Rio Health and Devices

Rio Health and Devices WE CARE HEALTH FOR YOU.

🪱 นี่ไม่ใช่หนอน แต่เป็นแบคทีเรีย H. pylori กองทัพทนทานต่อกรด ปักหลักอาศัยในกระเพาะ ก่อแผล ก่อมะเร็ง H. pylori เป็นหนึ่งใ...
26/05/2025

🪱 นี่ไม่ใช่หนอน แต่เป็นแบคทีเรีย H. pylori กองทัพทนทานต่อกรด ปักหลักอาศัยในกระเพาะ ก่อแผล ก่อมะเร็ง
H. pylori เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักในการก่อโรคแผลในกระเพาะและลำไส้ มีรูปร่างยาว-เกลียว มีหางใช้เคลื่อนที่ได้ เก่งทั้งโจมตี และป้องกัน ที่เลื่องชื่อที่สุดคืออาศัยอยู่ในแวดล้อมกรดสุดๆ ในกระเพาะได้
เมื่อรับเข้ามาจากการกิน ซึ่งติดมาจากคนที่เป็นนี่แหละ
➜ เดินทางมาถึงผิวหน้ากระเพาะที่เมือกคลุม
➜ ปล่อยน้ำย่อย mucinase ย่อยเมือกที่ขวาง
➜ ดำลงไปในเมือกจนถึงเยื่อบุกระเพาะ
➜ ใช้เซนเซอร์ตรวจหาสารยูเรีย แล้วกระดึ๊บไปหา
➜ ใช้น้ำย่อย Urease เปลี่ยนยูเรียเป็นแอมโมเนีย
➜ แอมโมเนียเป็นด่าง คอยกันกรดรอบๆ เหมือนเกราะ
➜ หาจุดที่ชอบแล้วใช้กาว (BabA, SabA) ยึดแน่น
➜ เพิ่มจำนวน แล้วปล่อยสกิลไม้ตา.ย เพื่อเปิดช่องให้เข้าผนัง
⓵ ฉีดพิษ CagA เข้าเซลล์เยื่อบุโดยตรง เหมือนฉีดยา (T4SS) → เซลล์เปลี่ยนรูปจนหลุดจากการยึดติด →
⓶ ปล่อย VacA เจาะรู → ทำลายไมโตคอนเดรียศูนย์พลังงาน → เซลล์เยื่อบุตา.ย

ดังนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมี 3 แบบ
✔️ ขึ้นกับความรุนแรง
✔️ ตำแหน่งของกระเพาะที่โดน
1️⃣ เหตุเกิดเบาๆ เซลล์ตา-ยนิดหน่อย เม็ดเลือดขาวคุมจำนวนได้:

กลุ่มนี้มีถึง 80-85% ของคนที่ติด จะไม่มีอาการใดๆ แต่เป็นพาหะได้ ซึ่งอนาคตอาจจะรอทีเผลอแล้วแบ่งเพิ่มจำนวนขึ้นมาก็ได้
2️⃣ เหตุเกิดรุนแรงที่กระเพาะส่วนปลาย (Antrum gastritis):

ผลจากการที่มันทะลวงผ่านกำแพงเยื่อหุ้มไปแล้ว จึงเริ่มก่อสงครามกับเม็ดเลือดขาว

ผลคือทำให้เซลล์ชื่อ D-cell ถูกทำลาย ซึ่งมีหน้าที่หลั่ง somatostatin ไปชะลอการสร้างฮอร์โมน gastrin ฮอร์โมนแห่งการหลั่งกรด ผลคือ
➜ สาร Somatostatin ลดต่ำลง
➜ ฮอร์โมน gastrin พุ่งกระฉูด พอขาดตัวเบรก
➜ กระตุ้นการหลั่งกรดรุนแรง
➜ กรดทะลักมาถึงลำไส้เล็กส่วนต้น เกิดแผล

♦️ อาการที่พบจึงเป็นแนว ‘เจ็บ’ ไม่ว่าจะเป็นเจ็บแสบร้อนสัมพันธ์กับอาหาร บางครั้งกินอาหารเผ็ดแล้วเป็นมากขึ้น เพราะ capsaicin จากพริกกระตุ้นตัวรับความเจ็บโดยตรง เพราะกำแพงพังอยู่
3️⃣ เหตุเกิดรุนแรงที่ใจกลาง (Corpus) หรือไม่ก็ทั่วๆ กระเพาะ (Pangastritis)

ผลคือจะโดนตำแหน่งมีต่อมหลั่งกรด (Gastric pit/Parietal cells) ด้วย จึงทำให้
➜ กระเพาะอักเสบเรื้อรัง + เกิดแผลกระเพาะ
➜ เวลาผ่านไปเซลล์หลั่งกรดน้อยลง
➜ ผิวกระเพาะฝ่อไปด้วย(Chronic atrophic gastritis)

♦️กรณีมีแผลกระเพาะ จะมาด้วยอาการแนวเจ็บเหมือนแผลลำไส้
♦️หากมีการอักเสบเรื้อรังแล้ว อาการมักไม่จำเพาะ มาแนวๆ จุกแน่น อิ่มไว (ซึ่งซ้อนทับกับหลายโรค) บางครั้งเบื่ออาหาร น้ำหนักลด
⚠️การทำลายเรื้อรังทำให้กลุ่มเสี่ยงมะเร็งกระเพาะด้วย
สรุป: เชื้อ H. pylori รับผ่านทางการกิน ทนกรด ติดเชื้อได้หลายแบบ ตั้งแต่ไม่มีอาการแล้วอาจมาออกอาการทีหลัง, แผลในกระเพาะหรือลำไส้ ปวดแสบปวดร้อน, อักเสบทั่วๆ อาการไม่จำเพาะ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะด้วย
ดังนั้นถ้าใครมีอาการดังกล่าว
✅ พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะต้องแยกโรคหลายโรคที่คล้ายกันออก
✅ หากมีหลักฐานว่าติดเชื้อจริง จะต้องกินยาลดกรด ร่วมกับ ยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิดเป็นคอร์ส ซึ่งต้องกินให้หมดอย่างเคร่งครัดเพื่อกำจัดเด็ดขาด
✅ กินร้อนช้อนกลางดีที่สุด

จริงไม่จริงไม่รู้..รู้แต่ได้ออกกำลังกายมันดี🚶ผลการวัดจำนวนก้าวที่เดินต่อวัน 4,000 5,000 7,000 8,000 10,000 กับผลการออกกำ...
24/05/2025

จริงไม่จริงไม่รู้..รู้แต่ได้ออกกำลังกายมันดี
🚶ผลการวัดจำนวนก้าวที่เดินต่อวัน 4,000 5,000 7,000 8,000 10,000
กับผลการออกกำลังกายของผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นเวลานาน 1️⃣0️⃣ ปี

🍃 คนที่เดิน 4️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ ก้าวไม่มีโรคซึมเศร้า

🍃คนที่เดิน5️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ ก้าวสามารถป้องกันภาวะสมองเสื่อม โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองได้

🍃คนที่เดิน7️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ ก้าวสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนและมะเร็งได้

🍃คนที่เดิน8️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ ก้าว ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานได้

🍃คนที่เดิน1️⃣0️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ ก้าวสามารถป้องกันโรคเมตาบอลิซึมได้

ตามผลการสำรวจพบว่า:-

🍃1️⃣. การเดิน ช่วยกระตุ้น 'สมอง' ลดการเกิดโรคความจำเสื่อม

🍃2️⃣. การเดิน เอาชนะ 'การหลงลืม'

🍃3️⃣. การเดิน ช่วยเพิ่ม 'แรงจูงใจ'

🍃4️⃣. การเดิน ช่วยเพิ่มรสชาติของข้าว

🍃5️⃣. การเดิน คือยารักษา 'โรคอ้วน'

🍃6️⃣. การเดิน มีประสิทธิภาพในการรักษาโรค 'ปวดหลัง'

🍃7️⃣. การเดิน ยังรักษา โรค 'ความดันโลหิตสูง'

