และ ความเป็นระเบียบในการดำเนินชีวิต เช่น จัดตารางกิจวัตรในบ้านให้ชัดเจนว่า เวลาไหนควรทำอะไรบ้าง จะช่วยให้เด็กทำอะไรเป็นระบบ ขั้นตอน และ ทำอะไรอย่างไม่เร่งรีบเกินไป ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างสมาธิทั้งสิ้น

9. ฝึกเพิ่มสมาธิ : ฝึกการเพิ่มสมาธิให้ลูกอย่างเป็นระบบ ตัดสินใจให้ลูกทำสิ่งต่างๆให้นานขึ้นตามลำดับ เช่น เริ่มจากการติดกระดุมจากครั้งแรกได้เม็ดเดียว ก็ค่อยเพิ่มเป็น 5 เม็ด

**การค่อยๆ เพิ่มงานที่ยากขึ้น หรือ ต้องใช้เวลาทำนานขึ้น หรือ งานที่ต้องใช้ความละเอียดเพิ่มขึ้น ก็เท่ากับเป็นการฝึกสมาธิที่นานขึ้นเช่นกัน และ เมื่อเด็กทำได้ ให้คำชม พึงระวัง ไม่ตำหนิ และ ใช้อารมณ์กับลูก เพราะเด็กจะขาดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้

10. สนับสนุนสิ่งที่เด็กชอบ : หากพ่อแม่สังเกตว่า ลูกเริ่มสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น เรื่องแมลง เรื่องไดโนเสาร์ พ่อแม่ควรกระตุ้นความอยากเรียนรู้ของเด็กมากขึ้น ด้วยการตั้งคำถามและข้อสงสัย แล้วท้าทายให้เด็กแสวงหาคำตอบ เช่น ค้นคว้าจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต พาไปศึกษารายละเอียดตามพิพิทธภัณฑ์ หรือ แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้สมาธิจดจ่อในการศึกษาเรื่องที่สนใจยาวนานขึ้นได้

👉 นอกจากการส่งเสริมเรื่องสมาธิให้ลูกทั้ง 10 วิธีนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มฝึกให้ลูกลองนั่งสมาธิ และ สวดมนต์สั้นๆ เมื่อลูกอยู่ในวัยที่พร้อม อย่างช่วงปฐมต้น ก็สามารถเริ่มให้ลูกนั่งสมาธิ หรือ สวดมนต์สั้นๆ ที่ห้องพระกับพ่อแม่ ย่ายาย หรือ เวลาพาไปทำบุญที่วัด ก็อาจชวนลูกสวดมนต์ และนั่งสมาธิสัก 5-10 นาที การฝึกให้ลูกทีละเล็กละน้อย จะช่วยให้ลูกค่อยๆ ซึมซับ และ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกให้ทำ

(star)สมาธิกับเด็ก ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะไม่ว่าจะเรียนหนังสือ เล่นกีฬา หรือ ทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นไปตามช่วงวัย ล้วนต้องมีสมาธิเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งนั้น

(2 hearts)ดังนั้นครูที่ดี ที่จะช่วยส่งเสริมเรื่องการมีสมาธิให้ลูก ตั้งแต่ก้าวแรกของชีวิตก็คือ คุณพ่อคุณแม่ นั่นเอง…ด้วยความใส่ใจและห่วงใย

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :
สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์
กรมสุขภาพจิต
trueplookpanya.com
=================================
🤸🤷 เด็กสมาธิไม่มี จะเรียนดีได้อย่างไร ?

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี Healthy Brain
💙 สนับสนุนโดย อเลอไทด์ สารอาหารบำรุงสมอง
✔️ช่วยเพิ่มสมาธิ เสริมสร้างความจำ และ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
✔️ช่วยลดความเครียด ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น
✔️ มีความคิดสร้างสรรค์
✔️ มีการจัดระบบระเบียนความคิด ดีขึ้น
✔️ ทำให้มีผลการเรียนดีขึ้น

📱: สนใจปรึกษาก่อนสั่งซื้อ อเลอไทด์ แอดไลน์ทักแชท

หรือ โทรสายด่วน. 091 887 1691 , 064-469-4459

📚 "ชวนลูกอ่านหนังสือ พัฒนาสมอง ด้วยเคล็ดลับ 7 ข้อ"การอ่านหนังสือ ช่วยพัฒนาสมองของเด็กๆได้  🔎ผลจากการศึกษาพบว่า การอ่านจา...
28/01/2021

📚 "ชวนลูกอ่านหนังสือ พัฒนาสมอง ด้วยเคล็ดลับ 7 ข้อ"

การอ่านหนังสือ ช่วยพัฒนาสมองของเด็กๆได้ 🔎ผลจากการศึกษาพบว่า การอ่านจากหนังสือจริงๆ กับ การอ่านจากเเท็บเล็ตนั้น ใช้สมองคนละส่วนกัน

การอ่านจากหนังสือ จะเป็นการอ่านในระดับลึก สมองจะเชื่อมต่อกันเป็นกลไก สมองส่วนที่พัฒนาทางด้านภาษาจะทำงานดีขึ้น และ ทำให้คนอ่านหลุดเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการในหนังสือ จึงควร ชวนลูกอ่านหนังสือ

เด็กจะสามารถสะท้อนแนวคิดจากหนังสือออกมาเป็นความคิดของตัวเองได้เมื่ออ่านจบ ในขณะที่ การอ่านบนเเท็บเล็ต จะเป็นการอ่านเฉพาะใจความสำคัญ คนอ่านต้องการรู้ข้อมูลแบบรวดเร็วไม่ยืดเยื้อ เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารที่ต้องการแล้ว ก็เลื่อนไปอ่านเรื่องอื่นที่ตัวเองสนใจต่อไป

🔘 ชวนลูกอ่านหนังสือ พัฒนาสมอง ด้วยเคล็ดลับ 7 ข้อ

เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้อย่างนี้แล้ว คงจะเสียดายไม่น้อย หากลูกๆ ไม่ได้มีโอกาสอ่านจากหนังสือจริงๆ เหมือนกับคนรุ่นก่อน อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยปลูกฝังให้ลูกรักการอ่านได้ ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ 7 ข้อดังนี้

1. อ่านไปพร้อมๆ กับลูก
👉การที่คุณพ่อคุณแม่อ่านไปพร้อมๆ กับลูก ถือเป็นจุดเริ่มต้นของนิสัยรักการอ่าน ดังนั้นอย่าลืมแบ่งเวลามาอ่านหนังสือกับลูกๆ กันนะคะ

2. ไม่จำกัดการอ่านอยู่แค่ในหนังสือ
👉ไม่ว่าป้ายบอกทาง หนังสือการ์ตูน นิตยสาร หรือ คู่มือประกอบของเล่น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว สามารถนำมาเป็นสื่อชี้ชวนให้ลูกอ่านได้ทั้งนั้น

3. ทำให้การอ่านเป็นเรื่องน่าสนุก
👉คุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกเติมคำในช่องว่างของหนังสือนิทาน หรือ ให้ลูกๆ แสดงท่าทางประกอบกับเรื่องที่กำลังอ่านไปด้วยก็ได้

4. ให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ
👉เมื่อลูกอ่านหนังสือจบแต่ละเรื่อง คุณพ่อคุณแม่อาจให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เช่น สมุดสะสมสติ๊กเกอร์ เท่ากับ จำนวนหนังสือที่ลูกอ่านจบไปแล้ว เด็กๆจะได้รู้สึกภาคภูมิใจกับความสำเร็จของตัวเอง

5. ให้ลูกได้เลือกหนังสือเอง
👉คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนให้ลูกเลือกหนังสือที่ตัวเองอยากอ่านจริงๆ แม้ว่าลูกจะเลือกอ่านหนังสือการ์ตูนก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่า นักเขียนและกวีชื่อดังหลายคน ต่างก็เริ่มนิสัยรักการอ่านมาจากหนังสือการ์ตูนนี่แหละ

6. พูดคุยถึงเรื่องราวที่อ่านจบไป
👉เมื่ออ่านหนังสือจบแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรจะพูดคุยและเปิดโอกาสให้ลูกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ถ้าหากบางเรื่องมีเค้าโครงมาจากสถานที่หรือเหตุการณ์จริง คุณพ่อคุณแม่อาจพาลูกไปยังสถานที่จริง หรือ พิพิธภัณฑ์ที่จำลองเหตุการณ์ จากเรื่องที่ลูกอ่านก็ได้

7. จัดสรรเวลาสำหรับการอ่านหนังสือ
👉ในหนึ่งวันเด็กๆ ต่างก็มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านอย่างจริงจัง คุณพ่อคุณแม่ควรจัดสรรเวลาให้ลูกได้อ่านหนังสืออย่างสงบ และจัดให้มีมุมอ่านหนังสือที่เด็กๆ จะรู้สึกผ่อนคลายและเป็นส่วนตัว

ด้วยเคล็ดลับดีๆ เพียงเท่านี้ เด็กๆ จะต้องสนุกกับการอ่านหนังสือ และ รักการอ่านมากขึ้นอีกแน่นอนค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
amarinbabyandkids.com
=========================

🥗 เสริมอาหารสมองให้กับลูกน้อย ช่วยให้มีทั้ง
IQ & EQ ที่ดีขี้น ได้ด้วย " อเลอไทด์"

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain
👉

♥️ สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบํารุงสมอง
✔️ ช่วยเพิ่มสมาธิ เสริมสร้างความจำ และ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
✔️ ช่วยปรับให้มีอารมณ์ดี
✔️ การจัดลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
✔️ ช่วยลดความเครียด นอนหลับลึก และ หลับสนิทได้ดี
✔️ ช่วยปรับพฤติกรรมเด็กได้ง่ายขึ้น
✔️ ทำให้อาการสมาธิสั้น ดีขึ้นได้
✔️ ช่วยให้มีผลการเรียนดีขึ้น

📱: สนใจสั่งซื้อ อเลอไทด์ แอดไลน์ทักแชท inbox
👉

หรือ โทรสายด่วน. 064-469-4459, 091-887-1691

🔘 อะไรคือความแตกต่างระหว่าง ไอคิวกับอีคิว แล้วต้องเสริมลูกแบบไหน ถึงจะทำให้ลูกฉลาดยิ่ง ๆ ขึ้น !!🔎ไอคิว (IQ) คืออะไร?ไอคิ...
26/01/2021

🔘 อะไรคือความแตกต่างระหว่าง ไอคิวกับอีคิว แล้วต้องเสริมลูกแบบไหน ถึงจะทำให้ลูกฉลาดยิ่ง ๆ ขึ้น !!

🔎ไอคิว (IQ) คืออะไร?

ไอคิว สามารถเรียกอีกอย่างได้ว่า Intelligence Quotient (IQ) ถูกคิดค้นขึ้นโดย LM Terman เมื่อปี 1916 โดยหมายถึง "ความฉลาดทางเชาว์ปัญญา" โดยเฉพาะในเรื่องการคิด ความจำ การใช้เหตุผล การคำนวณ และ การเชื่อมโยง ซึ่งเป็นศักยภาพ หรือ ความสามารถทางสมอง ที่แต่ละบุคคลมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด โดยถูกกำหนดจากพันธุกรรม จึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ยาก

👉 ไอคิว วัดระดับได้อย่างไร?

ทั้งนี้การที่จะวัดระดับไอคิวได้นั้น ต้องทดสอบความรู้ความสามารถในทักษะด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
✔️คณิตศาสตร์
✔️การใช้ภาษา
✔️ความคิดเชิงตรรกะ
✔️การมองเห็น
✔️การจัดหมวดหมู่
✔️ความจำ
✔️ความรู้ทั่วไป และ ความรวดเร็วในการคำนวณ

🔎อีคิว (EQ) คืออะไร?

อีคิว เรียกอีกอย่างว่า Emotional Quotient (EQ) หมายถึง "ความฉลาดทางอารมณ์" ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ และ มีความสุข

ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ซาโลเวย์ และเมเยอร์ สองนักจิตวิทยาได้นำความคิดนี้มาพูด โดยเอ่ยถึงvความฉลาดทางอารมณ์ เป็นครั้งแรกว่า “เป็นรูปแบบหนึ่งของความฉลาดทางสังคม ที่ประกอบด้วย ความสามารถในการรู้อารมณ์ และ ความรู้สึกของตนเอง และ ผู้อื่น สามารถแยกความแตกต่างของอารมณ์ที่เกิดขึ้น และ ใช้ข้อมูลนี้เป็นทางชี้นำใน การคิด และ กระทำสิ่งต่างๆ”

จากนั้น แดเนียล โกลแมน นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ก็สานต่อแนวคิดนี้อย่างจริงจัง โดยได้เขียนหนังสือเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ และ ได้ให้ความหมายของ อีคิวว่า “เป็นความสามารถหลายด้าน ได้แก่ การเร่งเร้าตนเองไปสู่เป้าหมาย มีความสามารถควบคุมความขัดแย้งของตนเอง รอคอยเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สามารถจัดการกับอารมณ์ที่สบายต่าง ๆ มีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง”

🔯 ไอคิว กับ อีคิว แตกต่างกันอย่างไร?

✏️ไอคิว เป็นเรื่องราวของความฉลาดทางเชาว์ปัญญา ซึ่งแต่ละบุคคลมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และ อาจมีระดับไม่เท่ากัน ซึ่งสามารถวัดและประเมินออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้
✏️ อีคิว เป็นความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ โดยไม่สามารถวัดและประเมินออกมาเป็นค่าที่แน่นอนได้

เห็นได้ว่า ไอคิว(IQ)นั้นเป็น ความฉลาดทางสติปัญญา ที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยเป็นความฉลาดทางด้านการคิด การใช้เหตุผล การคำนวณ ความจำ และ การเชื่อมโยง ซึ่งสามารถวัดและประเมินออกมาเป็นค่าที่แน่นอนได้นั่นเอง

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขเผยว่า ให้ลูกฉลาดอย่างเดียว ก็คงจะไม่เพียงพอ ต้องให้ลูกเป็นคนดีด้วย พร้อมแนะ 3 วิธีเสริมดังนี้

1. ทักษะด้านการคิด เป็นการใช้คณิตศาสตร์เข้ามาเสริม เช่น ความเข้าใจเรื่องจำนวน ความสามารถในการแยกสิ่งที่เหมือนกัน ต่างกัน ความสามารถแก้โจทย์ที่เป็นตัวตั้งต้นนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ตรงนี้ จะส่งผลต่อการคิดของเด็ก เพราะ เขาจะเข้าใจตรรกะ เข้าใจเรื่องเหตุและผล

2. ทักษะการใช้ภาษา สามารถฝึกได้โดย ผ่านกระบวนการพูดคุย การอ่าน หรือ ใช้เรื่องเล่าต่าง ๆ ว่า แต่ละสถานการณ์ เด็กควรทำอย่างไร ภาษาเป็นช่องทางนำไปสู่ความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องของตัวเด็กเองให้คนอื่นเข้าใจ หรือ เขาสามารถคุยกับคนอื่น ไม่ว่าเพื่อนวัยเดียวกันหรือคนรอบข้าง

3. ทักษะด้านอารมณ์ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู ผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็ก ควรสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กมีจิตอาสา ทำสาธารณประโยชน์ ตลอดจนสังเกตทักษะด้านอารมณ์ของเด็ก รู้จักทำอะไรให้กับคนอื่น ซึ่งตรงนี้ต้องออกแบบให้เด็กรู้สึกสนุกที่อยากทำอย่างนั้น เวลาเห็นคนอื่นมีความสุข จะทำให้เด็กอยากทำ

จะเห็นได้ว่า เราจะเลี้ยงลูกให้ฉลาดอย่างเดียวเลยก็คงไม่พอ ดังนั้น เรามาส่งเสริมให้ลูกน้อยของเรา ทั้งฉลาดและเป็นคนดี เพื่อให้พวกเขาเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
กรมสุขภาพจิต
amarinbabyandkids.com
ข้อมูลอ้างอิงจาก manager.co.th
=============================

🥗 เสริมอาหารสมองให้กับลูกน้อย ช่วยให้มีทั้ง
IQ & EQ ที่ดีขี้น ได้ด้วย " อเลอไทด์"

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain
👉

♥️ สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบํารุงสมอง
✔️ ช่วยเพิ่มสมาธิ เสริมสร้างความจำ และ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
✔️ ช่วยปรับให้มีอารมณ์ดี
✔️ การจัดลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
✔️ ช่วยลดความเครียด นอนหลับลึก และ หลับสนิทได้ดี
✔️ ช่วยปรับพฤติกรรมเด็กได้ง่ายขึ้น
✔️ ทำให้อาการสมาธิสั้น ดีขึ้นได้
✔️ ช่วยให้มีผลการเรียนดีขึ้น

📱: สนใจสั่งซื้อ อเลอไทด์ แอดไลน์ ทักแชท Inbox ได้เลย

หรือ โทรสายด่วน. 091-887-1691 , 064-469-4459

👩👱 ลูกหัวช้า ทำอย่างไรจะช่วยลูกให้เป็นเลิศได้ ลูกเก่งได้ความอดทนและความนุ่มนวลเป็นสิ่งสำคัญเมื่อคุณสอนเด็กหัวช้า แทนที่ค...
23/01/2021

👩👱 ลูกหัวช้า ทำอย่างไรจะช่วยลูกให้เป็นเลิศได้ ลูกเก่งได้

ความอดทนและความนุ่มนวลเป็นสิ่งสำคัญเมื่อคุณสอนเด็กหัวช้า แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกอาย ควรพยายามช่วยดึงศักยภาพที่แท้จริงในตัวลูกออกมาอย่างเต็มที่

เรื่องพัฒนการเด็ก ถ้าพูดจริงๆแล้วนั้น เด็กบางคนก็อาจจะมีพัฒนาการช้าได้ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคน จะหัวไวไปหมด แต่อาจจะมีบางจุด หรือ บางครั้ง ที่ลูกของเราอาจจะมีพัฒนาการช้า หรือ ที่เรียกกันว่า ลูกหัวช้า จริงๆ สำหรับผู้ปกครองแล้ว มีวิธีไหน ที่เราจะช่วยเหลือลูกได้บ้าง แบบอย่ากดดันลูกเกินไป เรามาสู้ไปพร้อมกันกับลูกดีกว่า

👪 ช่วยลูกสู้ไปพร้อมกัน

📌การช่วยเด็กหัวช้า หาแนวทางการเรียนรู้ ที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญ เด็กแต่ละคน ก็เรียนรู้ได้ช้าเร็ว และ มีความถนัด ในแต่ละด้านต่างกัน เด็กบางคนอ่านหนังสือได้ดี ในขณะที่บางคน อาจถนัดคิดเลข ซึ่งไม่ได้บ่งบอกว่า เด็กคนหนึ่ง ฉลาดกว่าเด็กอีกคน

📌 เด็กบางคน อาจมีพัฒนาการทางการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะ ด้านการเคลื่อนไหว ความเข้าใจ และความจำ ช้ากว่าเด็กคนอื่น

ทั้งนี้ทั้งนั้น มีเด็กจำนวนหนึ่ง ที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้านการเรียนมากกว่า เด็กอื่น ๆ เพื่อที่จะทำให้เขาเติบโต และ เรียนรู้ได้ทันคนอื่น ๆ เราอาจสรุป ว่าเด็กที่ต้องการ ความช่วยเหลือ เหล่านี้เป็นเด็กหัวช้า แต่ควรระลึกไว้เสมอว่า ถ้าเราบอกคน ๆ หนึ่งว่าเขาเป็นเช่นนั้นเรื่อย ๆ สักวันเขาก็จะ กลายเป็นแบบนั้นจริง ๆ

🔯 จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกหัวช้า ?

พ่อแม่ และ คุณครู อาจไม่สามารถ รู้ได้ว่า จริงๆแล้ว เด็กหัวช้า เป็นเพราะเด็ก ไม่สามารถตามคนอื่นๆ หรือ เด็กไม่อยากตามคนอื่น ๆ กันแน่ เด็กที่ถูกเรียกว่า “เด็กหัวช้า” จะมีลักษณะดังต่อไปนี้

✔️ มีพัฒนาการในช่วงแบเบาะ ช้ากว่าเด็กทั่วไป เช่น เริ่มคลานช้า เดินช้า พูดช้า ตบมือ กระโดด สบตาช้า กว่าเด็กอื่น ๆ
✔️ มีปัญหาด้านสมาธิ เด็กทุกคนมีสมาธิสั้นเป็นปกติ แต่เด็กที่ไม่สามารถ จดจ่อ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานกว่า 2-3 นาที จำไม่ได้ ว่าก่อนหน้านั้นกำลังทำอะไรอยู่ หรือ ไม่สามารถทำสิ่งนั้นซ้ำได้เองโดยไม่ต้องให้บอก อาจมีปัญหา เกี่ยวกับการเรียนรู้ และ ต้องใช้การสอนแบบพิเศษ
✔️ ไม่สามารถทำความเข้าใจ เรื่องง่าย ๆ และจำสิ่งที่เรียนมาไม่ได้ เป็นไปได้ว่าลูกอาจจะ มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้
✔️ ชอบปลีกวิเวก หรือ เข้าสังคมไม่เป็น

เด็กหัวช้ามัก
1) รู้ตัวว่าตัวเอง เรียนรู้ช้ากว่าเพื่อน
2) ถูกครู และ/หรือเพื่อน บอกว่าตัวเอง “ช้า” ซึ่งจะทำให้ เด็กรู้สึกแปลกแยก บั่นทอนความมั่นใจ และ อาจทำให้ เด็กกลายเป็น เด็กมีปัญหาได้

แต่แทนที่เราจะมานั่งเครียดเรื่องนี้ เราควรหาวิธีที่จะ แก้ไขข้อบกพร่องนี้ดีกว่า

👪 หน้าที่ของพ่อแม่

✅ ถ้าลูกมีปัญหา ด้านการเรียนรู้ อย่าพยายามอธิบาย หรือ หลบๆ ซ่อนๆ ไม่มีอะไรต้องอาย อย่าทำให้ ลูกรู้สึกด้อย ไม่สำคัญ และ ไม่เป็นที่รัก

✅ ถ้า ลูกเป็นเด็กหัวช้า พยายามลดจังหวะ การสอนลง อดทน และ ให้เวลาเขา เพื่อให้เขาได้พัฒนาอย่างเต็มที่ หาอุปกรณ์มาช่วยเสริมการเรียน และ จัดสิ่งแวดล้อม ให้เป็นมิตรต่อการเรียนรู้ที่สุด

🎯 จะช่วยอะไรลูกได้บ้าง?

↪️ จัดที่อ่านหนังสือ/ทำงานเงียบ ๆ ให้ เพราะ สิ่งรบกวน เป็นอุปสรรคหลักของการเรียนรู้
↪️ ทำให้ชั่วโมงทำการบ้านสั้นลง ให้เหมาะกับช่วงสมาธิของลูก
↪️ ทำตัวให้เข้าถึงได้ * ช่วยลูกทำการบ้าน แต่ไม่ได้หมายถึง ต้องทำการบ้านให้ลูก* ช่วยแนะนำ และให้ลูกทำแบบฝึกหัดคล้าย ๆ กันหลาย ๆ ครั้ง ให้โจทย์เพิ่ม
↪️ ถามคำถามเช่น “คำนั้นแปลว่าอะไร?” “เข้าใจมั้ยว่าสิ่งนั้นคืออะไร?” “ทำไมถึงเลือกคำตอบนั้น?” เพื่อกระตุ้นให้ลูกคิด
↪️ อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
↪️ อดทนและสม่ำเสมอ
↪️ อย่าให้ลูกยอมแพ้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบ้านหรือตัวเอง ให้ลูกพักบ้างถ้าจำเป็น และ กลับมาทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ
↪️ อย่าปกป้องลูกมากเกินไป การเรียกลูกว่า “ช้า” จะยิ่งทำให้เขาช้ากว่าเดิม อย่าบอกเขาว่าเขาไม่มีความสามารถ แต่พยายามช่วยเขาให้ทำสำเร็จ
↪️ คอยสนับสนุน พูดคุยกับคุณครู อย่าปล่อยให้ลูกตามหลังจนตามไม่ทัน

📚 ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :
🔘 th.theAsianparent.com

============================

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain
👉 Add Line :

♥️ สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบํารุงสมอง
✔️ ช่วยเพิ่มสมาธิ เสริมสร้างความจำ และ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
✔️ ช่วยให้มีอารมณ์ดี
✔️ ช่วยลดความเครียด นอนหลับลึก และ หลับสนิทได้ดี
✔️ ทำให้มีผลการเรียนดีขึ้น

✳️ การเสริมอาหารสมองให้กับลูกน้อย ช่วยให้มีทั้ง IQ & EQ ที่ดี
💡 เพิ่มพลังสมองให้ลูกน้อย พร้อมรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ด้วย "อเลอไทด์"

📱: สนใจปรึกษาก่อนสั่งซื้อ แอดไลน์ทักแชท inbox ได้เลย

หรือ โทร. 091-887-1691 , 064-469-4459

โดยทั่วไปธรรมชาติของเด็กวัย 2 - 5 ขวบนี้ ยังพูดสื่อสารได้ไม่ดีนัก เด็กจะชอบสำรวจสิ่งแวดล้อม ชอบทำตามหรือเลียนแบบผู้ใหญ่ ...
22/01/2021

โดยทั่วไปธรรมชาติของเด็กวัย 2 - 5 ขวบนี้ ยังพูดสื่อสารได้ไม่ดีนัก เด็กจะชอบสำรวจสิ่งแวดล้อม ชอบทำตามหรือเลียนแบบผู้ใหญ่ แม้จะห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง จนดูเหมือนดื้อต่อต้าน

นอกจากนี้ยังคิดว่าของทุกอย่างเป็นของตัวเอง หวงของเล่น ไม่รู้จักแบ่งปันสิ่งของ และอารมณ์ก็แปรปรวนง่าย ถ้าไม่ได้อะไรดั่งใจก็อาจจะร้องอาละวาดได้

ผู้เลี้ยงดูเด็กจึงควรมีความเข้าใจพัฒนาการและปัจจัยต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมเด็ก ซึ่งจะช่วยให้การปรับพฤติกรรมเด็กประสบผลสำเร็จด้วยดี

✳️ สาเหตุของพฤติกรรมดื้อซน

1. พัฒนาการตามวัย เมื่อเด็กเติบโตเข้าสู่ขวบปีที่สอง เด็กจะเริ่มพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการความเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ และอาจมีลักษณะดื้อ ต่อต้านมากขึ้น สังเกตจากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การกิน การนอน การร้องอาละวาด เอาแต่ใจตนเอง เป็นต้น

ผู้เลี้ยงดูจึงต้องเข้าใจพัฒนาการของเด็กวัยนี้ และ ไม่ควรคาดหวังกับเด็กมากเกินไป ควรมีความยืดหยุ่น เลือกใช้วิธีการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างสมบูรณ์

2. พื้นฐานอารมณ์ เด็กแต่ละคนจะมีนิสัยหรือพื้นฐานอารมณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนเรียบร้อย แต่บางคนกลับค่อนข้างซุกซน หากพ่อแม่คาดหวังว่าลูกควรจะเรียบร้อย แต่ลูกไม่ได้มีพื้นฐานอารมณ์เป็นดั่งที่คาดหวัง พ่อแม่อาจจะมองว่าลูกซนมากผิดปกติและเกิดความหงุดหงิดกับพฤติกรรมของลูก ทำให้เกิดปัญหาการเลี้ยงดูตามมาได้ ซึ่งพื้นฐานทางอารมณ์นี้เป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด จึงจำเป็นที่ผู้เลี้ยงดู ต้องเข้าใจและปรับทัศนคติต่อเด็กและการเลี้ยงดูให้เหมาะสมด้วย

3. สิ่งแวดล้อม ผู้เลี้ยงดูเด็กจำเป็นต้องสำรวจสิ่งแวดล้อมด้วยว่า มีอะไรที่เป็นตัวกระตุ้นหรือส่งผลต่อพฤติกรรมเด็กหรือไม่ เช่น ในสถานที่เลี้ยงเด็กซึ่งแออัด มีเด็กมากเกินไป หรือมีของเล่นน้อยไม่เพียงพอสำหรับเด็กทุกคน ทำให้เด็กมีโอกาสทะเลาะแย่งของเล่นกันได้บ่อยๆ และเด็กอาจถูกมองว่า เป็นเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าวไป

4. ความสามารถในการเรียนรู้ เด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ แม้ว่าในขณะนี้เด็กอาจจะยังไม่เข้าใจ หรือ ไม่สามารถปฏิบัติตามที่ผู้ใหญ่สอนได้ทุกอย่างก็ตาม หากเราหมั่นสอนเด็กอย่างสม่ำเสมอ เด็กก็จะค่อยๆ เรียนรู้และสามารถปฏิบัติตามได้ในที่สุด ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงไม่ควรบังคับ ต่อว่า หรือ เร่งรัดเด็กมากเกินไป

5. ปัญหาทางอารมณ์จิตใจ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสม ปล่อยปละละเลย ขาดความรัก ความอบอุ่น อาจแยกตัวไม่สนใจใคร หรือก้าวร้าว แย่งของเล่น ทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

ในเด็กกลุ่มนี้นอกจากจะปรับพฤติกรรมแล้ว จำเป็นที่จะต้องแก้ไขสาเหตุคือ การให้ความรักและปรับวิธีการเลี้ยงดูเด็กให้เหมาะสมด้วย ในเด็กบางรายอาจมีปัญหาซน สมาธิสั้น ซึ่งอาจเกิดจากโรคสมาธิสั้น และ ส่งผลให้เด็กมีปัญหาการเรียน หรือ พฤติกรรมตามมา ดังนั้นพ่อแม่จึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาและช่วยเหลือเด็กอย่างเหมาะสมต่อไป นอกจากนี้ความเจ็บป่วยหรือไม่สบายของเด็กต่างๆ ก็สามารถส่งผลต่อปัญหาพฤติกรรมได้เช่นกัน

📚 10 วิธี ปรับพฤติกรรมเด็ก

1. ปรับสิ่งแวดล้อม : ผู้เลี้ยงดูควรปรับสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยสำหรับเด็ก เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น และจะได้ไม่ต้องเหนื่อยในการห้ามปราม หรือ พูดสั่งเด็กบ่อยๆ ว่า “ไม่” “ทำไม่ได้” “อย่านะ” และ ยังป้องกันการเกิดอารมณ์เสียต่อกัน เช่น การเก็บยา สารเคมี เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแก้ว ของมีคมต่าง ๆ ให้พ้นมือเด็ก เนื่องจากเด็กวัยนี้ชอบปีนป่ายสำรวจสิ่งของอยู่แล้ว หรือ จัดสถานที่เล่นให้ปลอดภัยสำหรับเด็ก เอาของเล่น หรือสิ่งของที่อาจก่อให้เกิดอันตรายออกไป

2. จัดกิจวัตรประจำวันให้สม่ำเสมอ : เช่น จัดตารางการกิน การนอนให้เป็นเวลา เพื่อช่วยให้เด็กปรับตัวได้ง่ายขึ้น ร่วมมือมากขึ้นในการทำกิจวัตรต่างๆ

3. เบี่ยงเบนความสนใจ : เป็นวิธีที่ได้ผลดีในเด็กเล็ก เพราะเด็กยังมีความสนใจ หรือสมาธิค่อนข้างสั้น จึงสามารถใช้วิธีเบี่ยงเบนให้เด็กหันไปสนใจอย่างอื่นแทน เพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการได้ เช่น หากเด็กกำลังเล่นของที่แตกหัก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ อาจชวนให้เด็กเล่นอย่างอื่นแทน หรือหากเด็กกำลังจะเข้า

4. ชี้แนะ : โดยการบอกหรือสอนให้เด็กรู้ว่า อะไรทำได้หรือทำไม่ได้ และหาทางออกให้เด็กรู้ด้วยว่า ควรทำอย่างไรแทน เช่น หากเด็กกำลังขีดเขียนเล่นบนหนังสือ ผู้ใหญ่ควรรีบเอาหนังสือออก และบอกเด็กว่า “เขียนบนหนังสือไม่ได้” แล้วหากระดาษหรือสมุดวาดเขียนให้เด็กเขียนหรือวาดรูปแทน

5. ไม่สนใจหรือเพิกเฉย : ใช้เพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ โดยที่พฤติกรรมนั้นต้องไม่เป็นอันตรายต่อตัวเด็กเอง ต่อผู้อื่นหรือสิ่งของ เช่น เมื่อเด็กร้องไห้อาละวาดอยู่ที่พื้น เพราะไม่ได้ดั่งใจ ไม่ควรตามใจเด็ก ควรปล่อยให้เด็กร้องไปเรื่อยๆ และทำเป็นไม่สนใจ แต่อยู่ในสายตาว่าเด็กปลอดภัยดี สักพักเด็กจะหยุดร้องไปเอง เมื่อเด็กหยุดร้องแล้ว ถึงจะเข้าไปหาเด็ก พูดคุยถึงวิธีแก้ปัญหาหรือชวนทำกิจกรรมอื่นต่อไป แต่ไม่ใช่เข้าไปโอ๋หรือต่อรองกับเด็ก

6. การให้ : ได้รับผลตามธรรมชาติ และ การให้รับผิดชอบผลของการกระทำ จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองต่อไป เช่น หากเด็กไม่ยอมกินข้าว ก็ต้องปล่อยให้เด็กรู้จักความรู้สึกหิว เด็กจะได้ยอมกินอาหารมื้อต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม หากพฤติกรรมใดที่ก่อให้เกิดผลตามธรรมชาติที่รุนแรง ก็ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น ต้องหยุดพฤติกรรมนั้นทันที เช่น หากเด็กจะปีนป่ายที่สูงแล้ว อาจตกลงมาศีรษะแตกหรือขาหัก เป็นต้น

7. การเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็ก : อย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น เด็กวัยนี้ชอบเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่อยู่แล้ว การที่ผู้ใหญ่หรือคนในบ้านแสดงพฤติกรรมที่ดีอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าเด็กอาจจะยังไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำทั้งหมดก็ตาม แต่เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้และซึมซับว่าการที่ผู้ใหญ่ทำพฤติกรรมดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่สมควรทำตามและเป็นที่ยอมรับ เช่น การที่ผู้ใหญ่เล่นกับสัตว์เลี้ยงที่บ้านอย่างนุ่มนวล การพูดคุยในบ้านด้วยถ้อยคำที่สุภาพ การเข้านอนหรือทานอาหารเป็นเวลา เป็นต้น

8. การแยกให้อยู่ตามลำพังชั่วคราว (Time out) : ใช้ได้ผลดีในเด็กอายุประมาณ 2-10 ปี เมื่อเด็กทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ให้เด็กแยกออกมาอยู่ตามลำพังชั่วคราว เพื่อสงบอารมณ์ โดยมีวิธีการดังนี้
📌 เตือนบอกล่วงหน้าว่าจะให้เด็กทำอะไร เช่น “ลูกต้องหยุดขว้างของเล่นเดี๋ยวนี้ แล้วไปนั่งที่เก้าอี้นั่น”

📌 หากเด็กไม่ยอมไปนั่งเอง ให้จูงมือหรืออุ้มเด็กไปนั่งที่เก้าอี้หรือจุดสงบที่เตรียมไว้ ในเด็กเล็กๆ อาจจะให้เด็กนั่งที่จุดเดิมก็ได้ แต่ควรเอาสิ่งของอื่นๆ หรือของเล่นออกไปจากบริเวณนั้นด้วย

📌 กำหนดเวลาให้เด็กรู้ว่าต้องนั่งสงบนานเท่าไร โดยทั่วไปจะให้นั่งเป็นเวลานานเท่ากับอายุของเด็กเป็นปี แต่ไม่ควรเกิน 10 นาที เช่น เด็กอายุ 3 ปี ให้นั่งนาน 3 นาที เป็นต้น เนื่องจากในเด็กเล็กอาจยังไม่เข้าใจเรื่องเวลา ควรหานาฬิกาใหญ่ๆ มาตั้งใกล้ๆ และชี้ให้เด็กดูเข็มนาฬิกาแทนว่าต้องนั่งนานเท่าใด

📌 ระหว่างให้เด็กนั่งสงบ ไม่ควรให้ความสนใจหรือพูดโต้ตอบกับเด็ก ไม่ควรให้เด็กนั่งอยู่ในบริเวณที่มีของเล่น โทรทัศน์ หรือสิ่งเพลิดเพลินอื่นๆ และไม่ควรขังเด็กในห้องน้ำหรือห้องมืดต่างๆ ด้วย

📌 เมื่อหมดเวลาแล้ว ควรให้ความสนใจกับเด็กทันที พูดคุยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น สอนให้เด็กรู้ว่าคราวหน้าควรปฏิบัติอย่างไรแทน ไม่ควรใส่อารมณ์หรือพูดยั่วยุให้เด็กโมโหต่อ

9. การให้แรงเสริมทางบวก : คือการให้คำชมเชยผ่านทางคำพูด หรือ การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง เช่น การโอบกอด ลูบศีรษะ การชมเด็กควรทำด้วยความจริงใจและเจาะจงกับพฤติกรรมที่เด็กทำด้วย เด็กจะได้รู้ว่าผู้ใหญ่ให้ความสนใจกับเรื่องอะไร เด็กจะเรียนรู้และพยายามทำพฤติกรรมนั้นต่อ ระมัดระวังการพูดเสียดสีหรือเปรียบเทียบเด็กกับผู้อื่นในขณะที่ชมเด็กด้วย

➡️ ตัวอย่างคำชมที่ถูกต้อง เช่น “ลูกโอ๋เก่งมากเลยที่เล่นเสร็จแล้วเก็บของเข้ากล่องได้เรียบร้อย แม่ภูมิใจในตัวหนูมาก” “บอยยอดเยี่ยมมาก วันนี้กินข้าวเองหมดจานเลย”

➡️ ตัวอย่างคำชมที่ไม่เหมาะสม เช่น “ลูกเก่งมากที่กินข้าวหมดจาน แต่วันหลังกินอย่าให้หกเลอะเทอะอย่างนี้นะ” “บีเขียนหนังสือสวยขึ้นเยอะเลย หัดเขียนให้สวยๆนะ จะได้เก่งเหมือนพี่เอ”

10. การลงโทษ (Punishment) : โดยทั่วไปไม่ควรใช้การลงโทษเป็นวิธีแรก หรือ บ่อยๆ เพราะจะทำให้เด็กไม่เข้าใจ เสียความสัมพันธ์ต่อกันได้ ควรเลือกใช้วิธีลงโทษเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่รุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องหยุดพฤติกรรมนั้นทันที หรือ อาจเคยใช้วิธีอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล

การลงโทษอย่างรุนแรงบ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผล นอกจากจะไม่ช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพและจิตใจของเด็กด้วย การลงโทษไม่จำเป็นต้องเป็นการดุว่า ตำหนิ หรือ การตีเสมอไป อาจใช้วิธีอื่นๆ แทนได้ เช่น การตัดสิทธิหรือรางวัล การจำกัดหรือกักบริเวณ การให้ออกกำลังกายเพิ่ม เป็นต้น

🔎 โดยสรุป การปรับพฤติกรรมเด็กให้ได้ผลนั้น นอกจากจะต้องเข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็กแล้ว ผู้เลี้ยงดูจะต้องให้ความรัก ความเมตตาต่อเด็ก ปฏิบัติต่อเด็กอย่างสม่ำเสมอด้วยท่าทีที่หนักแน่นจริงจัง รู้วิธีการสื่อสารกับเด็กอย่างถูกต้อง และที่สำคัญ ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนในบ้านแก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งถอนใจ ยากหรือไม่ อยู่ที่ก้าวแรกของการเริ่ม ลองดูนะคะ หมอเอาใจช่วยค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :
รักลูก Bookazine
==========================

🥗 เสริมอาหารสมองให้กับลูกน้อย ช่วยให้มีทั้ง
IQ & EQ ที่ดีขี้น ได้ด้วย " อเลอไทด์"

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain

♥️ สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบํารุงสมอง
✔️ ช่วยเพิ่มสมาธิ เสริมสร้างความจำ และ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
✔️ ช่วยปรับให้มีอารมณ์ดี
✔️ การจัดลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
✔️ ช่วยลดความเครียด นอนหลับลึก และ หลับสนิทได้ดี
✔️ ช่วยปรับพฤติกรรมเด็กได้ง่ายขึ้น
✔️ ทำให้อาการสมาธิสั้น ดีขึ้นได้
✔️ ช่วยให้มีผลการเรียนดีขึ้น

📱: สนใจสั่งซื้อ/สอบถามข้อมูล อเลอไทด์ ทักแชท Inbox ได้เลย

หรือ โทรสายด่วน. 064-469-4459 , 091 887 1691

โควิดมาเยือน ต้องเรียนออนไลน์ อีกแล้วหรอ😩เรียนที่โรงเรียนครูก็ยังบ่น แล้วเรียนที่บ้านจะรอดไหมนี่🔻นั่งเรียนนิ่งๆไม่ได้ 🔻ว...
21/01/2021

โควิดมาเยือน ต้องเรียนออนไลน์ อีกแล้วหรอ😩

เรียนที่โรงเรียนครูก็ยังบ่น แล้วเรียนที่บ้านจะรอดไหมนี่

🔻นั่งเรียนนิ่งๆไม่ได้
🔻วอกแวกง่าย ขาดสมาธิ
🔻งานค้าง ทำการบ้านไม่เสร็จ
🔻ติดมือถือ ติดทีวี
พ่อแม่ต้องทำงาน ไม่มีเวลาดูลูก ทำไงดี😭

จบปัญหา ด้วย "อเลอไทด์" ที่จะช่วยให้เส้นใยสมองแข็งแรง พร้อมต่อเรียนรู้ และนำไปสู่การมีสมาธิที่ดี เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าที่เคย

💙 เสริมสร้างสมาธิ และ การเรียนรู้ ให้ลูกน้อย
ให้มีทั้ง IQ และ EQ ที่ดี ได้ด้วย "อเลอไทด์"

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี Healthy Brain
(2 hearts) สนับสนุนโดย อเลอไทด์ สารอาหารบำรุงสมอง
✔️ช่วยเพิ่มสมาธิ เสริมสร้างความจำ และ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
✔️ช่วยลดความเครียด ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น
✔️ มีความคิดสร้างสรรค์
✔️ มีการจัดระบบระเบียนความคิด ดีขึ้น
✔️ ทำให้มีผลการเรียนดีขึ้น

📱: สนใจสั่งซื้อ อเลอไทด์ ทักแชท Inbox ได้เลย

หรือ โทรสายด่วน. 091-887-1691 , 087-591-7495

🔎ลูกสมาธิสั้น ทำไมต้องรีบรักษา ??💥 ส่งผลระยะยาวแน่ ถ้าหากลูกเป็น โรคสมาธิสั้น ซึ่งแพทย์จิตเวชเผยว่า ในปี 2561 นี้ เด็กไท...
21/01/2021

🔎ลูกสมาธิสั้น ทำไมต้องรีบรักษา ??

💥 ส่งผลระยะยาวแน่ ถ้าหากลูกเป็น โรคสมาธิสั้น ซึ่งแพทย์จิตเวชเผยว่า ในปี 2561 นี้ เด็กไทยสมาธิสั้นเพิ่มขึ้น ไม่ใช่จากแค่ทางพันธุกรรม แต่เกิดจากพฤติกรรมของเด็ก ที่พ่อแม่ปล่อยให้ลูกได้ เล่นมือถือ ดูโทรทัศน์ นานเกินไป

ในปัจจุบันเด็กหลายคนเริ่มใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เล่นมือถือ ดูการ์ตูน เป็นระยะเวลานานๆ ติดต่อกัน ตั้งแต่อายุน้อยๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้ลูก สมาธิสั้น มากขึ้น เพราะจะไปกระตุ้นให้มีการหลั่งสารโดปามีนออกมา

🏥 รศ.นพ.ศิริไชย หงษ์สงวนศรี สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่นคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเรื่อง "การใช้เทคโนโลยีของเด็กและวัยรุ่น ปี 2555-2556" สรุปแนวโน้มเด็กและเยาวชนว่า ใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นทุกปี อาทิ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต อินเตอร์เน็ต โดยผลสำรวจพบว่า เด็กและวัยรุ่นใช้เทคโนโลยีเพื่อความบันเทิงมากสุด เช่น ดูหนังฟังเพลง โหลดเกม โหลดเพลง เล่นเกม เล่นโซเชียลมีเดีย

✏️ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด การเสพติดเทคโนโลยี ส่งผลกระทบไปถึงสมอง ทำให้ประสิทธิภาพลดลง มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ ผลกระทบทางสมองของผู้ที่ติดเทคโนโลยีว่า การติดจะทำให้การเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทลดลง อย่างสมองส่วนหน้าลดลง 24% สมองส่วนข้างลดลง 27%

🖊️นอกจากนี้ยังมีงานศึกษาวิจัยล่าสุด ที่กำลังตีพิมพ์ของต่างประเทศ ที่ศึกษาคนติดเกมออนไลน์ 73 คน เปรียบเทียบกับคนปกติ 38 คน ที่ไม่ติดเกม และ ไม่เป็นโรคทางจิตเวช ด้วยเครื่องมือโปรตอน เอ็มอาร์เอส (Proton MRS) ก็ได้ข้อสรุปว่า สมองส่วนหน้า และ ส่วนข้างของผู้ติดเกมลดลงไปค่อนข้างเยอะ ทำให้เป็นคนมีอาการคล้าย โรคสมาธิสั้น มีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า ซึ่งหากติดมากอาการก็แสดงให้เห็นมาก

รศ.นพ.ศิริไชย ย้ำ แล้วเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองให้ตระหนักว่า ❌ยิ่งปล่อยให้ลูกเล่นเกมมากเท่าไหร่ เซลล์ประสาทในสมอง ก็จะยิ่งทำงานได้แย่ลงเท่านั้น และ มีผลกระทบต่อสมองเหมือนการเสพยาเสพติด❌

โดยทั่วไปโรคสมาธิสั้น ไม่ใช่โรคร้ายแรง และ สามารถรักษาให้หายได้ เด็กสมาธิสั้น ก็เหมือนกับเด็กปกติทั่วไป เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้อย่างเหมาะสมเท่านั้น

การที่เด็กสมาธิสั้นไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นาน หรือ วอกแวกง่าย ทำให้เด็กขาดสมาธิ ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ เรียนไม่ทันเพื่อน และ ดูเหมือนไม่รู้กาลเทศะ เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย เด็กทั่วไปจะสามารถปฏิบัติได้ ต่างจาก เด็กสมาธิสั้น ที่อยู่ในระเบียบได้ไม่นาน แม้จะถูกว่ากล่าวตักเตือน ก็เชื่อฟังได้เพียงครู่เดียว แล้วก็กลับมาซุกซนใหม่ สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่คนรอบข้าง

✳️ ผลกระทบจากสมาธิสั้น

ปัญหาที่พบในเด็กกลุ่มนี้คือ พ่อแม่ผู้ปกครอง มักไม่เข้าใจหรือไม่รู้ว่า ลูกเป็นโรคสมาธิสั้น

"เด็กกลุ่มนี้มักมี ความบกพร่องด้านการเรียนรู้ เรียนรู้ได้ช้า เมื่อเด็กไม่สามารถทำงานตามที่มอบหมายได้ ก็มักจะถูกดุ ด่า ว่ากล่าว หรือ ถูกลงโทษ ทำให้เด็กรู้สึกกดดัน น้อยเนื้อต่ำใจ ดูถูกตนเอง และ อาจเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความมั่นใจ ขาดพลังในการดำเนินชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำ ทั้งที่จริงๆ แล้วเด็กอาจจะมีศักยภาพหลายอย่างซ่อนอยู่ แต่ไม่สามารถดึงออกมาใช้ได้ เนื่องจากถูกความรู้สึกด้อยค่ากดทับไว้ จึงเสียโอกาสในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย"

นอกจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กโดยตรงแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองเอง ก็อาจต้องเผชิญกับภาวะความเครียด เพราะ ลูกทำไม่ได้อย่างที่หวังไว้ เกิดเป็นปัญหาครอบครัวตามมา นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราต้องให้ความสำคัญในการดูแลรักษาเด็กสมาธิสั้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เด็กสามารถเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขนั่นเอง

📋 แนวทางการรักษาเด็กสมาธิสั้น

การรักษาโรคสมาธิสั้นแบ่งได้เป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่

1. การปรับพฤติกรรมของเด็ก

2. การรักษาด้วยยา

ซึ่งการจะใช้แนวทางการรักษาแบบใดนั้น แพทย์จะประเมินจากผลกระทบของโรคที่เกิดขึ้นกับ ตัวเด็กและครอบครัว

💙 ความเข้าใจและการยอมรับ เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลเด็กสมาธิสั้น เพราะการดูแลรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมตั้งแต่วัยเด็ก ถือเป็นการมอบโอกาสให้เด็กได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ส่งผลดีทั้งต่อตัวเด็ก ครอบครัว และสังคม จึงไม่ควรปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :
healthtodaythailand.net

===========================

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain

♥️ สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบํารุงสมอง
✔️ ช่วยเพิ่มสมาธิ เสริมสร้างความจำ และ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
✔️ ช่วยปรับให้มีอารมณ์ดี
✔️ การจัดลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
✔️ ช่วยลดความเครียด นอนหลับลึก และ หลับสนิทได้ดี
✔️ ช่วยปรับพฤติกรรมเด็กได้ง่ายขึ้น
✔️ ทำให้อาการสมาธิสั้น ดีขึ้นได้

✳️ เสริมอาหารสมองให้กับลูกน้อย ช่วยให้มีทั้ง
IQ & EQ ที่ดีขี้น ด้วย " อเลอไทด์"

📱: สนใจสั่งซื้อ อเลอไทด์ แอดไลน์ ทักแชท Inbox ได้เลย

หรือ โทรสายด่วน. 091-887-1691 , 064-469-4459

ที่อยู่

Bangkok
10510

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์สมองดี HealthyBrain - Alertideผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ศูนย์สมองดี HealthyBrain - Alertide:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram