จีรัง อโรคยา Jeerung Arokaya

จีรัง อโรคยา Jeerung Arokaya การบริการ

1. ให้บริการการรักษาทางกา?

26/10/2025
24/10/2025
23/10/2025
22/10/2025

จดหมายฉบับที่ 25

ถึงคุณป้าศรี

“คนไข้กินยาฆ่าตัวตาย ส่งกลับมาดูแลต่อค่ะหมอ”
คุณพยาบาลกระซิบเบาๆ ก่อนเข็นรถเข็นคนไข้เข้ามาในห้องตรวจ

ผมเงยหน้าขึ้น เห็นผู้หญิงวัยราวห้าสิบปี สีหน้าอ่อนเพลีย แววตาอ่อนล้า
ในใบส่งตัวจากโรงพยาบาลจังหวัด เขียนวินิจฉัยไว้ว่า
“โรคซึมเศร้ารุนแรง เสี่ยงในการฆ่าตัวตาย”

เคสแบบนี้ช่วงหลังพบได้บ่อยขึ้นครับคุณป้า
ดีที่เธอยังไม่ทำร้ายตัวเองและกลับมาให้โอกาสเราได้ดูแลต่อ

ผมค่อยๆ พูดคุยสอบถามอาการ
เธอเล่าว่า ช่วงนี้เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า และไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร

พ่อของเธอป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม กลางคืนมักสับสน ลุกเดินไปมา บางครั้งขับถ่ายเรี่ยราด
เธอเป็นคนดูแลทั้งหมด ไม่ค่อยได้นอนทั้งคืน
สามีทำงานรับจ้าง กลับบ้านมาก็ดื่มเหล้าและมักพูดจาทำร้ายจิตใจ
ลูกชายโตแล้ว แต่ไม่ทำงาน เอาแต่เที่ยวกับเพื่อน
รายได้ครอบครัวแทบไม่พอใช้ แถมยังมีหนี้สินต้องจ่ายทุกเดือน

หลายปัญหารุมเร้า จนเธอรู้สึกมืดแปดด้าน เหมือนชีวิตไร้ทางออก

ผมนั่งฟังเธอเงียบๆ ฟังอย่างตั้งใจ
ทุกคำที่เล่าเต็มไปด้วยความเหนื่อยและความเจ็บปวดที่เก็บเอาไว้คนเดียว

ผมเหลือบไปเห็นชื่อแพทย์เจ้าของไข้ในใบส่งตัว
พอเห็นเป็นชื่อภรรยา ผมก็ใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งครับคุณป้า
เพราะรู้ว่า...เราจะไม่ต้องทำงานนี้ลำพัง

ผมโทรไปปรึกษาภรรยาเพื่อวางแผนการดูแลร่วมกัน
เธอบอกว่า “เคสนี้ให้ยากินอย่างเดียวไม่พอแน่ เพราะต้นเหตุของความทุกข์ยังอยู่ในบ้าน”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย เราจึงเริ่มดูแลในฐานะ ทีมหมอครอบครัวของโรงพยาบาลชุมชน
ไม่ใช่แค่รักษาโรค แต่จะค่อยๆ ฟื้นทั้งพลังใจและพลังชีวิตของเธอ

เราวางแผนลงเยี่ยมบ้าน ประสานทีมในชุมชน
พูดคุยกับสามี ลูกชาย และญาติๆ ให้เข้าใจโรคซึมเศร้า
ชวนพวกเขามีส่วนร่วมในการดูแล

​​แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่ผ่านมาเราก็เคยทำสำเร็จมาแล้วไม่น้อยครับคุณป้า
หลายต่อหลายครอบครัวพ้นจากการจมทุกข์ และกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

จะว่าไป การทำงานร่วมกันระหว่างผมกับภรรยา
ไม่ได้เพิ่งเริ่มในวันนี้หรอกครับคุณป้า

สมัยเป็นหมอใหม่ๆ เรามักคุยกันว่า
ปัญหาสุขภาพของผู้คนจำนวนมาก ไม่ได้มาจากโรคในตำรา
แต่มาจาก ความทุกข์ในใจ ความสัมพันธ์ในบ้าน และแรงกดดันในชีวิต