🍃8️⃣. การเดิน คือยารักษา 'การสูบบุหรี่'

🍃9️⃣. คนที่เดิน ทำให้ 'สมอง' กระปรี้กระเปร่า

🍃🔟.เมื่อความเครียดก่อตัว ให้ออกไปเดินเล่น

🍃1️⃣1️⃣. ถ้าคุณหมดความมั่นใจ ก็แค่ลุกไปเดิน

🍃1️⃣2️⃣. ถ้า 'ร่างกาย' ของคุณเหนื่อย ให้เริ่มเดินก่อน

🍃1️⃣3️⃣. หากคุณรู้สึกหดหู่ใจเพียงแค่ออกไปเดิน

🍃1️⃣4️⃣. หากปัญหาของคุณกัดกินหางของคุณ ให้เดินจากไป

🍃1️⃣5️⃣. เมื่อคุณโกรธ ให้เดินออกไป

🍃1️⃣6️⃣. วันหนึ่งที่พัวพันกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ แค่ออกเดิน

🍃1️⃣7️⃣. ในวันที่ไม่มีอะไรทำ ก็แค่เดินเล่นเป็นงานอดิเรก
นะครับ

#ทางแพทย์สายพุทธ

โรคกระดูกคอมีปัญหา.....มีอะไรบ้างอาการของกระดูกคอเสื่อม                             เมื่อ อายุย่างเข้าวัยกลางคนคือ 30ปีข...
24/05/2025

โรคกระดูกคอมีปัญหา.....มีอะไรบ้าง

อาการของกระดูกคอเสื่อม
เมื่อ อายุย่างเข้าวัยกลางคนคือ 30ปีขึ้นไปหมอนรองกระดูกซึ่งเป็นกระดูกอ่อนจะเริ่มมีอาการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมตัวคือองค์ประกอบที่เป็นน้ำที่ทำให้เกิดการยืดหยุ่นในตัวของหมอนรองกระดูกคอจะลดลงไปทำให้คุณสมบัติในการยืดหยุ่นของหมอนรองกระดูกเสียไป ทำให้กระดูกคอปล้องที่หมอนรองกระดูกมีการเคลื่อนไหวไปในลักษณะที่ไม่ราบเรียบเป็นปกติ ถ้าเราไม่ระมัดระวังปล่อยให้กระดูกคอเคลื่อนไหวมากเกินขอบเขตก็จะทำให้เกิดการชำรุดของหมอนรองกระดูกคอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งมีผลทำให้ข้อต่อของกระดูกคอปล้องนั้นๆเสียไป
อาการเริ่มต้นของหมอนรองกระดูกคอเสื่อมคือจะมีอาการปวดคอและคอแข็งที่ชาวบ้านเรียกกันว่า“ตกหมอน” บางทีก็มีอาการปวดตื้อๆ ลึกๆ ที่บริเวณสะบัก ที่ชาวบ้านเรียกว่า“สะบักจม”อาการทั้งสองอย่างนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าหมอนรองกระดูกคอเริ่มมีอาการเสื่อม ตัวแล้วถ้าการเสื่อมตัวของหมอนรองกระดูกคอมากขึ้นก็จะมีการทรุดตัวของหมอนรองกระดูกคอมากขึ้น ทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกคอแคบลง และมีกระดูกงอกตามขอบของข้อต่อกระดูกคอที่เรียกว่า “กระดูกงอก” หรือ “หินปูนเกาะ”มีผลทำให้เกิดการตีบแคบของช่องประสาทที่ผ่านลงไปเมื่อตีบแคบถึงระดับหนึ่งก็จะเกิดการกดทับเส้นประสาท และประสาทไขสันหลังถ้าเป็นการกดทับเส้นประสาทก็จะทำให้เกิดการปวดร้าวลงไปตามแขนจนถึงนิ้วมือถ้ากดมากๆ จะทำให้เกิดอาการชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรง

โรคกระดูกคอมีชนิดใดบ้าง...
๑ กระดูกคองอกกดทับรากประสาท :
กระดูกคอแต่ละข้อมีรากประสาทงอกออกจากไขสันหลังเพื่อควบคุมการทำงานของไหล่ แขนและมือ เมื่อกระดูกคอเสื่อมลงตามวัย ข้อต่อจะหลวมหรือไม่แข็งแรง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดคอเรื้อรังถึงแม้ว่าบางรายอาจไม่มีอาการปวดคอก็ตาม แต่ก็จะรู้สึกเมื่อยคอเป็นประจำ ต่อมาร่างกายมีการปรับสภาพโดยพยายามสร้างกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่เสื่อมไป กระดูกที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้เรียกว่า หินปูน หรือ กระดูกงอกประกอบกับหมอนรองกระดูกที่เสื่อมและบางลง ทำให้ช่องว่างระหว่างข้อกระดูกคอแคบลง ในที่สุดไปกดทับรากประสาทจึงเกิดอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดต้นคอและสะบัก บางครั้งรู้สึกเสียวหรือชาและมีเสียงกรอบแกรบเวลาหันคอ หากปล่อยไว้เรื้อรังจะมีอาการปวดร้าว เสียวหรือชาที่แขนและมือ อาการจะเป็นมากเวลาเงยหน้า อาจมีการฝ่อตัวของกล้ามเนื้อที่แขนและมือด้วย

๒ กระดูกคอกดทับไขสันหลัง:
หินปูนที่เกาะตามกระดูกคอหรือกระดูกคอที่เสื่อมจะทรุดลงมากดทับไขสันหลัง ซึ่งมักเกิดขึ้นในกระดูกคอข้อที่ 6-7 ทำให้เกิดอาการปวดและมึนศีรษะเจ็บหนังศีรษะ แขนชา ปวดเมื่อย ร่างกายรู้สึกอ่อนแรงโดยเฉพาะหัวเข่า เวลายืนจะโคลงเคลงก้าวขาไม่ค่อยออก ผิวหนังปวดแสบปวดร้อน อาจควบคุมปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้และสุดท้ายอาจเป็นอัมพาต

๓ กระดูกคอกดทับหลอดเลือดแดง:
กระดูกคอมีรูให้เส้นประสาทและหลอดเลือดแดงสอดผ่าน เมื่อกระดูกคอและหมอนรองกระดูกเสื่อมลงจะทำให้รูนี้แคบลง หลอดเลือดแดงก็จะเป็นตะคริวหรือถูกกดทับ เลือดจึงไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการปวดเวียนศีรษะปวดตุบๆ ที่ท้ายทอย สายตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน คลื่นไส้ อาเจียน หูอื้อ วูบล้มลงอย่างกะทันหันแต่ไม่หมดสติ สามารถลุกขึ้นได้เองอย่างรวดเร็วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แขนขาอ่อนแรง แขนชา หยิบของแล้วร่วง เวลาเงยหน้าหรือหันคออย่างกะทันหันจะมีอาการแขนขาอ่อนแรง ฯลฯ

๔ กระดูกคอกดทับประสาทซิมพาเธติก:
ประสาทซิมพาเธติกควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ความดันโลหิต การขยับตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ตลอดจนกล้ามเนื้อเรียบในอวัยวะและต่อมขับหลั่งต่างๆ ในร่างกาย หากกระดูกคอหรือหมอนรองกระดูกเสื่อมและกดทับเส้นประสาทก็จะเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน รู้สึกศีรษะหนักๆ ปวดท้ายทอย สายตาพร่าปวดแน่นเบ้าตา ตาแห้ง เห็นแสงว็อบแว็บ ใจสั่น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูงขึ้น ฯลฯ

