14/10/2023
☀️รู้จัก"ยอดมหาเศรษฐี" 2 ยุค☀️
"อีลอน มัสก์" (ยุค 5 G) VS "โชติกเศรษฐี" (ยุคพุทธกาล)
☀️"อีลอน มัสก์" บุคคลที่รวยที่สุดในโลกในยุค 5 G☀️
อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง Tesla และ SpaceX กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก จากดัชนีมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์ก (Bloomberg Billionaire Index ได้เผยว่า อีลอนมัสก์มีทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 1.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 7 ม.ค.2564)
มัสก์ได้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกยุค 5 G เนื่องจากราคาหุ้นของเทสลาที่พุ่งทะยาน 830% นับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว ทำให้เขาซึ่งถือหุ้นในบริษัทเทสลาราว 20% และมีออปชั่นหุ้นอีกเกือบ 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์
☀️อีลอน มัสก์ จากเด็กหนุ่มที่เกิดและเติบโตมาในประเทศแอฟริกาใต้ พ.ศ. 2514 (1971)และมักโดนเพื่อนๆ ในโรงเรียนบูลลี่อยู่เป็นประจำ ในชีวิตประจำวันในวัยเด็ก คือ การอ่านหนังสืออย่างหัวปักหัวปำ ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ชั่วโมงและทำให้เขาค้นพบเป้าหมายชีวิตคือ การขยายเครือข่ายมนุษยโลก ด้วยการไปสร้างอาณานิคมบนดาวอังคาร
ฝันที่ดูเป็นไปไม่ได้ในตอนนั้น กำลังเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และเด็กหนุ่มคนนั้น ได้กลายเป็น บุคคลที่ร่ำรวยสุดในโลก ด้วยทรัพย์สินกว่า 195,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ อีลอน มัสก์ จบการศึกษาด้านฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และเขาได้สร้างผลงานมากมายไว้ในโลกธุรกิจและเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้ง Zip2 เว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ก่อนขายกิจการให้กับ Compaq
ก่อตั้ง X.com (PayPal) ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์ ก่อนขายกิจการให้กับ eBay
ก่อตั้ง SpaceX บริษัทพัฒนาและสร้างจรวด สำหรับเดินทางท่องอวกาศ เพื่อเติมเต็มเป้าหมายในวัยเด็ก
เป็นผู้ลงทุนรายแรกๆ ใน Tesla และปลุกปั้นจนกลายเป็น บริษัทยานยนต์ที่มีมูลค่ามากสุดในโลก
ก่อตั้ง OpenAi องค์กรไม่แสวงหากำไร ที่สนับสนุนงานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เป็นมิตรต่อมนุษย์โดยรวม
ก่อตั้ง The Boring Company บริษัทที่เจาะอุโมงค์ เพื่อสร้างระบบขนส่งมวลชนใต้ดิน
ก่อตั้ง Neuralink บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมสมองคน เข้ากับ คอมพิวเตอร์ เพื่อให้มนุษย์สามารถรักษาโรคภัยต่างๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์, ภาวะสมองเสื่อม, อัมพาต รวมถึงต่อกรกับ AI ได้
ทั้งนี้ ปัจจุบัน Tesla มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 23.2 ล้านล้านบาทโดย อีลอน มัสก์ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 20%
ส่วน SpaceX เป็นหนึ่งในสตาร์ตอัปที่มีมูลค่ามากสุดในโลกโดยถูกประเมินมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 2.8 ล้านล้านบาท
ซึ่งอีลอน มัสก์ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 48%
