น.นน คลินิกกายภาพบำบัด

น.นน คลินิกกายภาพบำบัด น.นน (นะ-นน) คลินิกกายภาพบำบัด

ที่ตั้ง: ต.บางขุนกอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
จุดสังเกตุ
- ตรงข้าม The Walk ราชพฤกษ์
- อยู่ถัดจาก Homepro ราชพฤกษ์ 300 เมตร

GPS Location : N 13.822261 E 100.448319

รับปรึกษา ตรวจ และรักษา ทางกายภาพบำบัด

11/07/2016

น.นน คลินิกกายภาพบำบัด ขอประกาศหยุดการดำเนินกิจการของคลีนิกทั้งหมด ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 25 กรกฏาคม 2559 เป็นต้นไป ต้องขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้ใจเข้ามาใช้บริการและขออภัยลูกค้า ทุกๆท่านในความไม่สะดวก มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

มีคนไข้หลายท่านสอบถามเกี่ยวกับการเลือกหมอนนอนที่ดี. วันนี้ทางคลีนิกจึงเอาข้อมูลเกี่ยวกับหมอนมาฝากค่ะ หวังว่าจะมีประโยชน์...
21/10/2015

มีคนไข้หลายท่านสอบถามเกี่ยวกับการเลือกหมอนนอนที่ดี. วันนี้ทางคลีนิกจึงเอาข้อมูลเกี่ยวกับหมอนมาฝากค่ะ หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยนะค่ะ

การเลือกหมอนนอน

หมอนที่ดี ควรมีความนุ่มหนุนสบาย สามารถรองรับได้ตั้งแต่คอจนถึงศีรษะ โดยมีความสูงของหมอนประมาณ 4-6 นิ้ว รวมไปถึงความนุ่ม และรองรับศีรษะจนถึงบริเวณคอได้ทั้งหมด
การจะนอนให้หลับดี ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง การเลือกหมอนที่เหมาะสมกับท่านอน ก็อาจจะทำให้นอนหลับดีขึ้น และยังลดอาการของอาการปวดหลังหรือปวดคอ


วิธีการหนุนหมอนกับท่านอนแต่ละท่า

- นอนหงาย หมอนที่ใช้ ต้องนิ่ม และไม่สูง ควรให้มีการรองรับส่วนเว้าของกระดูกคอ หน้าไม่เงยไปข้างหลัง โดยตำแหน่งที่จะใช้หนุน ได้แก่ บริเวณศีรษะ คอ ไหล่ และเข่า
- นอนตะแคง มีหมอนใบหนึ่งหนุนศีรษะโดยที่หมอนต้องไม่สูงเกินไป หมอนต้องสูงเท่ากับระดับความสูงจากไหล่มายังศีรษะ ซึ่งศีรษะต้องอยู่ในแนวเดียวกับกึ่งกลางลำตัว และมีหมอนข้างอีกใบไว้ระหว่งขา บางท่านอาจจะใช้ผ้าขนหนูม้วนหนุนข้อมือด้านที่ตะแคง
- นอนคว่ำ ไม่ต้องใช้หมอนหรือหากจะใช้ต้องค่อนข้างจะแบน และอาจจะมีหมอนใบเล็กๆหนุนตรงบริเวณท้อง


ชนิดของหมอน

หนุนที่เข่าซึ่งสามรถหนุนได้สองรูปแบบ คือนอนหงายแล้วเอาหมอนหนุนใต้เข่า หรือนอนตะแคงหมอนอยู่ระหว่างขา ท่านอนและการใช้หมอนท่านี้จะช่วยลดอาการปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบ หมอนที่ใช้คือหมอนข้าง
หมอนหนุนที่ศีรษะและคอ หมอนที่ดีควรจะรองตั้งแต่ต้นคอจรดถึงศีรษะ ความสูงของหมอนประมาณ 4-6 นิ้วโดยหมอนควรจะนุ่มเพื่อที่ส่วนที่รองศีรษะยุบ จนกระทั่งหมอนสามารถรองรับบริเวณคอ หมอนชนิดนี้เหมาะสำหรับคนที่ปวดต้นคอ หากหมอนสูงเกินไปเมื่อนอนหงายหรือนอนตะแคง กล้ามเนื้อคอจะถูกยืดมากเกินไป ทำให้ปวดกล้ามเนื้อคอ และที่สำคัญในท่านอนหงายหากหมอนสูงไป จะทำให้ทางเดินหายใจแคบเกิดอาการกรน
หมอนรูปตัว U เป็นหมอนทีใช้สำหรับหนุนคอ ขณะเดินทางโดยสารเพื่อป้องกันมิให้คอเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง หรือหงายไปทางด้านหลัง เหมาะสำหรับนั่งหลับขณะโดยสารในรถหรือเครื่องบิน
หมอนรองหลัง ใช้สำหรับหนุนหลังส่วนเอว เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานนั่งนาน หรือขับรถนาน เพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง
หมอนรูปโดนัท เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกก้นกบหัก เวลานั่งจะไม่ปวดก้น