๕ ปวดคอเนื่องจากกล้ามเนื้อตึงตัว:
กล้ามเนื้อบริเวณคอมีโครงสร้างซับซ้อนและทอสานเกี่ยวพันกันเป็นจำนวนมาก เมื่อเราอยู่ในท่าเดียวนานๆ เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ นั่งดูทีวีเขียนหนังสือ เป็นต้น กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณคอก็จะตึงตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดีจนเกิดอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยต้นคอและไหล่แล้วจะลามไปที่สะบักและแขนด้วย เมื่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงเกร็งนานๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อกระดูกคอ ทำให้กระดูกคอเคลื่อนและเกยทับกันได้เช่นกัน ส่วนการหนุนหมอนที่สูงเกินไปหรือผิดท่าจนทำให้เกิดอาการคอตกหมอน นั้นก็เกิดจากการตึงตัวของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณคอเช่นกัน แต่ผู้ที่มีอาการคอตกหมอนเป็นประจำแสดงว่ากระดูกคอเริ่มเสื่อมแล้ว

อิริยาบทที่ชะลอการเสื่อมตัวของกระดูกคอหรือไม่ให้เสื่อมตัวเร็วเกินไปไว้ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการบิดหมุนคอหรือสะบัดคอบ่อยๆ

2. การนั่งทำงานนั่งอ่านหนังสือหรือนั่งเขียนหนังสือควรให้คออยู่ในลักษณะตรงปกติอย่าก้มคอมากเกินไป

3. การนอนควรใช้หมอนหนุนศีรษะโดยมีส่วนรองรับใต้คอให้กระดูกคออยู่ในลักษณะปกติ

4. บริหารกล้ามเนื้อคอให้แข็งแรงสม่ำเสมอ

5. หลีกเลี่ยงการทำงานโดยแหงนคอเป็นเวลานานๆบ่อยๆ

6. หลีกเลี่ยงการรักษาโดยวิธีการดัดคอหรือบิดหมุนคอ

การดูแลรักษาสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในปัจจุบัน เพราะสาเหตุของโรคต่างๆ ล้วนเกิดจากการไม่ดูแลเอาใจใส่ร่างกายเท่าที่ควร การทำตามคำแนะนำของแพทย์ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกันเพื่อร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

วิธีการป้องกันและดูแลตนเอง...
เมื่อทำงานอยู่ในท่าเดียวนานๆ ควรลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ

ไม่ควรใส่เสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป

ไม่ควรนอนฟูกนิ่มเกินไป ความสูงของหมอนควรพอเหมาะกับคอเพื่อลดการทำงานของคอ อาจใช้หมอนใบเล็กๆ รองใต้บริเวณคอร่วมด้วย

บริเวณคอควรได้รับความอบอุ่น ไม่ควรตากแอร์ ตากลมตรงๆ

ปรับระยะตัวหนังสือที่ต้องอ่านประจำให้อยู่ระดับสายตา เพื่อป้องกันการเกิดคอเคล็ด

ใช้แว่นตาให้เหมาะสมกับสายตา เพื่อป้องกันการขยับคอบ่อยๆ ขณะทำงานและป้องกันการเกิดคอเคล็ด

ไม่ว่าในท่าเดินหรือท่ายืน ศีรษะก็ควรจะอยู่ตั้งตรงบนลำตัว ไม่ควรก้มศีรษะลง
การโน้มศีรษะลงขณะอ่านหนังสือจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอทำงานมากกว่าปกติควรจะยกหนังสือให้ตั้งขึ้นได้ระดับสายตา อาจวางตั้งบนกองหนังสือหรือกล่องก็ได้ ขณะขับรถควรเคลื่อนลำตัวให้ใกล้พวงมาลัย

ไม่ควรสัปหงกขณะนั่งรถ เพื่อป้องกันการเกิดคอเคล็ด

การนวดอย่างนิ่มนวลอาจช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอ

การใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบอาจช่วยลดอาการปวดคอได้ แต่ถ้าจะให้ได้ผลที่ดีกว่า ควรประคบแบบเปียกด้วยผ้าชุบน้ำร้อน

การออกกำลังกายในท่าต่อไปนี้จะลดความตึงตัวของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณคอซึ่งสามารถทำได้ที่บ้านและที่ทำงานวันละ 2-3 ครั้ง และท่าใดที่ต้องก้มศีรษะลงให้ปล่อยขากรรไกรลงให้มากที่สุดพร้อมกับหลับตา และเพื่อให้ได้ผลดีขึ้นให้ทำ 2 แบบแรกอย่างช้าๆ เท่าที่จะทำได้

หมุนศีรษะตามเข็มนาฬิกา 3 ครั้ง และในทางตรงข้ามอีก 3 ครั้ง ทิ้งน้ำหนักของศีรษะลงเต็มที่ในการหมุนแต่ละครั้ง

ก้มศีรษะไปข้างหน้าโดยให้ไหล่อยู่กับที่ แล้วเอียงคอไปมาทางด้านข้างและหงายไปข้างหลังให้มากที่สุด ทำซ้ำ 10 ครั้ง

คอตรงหันศีรษะช้าๆ ไปด้านขวาและซ้าย 10 ครั้ง และทำซ้ำให้เร็วขึ้น

ที่มา www.enwei.co.th

ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก ให้ตรวจเล็บเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่ต้องระวังเพราะสุขภาพของเล็บบอกโรคได้ก่อนอื่นต้องรู้ว่า1.  เล็บที่...
22/05/2025

ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก ให้ตรวจเล็บเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่ต้องระวังเพราะสุขภาพของเล็บบอกโรคได้

ก่อนอื่นต้องรู้ว่า

1. เล็บที่มีสุขภาพดี
เล็บที่มีสุขภาพดีจะมีลักษณะเป็นสีชมพูจาง มีพื้นผิวของเล็บที่เรียบ ไม่มีขรุขระ ผิวหนังรอบๆ เล็บไม่เปื่อยร่น และที่สำคัญคือ เล็บไม่หนาและไม่บางมากเกินไป

2. เล็บที่ผิดปรกติ
เล็บผิดปรกติคือเล็บที่มีลักษณะแปลกไปจากที่กล่าวมา โดยอาจมีลักษณะบาง มีฝ้าหรือผิวโดยรอบไม่เรียบ ขรุขระ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดการติดเชื้อ เกิดการระคายเคืองจากสารเคมี หรือเกิดจากโรคอื่นๆ ที่มีผลต่อเล็บ ซึ่งมีลักษณะผิดปกติหลากหลายแบบ

1. เล็บหนามากเกินไป
การมีเล็บที่หนาผิดปกติอาจเสี่ยงต่อการเป็น โรคเชื้อรา ยิ่งไปกว่านั้นอาจพบอาการร่วมอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เล็บอาจมีสีเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาว ผิวเล็บและส่วนปลายเล็บอาจมีความขรุขระ ที่สำคัญคืออาจเสี่ยงต่อการเป็น โรคสะเก็ดเงินเนื่องจากโรคนี้อาจทำให้เล็บหนาหลายเล็บ ตรงข้ามกับโรคเชื้อราที่เป็นเพียง บางเล็บเท่านั้น

2. เล็บบางกว่าปกติ
เล็บบางกว่าปรกติอาจเกิดจากโรคโลหิตจาง เนื่องจากขาดธาตุเหล็ก โดยเล็บจะมีลักษณะบางและแอ่นคล้ายช้อน รวมถึงในผู้สูงอายุก็อาจมีเล็บที่บางและเปราะแตกง่ายตรงบริเวณปลายเล็บได้

3. เล็บมีพื้นผิวขรุขระ
เล็บที่มีพื้นผิวขรุขระเป็นอาการที่พบได้ค่อนข้างบ่อยเลยก็ว่าได้ครับ โดยบริเวณผิวของเล็บจะเป็นหลุมเล็กๆ แล้วถ้าเป็นหลายเล็บก็อาจบ่งบอกถึงโรคสะเก็ดเงินหรือโรคภูมิแพ้ อาการดังกล่าวอาจพบได้ในเด็กบางรายโดยที่ไม่มีสาเหตุ บางกรณีอาจมาจากอาการเจ็บป่วย ซึ่งอาจพบเล็บเป็นร่องลึกตามแนวขวางจากการที่เล็บมีการสร้างเล็บผิดปกติขณะป่วยได้