ที่สำคัญ เมื่อปลายปีที่แล้ว อีลอน มัสก์ ได้ยืนยันว่าบริษัท SpaceX ของเขา จะสามารถนำพามนุษย์ไปถึงดาวอังคารได้ ภายในปี 2026 และหากโชคดี เขาอาจสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้เร็วสุดภายในปี 2024 ดังนั้น ต้องติดตามกันต่อไปว่า บุคคลที่รวยสุดในโลกคนนี้ จะสร้างเหตุการณ์ที่ต้องจารึกลงใน ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ตามที่หวังไว้ได้หรือไม่
☀️"โชติกเศรษฐี" บุคคลที่รวยที่สุดในโลกในยุคพุทธกาล☀️
โชติกเศรษฐี เกิดในสมัยพุทธกาล เป็นยอดมหาเศรษฐี ผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง เป็นอจินไตย มีต้นกัลปพฤกษ์สารพัดนึกตามปรารถนา, มีนางแก้วจากอุตรกุรุทวีปเป็นภรรยา, มีแก้วมณีส่องแสงสว่างทั้งกลางวันและกลางคืน, มีปราสาท 7 ชั้น ล้วนประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ มีกำแพง 7 ชั้น, มีขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ 4 ขุมที่พร้อมแจกจ่ายให้คนทั่วทั้งชมพูทวีป พร้อมด้วยยักษ์บริวารจำนวน 28,007 ตน อารักขาอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมหาสมบัติจักรพรรดิเหล่านี้ ได้มาด้วยผลบุญในอดีตชาติอย่างน้อย 2 ชาติ ดังนี้:
☀️บุพกรรมที่ทำให้ได้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง☀️
ในยุคพระสมณโคดมพุทธเจ้านี้ ขณะพระศาสดาประทับอยู่พระเวฬุวัน ทรงกล่าวถึงพระโชติกเถระว่า ในอดีตกาล กุฎุมพี 2 คนพี่น้องในกรุงพาราณสี ทำไร่อ้อยไว้มากมาย ต่อมา น้องชายไปยังไร่อ้อย คิดว่า "เราจะให้อ้อยลำหนึ่งแก่พี่ชาย ลำหนึ่งจักเป็นของเรา" แล้วผูกลำอ้อยทั้งสองลำในที่ ๆ ตัดแล้ว เพื่อต้องการไม่ให้รสไหลออก ถือเอาแล้ว น้ำอ้อยสมัยนั้น เมื่อตัดลำอ้อยแล้วน้ำอ้อยจะไหลออกมาเอง ไม่ต้องหีบอ้อยแบบปัจจุบัน
ในเวลาที่เขาถือเอาลำอ้อยจากไร่เดินมา พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ภูเขาคันธมาทน์ออกจากสมาบัติแล้ว ใคร่ครวญว่า
"วันนี้ เราจะทำการอนุเคราะห์แก่ใครหนอ?" เห็นเขาเข้าไปในญาณและทราบว่าเขาเป็นผู้สามารถเพื่อจะทำการสงเคราะห์ได้ จึงถือบาตรและจีวรแล้ว มาด้วยฤทธิ์ ได้ยืนอยู่ข้างหน้าของเขา
เมื่อน้องชายได้ถวายน้ำอ้อยพระปัจเจกพุทธเจ้าหมดแล้วก็อธิษฐานว่า "ท่านขอรับ รสอันเลิศนี้ใดที่กระผมถวายแล้ว ด้วยผลแห่งรสอันเลิศนี้ กระผมพึงเสวยสมบัติในเทวโลกและมนุษยโลก ในที่สุดพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วนั่นแล"
พระปัจเจกพุทธเจ้าก็กล่าวว่า "ขอความปรารถนาที่ท่านตั้งไว้แล้ว จงสำเร็จอย่างนั้น" แล้วทำอนุโมทนาแก่เขาด้วย 2 คาถาว่า "อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ" เป็นต้น แล้วอธิษฐานให้พร แล้วเหาะไปสู่เขาคันธมาทน์ แล้วได้ถวายอ้อยแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 500 รูป
น้องชายเห็นดังนั้น ยิ่งปิติใจมากขึ้น เมื่อกลับบ้าน จึงเล่าให้พี่ชายฟัง พี่ชายก็เลื่อมใสอนุโมทนาบุญกับน้องชายและ ได้ตั้งปรารถนาว่า "การบรรลุธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเห็นแล้วนั่นแหละ พึงมีแก่เรา"
☀️2 พี่น้องได้เกิดร่วมกันอีกในชาติต่อมา☀️
2 พี่น้องนี้หลังจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในเทวโลก อีก1 พุทธันดร ต่อมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิปัสสีเสด็จอุบัติขึ้นและกำลังประกาศธรรม ท่านเกิดเป็นกุฎุมพีมีนามว่าอปราชิตะ เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้สร้างพระคันธกุฎีถวายพระศาสดา ให้ทำเสาบานประตูและกระเบื้องทั้งหมด ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ ให้สร้างสระโบกขรณี 3 สระ สั่งให้ทำน้ำหอม แล้วให้ปลูกดอกไม้ 5 สี
เมื่อสร้างสำเร็จแล้ว ได้กราบทูลพระบรมศาสดา ให้เสด็จเข้าไปพักผ่อนในพระคันธกุฎี อปราชิตะคิดว่า รัตนชาติที่เรามีอยู่นี้ ถ้าเก็บไว้ในคลังหรือมัวฝังไว้ในหลุม ก็ไม่มีใครได้ชมเชย ไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย พอมีแล้วก็เป็นห่วง บางทีอาจเป็นโทษกับตัวเองได้ จึงควรทำให้เกิดประโยชน์ ต่อพุทธศาสนาและชาวโลก ระลึกว่าพุทธบริษัทที่มีศรัทธา แต่ขาดทรัพย์ยังมีอยู่มาก ถึงแม้บางคนไม่ได้ศรัทธา แต่ไปวัดฟังธรรม เพราะโลภอยากได้รัตนชาติของเรา หากเขาได้ฟังแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้ศึกษาความจริงของชีวิต
เมื่อคิดดังนี้จึงตัดสินใจโปรยรัตนชาติที่หน้าลานพระคันธกุฎี คนที่ยังยากจนอยู่ เมื่อไปฟังธรรมแล้ว ก็หยิบเอารัตนะของ กุฎุมพีคนละกำสองกำ รัตนชาติถูกโปรยลงเพียงคราวเดียว และวันเดียวเท่านั้น ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เขาสั่งให้บริวารนำมาโปรยอีก คราวนี้โปรยสูงถึงเข่า ทำอยู่อย่างนั้นถึง 3 ครั้ง และยังได้ทำกุศโลบาย ที่จะทำให้มหาชนได้บรรลุธรรมกันมากๆ จึงตัดสินใจสละสมบัติประจำตระกูล ด้วยการวางแก้วมณี ประมาณเท่าผลแตงโม แทบบาทของพระบรมศาสดา มหาชนได้เห็นแก้วมณีซึ่งเปล่งแสงสว่างไสวกับรัศมีที่เปล่งจากพระพุทธองค์ จึงชุ่มฉ่ำทั้งดวงตาและดวงใจ เกิดธรรมจักขุได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันถ้วนหน้า
วันหนึ่ง พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่งได้แอบไปลักแก้วมณีดวงนั้น ท่านเศรษฐีกราบทูลพระพุทธองค์ว่า
"พระพุทธเจ้าข้า รัตนะ 7 ประการที่ข้าพระองค์โปรยล้อมรอบพระคันธกุฎี 3 ครั้ง สูงถึงหัวเข่า ใครมารับไป ข้าพระองค์ก็ปลื้มปีติทุกครั้ง แต่วันนี้ ข้าพระองค์ไม่รู้สึกปลื้ม ในการกระทำของพราหมณ์เลยพระเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสให้กำลังใจว่า "อุบาสก ช่างเถิด สิ่งใดที่คนอื่นนำไปแล้ว ก็จงเป็นอันนำไปด้วยดีเถิด ธรรมดาบัณฑิตควรทำความยินดีในทาน ทั้ง 3 ขณะ จึงจะถูกต้อง การสละวัตถุภายนอกออกจากใจแล้ว มารู้สึกเสียดายภายหลัง ไม่ใช่วิสัยของสัตบุรุษ"
กุฎุมพีได้ฟัง จึงอธิษฐานว่า "พระราชาหรือโจรแม้หลายร้อย ชื่อว่าสามารถเพื่อจะข่มเหงข้าพระองค์ ถือเอาเข็มเล่มเดียวของข้าพระองค์ จงอย่ามี และภัยใดๆ อย่าได้มาบีบคั้นตัดรอนชีวิตและทรัพย์สินของข้าพเจ้าได้" เมื่อถึงเวลาฉลองพระคันธกุฎี กุฎุมพีได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุ 6 ล้าน 8 แสนรูป ภายในวิหารแห่งนั้นตลอด 9 เดือน
ในวันสุดท้าย ได้ถวายไตรจีวรแก่ภิกษุทุกรูป จากนั้น อปราชิตกุฎุมพีก็สั่งสมบุญทุกอย่าง เป็นกำลังหลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลกจนสิ้นอายุ ครั้นละโลกแล้วได้บังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอันโอฬารเป็นเวลายาวนานมาก
☀️ผลบุญเป็นอจินไตยทำให้ได้สมบัติจักรพรรดิ☀️
ยุคพุทธกาลนี้ท่านเกิดในตระกูลเศรษฐี กรุงราชคฤห์ ในวันที่เกิดสรรพอาวุธในเมืองส่องแสงสว่างจึงได้ขนานนามว่า"โชติกะ" เมื่อเติบโตพร้อมมีคู่ครอง พระอินทร์ได้ลงจากสวรรค์ดาวดึงส์เนรมิตเป็นช่างไม้ เดินไปหาช่างซึ่งกำลังสร้างปราสาทให้โชติกะ บอกช่างไม้ว่า โชติกะเป็นผู้มีบุญ ไม่อยู่ในปราสาทที่พวกท่านสร้าง จึงเนรมิตปราสาทแก้ว 7 ชั้น, กำแพงแก้ว 7 ชั้น ต้นกัลปพฤกษ์ผุดขึ้นรอบกำแพง บนเนื้อที่ประมาณ 625 ไร่ ขุมทรัพย์ 4 ขุม ที่มุมทั้ง 4 ของปราสาท พระเจ้าพิมพิสารทรงรู้จึงส่งฉัตรเศรษฐีไปให้ แล้วสถาปนาในตำแหน่งเศรษฐีประจำกรุงราชคฤห์ ด้านหญิงสาวผู้จะเป็นภรรยาคู่บุญของโชติกะนั้น เป็นนางแก้วจากอุตตรกุรุทวีปเพราะฉะนั้นเมื่อโชติกะต้องแต่งงาน เทวดาจึงเหาะไปพานางมาจากอุตตรกุรุทวีป ขณะมาจากอุตตรกุรุทวีป ได้เอาทะนานข้าวสารมาด้วยพร้อมแผ่นศิลา 3 แผ่น โชติกเศรษฐีพร้อมด้วยภรรยาจะอาศัยแสงสว่างจากแก้วมณีจึงไม่ต้องอาศัยแสงสว่าง ของไฟหรือประทีป ทั้งสองผู้มีบุญอาศัยทะนานข้าวสาร กับแผ่นศิลาวิเศษซึ่งถือว่าเป็นเครื่องครัวที่รู้ใจและแก้วมณีที่นำความปรารถนาให้สำเร็จทุกอย่าง
มหาชนจึงชักชวนมาดูสมบัติของโชติกเศรษฐี ท่านจึงได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านต้อนรับชาวชมพูทวีปให้ได้รับความสุขถ้วนหน้าโดยเปิดปากขุมทรัพย์ที่มีประมาณ1คาวุตหรือประมาณ 4 กิโลเมตรและให้มหาชนนำทรัพย์กลับไปได้ แม้คนมากมายนำทรัพย์ไปแต่ปากขุมทรัพย์ไม่พร่องแม้องคุลีเดียว เป็นผลที่เขาโปรยรัตนชาติลงพระคันธกุฎีของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ทำให้ได้สมบัติตักไม่พร่อง
ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพไปยึดปราสาทของท่าน แต่ก็ยึดไม่ได้ เพราะถูกยักษ์ขับไล่กองทัพให้แตกกระเจิง พระราชาได้เสด็จหนีตายไปทางวัดเชตวัน
ครั้นเห็นเศรษฐีกำลังนั่งฟังธรรม จึงตรัสว่า "คฤหบดี ท่านบังคับพวกบุรุษของท่านให้มารบกับเรา แล้วมาหลบอยู่ที่นี่ นั่งทำเป็นเหมือนฟังธรรม "
เศรษฐีทูลถามว่า "ก็สมมติเทพ เสด็จไปเพื่อยึดเอารัตนปราสาทของข้าพระองค์มิใช่หรือ" เมื่อพระราชายอมรับ จึงกราบทูลว่า
"ข้าแต่สมมติเทพ แม้พระราชาตั้งพัน ก็ไม่สามารถยึดมหาปราสาทของข้าพระองค์ได้ แม้เพียงเส้นด้ายที่ชายผ้าของข้าพระองค์ก็เอาไปไม่ได้ หากข้าพระองค์ไม่ปรารถนา" ท่านได้ให้พระราชามาแย่งเอาแหวน 20 วงซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วมือไป
พระราชาเป็นผู้มีพละกำลังมาก เพียงนั่งกระโหย่ง ก็สามารถกระโดดขึ้นสูง 18 ศอก เมื่อยืน สามารถกระโดดขึ้นสูงถึง 80 ศอก แต่ก็ไม่สามารถถอดแหวนแม้วงเดียวได้
โชติกเศรษฐีจึงลาดผ้าขาว ทำนิ้วทั้งสิบให้ตรง ทันใดนั้น แหวนทั้ง 20 วงก็หลุดออกทันที ด้วยความสังเวชใจของพระราชา จึงสอนตนเองว่า
"ทรัพย์เหล่านี้เป็นโลกียะ ไม่ได้นำความสุขแท้จริงมาให้ การได้ทรัพย์อันเป็นโลกุตตระประเสริฐกว่า"
แล้วก็ทูลลาบวช พระเจ้าอชาตศัตรูทรงดำริว่า "ดีแล้ว เมื่อเศรษฐีบวช เราจะได้ยึดปราสาทได้" จึงทรงอนุญาต
เศรษฐีลาญาติและบริวาร บวชตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมใช้เวลาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว สมบัติทั้งหมดก็อันตรธาน เทพดาจึงนำภรรยาของเศรษฐี กลับไปอุตตรกุรุทวีปดังเดิม
ที่มา:
-เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าโชติกะธรรมบทภาค 8
-อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ 26
https://www.businessinsider.com/tesla-elon-musk-overtakes-amazon-jeff-bezos-world-richest-man-2021-1
https://www.bloomberg.com/billionaires//