เรารู้ว่าความรู้ทางแพทย์เพียงอย่างเดียว ไม่พอที่จะเยียวยาทั้งหมด
เลยตกลงกันว่า ภรรยาผมจะไปเรียนต่อจิตเวช
ส่วนผมเลือกเรียนเวชศาสตร์ครอบครัว
เพื่อกลับมาทำงานคนละมุม แต่เดินบนเส้นทางเดียวกัน

12 ปีผ่านไป
เธอเป็นหัวหน้าจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลจังหวัด
ส่วนผมทำงานอยู่โรงพยาบาลอำเภอ เชื่อมโยงถึงระดับชุมชน
แม้อยู่คนละที่ แต่เรายังได้ร่วมมือกันในเคสที่ต้องการความเข้าใจทั้ง “กาย” และ “ใจ”

…..

เดือนต่อมา คนไข้คนเดิมเดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าสดใสจนผมแทบจำไม่ได้

“คุณหมอ ป้าอาการดีขึ้นเยอะเลยค่ะ
ตอนนี้พี่น้องเข้าใจมากขึ้น มาช่วยกันดูแลพ่อ
ป้ามีเวลาพักบ้าง ผัวก็ยังดื่มอยู่แต่ไม่พูดแรงเหมือนก่อน
ลูกชายก็ช่วยทำขนมขายตอนเย็น ได้รายได้เพิ่มนิดหน่อย
ตอนนี้ป้ามีกำลังใจจะสู้ต่อแล้วค่ะ”

เธอยื่นข้าวต้มมัด 2 มัดใหญ่ให้ผม
“ป้าทำเอง อยากให้คุณหมอกับคุณหมอภรรยาชิมค่ะ”

เย็นนั้นผมเอาข้าวต้มมัดกลับไปบ้าน แบ่งกินกับภรรยา
พร้อมเล่าเรื่องของคนไข้คนนี้ให้ฟัง
เธอยิ้มกว้างไม่แพ้ผมเลยครับคุณป้า

คุณป้ารู้มั้ยครับ
บางครั้ง...แค่ได้เห็นคนหนึ่งคนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ก็ทำให้ใจเรามีพลังและความสุขจนบอกไม่ถูก

ผมก่อตั้ง เพลินไพร ออร์แกนิค ด้วยความรู้สึกแบบนั้นแหละครับ
อยากส่งต่อพลังแห่ง “การเยียวยา” สู่หัวใจของผู้คน

ทีมเพลินไพรของเราแต่ละคนมาจากเส้นทางชีวิตต่างกัน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ
เราทุกคนรักการเป็นผู้ให้ และเชื่อในพลังของความเมตตาต่อกัน

ปีนี้เราจึงเริ่มต้นหลักสูตร
“The Healer’s Journey : เส้นทางสู่นักเยียวยา”
ดำเนินงานผ่าน กองทุนเพลินไพร

เราเริ่มทำสื่อความรู้ทางออนไลน์และจัดคอร์สที่ชัยภูมิ
เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกคน แม้ไม่ใช่หมอ
แต่มี “หัวใจอยากเยียวยาผู้คน”
ได้เรียนรู้ และส่งต่อพลังดีๆ ให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นครับ

ถ้ามีโอกาส เชิญคุณป้ามาร่วมกิจกรรมกันนะครับ ☺️

หมอนิค
นายแพทย์นรุตม์ อภิชาตอำมฤต
โรงพยาบาลหนองบัวระเหว
จังหวัดชัยภูมิ

FB: โต๊ะป้าศรี CH Table

ปล. จดหมายฉบับที่ 1-24 อยู่ในคอมเมนต์ค่ะ

22/10/2025
21/10/2025

💣 สรุปดราม่า "บัตรทอง/สปสช.” — เรื่องใหญ่ที่คนไทยยังไม่รู้ตัว

ตอนนี้…
🏥 โรงพยาบาลทั่วประเทศกำลังขาดทุน
👩‍⚕️ หมอ–พยาบาลใน รพ.รัฐ ทำงานหนักแต่ไม่ได้รับเงิน
❗️และที่น่ากังวลที่สุด — ประชาชนกำลังจะไม่มีที่รักษา

ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นจากหน่วยงานที่ชื่อว่า
"สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)"
หรือที่คนคุ้นกันในชื่อ "ระบบบัตรทอง"

วันนี้จะพาอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ฉบับที่คนไม่มีพื้นฐานก็เข้าใจได้

เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของหมอ
แต่คือ เรื่องของคนไทยเกือบทั้งประเทศ ที่พึ่งพาระบบนี้อยู่ทุกวัน 🩺

==================
🔴 บัตรทองคืออะไร? สปสช.คือใคร?
🔴 ปัญหาหลักของระบบตอนนี้
🔴 แล้วโรงพยาบาลได้เงินจากสปสช.ยังไง?
🔴 ยังไม่จบ… “กฎ 3%” ที่เอาเปรียบสุดๆ
🔴 โรงพยาบาลรัฐ “ขาดทุน-ติดลบ” หนักขึ้นทุกไตรมาส
🔴 หมอ-พยาบาล ทำงานแล้วไม่ได้เงิน
🔴 แล้วประชาชนล่ะ? ได้รับผลกระทบไหม?
🔴 ตัวอย่างชัดๆ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดนเล่นงานจาก “การเปลี่ยนกติกาย้อนหลัง”!
🔴 คำพูดสวยหรูของสปสช. = ฉากบังหน้า
==================

🔴 บัตรทองคืออะไร? สปสช.คือใคร?

1.บัตรทอง คือสิทธิรักษาฟรีสำหรับคนไทยประมาณ 48 ล้านคน
หรือ >70% ของประชากรทั้งประเทศ
(คนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ และไม่ได้อยู่ในประกันสังคม)

2.เงินทั้งหมดที่ใช้ดูแลระบบบัตรทองนี้ มาจากภาษีของประชาชน
รวมแล้วมากกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี

เงินก้อนนี้… ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลโดยตรง
แต่ส่งไปให้ "สปสช." เป็นคนถือเงินไว้
และเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะจ่ายให้โรงพยาบาลเท่าไรและเมื่อไหร่

3.สรุปง่ายๆ คือ
โรงพยาบาล = คนทำงานจริง รักษาคนไข้จริง ใช้ของจริงๆ
สปสช. = คนถือกระเป๋าเงินใบใหญ่ ค่อยทยอยจ่ายให้ทีหลัง
จะเร็ว จะช้า จะให้ครบหรือไม่ก็แล้วแต่เขา
และปัญหาทั้งหมด… ก็กำลังเริ่มต้นจากตรงนี้

——————

🔴 ปัญหาหลักของระบบตอนนี้

4.โรงพยาบาลทุกแห่งในระบบบัตรทองต้องทำหน้าที่ออกเงิน “รักษาคนไข้ไปก่อน”
ทั้งค่ายา ค่าหัตถการ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์การแพทย์ทุกอย่าง
แล้วค่อยไป “เบิกเงินคืนทีหลัง” จากสปสช.

แต่สิ่งที่โรงพยาบาลเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ
• 💸 ได้เงินช้า
• 💸 ได้ไม่ครบ
• 💸 บางครั้งโดนเปลี่ยนกฎกติกากลางทาง แล้วโดนเรียกเงินคืน

5.ลองนึกภาพตามง่ายๆ

มีเพื่อนมาบอกคุณว่า
“ช่วยไปซื้อข้าวกล่องให้หน่อย เดี๋ยวกลับมาเราจ่ายให้”
คุณก็ใจดีควักเงินซื้อให้ราคา 80 บาท

พอคุณเอาข้าวให้เพื่อน
เพื่อนบอกว่า “เอ้อ… ไว้ค่อยจ่ายวันหลังนะ”

ผ่านไปหลายเดือน… เพื่อนคนนั้นกลับมาบอกว่า
“เอ่อ… ตอนนั้นที่ให้ไปซื้ออะ ขอจ่ายให้แค่ 20 บาทนะ”

😓 คุณขาดทุนไป 60 บาททันที

ตอนนี้… โรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ
กำลังเจอสถานการณ์แบบนี้
แต่ไม่ใช่เรื่องข้าวกล่อง…
มันคือชีวิตของคนไข้จริงๆ ที่ต้องแลกมา

——————

🔴 แล้วโรงพยาบาลได้เงินจากสปสช.ยังไง?