เมื่อท่านเลือกที่จะใช้หมอนที่ใดที่หนึ่งให้ลองดูดูสัก 1-2 สัปดาห์จึงจะเห็นผล เมื่อใช้หมอนไประยะเวลาหนึ่งความนุ่มของหมอนจะเสียไป ต้องเปลียนหมอน

วิธีดูแลรักษา และแบรนด์ที่จำหน่ายดังนี้

1. หมอนยางพารา ควรผึ่งลมเพื่อกำจัดกลิ่นอับและเลี่ยงแดดจัด ถ้ามีรอยเปื้อนให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดแล้วผึ่งลมให้แห้ง
2. หมอนเมมโมรีโฟม เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสบู่อ่อนๆ และปล่อยให้แห้ง กรณีโฟมด้านในเปียก ใช้แรงกดเพื่อรีดน้ำออกและปล่อยให้แห้ง ต้องเลี่ยงแดดจัด
3. หมอนขนเป็ด ควรผึ่งแดดเป็นประจำครั้งละ 2-3 ชม. ตบหมอนเป็นประจำเพื่อให้ขนด้านในพองฟู เมื่อซักแล้วให้อบแห้งอย่างน้อย 5 ชม.
4. หมอนขนห่าน ควรนำออกผึ่งแดดสม่ำเสมอ ครั้งละ 2-3 ชม. และหมั่นตบหมอนเป็นประจำ เพื่อให้ขนด้านในพองฟู เมื่อซักแล้วให้อบแห้งอย่างน้อย 5 ชม.
5. หมอนใยสังเคราะห์ ควรตบหมอนตามแนวทแยงทั้งสองด้านทุกวัน เพื่อให้พองฟู ซักเป็นประจำทุก 2-3 เดือน หลังซักให้ผึ่งไว้ในแนวนอน และไม่ควรบิดหมอน.

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/rheumatoid/bed/pillow.htm #.Vic4rHBXerV

หมอนเป็นสิ่งสำคัญ หากหมอนเหมาะสมก็จะไม่ปวดคอ การนอนเป็นการพักผ่อนที่ดี เราใช้เวลาอยู่บนเตียงบนหมอนวันละ6-8 ชมการเลือกหมอนที่ดีจะทำให้ไม่ปวดคอและนอนหลับสนิท

โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง : Myofascial pain syndromeอาการปวดกล้ามเนื้อเป็นอาการที่พบบ่อยมาก เกือบทุกคนคงต้องเคยเผชิญกับกา...
28/09/2015

โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง : Myofascial pain syndrome

อาการปวดกล้ามเนื้อเป็นอาการที่พบบ่อยมาก เกือบทุกคนคงต้องเคยเผชิญกับการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก่อนซึ่งส่วนใหญ่มักรักษาตัวเองด้วยการพัก ซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งบางส่วนอาการผู้ป่วยก็จะหายเองได้

อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายมีอาการปวดเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นการปวดต่อเนื่องหรือมีอาการปวดเป็นหาย ๆ ซึ่งสร้างความรำคาญให้แก่การดำเนินชีวิตเป็นอย่างยิ่ง และผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังมักไปพบแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์แผนโบราณ
หรืออาจไปให้หมอนวด นวดให้เพื่อบรรเทาอาการปวดได้

หนึ่งในโรคปวดที่เป็นเรื้อรังได้แก่ “ โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ”
หรือเรียกว่า Myofascial pain syndrome (MPS) ซึ่งนอกจาก
สร้างความทุกข์กายทุกใจให้ผู้ป่วยแล้ว ยังสร้างความลำบากในการรักษาด้วยเนื่องจากรักษายากและผู้ป่วยมักไม่หายเสียที

อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยรู้เท่าทันโรคและวิธีในการปฏิบัติตัวในการรักษาแล้วก็สามารถวางแผนการรักษาร่วมกับแพทย์ได้


MPS คืออะไร ?
MPS เป็นโรคปวดกล้ามเนื้อที่เป็นอาการปวดเรื้อรัง โดยอาการปวดของโรคนี้จะเกิดขึ้นในบริเวณของศูนย์รวมความปวดของกล้ามเนื้อ หรือที่เรียกกันว่า จุดกดเจ็บ (Trigger points) จุดกระตุ้นกล้ามเนื้อในกล้ามเนื้อของผู้ป่วยจะมีอาการปวดเป็นบริเวณและมีการกระจายของอาการปวดไปตามส่วนของกล้ามเนื้อนั้น ๆ