4. ผิวหนังรอบเล็บบวมแดง
อาการผิวหนังรอบเล็บบวมแดงพบได้ในผู้ที่สัมผัสกับน้ำบริเวณผิวหนังรอบเล็บบ่อย โดยอาจมีการเปื่อยยุ่ย ทำให้เกิดการระคายเคืองจากสารเคมีได้ง่าย เช่น สารเคมีจากน้ำยาล้างจาน สารเคมีจากน้ำยาทำความสะอาดบ้าน บางครั้งก็อาจเกิดการติดเชื้อราตามมาได้ ผู้ป่วยบางคนอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณผิวหนัง ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังรอบเล็บบวมแดงและมีหนองร่วมด้วย

5. เล็บเปลี่ยนสี
เล็บที่เปลี่ยนสีอาจมีสาเหตุมาจากโรคทางกายที่มีผลกับสีของเล็บ เช่น เล็บมีสีดำ สาเหตุอาจเป็นเพราะมะเร็งผิวหนัง เชื้อรา การกระแทก ไฝ เล็บเป็นสีดำขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตาม กรณีของมะเร็งผิวหนังก็มีข้อสังเกต กล่าวคือ เล็บที่ดำจะมีลักษณะเป็นปื้นสีดำและสีไม่สม่ำเสมอ เป็นแค่เล็บเดียว มีประวัติเป็นมาไม่นาน และอาจมีผิวหนังที่โคนเล็บเป็นสีดำร่วมด้วย

6. ปลายเล็บร่น
โดยปกติแล้วผิวหนังส่วนปลายจะติดกับเล็บ แต่ถ้าหากมีโรคบางอย่าง เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคไทรอยด์ โรคเชื้อรา โรคผดผื่นผิวหนังอักเสบ รวมถึงมีผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิดก็อาจส่งผลให้ขอบของผิวหนังที่ติดกับเล็บมีการร่นลงได้

ศาสตร์ทางเลือกก็ว่าไว้

1. เล็บขาวซีด อ่อน แบน และบุ๋มเหมือนช้อน มักพบในคนที่เป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งอาจมาจากการขาดธาตุเหล็ก

2. เล็บขาวเป็นแผ่นตรงกลาง เป็นความผิดปกติที่พบในโรคตับ เล็บเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา พบในโรคผิวหนังที่เรียกว่า สะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง

3. เล็บหนากว้างและโค้งมน โค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้น และมีสีออกม่วงคล้ำ พบในผู้ป่วยโรคหัวใจ (ลิ้นหัวใจรั่ว) โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง

4. เล็บเป็นดอกหรือจุดขาว หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์ แสดงว่ามีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยหนัก หรือขาดสารอาหารบางอย่าง ทำให้เซลสร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์

5. เล็บเหลือง ถ้าเป็นบางเล็บบนนิ้วที่ถนัด อาจเป็นสารนิโคตินจากบุหรี่ ที่มาเกาะเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ หรือพบในโรคปอดบางชนิด โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต

6. เล็บเปลี่ยนสีเป็นครึ่งขาวครึ่งชมพู พบในโรคไตบางชนิด

7. เล็บเป็นจุดหรือเส้นสีม่วง เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก พบในโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ โรคตับ โรคขาดวิตามินซี

8. เล็บสีดำ พบในโรคลำไส้ผิดปกติมีจุดดำๆ ตามเนื้อเยื่อของลำไส้ เยื่อบุปาก ริมฝีปาก ส่วนมากขาดวิตามินบี 12 และเล็บที่ออกสีเทาๆ หรือดำคล้ำพบในคนที่ได้รับตัวยาบางชนิดเช่น Phenolphthalein ในยาระบาย และยารักษาโรคมาลาเรีย
อีกส่วนที่หามาปลีกย่อย

เล็บที่มีสีขาว
- เล็บมีสีขาวครึ่งเล็บพบได้ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังเป็นส่วนใหญ่
กรณีที่เล็บมีสีขาวสองในสามของเล็บ โดยทั่วไปสามารถพบได้ในผู้ป่วยที่---เป็นโรคเบาหวาน โรคตับแข็ง โรคหัวใจวาย
- เล็บที่มีสีขาวเป็นแถบขวาง ซึ่งอาจเกิดจากโรคโปรตีนในร่างกายต่ำ เมื่อใช้มือกดไปที่เล็บสีขาวที่เห็นก็จะจางลง

เล็บสั้น คือ วัดความยาวจากโคนถึงปลายเล็บต้องไม่เกิน 10 มม.

เล็บสั้นทุกนิ้ว มีปัญหาสุขภาพทางด้านหัวใจ

เล็บสั้นฐานเล็บแบน ๆ บาง ๆ หัวใจไม่แข็งแรง การไหลเวียนของโลหิตไม่ดี

เล็บสั้นฐานเล็บเรียวแหลมคล้ายสามเหลี่ยม สุขภาพไม่ดีที่เกิดจากไต

เล็บโค้งนูน มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจโรคปอด หรือทรวงอก

เล็บเว้าเข้า จะมีแนวโน้มของโรคโลหิตจาง โลหิตเป็นพิษ ลิ้นหัวใจ

เล็บโค้งงุ้มเข้า เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ เช่น หวัด เจ็บคอ ไอเรื้อรัง ปอด หลอดลมอักเสบ

เล็บเปราะหักง่าย ระวังโรคปวดข้อปวดกระดูก โรคเก๊า

เล็บแตกตามยาว เป็นโรงลำไส้อักเสบในวัยกลางคน

เล็บยาวมาก มีปัญหาสุขภาพปอดและทรวงอก

เล็บส่วนกลางกว้างปลายเล็บกับโคนเล็บแคบ โรงไขสันหลัง

เล็บซ้อน มีความบกพร่องทางสมองเล็บเป็นคลื่น มีอาการทางประสาท เครียด

เล็บมีจุดหรือดอกสีขาว เกิดจากความเครียดมากเกินไป ถ้ามีหลาย ๆ จุดความผักผ่อนมาก ๆ

เล็บขรุขระไม่เรียบ โรคปอดบวม

เล็บขรุขระมีปลายเล็บคดเคี้ยวไม่เรียบ โรคเนื้องอก

เครดิตภาพเวปพันทิป

คุณรู้หรือไม่   รู้เท่าทันแมลงร้าย: ที่คุณควรรู้!======เคยสงสัยไหมว่ารอยกัดปริศนาบนผิวหนังของคุณมาจากอะไร? การแยกแยะชนิด...
20/05/2025

คุณรู้หรือไม่ รู้เท่าทันแมลงร้าย: ที่คุณควรรู้!
======
เคยสงสัยไหมว่ารอยกัดปริศนาบนผิวหนังของคุณมาจากอะไร? การแยกแยะชนิดของแมลงที่กัดต่อยเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการดูแลรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว มาดูกันว่ารอยกัดจากแมลงแต่ละชนิดมีลักษณะอย่างไรบ้าง:

• ยุง: มักทิ้งรอยนูนแดง คัน และมีขนาดเล็ก มักพบบริเวณแขนขาที่อยู่นอกร่มผ้า
• มด: รอยกัดเป็นตุ่มแดงเล็กๆ มีอาการคันและปวดเล็กน้อย บางชนิดอาจทำให้เกิดตุ่มน้ำใส
• เห็บ: มักพบเห็บเกาะติดอยู่บนผิวหนัง เมื่อถูกกัดจะเกิดรอยแดง บวม และคัน บางครั้งอาจมีอาการปวด
• ตัวเรือด: รอยกัดเป็นตุ่มแดง คัน มักพบบริเวณที่ตัวเรือดเข้าถึงได้ง่าย เช่น ตามแนวเสื้อผ้า หรือบริเวณที่นอน มักพบรอยกัดเป็นแนวหรือกลุ่ม
• แมงป่อง: การถูกแมงป่องต่อยจะทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง บริเวณที่ถูกต่อยจะบวมแดง อาจมีอาการชาหรือรู้สึกซ่าๆ ร่วมด้วย
• ผึ้ง: เหล็กในจะฝังอยู่ในผิวหนัง ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง และคันบริเวณที่ถูกต่อย
• หมัด: รอยกัดเป็นตุ่มแดงเล็กๆ คันมาก มักพบบริเวณข้อเท้าหรือขา
• แมงมุม: รอยกัดมีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของแมงมุม บางชนิดอาจทิ้งรอยแดงเล็กๆ คันเล็กน้อย ในขณะที่บางชนิดอาจทำให้เกิดอาการปวด บวมแดง และเป็นตุ่มน้ำใส
• ตัวต่อ: การถูกตัวต่อต่อยจะทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง บวม แดง และคันบริเวณที่ถูกต่อย ไม่มีเหล็กในฝังอยู่ในผิวหนัง