6.อย่าเพิ่งตกใจถ้าเห็นคำว่า “DRG”, “RW” หรือ “AdjRW”
มันคือระบบคิดเงินของสปสช.ง่ายๆ แบบนี้เลยครับ 👇

ระบบนี้คือการ “คิดคะแนน” ให้กับโรคแต่ละโรค
• โรคหนัก รักษายาก = ได้คะแนนเยอะ
• โรคเบา รักษาง่าย = ได้คะแนนน้อย

จากนั้น…
คะแนนนี้จะถูกเอาไปคูณกับ “ค่าเงินต่อคะแนน” ที่สปสช.เป็นคนกำหนด
= เงินที่โรงพยาบาลจะได้รับ

📌 ตัวอย่างให้เห็นภาพ
สมมติ เคสหนึ่งได้ 2 คะแนน
ถ้าสปสช.กำหนดให้ “1 คะแนน = 8,350 บาท”
โรงพยาบาลก็จะได้เงินคืน 16,700 บาท

7.แต่ปัญหาคือ…
กลางปีที่ผ่านมา สปสช.แอบลดค่าเงินต่อคะแนนลงเหลือ 7800 บาท
โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าใดๆ

และที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ…
💥 เรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง จากโรงพยาบาลทั้งหมด
แม้แต่เคสที่รักษาเสร็จไปแล้วและได้เงินไปแล้วตามราคาที่เคยตกลงกันไว้

ยกตัวอย่างเช่น
รพ.ศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ถูกสปสช.เรียกเงินคืนมากถึง 34 ล้านบาท
ทั้งที่รักษาคนไข้ตามกติกาทุกอย่าง แทนที่จะได้เบิกเงินได้ กลับกลายเป็นติดหนี้ให้สปสช. แทน

8.ลองนึกภาพตามดูนะครับ

คุณทำงานมา 10 เดือน ได้เงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท
รวมแล้วคุณได้รับเงินไปแล้วทั้งหมด 200,000 บาท

แต่วันหนึ่ง ฝ่ายบัญชีเรียกคุณไปบอกว่า…
“ขอโทษด้วยนะ เราเพิ่งรู้ว่าเงินบริษัทไม่พอ
เราจะขอลดเงินเดือนคุณลงเหลือแค่ 10,000 บาทต่อเดือน
และเงิน 10 เดือนที่จ่ายไปแล้ว — ขอปรับลดย้อนหลังด้วยนะ
จาก 20,000 เหลือแค่ 10,000
งั้นช่วยคืนเงินเรามา 100,000 บาทด้วยนะ…”

แถมยังบอกว่า
“อีก 2 เดือนสุดท้าย เราจะจ่ายให้ตามอัตราใหม่ เดือนละ 10,000 บาท
รวมแล้วคุณจะได้เงินเพิ่มอีกแค่ 20,000 บาท”

สรุปคือ
• คุณจะได้เพิ่มอีกแค่ 20,000
• แต่ต้องคืนบริษัท 100,000
• เท่ากับคุณกลายเป็น “หนี้บริษัท” ทันที 80,000 บาท❗️
ทั้งที่คุณทำงานครบทุกวัน ไม่มีอะไรผิดเลย

แบบนี้… แฟร์ไหมครับ?

🏥 ตอนนี้โรงพยาบาลทั่วประเทศ กำลังเจอแบบนี้

ทั้งหมดนี้ เพราะอะไร?

เพราะสปสช.บริหารเงินไม่พอ
พอเงินใกล้หมด ก็เลยลดค่าเงินต่อคะแนน
เพื่อ “จ่ายให้น้อยลง” กับทุกโรงพยาบาล
แม้จะเป็นเคสที่รักษาไปแล้วก็ตาม

——————

🔴 ยังไม่จบ… “กฎ 3%” ที่เอาเปรียบสุดๆ

9.สปสช.มีกฎว่าจะสุ่มตรวจเวชระเบียนคนไข้ (เอกสารการรักษา)
อย่างน้อย 3% ของจำนวนทั้งหมด
เพื่อดูว่า… หมอ “กรอกเอกสารถูกไหม?” ให้ “คะแนนโรค” ตามจริงหรือเปล่า?

10.ถ้าหมอรักษาคนไข้จริงแต่เอกสารกรอกไม่ครบ เช่น ลืมเซ็นชื่อหรือพิมพ์ผิดนิดเดียว สปสช.จะหักคะแนนออกทันทีแล้วก็เรียกเงินคืนจากโรงพยาบาล

📌 ปัญหาใหญ่คือ…
สปสช.ไม่ได้หักแค่ “เคสที่ตรวจเจอ” เท่านั้น
แต่จะเอาผลการตรวจแค่ 3%
→ ไปคูณกับ 100% ทั้งหมดเลย!