ส่วนใหญ่คนทุก ๆคนมักเคยมีอาการปวดกล้ามเนื้อแต่มักหายเอง แต่ผู้ป่วย MPS มักมีอาการปวดที่เป็นเรื้อรังและมีอาการปวดที่แย่ลง โดยโรค MPS มีความสัมพันธ์กับโรคที่เกี่ยวกับความปวดอื่น ๆได้แก่ ไมเกรน ปวดกราม ปวดต้นคอ ปวดเอว หรือแม้แต่ปวดแขนขา เป็นต้น

ปัจจุบันมีประชากรกว่าร้อยละ 30 มีปัญหาเรื่องโรคปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานในสำนักงาน ที่ต้องนั่งทำงานและใช้ คอมพิวเตอร์นานๆ
สาเหตุที่ทำให้มีการปวดมีอาการเรื้อรัง เกิดจากการหดเกร็งสะสมของกล้ามเนื้อ จนเป็นก้อนเล็กๆ ขนาด 0.5-1 ซม.
ที่เรียกว่า Trigger Point หรือ จุดกดเจ็บ จำนวนมากซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ การเกิด Trigger Point ทำให้กล้ามเนื้อนั้นขาดเลือดและออกซิเจนเข้าไปเลี้ยง จนทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อรอบบริเวณที่มี Trigger Point โดยการอักเสบของ Trigger Point จะส่งอาการปวดไปที่กล้ามเนื้อบริเวณจุดรวมของ Trigger Point และปวดร้าวไปยังบริเวณที่อยู่ใกล้เคียง

อาการของ MPS เป็นอย่างไร ?
1.มีอาการปวดร้าวลึกๆ ของกล้ามเนื้อ ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยอาจปวดตลอดเวลาหรือปวดเฉพาะเวลาทำงาน
2.ความรุนแรงของการปวด มีได้ตั้งแต่แค่เมื่อยล้าพอรำคาญ จนไปถึงปวดทรมานจนไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดได้
3.บางกรณีมีอาการชามือและชาขาร่วมด้วย
4.บางรายมีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง อาการนอนไม่หลับ
5.มีอาการผิดปกติของโครงสร้างร่างกาย เช่น ไหล่สูงต่ำไม่เท่ากัน หลังงอ คอตก ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน

การรักษาทางกายภาพบำบัด
นักกายภาพจะใช้วิธีที่ทำให้อาการปวดดีขึ้นหลายเทคนิคได้แก่
•การประคบร้อน
•การนวด
•การยืดกล้ามเนื้อ
•การรักษาด้วยคลื่นเสียง (Ultrasound)
•การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
•การสอนท่าการออกกำลังกายที่เหมาะสม


หมายเหตุ : สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=hoshikung1&month=08-2009&date=16&group=1&gblog=8

ท้าประกอบไปด้วยกระดูกชิ้นเลิกๆ 26 ชิ้นคนเราจะเดินเฉลี่ยวันละ 900 - 5,000 ก้าวต่อวันเท้าของคุณเป็นพื้นฐานของร่างกาย ซึ่งส...
13/06/2015

ท้าประกอบไปด้วยกระดูกชิ้นเลิกๆ 26 ชิ้น
คนเราจะเดินเฉลี่ยวันละ 900 - 5,000 ก้าวต่อวัน
เท้าของคุณเป็นพื้นฐานของร่างกาย ซึ่งสนับสนุนคุณเมื่อคุณยืน เดินหรือวิ่ง และช่วยปกป้องกระดูกสันหลัง กระดูกกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนจากการกดที่สร้างความเสียหายในขณะที่คุณเคลื่อนไหวไปรอบๆ เท้าของคุณทำงานได้ดีขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อ อุ้งเท้า และกระดูกอยู่ในตำแหน่งคงรูปดี เท้าถูกสร้างด้วย 3 อุ้งเท้าซึ่งคงอยู่อย่างเหมาะสม ให้แรงเสริมพิเศษ หากมีการลงนำ้หนักของอุ้งเท้าหนึ่ง อุ้งเท้าอื่นๆ จะต้องชดเชยและอาจมีการกดเพิ่มเติมซึ่งจะนำไปสู่สภาวะต่างๆ
ข้อมูลดีๆจาก https://www.facebook.com/ComfortorThailand?fref=ts

หลายคนสงสัยว่าเสียงดังเวลาบิดขี้เกียจหรือหักนิ้วเล่นเกิดจากอะไร  ลองดูคลิปนี้ประกอบนะค่ะ  http://www.patjaa.com/haknews/
01/04/2015

หลายคนสงสัยว่าเสียงดังเวลาบิดขี้เกียจหรือหักนิ้วเล่นเกิดจากอะไร ลองดูคลิปนี้ประกอบนะค่ะ http://www.patjaa.com/haknews/

เคยเห็นกันรึยัง!? ชมคลิปเอ็กซเรย์ตอน 'หักนิ้วเล่น' ที่เป็นต้นเหตุของเสียงกร๊อบแกร๊บ

ข้อมูลนี้เป็นอาการปวดคอจากกระดูกต้นคอเสื่อมและการแนวทางการรักษาทางการแพทย์   แต่วิธีการหลีกเลี่ยงการทานยา และการผ่าตัดที...
23/02/2015