Cr

เค็มเหมือนเกลือ? แต่ “เกลือ” ไหนล่ะหากใครกำลังคิดว่าเกลือก็คือเกลือ แค่มีรสชาติเค็ม ๆ แล้วก็ใช้ปรุงอาหารเหมือนกันทุกชนิด...
16/05/2025

เค็มเหมือนเกลือ? แต่ “เกลือ” ไหนล่ะ
หากใครกำลังคิดว่าเกลือก็คือเกลือ แค่มีรสชาติเค็ม ๆ แล้วก็ใช้ปรุงอาหารเหมือนกันทุกชนิด อาจจะต้องเปลี่ยนมุมมองบ้างแล้ว เพราะจริงอยู่ที่ว่า “เกลือ” เป็นเครื่องปรุงคู่ครัวที่ช่วยเสริมรสชาติของอาหารทุกจาน แต่ว่าเกลือบางชนิดนั้นก็เหมาะกับการนำไปใช้งานในแต่ละจุดประสงค์ที่ต่างกัน เพื่อที่จะได้เข้าถึงซิกเนเจอร์ความเค็มให้ถึงที่สุด!
(1) ความเหมือนที่แตกต่าง
ไม่ใช่มุนิน มุตานะคะน้องนก แต่ความเหมือนที่แตกต่างที่ว่าคือ “ชนิดของเกลือ” ต่างหาก หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเกลือเม็ดขาว ๆ ที่เห็นอยู่ในครัวมาตั้งแต่เราเด็ก ๆ จะมีพี่น้องเครือญาติด้วย ก็กินแล้วเค็ม ๆ เหมือนกันอะเนอะใครจะไปแยกออก แต่ในเมื่อรู้แล้วว่ามี! งั้นเรามาดูกันดีกว่า ว่าเกลือชนิดไหนเหมาะจะใช้กับอะไรบ้าง?
(2) เรียกให้ถูก : เค็มแบบเกลืออะไร?
“กระบี่อยู่ที่ใจ แม้กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน” เหมือนกับเกลือ ที่แม้จะดูเป็นส่วนประกอบเล็กๆ ที่ให้ความเค็ม แต่สามารถเปลี่ยนความธรรมดาของอาหารบ้าน ๆ ให้กลายเป็นอาหารรสเลิศได้เลยแบบไม่ได้โม้ เพียงแค่รู้จักการเลือกใช้เกลือในแต่ละชนิดให้ถูกต้อง
เกลือบริโภค (Table Salt)
เกลือชนิดนี้นิยมใช้กันมากที่สุดในการปรุงอาหาร ลักษณะร่วนแห้ง เนื้อละเอียด มีขนาดผลึกที่สม่ำเสมอ และมีสีขาวสะอาดเพราะผ่านกระบวนการกำจัดสิ่งสกปรกออกไปจนหมดแล้ว มั่นใจได้ว่าเค็มอร่อย สะอาด ปลอดภัย เหมาะสำหรับนำมาใช้ปรุงอาหารทั่วไป ต้ม ผัด แกง หมักเอาอยู่ทุกเมนูบนโต๊ะอาหาร
และเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเมื่อเห็นคำว่า “เกลือบริโภค” ก็มักจะเจอคำว่า “เสริมไอโอดีน” ต่อท้ายเสมอ นั่นก็เพราะไอโอดีนเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับไอโอดีนที่เป็นแร่ธาตุจำเป็นสำหรับร่างกายอย่างเพียงพอในแต่ละวันนั่นเอง
เกลือสมุทร (Sea Salt)
หรือมีอีกชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงแหล่งที่มาว่า “เกลือทะเล” แค่ฟังชื่อก็รู้สึกเค็มไปถึงลิ้นปี่แล้ว เพราะเป็นเกลือที่ได้มาจากการระเหยของน้ำทะเล จึงมีความเค็มสูงมากแบบไม่ต้องสืบ
แต่น้ำทะเลเค็มต่างกันฉันใด เกลือทะเลก็เค็มต่างกันฉันนั้น ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุในน้ำทะเลแต่ละแห่งล้วน ๆ บางแห่งก็ให้ผลผลิตเกลือที่เค็มอมหวาน หรือเค็มปนขมก็มี จึงนิยมนำมาใช้โรยตกแต่งจาน แต่ด้วยความที่มีราคาไม่แพงรองจากเกลือบริโภค แถมยังมีให้เลือกทั้งแบบหยาบและแบบป่นละเอียด บางบ้านจึงมักหยิบใช้มาโรยปรุงอาหารทั่วไปด้วยเช่นกัน
เกลือเกล็ด (Flake Salt)
เค็มนัว ๆ เค็มแบบไม่เปลี่ยนรสสัมผัสของอาหารต้องยกให้ “เกลือเกล็ด” หรือเกลือที่มีผลึกแบนคล้ายกับพีระมิดให้เป็นตัวตึงเรื่องนี้เลย ด้วยความที่เกลือชนิดนี้เกาะติดกับอาหารได้ดีไม่ว่าจะผัก ปลา เนื้อสัตว์ แถมยังละลายเร็วกว่าเกลือชนิดอื่นช่วยเพิ่มรสชาติ จึงนิยมนำมาใช้ผสมในเครื่องเทศเพื่อเพิ่มความอร่อยนัว หรือใช้เป็นเกลือโรยหน้าบนอาหารและขนมก่อนนำไปนึ่งหรืออบ
เกลือโครเชอร์ (Kosher Salt)
มือใหม่หัดเข้าครัวอาจต้องเลี่ยง “เกลือโครเชอร์” ไปก่อน ถ้ามือไม่นิ่งพอ เพราะใส่นิดเดียวก็เค็มแล้ว แต่เดิมเกลือชนิดนี้ตามประเพณีของชาวยิวมักจะนำมาใช้โรยบนเนื้อสัตว์เพื่อดูดความชื้นออก เป็นการหมักถนอมอาหารอย่างหนึ่ง
ปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเกลือปกติ และโรยบนเนื้อสเต๊ก แม้จะแอบละลายช้ากว่าเกลือบริโภค แต่ก็ให้ความเค็มที่อร่อยพอ ๆ กันเลย ถึงเม็ดเกลือจะหยาบและใหญ่กว่าหลายเท่าก็ตาม หรือจะใช้ปาดตกแต่งแก้วเครื่องดื่มก็ช่วยชูรสไปได้อีกแบบ
เกลือหิน (Rock Salt)
เกลือที่เกิดมาเพื่อใช้ในการหมักดองโดยเฉพาะ เพราะผลึกเกลือมีขนาดใหญ่ สำคัญเลยคือละลายช้ากว่าเกลือชนิดอื่น จึงไม่เหมาะกับการนำมาปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน
เกลือหิมาลัยสีชมพู (Himalayan Pink Salt)
แม้แต่เกลือยังติดแกลม เกลือหิมาลัยสีชมพูของดีจากปากีสถาน และพบได้มากบนเทือกเขาหิมาลัย จุดเด่นคือสีชมพูและรสชาติเค็มอ่อน ๆ ติดหวานเล็กน้อย เนื่องจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากถึง 84 ชนิด สายสุขภาพน่าจะรู้จักเกลือชนิดนี้เป็นอย่างดี ด้วยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง นิยมนำมาใช้ปรุงอาหารทั่วไป อบขนม และโรยหน้าอาหาร
เกลือฮาวาย (Hawaiian Salt)
แม้ในไทยจะไม่ค่อยใช้เกลือชนิดนี้มาปรุงอาหารอย่างแพร่หลาย แต่สำหรับชาวฮาวายแล้ว นี่ถือเป็นหนึ่งใน “วัตถุดิบหลักสำหรับปรุงอาหารทะเล” ด้วยซ้ำไป โดยเกลือฮาวายนี้จะมีสีสันต่างกันไป เช่น เกลือฮาวายสีดำ (Black Hawaiian Salt) และ เกลือฮาวายสีแดง (Red Hawaiian Salt) รสชาติจะออกแนวเค็มกลมกล่อมแต่อ่อนนุ่ม นิยมนำมาใช้เป็นเกลือโรยหน้าอาหารอย่าง เนื้อสัตว์, อาหารทะเล, หรือผัก แถมยังใช้ในการขนมอบเพื่อเพิ่มรสชาติพิเศษได้อีกด้วย
เกลือรมควัน (Smoked Salt)
จุดเริ่มต้นของ Trust Issue เหตุผลที่เกลือในครัวบ้านไม่หอม ไม่กลมกล่อมเท่าเกลือจากร้านอาหาร อาจเป็นเพราะเกลือของเราไม่เท่ากัน เกลือบริโภคหรือจะไปสู้เกลือที่ผ่านการรมควันจากไม้หอมราคาแพงได้ทั้งไม้แอปเปิลและไม้โอ๊ก เพื่อให้ได้ความหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นิยมนำมาใช้ปรุงรสเนื้อสัตว์ก่อนนำไปย่าง หรือใช้โรยเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมรมควันในสตูว์เนื้อ
เกลือดำ (Black Salt)
ชื่อฟังดูอาจจะแปร่ง ๆ สักหน่อย นึกสงสัยว่าถ้าปรุงใส่อาหารแล้วจะดำเป็นหมึกผัดน้ำดำไหม? แต่ความน่าพิศวงของเกลือชนิดนี้คือเมื่อนำมาบดเป็นผง จากผลึกเกลือสีดำจะกลายเป็นสีม่วงเข้มหรือเทาอมชมพูทันที และยังมีกลิ่นคล้ายไข่ต้มอีก? จึงไม่นิยมนำมาใช้ปรุงอาหารทั่วไป แต่เป็นที่นิยมมากสำหรับอาหารมังสวิรัติ โดยเฉพาะในอาหารอินเดีย
ดอกเกลือ (Fleur de sel)
ปิดท้ายด้วยตัวท็อปในโลกของเกลืออย่างเกลือเฟลอร์ เดอ เซล หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า “ดอกเกลือ” สุดยอดเกลือที่มีราคาแพงเพราะต่อปีผลิตได้น้อยมาก แต่คุ้มค่ากับการตามหาแน่นอน ด้วยรสชาติความเค็มอย่างเป็นเอกลักษณ์ เค็มอมหวาน เค็มเบา ๆ เค็มอ่อน ๆ แต่กลมกล่อมอย่าบอกใคร สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน
"เกลือ" อาจดูเหมือนเป็นแค่เครื่องปรุงพื้นฐานหน้าตาเหมือนกันไปหมด แต่จริงๆ แล้วมีหลายชนิด มีหลายลักษณะมากกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก สำคัญคือถ้าเรารู้วิธีการเลือกใช้เกลือแต่ละชนิดให้เหมาะสมกับคุณสมบัติของมัน ก็อาจจะอัปเกรดรสชาติอาหารให้อร่อยเทียบเท่ากับภัตตาคารได้เลยนะ!
#เกลือ