สมมุติว่า…
โรงพยาบาลมีคนไข้ 100 คน
สปสช. ตรวจแค่ 3 คน (ตามกฎ 3%)

แล้วเจอว่าจาก 3 คน
หมอลงคะแนนไว้รวม 100 คะแนน
แต่สปสช.หักออกเหลือ 50 คะแนน
→ แปลว่าโดนหักคะแนนไปครึ่งนึงใน 3 เคสนี้

💣 ทีนี้ สปสช.จะสั่งหักเงินอีก 97 เคสที่เหลือทั้งหมดด้วย!
แม้ไม่ได้เปิดดูเอกสารเลยสักใบ

💥 เหมือนคุณส่งการบ้าน 100 ชิ้น
ครูสุ่มดูแค่ 3 ชิ้น เจอสะกดผิดไปนิดนึง
แล้วครูบอกว่าผิดทั้งหมด!
→ ตัดเกรดตกทั้งร้อยชิ้น โดยไม่เปิดดูอีก 97 ชิ้นเลย

11. มาดูตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น
– โรงพยาบาลผ่าตัดคนไข้โรคต่อมลูกหมากโต ใช้เงินไปไปประมาณ 15,000 บาท
– แพทย์ลงข้อมูลว่าเป็นการผ่าตัด ได้คะแนน 1.5 คะแนน
→ ซึ่งหมายถึงควรได้เงินคืน = 1.5 × 8,350 = 12,525 บาท

– แต่เมื่อถูกสุ่มตรวจ สปสช.หาเรื่องบอกว่าการวินิจฉัยแบบนี้ ให้แต้มแค่ 0.5 เท่านั้น
แปลว่าเบิกเงินได้เพียง = 0.5 × 8,350 = 4,175 บาท

โรงพยาบาลลงทุน 15,000 บาท แต่เบิกได้แค่ 4175 บาท ในเคสนี้
ทั้งที่ผ่าตัดจริง ใช้ทรัพยากรจริง แต่ต้องขาดทุน

——————

🔴 โรงพยาบาลรัฐ “ขาดทุน-ติดลบ” หนักขึ้นทุกไตรมาส

12.ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดของระบบนี้ก็คือ…
โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศเริ่ม “ขาดทุน” และ “เงินบำรุงติดลบ” เพิ่มขึ้น

จากรายงานล่าสุด ไตรมาส3 ปี 2568 พบว่า
มีโรงพยาบาลมากถึง 326 แห่ง ที่เงินบำรุงติดลบ รวมกันกว่า 8,200 ล้านบาท
และจำนวนโรงพยาบาลที่เข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่องกำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว 📉
• ไตรมาสแรก: ขาดทุน 4,200 ล้านบาท (195 แห่ง)
• ไตรมาสสอง: ขาดทุน 5,700 ล้านบาท (218 แห่ง)
• ไตรมาสสาม: ขาดทุน 8,200 ล้านบาท (326 แห่ง)

❗️คำถามคือ… ถ้าไม่มีเงินพอจ่ายค่าอุปกรณ์การแพทย์ ค่ายา ค่าตอบแทนบุคลากร
แล้วโรงพยาบาลจะรักษาคนไข้ได้อย่างไร?

——————

🔴 หมอ-พยาบาล “ทำงานแล้วไม่ได้เงิน”

13. ลองคิดดูว่า ถ้าคุณทำงานหนัก อดหลับอดนอน เพื่อดูแลชีวิตคนไข้
แต่พอถึงสิ้นเดือน กลับไม่มีเงินเดือนให้คุณ…

นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ
เพราะโรงพยาบาลไม่มีเงินพอจะจ่าย เพราะสปสช.ไม่ยอมจ่าย หรือจ่ายช้า

💢 บางคนต้องรอเงิน 6 เดือน – 1 ปี ถึงจะได้เงินค่าตอบแทน
และบางครั้ง… รอไปทั้งปี สุดท้ายก็ไม่ได้จ่ายเพราะโรงพยาบาลไม่มีเงินเหลือ

หมอ-พยาบาลคือด่านหน้าของระบบรักษา
แต่กำลังถูกทำให้ “หมดแรง หมดศรัทธา” ด้วยระบบที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้

——————

🔴 แล้วประชาชนล่ะ? ได้รับผลกระทบไหม?