ข้อมูลนี้เป็นอาการปวดคอจากกระดูกต้นคอเสื่อมและการแนวทางการรักษาทางการแพทย์ แต่วิธีการหลีกเลี่ยงการทานยา และการผ่าตัดที่ดีก็คือการแก้ปัญหาให้ตรงตามจุด แก้ที่ต้นเหตุของปัญหาด้วยวิธีทางกายภาพ ก็จะช่วยบรรเทาอาการและอาจทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องผ่าตัดก็ได้นะค่ะ http://health.kapook.com/view49050.html

ข้อกระดูกสันหลังส่วนคอของคนเรา เมื่ออายุมากขึ้น ก็จะมีการเสื่อมไปตามวัย ใครที่มีอาการคอแข็ง เกร็ง ปวดคอบ่อย ๆ คุณอาจกำลังมีอาการกระดูกคอเสื่อมอยู่ก็เป็นได้

โรคปวดหลัง…ภัยเงียบของหนุ่มสาวออฟฟิศปัจจุบัน โรคปวดหลังพบได้บ่อยในหมู่ ผู้ที่มีอาชีพนั่งทำงานเป็นเวลานาน ตั้งแต่วัยรุ่น ...
29/11/2014

โรคปวดหลัง…ภัยเงียบของหนุ่มสาวออฟฟิศ
ปัจจุบัน โรคปวดหลังพบได้บ่อยในหมู่ ผู้ที่มีอาชีพนั่งทำงานเป็นเวลานาน ตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน จนถึงวัยสูงอายุ สาเหตุของโรคปวดหลังในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการนั่งนานๆ หรือนั่งผิดท่าเช่น นั่งหลังโก่ง นั่งบิดๆ เนื่องจากการนั่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อกระดูกหลังมากที่สุด โดยเฉพาะนั่งนานๆ และโค้งงอผิดท่า บวกกับความตึงเครียดซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหลังเกิดการเกร็งจะยิ่งส่งผลให้ปวดหลังมากยิ่งขึ้น

อาการปวดหลังแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
ปวดหลังแบบเฉียบพลัน อาการมักจะไม่เกิน 6 สัปดาห์ ถ้าอาการปวดมากกว่า 12 สัปดาห์ เรียกว่า "ปวดหลังเรื้อรัง" อาการส่วนใหญ่จะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเฉียบพลันหรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลาหรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า การไอ จาม หรือบิดตัว เอี้ยวตัวอาจทำให้รู้สึกปวด มากขึ้น โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะแข็งแรงดีและไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย การรักษาโรคปวดหลังจำเป็นต้องสังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร ถ้าหากเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราเองก็ควรแก้ไขเสีย หากมีอาการปวดมาก ให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก สักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่อง หรือน้ำมันระกำ ทานวด หรือใช้น้ำอุ่นประคบก็ได้ อาจใช้ควบคู่กับการทานยาแก้ปวด ครั้งละ 1-2 เม็ด ถ้าปวดมากแล้วทานยาแก้ปวดก็ยังไม่หาย อาจใช้ยาคลายกล้ามเนื้อครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำได้ทุก 6 -8 ชั่วโมง และหมั่นฝึกกายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง

ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือมีอาการชาที่ขา หรือขาไม่มีแรง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ ซึ่งอาจต้องเอกซเรย์หลัง หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ การป้องกันทำได้โดยการออกกำลังกายให้แข็งแรงอยู่เสมอโดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลัง เพราะหากเราไม่เคลื่อนไหวหรือออกกำลังกาย จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง การออกกำลังจะต้องค่อยสร้างความแข็งแรงทั้งกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลัง และจะต้องให้ข้อมีการเคลื่อนไหวได้ดี ไม่มีข้อติด

การออกกำลังอาจจะทำได้โดยการเดิน การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ จะทำให้หลังแข็งแรง ส่วนการนั่งทำคอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ดควรอยู่เหนือระดับเอวหรืออยู่เหนือตักเล็กน้อยจอคอมพิวเตอร์ควรตั้งอยู่ระดับหน้า เหมือนที่ตั้งโน้ตนักดนตรีและอยู่สูงพอดีระดับสายตา จะได้มองตรงๆ ได้ การนั่งทำงานทั่วๆ ไป เช่น การนั่งอ่านและเขียนหนังสือนั้น ควรนั่งตัวตรง หลังพิงแบบสนิท อย่านั่งก้มตัวมาก โต๊ะทำงานไม่อยู่ห่างมากเกินไป จะได้ไม่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหลัง นอกจากนี้ การเปลี่ยนอิริยาบทเมื่อรู้สึกเมื่อยขณะทำงาน จะช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ พยายามเปลี่ยนท่านั่ง หรือลุกเดินเพื่อผ่อนคลายทุก 30 นาที ก็จะทำให้ผ่อนคลายการปวดหลังได้ อุปกรณ์การทำงานก็เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคปวดหลังเช่นกัน โดยควรจะเลือกเก้าอี้ที่หมุนได้เพื่อป้องกันการบิดของเอว มีที่พักของแขนขณะที่นั่งพัก ควรจะมีหมอนเล็กๆ รองบริเวณเอว การนั่ง ที่ถูกต้อง ต้องนั่งให้หลังตรง หลังพิงพนักเก้าอี้ เก้าอี้ต้องไม่สูงเกินไป ระดับเข่าควรจะอยู่สูงกว่าระดับสะโพก อาจจะหาเก้าอี้เล็กรองเท้าเวลานั่ง