ใครไม่อยากตื่นกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ โปรดทำความเข้าใจวิธีดื่มน้ำ สังเกตุไหมถ้าดื่มน้ำมากจนปัสสาวะใส ปัสสาวะบ่อยเรามักรู...
21/02/2025

ใครไม่อยากตื่นกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ โปรดทำความเข้าใจวิธีดื่มน้ำ สังเกตุไหมถ้าดื่มน้ำมากจนปัสสาวะใส ปัสสาวะบ่อยเรามักรู้สึกเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ
*********************************
มาดื่มน้ำ และ ปัสสาวะอย่างคนมีความรู้กัน By นพ.อิทธิฤทธิ์

ปัญหาคนยุคนี้ คือ ดื่มน้ำมากเกินไป เป็นเพราะการรณรงค์เรื่อง ดื่มน้ำมากๆ และการขาดความรู้ ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา

วันนี้ขอให้ความรู้กัน จะได้ดื่มน้ำ-ปัสสาวะอย่างผู้มีความรู้

อ่านแยกกันนะครับ ไม่ได้อ่านติดกัน

1. ปัสสาวะเป็นผลจากการกรองเลือดของไต เพื่อนำเอาของเสียหลักคือ ยูเรีย ออกจากเลือด รวมถึงปริมาณน้ำส่วนเกิน

2. ปกติการดื่มน้ำเข้าไป ร่างกายจะกำจัดทิ้งได้หมดประมาณ 4 ชม.

3. การดื่มน้ำที่เหมาะสม คือ ให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเหมาะสม ถ้าได้น้อยไปจะเรียก dehydration

4. วิธีดูว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่ ต้องเอาปัสสาวะมาวัดความถ่วงจำเพาะ หรือ specific gravity ซึ่งในชีวิตประจำวันคงไม่สามารถทำได้

5. ดังนั้นการดูแบบอ้อมๆ ( Indirect ) คือ การดูสีปัสสาวะ ต้องไม่ใส(น้ำเยอะไป) หรือเหลืองเข้ม (ขาดน้ำ)

6. ปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อวันแบบคร่าวๆ คือ น้ำหนักตัว คูณ 30 เช่น ถ้าหนัก 60 กก. น้ำควรได้ประมาณ 1,800 cc / วัน แปลว่า ถ้าคนน้ำหนักตัวเท่านี้ ดื่มน้ำเกินนี้ แปลว่าดื่มน้ำมากเกินไป

7. ถ้าออกกำลังกาย ต้องดื่มน้ำมากกว่านี้ ปริมาณเท่าไหร่? ให้ดูสีปัสสาวะเป็นหลัก

8. กลางคืน “ต้อง” ให้ไตได้พัก ไม่ใช่ดื่มน้ำมากๆก่อนนอน ไตเป็นเหมือนเครื่องกรองน้ำ ถ้าเครื่องกรองน้ำทำงานหนัก ต้องเปลี่ยนไส้กรอง แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ไม่มีไส้กรองให้เปลี่ยน แปลว่าไตจะแย่ลง

9. สีปัสสาวะตอนนี้ มันเป็นผลเมื่อ 3-4 ชม.ก่อน เช่น กลับบ้านเข้าห้องน้ำ เห็นปัสสาวะเข้มมาก แปลว่าเมื่อ 3-4 ชม.ก่อนดื่มน้ำน้อยไป

10. อย่าดื่มน้ำเกินครั้งละ 500 cc ต้องระวังปัญหาเกลือแร่โซเดียมในเลือดเสียสมดุล ซึ่งทำให้สมองบวม เกิดความมึนงง และถ้ามากเกินไปอาจตายได้

11. ถ้ารู้สึกว่าปัสสาวะเข้มแบบขาดน้ำ ใจเย็นๆ แก้ร่างกายขาดน้ำด้วยการ ให้ทยอยๆดื่มน้ำในช่วง 30 นาที อย่าอัดน้ำมากๆครั้งเดียว

12. ปริมาณน้ำขั้นต่ำที่ร่างกายต้องการ คือ ประมาณ 60 cc / ชม.

13. แปลว่าตอนเช้า ควรต้องดื่มน้ำ 60 cc x 8 ชม. = 480 cc (หมายถึง ช่วงกลางคืนทั้งคืนที่ไม่ได้ดื่มน้ำ)

14. แต่..... ตื่นเช้าแล้วอย่าดื่มรวดเดียว ให้ทยอยดื่มในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ไม่ต้องรีบร้อน

15. ถ้าคิดจะไปไหน แล้วไม่อยากปวดปัสสาวะระหว่างเดินทาง คำนวณเวลาดื่มน้ำให้ดี

16. ก่อนนอน 3 - 3.5 ชม. ต้องแทบไม่ดื่มน้ำ เพื่อว่าให้ร่างกายได้เคลียร์น้ำรอบสุดท้ายก่อนนอนให้หมด กลางคืนจะได้หลับรวดทั้งคืน

17. ตัวอย่าง ถ้าต้องการนอน 5 ทุ่ม ประมาณ 2 ทุ่มสามารถดื่มน้ำเยอะหน่อยได้เป็นครั้งสุดท้าย

18. ระหว่าง 3 – 3.5 ชม.ก่อนนอนนั้น ให้ดื่มน้ำไม่เกิน 100 cc

19. คนทั่วไปดื่มน้ำเยอะ หรือดื่มนมก่อนนอน ทำให้ต้องตื่นมาตอนตี 2 ตี 3 และกลับไปนอนต่ออีกครั้งยาก ตาโพลง

20. กระเพาะปัสสาวะเมื่อมีความจุประมาณ 100 cc ก็จะเริ่มปวดปัสสาวะแล้ว เลยเป็นเหตุผลว่า ในช่วง 3 ชม.ก่อนนอน ดื่มน้ำได้นิดหน่อยเท่านั้น เพื่อจะได้หลับยาวทั้งคืน

21. ในผู้หญิง ท่อปัสสาวะมีความยาว 4 ซม. ซึ่งเชื้อแบคทีเรียตามปกติสามารถเดินทางเข้าไปได้ง่าย

22. แปลว่า ทุก 3-4 ชม. ปวดปัสสาวะหรือไม่ ก็ต้องเข้าห้องน้ำเพื่อเคลียร์ปัสสาวะทิ้ง ก่อนที่เชื้อโรคจะเติบโตมากเกินไป แล้วจะกลายเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

23. วิธีดูง่ายๆว่า ดื่มน้ำพอไหม คือ ประมาณ 3-4 ชม.จะต้องปวดปัสสาวะ

24. ถ้าปัสสาวะเร็วกว่า 3 ชม. อาจดื่มน้ำมากไป หากเกิน 4 ชม.แล้วยังไม่ปวดปัสสาวะ น่าจะดื่มน้ำน้อยไป

25. ปริมาณน้ำที่ดื่มต้องลดลง ถ้ากินอาหารที่มีน้ำๆ หรือผักผลไม้ฉ่ำน้ำ มิฉะนั้นจะได้รับน้ำมากเกินไป

Dad Mom and Kids เพื่อครอบครัวที่มีความสุขกว่าเดิม

กรดไหลย้อน ทดลองดูก็ไม่เสียหลายนะภาพนี้คือ ลักษณะท่านอนที่แนะนำในภาพล่าง การนอนตะแคงซ้าย จะเห็นถุงกระเพาะอาหารอยู่ด้านล่...
05/01/2025

กรดไหลย้อน ทดลองดูก็ไม่เสียหลายนะ

ภาพนี้คือ ลักษณะท่านอนที่แนะนำในภาพล่าง การนอนตะแคงซ้าย จะเห็นถุงกระเพาะอาหารอยู่ด้านล่างและน้ำย่อยที่อยู่ ในกระเพาะอาหารลงไปอยู่ด้านล่างซึ่งมีระดับไม่เกินกว่า ท่อของหลอดอาหารที่เชื่อมขึ้นไปสู่ลำคอและปาก

ส่วนภาพด้านบน หากเรานอนตะแคงทับแขนขวาถุงกระเพาะอาหารจะอยู่ส่วนบน แต่ระดับน้ำย่อยจะอยู่ด้านล่างตามในภาพ

ซึ่งเป็นระดับที่กรดในกระเพาะอาหารสามารถไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหารได้
จึงแนะนำไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหารควรมีเวลาให้อาหารได้ลำเลียงจากการบีบตัวของกระเพาะอาหารลงสู่ลำไส้ด้านล่างก่อนประมาณสี่ชั่วโมงเพื่อป้องกัน น้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหาร และการนอนตะแคงทับแขนซ้ายจึงเป็นท่านอนที่แนะนำ
ป้องกันการเป็นกรดไหลย้อน

และการนอนตะแคงซ้ายยังช่วยให้เส้นเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจได้ ดีขึ้นครับ

CR:แชร์ดีดีจากไลน์

👃🏻☔️  มนุษย์ภูมิแพ้หลายคนชอบตื่นเช้ามาแล้วจมูกตัน โดยเฉพาะเช้ามากๆ เพราะมีการสะสมสารก่อภูมิแพ้มาทั้งคืน พอดิบพอดีกับเป็น...
03/01/2025

👃🏻☔️ มนุษย์ภูมิแพ้หลายคนชอบตื่นเช้ามาแล้วจมูกตัน โดยเฉพาะเช้ามากๆ เพราะมีการสะสมสารก่อภูมิแพ้มาทั้งคืน พอดิบพอดีกับเป็นช่วงที่ cortisol ยังต่ำอยู่ ทำให้ mast cell โดนยับยั้งเบาลง มันเลยอาละวาดได้แรงขึ้น

ปัญหาของคนที่เป็นภูมิแพ้คือ ภูมิคุ้มกันจดจำแบบผิดๆ ไปแล้วว่าสารก่อภูมิแพ้คือเชื้อโรค ทั้งๆ ที่สารพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เม็ดเลือดขาวมายุ่งเลย เดี๋ยวจมูกก็เคลียร์ออกไปเอง ตัวอย่างสารสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยคือมูลไรฝุ่น

ดังนั้นเม็ดเลือดขาวที่ชื่อ Mast cell ซึ่งเป็นตัวหลักที่ทำให้อาการแพ้ มักมารอที่ผนังของโพรงจมูกเรียบร้อยแล้ว โดยมีแอนติบอดีชนิด IgE ปักอยู่บนผิวมัน เปรียบเสมือนเซนเซอร์ที่รอคอยสารก่อภูมิแพ้ให้มาจับแล้ว

ถ้ามีสารนั้นมาจับที่เซนเซอร์ เม็ดเลือดขาว Mast cell ก็จะเทกระหน่ำสารก่ออักเสบจำนวนมากออกมา เช่น
▪️Histamine: มากระตุ้นเซนเซอร์ที่โพรงจมูกให้ไวมากขึ้น ทำให้เกิดการจามง่ายขึ้น เกิดสัญญาณประสาทกระตุ้นการหลั่งน้ำมูกง่ายขึ้น
▪️VEGF/FGF2: ร่วมกับ histamine ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด และทำให้เลือดมาเลี้ยงผนังโพรงจมูกมาด้วย พร้อมกับทำให้น้ำรั่วออกมา จมผนังบวม ตีบโพรงจมูก
▪️Leukotriene: เรียกเหล่าเม็ดเลือดขาวกองเสริมเข้ามา เช่น eosinophil มาทำร้ายเยื่อบุผิวในจมูก

ทั้งหมดทั้งปวงจึงทำให้น้ำมูกไหล แน่นจมูก หายใจไม่ออก มีจมูกเหมือนไม่มี หายใจทางปากพะงาบๆ ถ้าล้มตัวลงนอนก็ยิ่งแน่น แถมน้ำมูกย้อยไหลลงคอ ทรมานสุดๆ

ถามว่าถ้าเราหลับไปแล้ว กลไกนี้ยังเกิดมั้ย?
คำตอบคือยังเกิดค่ะ แต่ที่เราไม่ตื่นขึ้นมา เพราะว่า
▪️การนอนหลับ กดการวงจรประสาท reflex หลายชนิด รวมทั้งการจามด้วย
▪️แม้จมูกจะแน่นเรื่อยๆ ยังคงหายใจได้ เพราะสมองให้ใช้ปากหายใจโดยอัตโนมัติ

ดังนั้นระหว่างนอน จะมีการสะสมสารก่อภูมิแพ้ไปเรื่อยๆ ค่ะ ยิ่งแพ้สารในห้อง (Indoor pollution) อย่างมูลไรฝุ่น ยิ่งเห็นชัด หรือแพ้สารภายนอก เช่น ละอองเกสรดอกไม้แล้วเปิดหน้าต่างไว้

ทำให้พอตื่นขึ้นมา พ้นจากการนอนแล้ว ถึงจะมารับรู้ว่าโพรงจมูกได้ผ่านศึกสงครามมาตลอด คือบรรดาเม็ดเลือดขาว Mast cell ระดมปล่อยสารก่ออักเสบจนจมูกบวมแน่นเลย

แถมตอนเช้ามากๆ มีฮอร์โมน cortisol (Glucocorticoid ในภาพ) ต่ำด้วย ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาว Mast cell และตัวอื่นๆ อีกมาก ทำให้ Mast cell ยิ่งอาละวาดได้หนัก ปลดปล่อยสารก่ออักเสบรุนแรงได้ค่ะ

(Cortisol จะค่อยๆ หลั่งมากขึ้น จนสูงสุดที่ประมาณ 9:00 เช้า)

ดังนั้นหลายคนมักจะมีอาการกำเริบตอนเช้านั่นเอง

ภูมิแพ้เป็นโรคที่รบกวนชีวิตประจำวันมาก

หมั่นล้างโพรงจมูกด้วยน้ำเกลือทุกวัน ให้ดีก็เช้าเย็นเลย เพื่อเคลียร์สารก่อภูมิแพ้ และเคลียร์สารคัดหลั่ง ทำให้จมูกโล่งด้วย

กินยาแก้แพ้เมื่อมีอาการเริ่มแรงขึ้น หากกลัวเรื่องง่วง ให้เลือกรุ่นที่ง่วงน้อยค่ะ

ในคนที่เป็นทุกวัน ควรควบคุมอาการโดยยาพ่นจมูกสเตียรอยด์ทุกวัน

หลีกเลี่ยงการใช้ยาพ่นลดบวม (ไอที่พ่นแล้วโล่งภายในเวลาแป๊บเดียวอะ) ถี่ๆ ยกเว้นว่ามันแน่นจริงๆ และไม่ควรใช้ติดกันเกิน 3-5 วัน เพราะโยโย่เอฟเฟ็คแรง

สุดท้ายคือพบแพทย์รักษาเป็นกิจลักษณะดีกว่าค่ะ สามารถตรวจ Skin test เพื่อดูได้ว่าแพ้อะไร ถ้ารู้ตัวการและเลี่ยงได้ ก็จะเป็นประโยชน์มาก

โดยทั่วไป เรามักจะได้ยินคำว่า "เกิดมาครบ 32" กันจนชิน แต่รู้มั้ยว่า จริงๆ แล้วมนุษย์เราไม่ได้มีอวัยวะเพียง 32 ชิ้นเท่านั...
30/12/2024

โดยทั่วไป เรามักจะได้ยินคำว่า "เกิดมาครบ 32" กันจนชิน แต่รู้มั้ยว่า จริงๆ แล้วมนุษย์เราไม่ได้มีอวัยวะเพียง 32 ชิ้นเท่านั้น

ตามหลักสากลโดยทั่วไป อวัยวะมีทั้งหมด 78 ชิ้น ซึ่งในที่นี้นับกระดูกและฟันเป็นอย่างละ 1 ชิ้น แต่ถ้าหากนับฟันทุกซี่และกระดูกทุกชิ้นแบบแยกส่วนรวมกับอวัยวะอื่นๆ มนุษย์จะมีอวัยวะรวมเป็น 315 ชิ้น ซึ่งจำนวนนี้อันนี้ยังไม่แบ่งย่อยเส้นเอ็นส่วนต่างๆ ในร่างกายด้วยซ้ำ สำหรับหลักการนับก็อาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่านับแบบหลักการแพทย์ด้านใดด้วย

อย่างไรก็ดี อวัยวะบางชิ้นอาจไม่ได้สำคัญต่อการดำรงชีวิตขนาดนั้น หากขาดหายไปก็ยังดำรงชีวิตต่อได้ แต่ในทางกายวิภาค มีอยู่ 5 อวัยวะหลักสำคัญที่สุด ซึ่งถ้าหากขาดหายไปหรือหยุดทำงาน ก็เท่ากับตายสถานเดียว นั่นก็คือ สมอง, หัวใจ, ตับ, ปอด และ ไต (อย่างน้อย 1 ข้าง)

แล้วตัวเลข 32 มาจากไหน?
สำหรับ "เกิดมาครบ 32" จำนวนนี้มาจาก "อาการ 32" หากอ้างตามตำราแพทย์แผนไทย และอิทธิพลจากความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธ ซึ่งจะมีการแบ่งร่างกายมนุษย์ออกเป็น 4 ธาตุ ได้แก่ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ

แต่อาการ 32 จะเป็นการนับเฉพาะธาตุที่สามารถจับต้องได้เท่านั้น นั่นก็คือ ธาตุดิน 20 ประการ และ ธาตุน้ำ 12 ประการ รวมเป็น 32 นั่นเอง โดยจะไม่นับธาตุที่จับต้องไม่ได้อย่าง ลม และ ไฟ

โดย ธาตุดิน ก็จะเป็นอวัยวะในหมวดของเเข็งอย่างเช่น ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, ตับ, ไต และ ธาตุน้ำ ก็จะเป็นหมวดของเหลวอย่างเช่น น้ำดี, น้ำเหลือง, เหงื่อ, น้ำลาย เป็นต้น

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพูดถึง "ครบ 32 ประการ" ตามหลักพระพุทธศาสนา ระบุว่ามาจากการฝึกจิตในหัวข้อ กายคตาสติ คือให้ระลึกถึงส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เรียกว่า โกฏฐาส 32 ประการ ได้แก่ ปฐวีธาตุ เป็นอาการ 20 และ อาโปธาตุ เป็นอาการ 12

ซึ่ง ปฐวีธาตุ อาการ 20 มีดังนี้
เกสา-ผม, โลมา-ขน, นะขา-เล็บ, ทันตา-ฟัน, ตะโจ-หนัง, มังสัง-เนื้อ, นะหารู-เอ็น, อัฏฐิ-กระดูก, อัฏฐิมิญชัง-เยื่อในกระดูก, วักกัง-ม้าม, หะทะยัง-หัวใจ, ยะกะนัง-ตับ, กิโลมะกัง-พังผืด, ปิหะกัง-ไต, ปัปผาสัง-ปอด, อันตัง-ไส้ใหญ่, อันตะคุณัง-ไส้น้อย, อุทะริยัง-อาหารใหม่, กะรีสัง-อาหารเก่า (อุจจาระ), มัตถะลุงคัง-มันสมอง

ส่วน อาโปธาตุ อาการ 12 มีดังนี้
ปิตตัง-น้ำดี, เสมหัง-เสมหะ, ปุพโพ-น้ำเหลือง, โลหิตัง-น้ำเลือด, เสโท- เหงื่อ, เมโท-มันข้น, อัสสุ-น้ำตา, วะตา-มันเหลว, เขโฬ-น้ำลาย, สิงคาณิกา-น้ำมูก, ละสิกา-น้ำไขข้อ, มุตตัง-มูตร (ปัสสาวะ)

นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 ทฤษฎีที่บอกว่า "เกิดมาครบ 32 ก็คือมีอวัยวะภายนอกครบ 32 ไง" แค่นั้นเลยง่ายๆ นั่นก็คือ ตา 2, หู 2, จมูก 1, ปาก 1, แขน 2, ขา 2, มือ 2, นิ้วมือ 10 และ นิ้วเท้า 10 นั่นเอง

.com

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66(0) 81 8063661

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Rio Health and Devicesผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Rio Health and Devices:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

เภสัชวัตถุ

“อาหารเป็นยา ยามิใช่อาหาร”