14. ได้รับแน่นอนครับและกำลังเกิดขึ้นแล้วทั่วประเทศ

• 🛑 หลายโรงพยาบาลหยุดให้บริการบางอย่างหรือไม่รับผู้ป่วยเพิ่ม เพราะ “เงินไม่พอรักษา”
→ ประชาชนต้องเดินทางไปโรงพยาบาลที่ไกลกว่า เสียค่าใช้จ่ายเองเพิ่มขึ้น

• 💊 ยาที่เคยได้ครั้งละ 2-3 เดือน → ถูกลดเหลือแค่ 1 สัปดาห์
เพราะโรงพยาบาลไม่สามารถสต๊อกยาได้เหมือนเดิม

• 🚫 ยาดีๆ ยานอกบัญชี ยาที่จำเป็นบางตัว… เริ่มหายไปจากระบบ
เพราะ รพ.ไม่มีเงินพอจะสั่งเข้าคลัง

• ❤️‍🔥 ผู้ป่วยโรครุนแรงบางราย อาจไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่
เช่น คนไข้หัวใจตีบ 3 เส้น
หมอจำเป็นต้อง “เลือกทำแค่ 1 เส้น” เพราะเบิกได้แค่ครั้งเดียว
อีก 2 เส้นที่เหลือ… ต้องรอให้ “เกือบตายอีกรอบ” ถึงจะได้สิทธิ์อีกครั้ง

⚠️ นี่ไม่ใช่ “นิยายดราม่า” แต่คือสิ่งที่ “กำลังเกิดขึ้นจริง”
ในโรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทย — และอาจกำลังเกิดกับคุณ หรือคนที่คุณรัก

——————

🔴 ตัวอย่างชัดๆ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดนเล่นงานจาก “การเปลี่ยนกติกาย้อนหลัง”!

15.เริ่มจากคำขอร้อง → กลายเป็นขาดทุน 78 ล้าน!

📌 มี.ค. 2567 — สปสช. ขอให้ “รพ.มงกุฎวัฒนะ” ช่วยรับผู้ป่วยบัตรทองกว่า 200,000 คน
📌 รพ.ตกลงช่วยเต็มที่ เพราะสปสช.บอกว่าจะจ่ายเงินตามตารางค่ารักษา (Fee Schedule)

💥 แต่เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น…
– รพ.รักษาคนไข้ไปเรียบร้อย
– สปสช. ค้างจ่ายค่ารักษา 40 ล้านบาท
– ต่อมา “เปลี่ยนกติกากลางปี” โดยเอาระบบใหม่ (ระบบแต้ม) มาใช้ย้อนหลัง

ผลคือ…
✅ เดิมจะต้องได้เงิน 40 ล้าน
❌ ไม่ได้เงินคืน แถมต้องกลายเป็นติดหนี้สปสช. 38 ล้านบาทแทน!

📉 สรุป ช่วยรักษาคน → กลายเป็นขาดทุน 78 ล้านบาท!

16. หยุดรับบริการผู้ป่วยนอกบัตรทองชั่วคราว
📍 ล่าสุด พล.ต.นพ. เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนา ออกแถลงการณ์ว่า
– วันที่ 16 ตุลาคม 2568 โรงพยาบาลจำเป็นต้องหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกสิทธิบัตรทอง แบบชั่วคราวจนกว่าสปสช.จะเคลียร์หนี้
– การหยุดนี้ ไม่ใช่เพราะโรงพยาบาลอยากถอนตัวจากระบบ แต่เพราะแบกรับภาระทางการเงินไม่ไหวแล้ว

🗣 ผอ.โรงพยาบาลกล่าวว่า
– “ระบบนี้ไม่ได้เป็นแค่ความผิดพลาดทางเทคนิค แต่เป็นระบบที่ไร้ธรรมาภิบาลอย่างสิ้นเชิง”

✅ ผลที่เกิดขึ้นคือ ผู้ป่วยบัตรทองกว่า 47,000 คน ที่เคยใช้บริการที่นี่แบบผู้ป่วยนอก (OPD) ถูกส่งผลกระทบทันที ต้องมองหาทางเลือกอื่น หรือจ่ายเองไปก่อน