สำหรับใครที่มีอาการปวดหลังอยู่บ่อยๆ ลองกายบริหารเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณหลังด้วยการนั่งบนเตียง ขาข้างหนึ่งเหยียดตรง ขาอีกข้างวางบนที่พักขา เหยียดแขน 2 ข้างตรง วางบนขาข้างที่เหยียดตรง หายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆ ก้มศีรษะ ลำตัว และหลัง เลื่อนแขนไปให้สุดเท่าที่จะทำได้ หายออกช้าๆ แล้วกลับไปอยู่ในท่าเดิม ทำซ้ำ 10 - 15 ครั้ง” แพทย์หญิงอรนุช กล่าวทิ้งท้าย

หนุ่มสาวออฟฟิศไฟแรงทั้งหลาย หากอยากทำงานให้มีประสิทธิภาพ นอกจากตั้งใจทำงานแล้ว ยังจำเป็นต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะโรคปวดหลังที่ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงอะไร เมื่อเปรียบเทียบกับโรคอื่นๆ แต่ก็สร้างความทรมาน ความรำคาญ และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานเช่นกัน และเมื่อจำเป็นต้องนั่งทำงานเป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนั่งทำงานเสียใหม่ ลองทำท่ากายบริหาร หรือ เดินยืดเส้นยืดสายเมื่อรู้สึกตึงที่บริเวณหลัง ใครที่ทานข้าวเที่ยงบนออฟฟิศเป็นประจำ ก็ลองเปลี่ยนบรรยากาศลงไปทานข้างล่างบ้างก็ดี ถ้าหากว่าเรายังต้องใช้ร่างกายในการทำงานแล้วล่ะก็...อย่าลืมรักษาร่างกายนี้ไว้ให้ทำงานได้นานๆ จะได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุขกับการทำงานอีกด้วย

ข้อมูลดีๆจาก http://www.pfizer.co.th/HealthTipDetail.aspx?HtId=1

ไฟเซอร์ ประเทศไทย รวบรวมความรู้เรื่อง ยาคุณภาพ รวมถึง ความรู้สุขภาพ และโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง เพื่อให้คนไทยมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและยาที่ดีขึ้น

Ankle sprain ( ข้อเท้าแพลง)           สาเหตุเกิดจากมีการบิด หมุน หรือพลิกของข้อเท้าจนเกินช่วงการเคลื่อนไหวที่ปกติ ทำให้เ...
28/10/2014

Ankle sprain ( ข้อเท้าแพลง)
สาเหตุ
เกิดจากมีการบิด หมุน หรือพลิกของข้อเท้าจนเกินช่วงการเคลื่อนไหวที่ปกติ ทำให้เอ็นยึดข้อต่อถูกยืดออกมากจนเกินไปจึงเกิดการบาดเจ็บขึ้น มีอาการปวดและบวมตามมา หากรุนแรงมากอาจส่งผลให้เอ็นขาด สูญเสียความมั่นคงของข้ออีกทั้งยังอาจได้ยินเสียงดัง “กร๊อบ” ในข้อเท้าได้ด้วย

การดูแลตัวเอง
แบ่งเป็น 2 ระยะง่ายๆ คือ

ระยะที่1 : นับตั้งแต่บาดเจ็บจนวันที่ 3 เราต้องทำการลดอาการปวด และ บวม รวมทั้งป้องกันเอ็นที่กำลังซ่อมแซม โดย
1. พักการใช้ข้อเท้า เลี่ยงการยืนเดินนาน งดสวมรองเท้าส้นสูง
2. ใส่สนับข้อหรือพันผ้าเทปเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวในกรณีที่จำเป็นต้องใช้งาน
3. ใช้ผ้ายืดพันรอบตั้งแต่โคนนิ้วเท้าจนถึงกลางหน้าแข้งโดยพันแน่นบริเวณส่วนปลายเพื่อลดบวม
4. วางแผ่นเย็นหรือถุงน้ำผสมน้ำแข็งลงบนข้อเท้า 15-20 นาที 3-5 ครั้งต่อวันเพื่อลดการอักเสบโดยอาจใช้ร่วมกับผ้ายืดได้
5. นอนยกข้อเท้าให้สูง โดยอาจนำหมอนมาหนุนเพื่อลดบวม
6. หากอาการเจ็บปวด บวม เลือดคั่งมีมากหรือไม่ลดลงควรไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด

ระยะที่2 : หลังจากอาการบวมหายไป และปวดลดลง นั่นคือเอ็นกำลังซ่อมแซมตัวเอง การเคลื่อนไหวเล็ก ๆน้อย ๆไม่เป็นอันตราย อาการปวดจะเป็นตัวเตือนเรา ช่วงนี้เราต้องการเพิ่มการเคลื่อนไหวและความแข็งแรงของข้อเท้าโดยออกกำลังกาย

การป้องกัน
1. สวมรองเท้าให้เหมาะสมช่วยให้เราเดินได้คล่องและมั่นคง ควรหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูงจนเกินไป
2. ใส่รองเท้ากีฬาให้ถูกตามชนิดของกีฬาและอย่าใส่รองเท้านานเกินอายุการใช้งาน
3. หลีกเลี่ยงการเดิน วิ่ง หรือกระโดดบนพื้นที่ไม่เหมาะสม
4. ออกกำลังกายข้อเท้าเป็นประจำ 3-4 วันต่อสัปดาห์และยืดกล้ามเนื้อก่อน-หลังทำกิจกรรมทุกครั้ง
5. ขณะเดินในเวลากลางคืนควรมีแสงสว่างที่เพียงพอ
6. หากมีปัญหาข้อเท้าแพลงบ่อยๆ ควรใส่เครื่องช่วยพยุงขณะทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดข้อเท้าแพลง เช่น เล่นกีฬาที่ต้องใช้ข้อเท้ามากๆ มีการกระโดด หมุนตัว เป็นต้น

5 Exercises for Knee Osteoarthritis*Knee OA Exercise  #1: Standing Quadriceps Stretch       -  Stretching your quadricep...
04/10/2014

5 Exercises for Knee Osteoarthritis

*Knee OA Exercise #1: Standing Quadriceps Stretch
- Stretching your quadriceps can ease tension in the knee joints.

*Knee OA Exercise #2: Standing Calf Stretch
- This gentle calf stretch increases flexibility in your leg muscles and knee joints
*Knee OA Exercise #3: Seated Leg Raise
- The seated leg raise exercise helps strengthen muscles around your knees.

*Knee OA Exercise #4: Step-ups
- Step-ups strengthen your legs, making it easier for you to do everyday things like climb stairs. You'll need an exercise step, or use a bottom stair in your house.

*Knee OA Exercise #5: Reclining Hamstring Stretch
- This stretch helps alleviate hamstring tightness (and tight hamstrings can increase knee pain).

ข้อมูลดีๆ จากhttp://www.practicalpainmanagement.com/conditions/knee-osteoarthritis/5-exercises-knee-osteoarthritis?page=0

A slideshow that explains how exercises can help relieve pain, stiffness, and other knee osteoarthritis symptoms. Covers 5 exercises and stretches to help you manage knee osteoarthritis.