——————

🔴 คำพูดสวยหรูของสปสช. = ฉากบังหน้า

17.สปสช.มักพูดว่า
“เราทำตามกฎหมาย” “เราควบคุมงบเพื่อประชาชน” “เราทำเพื่อคนไข้”

แต่ความจริงคือ…
สปสช.กำลังใช้คำว่าประชาชนบังหน้า
เพื่อกดดันโรงพยาบาลให้แบกรับภาระเองทั้งหมด
และจ่ายเงินคืนให้รพ.น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยไม่สนใจว่ารพ. จะอยู่รอดหรือไม่?

เราจึงมักจะเห็นว่ารพ. ต้องเปิดรับบริจาคอยู่เรื่อยๆ
เพื่อความอยู่รอดและจะรักษาคนไข้ต่อไป

18. ถ้าปล่อยไว้แบบนี้…สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
• หมอท้อ พยาบาลลาออก
• โรงพยาบาลขาดงบ เครื่องมือเสื่อม ยาขาดแคลน
• และสุดท้าย… ประชาชนไม่มีที่รักษา

==================

📌 นี่ไม่ใช่เรื่องของหมอหรือโรงพยาบาล
แต่มันคือเรื่องของคนไทยทุกคน

สปสช.ถือเงิน 2 แสนล้านบาทไว้ในมือ
แต่ถ้าไม่มีความโปร่งใสและไม่ยุติธรรม
เราทุกคนคือผู้ที่ต้องจ่ายแทน

อยากให้ทุกคนอ่านเรื่องนี้แล้วถามตัวเองว่า
“สิทธิ์รักษาฟรีของเรายังปลอดภัยอยู่ไหม?”

อยากให้โพสต์นี้ “พูดแทนหมอและพยาบาล”
ที่ไม่มีเวลาออกมาอธิบาย
และพูดแทนประชาชนทุกคนที่ไม่รู้ว่ากำลังเสียสิทธิ์ไปทีละน้อย 🩺

ฝากแชร์โพสต์นี้ให้คนอื่นได้รู้ทันระบบที่กำลังพัง — ก่อนจะสายเกินไป

17/10/2025

ที่อยู่

บางแค
Bangkok
10160

เบอร์โทรศัพท์

+66958269075

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ จีรัง อโรคยา Jeerung Arokayaผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง จีรัง อโรคยา Jeerung Arokaya:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ความสมดุล คือ ความไม่มีโรค

ความสมดุล เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่จะต้องเรียนรู้ผ่านร่างกายและจิตใจ

ร่างกายประกอบเป็นรูปธรรม ผ่านเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก อวัยวะภายในต่างๆ ต้องอาศัยความรู้หลายๆ ด้านประกอบกัน อาทิเช่น ด้านกายวิภาคศาสตร์ ชีววิทยา ไบโอเคมี สรีรวิทยา ประสาทวิทยา กลศาสตร์ เมคานิคการเคลื่อนไหว เป็นต้น

การเดิน การนอน การนั่ง การยืน ที่ถูกต้องมีผลต่อความสมดุลหน้า หลัง ซ้าย ขวา แรงน้ำหนักของร่างกายที่กดทับจากแรงโน้มถ่วงโลก มีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น อวัยวะภายใน

ขอยกตัวอย่างในท่านั่ง คนที่มีอาชีพที่ต้องนั่งนานเช่น ช่างเย็บผ้าในโรงงาน พนักงานออฟฟิต เป็นต้น การนั่งนานทำให้โครงสร้างน้ำหนักส่วนศีรษะ ถึงกระดูกก้นกบ มีแรงกระทำทั้งจากแรงโน้มถ่วงของโลก และแรงต้านจากตัวเก้าอี่้ที่ใช้นั่ง ทำให้มีการบีบอัดของหมอนรองกระดูกแต่ละข้อมากกว่าท่าอื่นๆ หากผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่มีการปรับร่างกายในเวลาระหว่างการทำงาน การออกกำลังกายและยืดเหยียดที่เหมาะสม อาการจากผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงมักมีอาการเรื้อรัง ปวดมาก จนเป็นที่มาของกลุ่มอาการออฟฟิตซินโดรม