22/09/2014

ข้อสันหลังอักเสบยึดติด(Ankylosing spondylitis)
โรคข้ออักเสบกลุ่มนี้เป็นโรคที่มีมาแต่โบราณ เพราะมีผู้พบรอยโรคข้อสันหลังติดแข็งในซากโครงกระดูกมนุษย์หลายพันปีก่อนพุทธกาล แต่สมัยก่อนมักจัดอยู่กลุ่มเดียวกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และเรียกลักษณะที่กระดูกสันหลังติดแข็งว่า เป็นโรครูมาตอยด์ของข้อสันหลัง หรือโรคข้อสันหลังเหมือนลำไม้ไผ่ (bamboo spine) แม้มีลักษณะข้ออักเสบเรื้อรังคล้ายคลึงกับโรครูมาตอยด์ แต่โรคนี้มักเป็นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
พยาธิสภาพ
คล้ายคลึงกับโรครูมาตอยด์ นอกจากข้อที่มีเยื่อบุข้ออักเสบแล้ว ข้อที่กระดูกสันหลังจะอักเสบด้วย ซึ่งการอักเสบของข้อสันหลังมักจะเริ่มจากข้อที่บริเวณตะโพกด้านหลังหรือข้อกระดูกกระเบนเหน็บ (sacroiliac joints) สองข้าง ถัดมาข้อที่มีหมอนรองกระดูกส่วนบั้นเอว เมื่อข้ออักเสบลุกลามต่อไป จะเคลื่อนขึ้นบนถึงข้อสันหลังส่วนทรวงอก ส่วนต้นคอ จนถึงข้อที่ยึดกระดูกคอกับกระโหลกศีรษะ การอักเสบของข้อไม่ว่าจะเป็นข้อที่มีเยื่อบุข้อ (synovial joint) หรือข้อสันหลังที่มีหมอนกระดูก ผลที่สุดจะมีพังผืดงอกเข้าไปแทนที่และมีกระดูกแข็งงอกเชื่อมต่อกระดูกแข็งทั้งสองชิ้นให้ติดกัน ข้อต่อนั้นจึงถูกยึดแข็งเป็นกระดูกท่อนเดียวกันหมด หรือหมดสภาพเป็น “ข้อ” ต่อไป ที่เห็นชัดได้แก่ข้อสันหลังจะมีกระดูกแข็งยึดเชื่อมแต่ละชิ้น จนกลายเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งแท่งจากบริเวณกระเบนเหน็บจนถึงต้นคอ ด้วยพยาธิสภาพดังกล่าวทำให้โรคนี้ได้ชื่อว่าโรคข้อสันหลังเหมือนลำไม้ไผ่
การรักษา
- การรักษาโดยแพทย์ การให้ยาระงับการอักเสบซึ่งมีสรรพคุณระงับปวดด้วย จะทำให้ผู้ป่วยปวดข้อน้อยลงเพื่อจะได้สามารถออกกำลังกายเคลื่อนไหวข้อต่อได้ตามคำแนะนำ
- การรักษาทางกายภาพ มีความสำคัญยิ่ง แต่กายภาพบำบัดที่ได้ประโยชน์จริง ๆ คือ สอนให้ผู้ป่วยไปทำการบำบัดเองได้ที่บ้านหรือที่ทำงาน เพื่อจะได้ทำวันละหลาย ๆ ครั้ง
- การรักษาโดยการผ่าตัด การผ่าตัดข้อสันหลังที่ยึดติดไม่นิยมทำเพราะเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ไขสันหลัง ที่พอทำได้ คือ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมของข้อตะโพกหรือข้อเข่า เพื่อผู้ป่วยจะได้เคลื่อนไหวได้อีก แต่ผลการผ่าตัดระยะยาวไม่สู้จะดีนัก กล่าวคือร้อยละ ๕๐ ของผู้ป่วยจะเกิดหินปูนไปเกาะรอบ ๆ ข้อเทียมนั้น จนทำให้เคลื่อนข้อนั้นไม่ได้อีก

หาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.healthcarethai.com/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B8%B6%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94a/

ข้อสันหลังอักเสบยึดติด(Ankylosing spondylitis) การรักษาโดยการผ่าตัด การผ่าตัดข้อสันหลังที่ยึดติดไม่นิยมทำเพราะเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ไขสันหลัง ที่พอทำได้ คือ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมของข้อตะโพกหรือข้อเข่า เพื่อผู้ป่วยจะได้เคลื่อนไหวได้อีก แต่ผลการผ่าตัดระยะยาวไม่สู้จะดีนัก กล่าวคือร้อยละ ๕๐…

ปวดเข่าด้านนอก เวลาวิ่ง ITBS โรคที่พบบ่อยในนักวิ่งIliotibial band syndrome (ITBS) เป็นการบาดเจ็บที่พบได้บ่อยมากในนักวิ่ง...
08/09/2014

ปวดเข่าด้านนอก เวลาวิ่ง ITBS โรคที่พบบ่อยในนักวิ่ง

Iliotibial band syndrome (ITBS) เป็นการบาดเจ็บที่พบได้บ่อยมากในนักวิ่ง นักปั่น หรือ นักเดินทางไกล ทำให้มีอาการปวดที่บริเวณหัวเข่าด้านนอก เป็นๆหายๆ โดยเฉพาะเวลาวิ่ง

อะไรคือ iliotibial Band

ทำความรู้จัก Anatomy ของ Iliotibial band ก่อน คำว่า Ilio มาจาก Iliac คืออระดูกบริเวณเอว ส่วน Tibial คือกระดูกของขาท่อนล่าง Band เป็นเนื้อเยื่อพิเศษชนิดหนึ่ง รวมกันก็คือ เจ้า ITB คือกล้ามเนื้อพิเศษ สีขาว ดังรูป ที่เกาะจากกระดูกเอว ลงไปที่กระดูกต้นขา เกิดการอักเสบจากการเสียดสีกับกระดูก บริเวณเข้าด้านข่าง เวลามีการเคลื่อนไหวของเข่า โดยเฉพาะ เวลา วิ่ง ในทางชัน

สาเหตุ

เกิดจากการ overuse ของกล้ามเนื้อ iliotibial ทำให้มีการเสียดสีกับกระดูกเข่า ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเป็นมากขึ้นได้แก่
การวิ่งระยะไกล
การวิ่งในทางชันทั้งขาขึ้นและขาลง
การวิ่งในไหล่ทางที่มีความชันเป็นเวลาต่อเนื่อง
การวิ่งในที่พื้นแข็งๆ เป็นเวลานาน
การลงเท้าที่มีลักษณะบิดเข้าด้านใน เกิดได้หลายอย่าง เช่น ขาโก่ง ข้อเท้าที่บิดเข้าด้านใน ( suprinate)
การใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม
การปั่นจักรยาน
การว่ายน้ำท่ากบ

อาการ
แม้ว่าแผ่นกล้ามเนื้อนี้จะแผ่มาจากกระดูกเอว ถึงเข่า แต่บริเวณที่มีการอักเสบจะอยู่ที่ตำแหน่งกระดูกที่เข่า อาการเจ็บจึงเริ่มเกิดที่บริเวณเข่าด้านนอก ร้าวขึ้นไปถึงต้นขาและสะโพกได้ อาจพบอาการบวมที่บริเวณข้อเข่าด้านนอก กดเจ็บ
แต่อาการที่เจ็บ เอว หรือ ต้นขา อย่างเดียวอาจไม่ใช่อาการของ ITBS อาจเป็นสาเหตุอื่น

การรักษา

พักการวิ่ง หรือวิ่งให้ลดลงในช่วงที่มีการอักเสบ ถ้ากลัวความฟิตตก ออกกำลังแบบอื่น เช่น ว่ายน้ำ cross train แทนการวิ่ง
ประคบเย็น
ทานยาแก้อักเสบ Nsaids
Stretching ยืดเส้น โดย Roller หรือยืดกล้ามเนื้อในท่ายืน อาจช่วยได้
ถ้าอาการเป็นมากควรพบแพทย์

การป้องกัน

ใส่รองเท้าให้เหมาะสมกับ anatomy ของ ขาและเท้าของคุณ
หลีกเลี่ยงการวิ่งที่มากเกินไป โดยเฉพาะในการ ขึ้นหรือลงทางชัน
ถ้าเป็นจากการขี่จักรยาน ควรปรับ Cleet และอานจักรยานให้เหมาะสม

เรียบเรียงโดย ทีม Medical and Health Avarinshop

โรค `เท็กซ์เนค` อาการของ `สังคมก้มหน้า`"เท็กซ์เนค" เป็นคำที่ นายแพทย์ดีน ฟิชแมน แพทย์กายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านบำบัดอาก...
03/09/2014

โรค `เท็กซ์เนค` อาการของ `สังคมก้มหน้า`

"เท็กซ์เนค" เป็นคำที่ นายแพทย์ดีน ฟิชแมน แพทย์กายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านบำบัดอาการของกระดูกสันหลังชาวอเมริกัน คิดขึ้นเพื่อใช้เรียกกลุ่มอาการของโรคที่เกิดขึ้นจากการ "ก้มหน้า" บ่อยๆ อาการที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่ การปวดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ กล้ามเนื้อคอ ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดทุกวัน หนักเข้าก็อาจพาลไปถึงเกิดการอักเสบของข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบน

ที่มาของโรคนี้คือการก้ม ในทางการแพทย์เขาบอกว่า เพียงแค่การก้มศีรษะลงไปข้างหน้า ผิดจากท่าปกติตามธรรมชาติ คือเมื่อหูของเราอยู่ในแนวเดียวกับไหล่ เพียงแค่นิ้วเดียว น้ำหนัก ของศีรษะก็จะทำให้ กล้ามเนื้อ เอ็น กระดูกและเส้นประสาทในบริเวณไหล่ คอ ต้องแบกรับภาระหนักเพิ่มขึ้นมากแล้ว น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วยการถ่วงไปข้างหน้าจะไปดึงรั้งกล้ามเนื้อเส้นเอ็นทั้งหมดให้ต้องแบกรับภาระมากขึ้นตามไปด้วย อาการตึงจะเกิดขึ้นตามมา ถ้าทำซ้ำๆ หลายๆ ครั้งก็จะเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ทั้งกับกล้ามเนื้อ เอ็น และเส้นประสาทในบริเวณดังกล่าว

คำแนะนำของแพทย์เพื่อการป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของเท็กซ์เนค อย่างง่ายๆ ก็คือ ละสายตาจากจอ เปลี่ยนท่าจากการก้มหน้า ปล่อยให้ศีรษะกลับคืนสู่ท่าธรรมชาติในทุกๆ 15 นาที เงยหน้าขึ้น เหลียวไปรอบๆ ถ้ายังจำเป็นต้องจ้องจออยู่ก็ยกมันให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา เพื่อลดการแบกรับน้ำหนักของคอลงเป็นระยะๆ
ถ้าเป็นไปได้ก็ควรออกกำลังกาย ในแบบที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ผ่อนคลาย จะเป็นโยคะก็ได้ หรือจะเป็นกายบริหารแบบพิลาทีสที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้ร่างกายของเราอยู่ในท่าทางที่ถูกต้องก็ได้ ทำให้ได้ทุกวันจะป้องกันปัญหานี้ได้

ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน โดยไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

ที่อยู่

Bangkok
11130

เบอร์โทรศัพท์

+66 2 422 2667

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ น.นน คลินิกกายภาพบำบัดผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง น.นน คลินิกกายภาพบำบัด:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram