สุขและสวย โดย ภูมิสมดุล

สุขและสวย โดย ภูมิสมดุล สุขและสวยโดยภูมิสมดุล หรือ bim100 ออกอา? สุขและสวยโดยภูมิสมดุล ออกอากาศทง ช่อง5 ซึ่งรู้จักในนาม bim100 หรือ บิม100 ช่วยเรื่องโรคร้ายแรงต่างๆ

รู้หรือไม่ คนที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนทั่วไปถึง 50%สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเ...
20/06/2019

รู้หรือไม่ คนที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนทั่วไปถึง 50%
สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุจภาพ ปรึกษาโทร.081-2964826
หนึ่งในสาเหตุที่เราจะเป็นมะเร็งได้นั้นคือ การถ่ายทอดเซลล์ที่ผิดปกติผ่านทางไข่ของแม่ หรือสเปิร์มของพ่อ ซึ่งเซลล์ผิดปกติดังกล่าวสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้เรื่อย ๆ หากครอบครัวไหนมีผู้ป่วยโรคมะเร็ง ก็เป็นไปได้ว่าสมาชิกในครอบครัวก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งด้วยเช่นกัน
โอกาสที่คนจะเป็นมะเร็งที่เกิดจากพันธุกรรมนั้นจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วยเช่นกัน ถ้ามีสิ่งเร้าภายนอกไปกระตุ้น คนกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าคนทั่วไปถึง 50% ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งสูง
ดังนั้น ถึงแม้เราจะยังมีสุขภาพดีในตอนนี้ แต่หากมีพ่อแม่ หรือคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคมะเร็ง ก็ควรเข้าใจความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งจากพันธุกรรม ควรป้องกัน และลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้มะเร็งมาทำร้ายร่างกายของเราได้นะครับ

อาการและการบรรเทา  #โรคกรดไหลย้อน ควรกินอะไร และจะป้องกันอย่างไร? เพื่อให้หายจากโรคนี้ได้สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิต...
15/06/2019

อาการและการบรรเทา #โรคกรดไหลย้อน ควรกินอะไร และจะป้องกันอย่างไร? เพื่อให้หายจากโรคนี้ได้
สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพโทร.081-2964826,
ปัจจุบันพบว่าคนส่วนมากมีอาการของโรคกรดไหลย้อน กันมากขึ้น สาเหตุหลักๆ คงมาจากการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันนั่นเอง โรคกรดไหลย้อน คือภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะไหลย้อนเข้ามาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบ

สาเหตุของกรดไหลย้อน Hiatus hernia (คือโรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้นเข้าไปในกำบังลม)

ดื่มสุรา
อ้วน
ตั้งครรภ์
สูบบุหรี่
อาหารรสเปรี้ยว เผ็ด อาหารมักดอง อาหารมัน อาหารย่อยยาก
ทานอาหารมากจนอิ่มเกินไป
ช้อกโกแลต กาแฟ น้ำอัดลม
คนเครียด
อาหารมัน ของทอด
หอมกระเทียม
มะเขือเทศ�
#อาการของกรดไหลย้อน

อาการทางหลอดอาหาร
- อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้นปี่ที่เรียกว่าร้อนใน (heart burn) บางครั้งอาจจะร้าวไปที่คอได้
- รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ
- กลืนลำบาก หรือกลืนแล้วเจ็บ
- เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า
- รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือมีรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก
- มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคอตลอดเวลา
- เรอบ่อย คลื่นไส้
- รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย

#อาการทางกล่องเสียง และปอด�
- เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติจากเดิม
- ไอเรื้อรัง
- ไอ หรือ รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน
- กระแอมไอบ่อย
- อาการหอบหืดแย่ลง
- เจ็บหน้าอก
- เป็นโรคปอดอักเสบเป็นๆหายๆ

#การรักษากรดไหลย้อน

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม�
- ลดน้ำหนัก สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูงทำให้กรดไหลย้อนได้มาก
- งดบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก และหูรูดอ่อนแรง
- ใส่เสื้อหลวมๆ
- ไม่ควรจะนอน ออกกำลังกาย หรือยกของหนักหลังออกกำลังกาย
- งดอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง
- งดอาหารมันๆ อาหารทอด อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ช้อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ เผ็ด เปรี้ยว เค็มจัด
- รับประทานอาหารพออิ่ม
- หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา
- นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะเพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง
- รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ
- ควรจะเข้านอนหรือเอนกายหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
- ผ่อนคลายความเครียด

รักษาด้วยยา

- Antacids เป็นยาตัวแรกที่ใช้ สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่มาก

- ใช้ยา proton pump inhibitor ซึ่งเป็นยาที่ลดกรดได้เป็นอย่างดีอาจจะใช้เวลารักษา1-3 เดือน เทื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ก็อาจจะลดยาลงได้ยาที่นิยมใช้ได้แก่ omeprazole , lansoprazole , pantoprazole , rabeprazole, และ esomeprazole�
- หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ทำให้กระเพาะหลั่งกรดมาก หรือทำให้หูรูดหย่อน เช่น ยาแก้ปวด aspirin NSAID VITAMIN C

ที่มา...siamhealth.net

โรคและการป้องกันกับ" #โรคไทรอยด์" ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ที่อย่ามองข้ามสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแล...
06/06/2019

โรคและการป้องกันกับ" #โรคไทรอยด์" ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ที่อย่ามองข้าม
สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพ ปรึกษาโทร.081-2964826
ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย แต่หลายคนก็ไม่รู้ว่าต่อมไทรอยด์ทำหน้าที่อะไร รวมถึงความสำคัญของอวัยวะส่วนนี้ ทั้ง ๆ ที่ต่อมไทรอยด์ก็มีอิทธิพลกับสุขภาพของเรามากพอสมควร

ถ้าไม่เกิดความผิดปกติขึ้นกับร่างกาย ก็เชื่อว่าเราแทบจะทุกคนคงไม่นึกถึงอวัยวะที่อยู่ข้างในร่างกายของตัวเอง อย่างต่อมไทรอยด์นี่ก็เหมือนกัน ที่หลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อมไร้ท่อต่อมนี้อยู่ส่วนไหนของร่างกาย ดังนั้นเพื่อความกระจ่างแจ้งในร่างกายของเราเอง วันนี้มาทำความรู้จักต่อมไทรอยด์แบบเจาะลึกกันค่ะ

#ต่อมไทรอยด์ คืออะไร

ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีลักษณะคล้ายผีเสื้อ ต่อมไทรอยด์จะอยู่บริเวณส่วนหน้าของลำคอ ใต้ลูกกระเดือกลงมาราว ๆ 1-2 เซนติเมตร

ต่อมไทรอยด์ทำหน้าที่อะไร

หน้าที่ของต่อมไทรอยด์คือสร้างฮอร์โมน โดยอาศัยไอโอดีนจากอาหารที่กินเข้าไปเป็นวัตถุดิบ และนอกจากสร้างฮอร์โมนแล้ว ต่อมไทรอยด์ยังทำหน้าที่หลั่งไทรอยด์ฮอร์โมนออกมาสู่กระแสเลือด เพื่อควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย อุณหภูมิของร่างกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ระดับไขมันในเลือด ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง รวมทั้งอารมณ์และความรู้สึก ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม

นั่นหมายความว่าไอโอดีนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรามากค่ะ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร ถ้าขาดไอโอดีนลูกในครรภ์อาจมีความพิการทางสมอง หรือมีโรคไทรอยด์ติดตัวได้เลย ดังนั้นหากไม่อยากเสี่ยงต่อโรคไทรอยด์ เราก็ควรให้สารไอโอดีนกับร่างกายของเราอย่างเพียงพอ โดยผู้ใหญ่ควรได้รับไอโอดีน 150 ไมโครกรัมต่อวัน สำหรับหญิงมีครรภ์ควรได้รับไอโอดีน 175 ไมโครกรัมต่อวัน หญิงให้นมบุตรควรได้รับไอโอดีน 200 ไมโครกรัมต่อวัน เด็กแรกเกิด-6 เดือนควรได้รับไอโอดีน 40 ไมโครกรัมต่อวัน เด็กอายุ 6 เดือน-6 ปี ควรได้รับไอโอดีน 50-90 ไมโครกรัมต่อวัน และเด็กวัยเรียนควรได้รับไอโอดีน 120 ไมโครกรัมต่อวัน

ทั้งนี้เราสามารถเติมสารไอโอดีนให้ร่างกายได้จากอาหารหากินง่ายที่คุ้นเคย ยกตัวอย่างอาหารที่มีไอโอดีนสูงก็อย่างเช่น สาหร่ายทะเล (100 กรัม) มีไอโอดีน 200 ไมโครกรัม, ปลาทะเล (100 กรัม) มีไอโอดีน 50 ไมโครกรัม, เกลือเสริมไอโอดีนคุณภาพดี 1 ช้อนชา (5 กรัม) มีไอโอดีน 150-200 กรัม หรือจะเป็นอาหารทะเล น้ำปลาเสริมไอโอดีน ซีอิ๊วขาวเสริมไอโอดีน บะหมี่เสริมไอโอดีน ไข่สดเสริมไอโอดีน เหล่านี้ก็มีปริมาณสารไอโอดีนอยู่พอสมควรเช่นกันค่ะ

ถ้าต่อมไทรอยด์ผิดปกติ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หากต่อมไทรอยด์ไม่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติได้ ร่างกายก็จะเกิดความผิดปกติขึ้น เช่น คอพอก คอพอกเป็นพิษ เนื้องอกของต่อมไทรอยด์ ต่อมไทรอยด์อักเสบ และมะเร็งต่อมไทรอยด์ เป็นต้น

ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ สาเหตุมาจากอะไร

ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่มักจะพบว่ามีสาเหตุมาจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน ที่กระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนมากเกินหรือน้อยเกินไป ก่อให้เกิดความผิดปกติต่อร่างกายในเวลาต่อมา ซึ่งภาวะความผิดปกติของต่อมไทรอยด์จะพบในเพศหญิงบ่อยกว่าเพศชาย และพบว่าผู้ป่วยบางรายมีญาติพี่น้องเป็นต่อมไทรอยด์ผิดปกติด้วยเช่นกัน

ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์มีอะไรบ้าง

1. ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (ไฮโปไทรอยด์)

ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ (hypothyroidism) เป็นภาวะความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ที่พบได้บ่อย โดยเป็นภาวะขาดฮอร์โมนต่อมไทรอยด์อันเนื่องมาจากการทำงานของไทรอยด์ต่ำ หรือไม่มีต่อมไทรอยด์ สาเหตุอาจเกิดจากไทรอยด์อักเสบแบบ Hashimoto’s ซึ่งเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง ( disorder) ชนิดหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกจะกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงานมากกว่าปกติ แล้วจากนั้นก็จะทำงานต่ำลงกว่าปกติเพราะต่อมถูกทำลาย เป็นผลให้ฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ถูกผลิตขึ้นมาไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น เป็นผลแทรกซ้อนจากการรักษาโรคคอพอกเป็นพิษ, การฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งที่บริเวณคอ หรือถ้าในเด็กเล็กอาจเกิดจากภาวะขาดไอโอดีนในแม่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ทำให้ต่อมไทรอยด์เจริญไม่ได้เต็มที่

2. ไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ ( )

อาจเรียกว่า ไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากความผิดปกติที่ทำให้เนื้อเยื่อไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ ทำให้มีการสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ขึ้นมามาก และทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติไปด้วย โรคนี้มีคนเป็นน้อยกว่าไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติ แต่ก็สร้างปัญหาได้พอ ๆ กัน เพราะเป็นสาเหตุทำให้เกิดหัวใจล้มเหลวแบบเลือดคั่ง (congestive heart failure),โรคกระดูกพรุน และเกิดภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานเต็มขั้น และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคคอพอกตาโปน (Graves’disease) อีกด้วย

3. ต่อมไทรอยด์อักเสบ ( )

ต่อมไทรอยด์อักเสบ สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด ซึ่งมีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกัน แต่ที่พบได้บ่อยคือ

- ต่อมไทรอยด์อักเสบจากเชื้อไวรัส ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสได้หลายชนิด (รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม) มักพบในคนอายุ 20-40 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

- ต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรังจากออโตอิมมูน (Autoimmune thyroiditis/

Hashimoto's thyroiditis) เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อตัวเอง คือแทนที่ร่างกายจะต่อสู้กับเชื้อโรค กลับมากระตุ้นต่อมไทรอยด์แทน ทำให้ไทรอยด์ทำงานมากเกินปกติ โดยภาวะนี้พบมากในผู้หญิงทุกวัย และอาจพบว่าผู้ป่วยมีประวัติว่าพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย

- ต่อมไทรอยด์อักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบได้น้อยมาก และมักพบในผู้หญิงวัยกลางคนมากกว่าผู้ชาย

4. เนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์

การสังเกตเห็นหรือคลำได้ก้อนโตที่ต่อมไทรอยด์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยพอสมควร ประมาณร้อยละ 5 ของประชากรทั่วไป โดยมักพบในสุภาพสตรีวัยกลางคนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์มีทั้งชนิดที่ไม่เป็นพิษและชนิดที่เป็นพิษ และอาจเกิดได้จากสาเหตุที่ต่างกัน โดยอาจเกิดจากเนื้อไทรอยด์โตผิดรูปโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดจากการอักเสบของต่อมไทรอยด์ เกิดจากเนื้องอกต่อมไทรอยด์ชนิดไม่ร้ายแรง หรืออาจเกิดจากมะเร็งต่อมไทรอยด์ซึ่งจริง ๆ แล้วพบได้น้อยมาก เพียงร้อยละ 5 โดยประมาณ

5. #คอพอก

อาการคอพอกก็เป็นหนึ่งในความผิดปกติของต่อมไทรอยด์เช่นกันค่ะ โดยคอพอกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือคอพอกชนิดไม่เป็นพิษ กับคอพอกชนิดเป็นพิษ ซึ่งสาเหตุของโรคคอพอกไม่เป็นพิษหลัก ๆ ก็เกิดจากการขาดไอโอดีน โดยเฉพาะในเด็กทารกที่แม่ไม่ได้รับสารไอโอดีนเพียงพอ ทารกในครรภ์ก็อาจเป็นโรคคอพอกได้สูง แต่สำหรับผู้ใหญ่จะมีอาการแสดงออกถึงการขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ได้แก่ การเป็นคนเชื่องช้า เซื่องซึม ขี้หนาว พูดช้า เสียงแหบ ผิวแห้ง ผมแห้งหยาบ และร่วงง่าย ท้องผูก อ้วนขึ้น โดยที่อาจไม่พบว่าต่อมไทรอยด์โตกว่าปกติด้วยซ้ำ

ส่วนโรคคอพอกเป็นพิษมักเกิดจากภาวะที่ต่อมไทรอยด์มีการทำงานมากเกินไป เกิดการสร้างฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์มากผิดปกติ ทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายผิดปกติตามไปด้วย อาการที่พบคือ ใจสั่น หงุดหงิด ขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย กินจุแต่น้ำหนักไม่เพิ่มหรือกลับผมลง บางคนมีผิวค่อนข้างชื้น บางคนมีอาการท้องเสีย ส่วนบางคนก็ตาโปนออก

6. #มะเร็งต่อมไทรอยด์

มะเร็งต่อมไทรอยด์เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในต่อมไทรอยด์ให้กลายเป็นเนื้อร้าย เริ่มจากการคลำเจอก้อนบริเวณต่อมไทรอยด์ (ด้านหน้าลำคอ) เป็นอันดับแรก ก้อนนี้เคลื่อนขึ้น-ลงได้เมื่อกลืนน้ำลาย ต่อมาก้อนนั้นจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหมายถึงเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว หรือหากรักษาไม่ทันอาจลามไปเกิดก้อนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้

ทว่าจริง ๆ แล้วมะเร็งต่อมไทรอยด์ก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนมะเร็งชนิดอื่น ๆ ที่ถึงตายค่ะ เพราะมะเร็งต่อมไทรอยด์สามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่มีอาการเจ็บปวดเท่าไร ที่สำคัญยังเป็นมะเร็งที่คนเรามักจะสังเกตได้ง่าย จากก้อนที่โตจนคลำได้บริเวณคอนั่นเอง ดังนั้นการตรวจหาสาเหตุและพบว่าเป็นมะเร็งจนนำไปสู่การรักษาจึงค่อนข้างทำได้อย่างทันท่วงที

อาการต่อมไทรอยด์ผิดปกติ

อาการต่อมไทรอยด์ผิดปกติมีความแตกต่างกันแล้วแต่กรณี แต่หลัก ๆ แล้วเราสามารถสังเกตอาการต่อมไทรอยด์ผิดปกติได้ดังนี้

- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น เนื่องจากหัวใจถูกกระตุ้นให้ทำงานหนัก

- เหงื่อออกง่าย อันเนื่องมาจากระบบเผาผลาญและการใช้พลังงานถูกกระตุ้น

- นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย

- ท้องเสียง่าย จากการที่ทางเดินอาหารถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้น

- ตาโปนกว่าปกติ โดยเนื้อเยื่อหลังนัยน์ตาขยายขนาดขึ้นจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษ

- ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีทั้งประจำเดือนขาด หรือมาไม่ตรง มาแบบกะปริบกะปรอย

- กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน พบในรายที่ไทรอยด์เป็นพิษแล้วเกิดเกลือแร่โพแทสเซียมต่ำอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการคล้ายอัมพาต ขยับแขน ขา และลำตัวไม่ได้

- คลำเจอก้อนโตบริเวณลำคอด้านหน้า สามารถขยับเคลื่อนขึ้น-ลงได้ เวลากลืนน้ำลาย

- อารมณ์หดหู่, สมาธิไม่ดี

- เส้นผมและขนผิวหนังร่วง (โดยเฉพาะหางคิ้ว) ผิวแห้ง

- เจ็บตามข้อ บวมน้ำ (โดยเฉพาะที่มือและเท้า)

- เสียงแหบ

- หนาวง่าย

- ความดันโลหิตสูง

ทั้งนี้สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก 19 สัญญาณอาการไทรอยด์ นอนไม่หลับบ่อย เพลียตลอดเวลา หรือว่าป่วย ? แต่อย่างไรก็ดี หากพบว่ามีสัญญาณความผิดปกติของร่างกายดังข้างต้น ก็ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของความผิดปกตินั้นโดยเร็วที่สุดนะคะ

การรักษาไทรอยด์ผิดปกติ

การรักษาหลัก ๆ มีอยู่ 3 วิธี ได้แก่

1. การรับประทานยา

ในกรณีนี้แล้วแต่อาการของผู้ป่วย หากมีภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน แพทย์อาจสั่งยาระงับการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ให้ แต่หากผู้ป่วยมีภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย เคสนี้ก็ต้องให้ยาเพิ่มฮอร์โมนไทรอยด์กับผู้ป่วย รวมไปถึงการให้ยาเพื่อรักษาอาการข้างเคียงอื่น ๆ ร่วมด้วย

2. รักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีน

สำหรับผู้ป่วยภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินสารไอโอดีนชนิดปล่อยกัมมันตภาพรังสีออกมา เพื่อไปทำลายต่อมไทรอยด์ แต่ทั้งนี้อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น ผู้ป่วยอาจตกอยู่ในภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติ ซึ่งก็ต้องให้ยาเพิ่มฮอร์โมนไทรอยด์กับผู้ป่วยร่วมด้วย

3. การผ่าตัด

ในกรณีที่มีข้อห้ามในการกินยาหรือใช้สารรังสี รวมถึงกรณีที่ต่อมไทรอยด์มีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง แพทย์อาจจะแนะนำวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งข้อดีก็คือ สามารถได้ชิ้นเนื้อออกมา เป็นการถอนรากถอนโคน แต่ข้อเสียคือมีโอกาสที่จะผ่าตัดถูกเส้นประสาทที่ควบคุมเส้นเสียง และอาจผ่าตัดถูกต่อมพาราไทรอยด์ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับแคลเซียมในเลือดที่อยู่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นหลังการผ่าตัดอาจจะต้องกินยาฮอร์โมนไทรอยด์เสริม และในกรณีที่ผ่าตัดถูกต่อมพาราไทรอยด์ อาจจะต้องกินแคลเซียมเสริมเพิ่มเติม

ทั้งนี้การรักษาผู้ป่วยโรคไทรอยด์ ทีมแพทย์ผู้ดูแลผู้ป่วยจะเป็นผู้พิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น อย่าพยายามรักษาโรคด้วยตัวเองเด็ดขาดนะคะ

การดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคไทรอยด์

- เลี่ยงรับประทานไขมันชนิดไม่ดี

หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ ให้รับประทานอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลม่อน, ปลาแมคเคอเรล, ปลาซาร์ดีน, วอลนัท, เมล็ดแฟลกซ์ และน้ำมันเพื่อสุขภาพ (น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันมะกอกชนิดเอ็กตร้าเวอร์จิน, น้ำมันจากเมล็ดองุ่น, น้ำมันสกัดจากอะโวคาโด) เพื่อปรับสภาพอารมณ์ ระบบเผาผลาญ และปกป้องหัวใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนได้รับผลกระทบจากการทำงานที่ปกติของต่อมไทรอยด์

- รับประทานอาหารบำรุงไทรอยด์

ไม่ว่าจะยังไม่ป่วยหรือกำลังรักษาโรคไทรอยด์ ก็อยากแนะนำให้กินอาหารบำรุงต่อมไทรอยด์ตามนี้เอาไว้ เพื่อให้ต่อมไทรอยด์ของเราแข็งแรง และเพื่อช่วยให้การรักษาไทรอยด์เป็นไปด้วยดีมากขึ้น

- อ่อนเพลียบ่อยอาจเพราะไทรอยด์ผิดปกติ รีบบำรุงด้วย 7 อาหารนี้ด่วน

- งดสูบบุหรี่

ควรงดสูบบุหรี่ เนื่องจากอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการทางตา เช่น ตาโปนเพิ่มมากขึ้น

- ไม่ดื่มแอลกอฮอล์

เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ

- งดการออกกำลังกายหนัก ๆ

โดยเฉพาะช่วงแรกของการรักษา เพราะผู้ป่วยอาจยังอ่อนแรงและทำให้อาการทรุดลงได้

โรคไทรอยด์
- หมั่นสังเกตอาการตัวเอง

ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาต้านไทรอยด์ อาจมีอาการไข้สูง เจ็บคอมาก ควรพบแพทย์ เพราะความผิดปกติเหล่านี้อาจเกิดจากเม็ดเลือดขาวในร่างกายต่ำ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยาที่พบได้ไม่บ่อยนัก หรืออาจพบผลข้างเคียงอื่น ๆ ของยา เช่น ตับอักเสบ ผื่นขึ้น หรือปวดข้อ ซึ่งควรต้องแจ้งให้แพทย์ผู้ทำการรักษาทราบโดยด่วน

- ตรวจเลือดปีละครั้ง

โดยเฉพาะผู้ป่วยที่รักษาไทรอยด์ด้วยการผ่าตัด เมื่อไทรอยด์เป็นพิษหายขาดแล้ว ควรได้รับการตรวจเลือดประมาณปีละครั้ง เพื่อเช็กภาวะไทรอยด์ผิดปกติให้แน่ใจ

- ควรวางแผนครอบครัวก่อนมีบุตร

หากอยู่ในช่วงรักษาไทรอยด์ด้วยรังสีไอโอดีน เคสนี้ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรด้วยนะคะ ดังนั้นวิธีป้องกันตัวเองและลูกในครรภ์ที่ดีที่สุดคือการวางแผนครอบครัว ตรวจสุขภาพ เช็กความพร้อมก่อนมีบุตรโดยทีมกุมารแพทย์ให้แน่ใจเสียก่อน

จริง ๆ แล้วการป้องกันโรคไทรอยด์ผิดปกติสามารถทำได้ตั้งแต่ในครรภ์ กล่าวคือการที่คุณแม่ตั้งครรภ์รับประทานอาหารที่มีไอโอดีนอย่างเพียงพอ ซึ่งจะช่วยป้องกันลูกน้อยมีความผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ได้ดีที่สุด ส่วนในผู้ใหญ่ การหมั่นตรวจเช็กสุขภาพของตัวเองอยู่เสมอ และดูแลตัวเองให้ดีในสายเฮลธ์ตี้ ก็จะเป็นวิธีป้องกันโรคภัยให้เราได้มากมายเลยล่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล / ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง / thailabonline / ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
หน่วยสร้างเสริมสุขภาพ งานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลศรีนครินทร์ / คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล
เรื่องที่คุณอาจสนใจ

 #โรคเก๊าต์ คืออะไร และการรักษาได้หรือไม่สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพ ปรึกษาโทร.081-2964826   โ...
02/06/2019

#โรคเก๊าต์ คืออะไร และการรักษาได้หรือไม่
สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพ ปรึกษาโทร.081-2964826
โรคเก๊าต์หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าชื่อของคนจีนตั้งขึ้น แต่จริงๆ แล้วมาจากภาษาลาติน เพราะแพทย์วิทยาศาสตร์เรียกแบบภาษาอังกฤษว่า Gout จึงออกมาเป็นเสียงกว่า เก๊าต์นั่นเอง โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับขาวเอเชีย เกิดจากกรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูงมากเกินไป เกินกว่าที่จะสามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงตกสะสมในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะในกระดูก เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และไต จึงทำให้เกิดข้ออักเสบ ตามศอก นิ้ว ตาตุ่ม เป็นก้อนเกิดขึ้น
อาการที่แสดงออก
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าต์จะมีระยะเป็นๆ หายๆ ซ้ำๆ บริเวณเดิม ๆ ปีละ 1-2 ครั้ง ต่อมาจะเริ่มเป็นปีละ 4-5 ครั้ง ข้ออักเสบจะเพิ่มขึ้นจาก 1-2 ข้อเป็น 3-4 ข้อ จนเป็นต่อหลายๆ ข้อ จะมีอาการข้ออักเสบ บวม แดงร้อน และปวดมากตามข้อเจ็บปวดอยู่นาน 5-7 วัน อาการจะทุเลาเบาขึ้น เมื่อข้ออักเสบที่เกิดขึ้นใหม่จะมีอาการประมาณนี้ จนกระทั้งเป็นมากขึ้น มีการอักเสบของข้อมากขึ้นและรุนแรงขึ้นจึงเกิดปุ่มก้อนของกรดยูริคในเลือดสูงยิ่งสะสมปริมาณมากขึ้นจะเกิดภาวะไตวายได้ค่ะ
โรคเก๊าต์มักเกิดกับผู้ชายในวัยประมาณ 40 ปี แต่ถ้าเกิดในผู้หญิงมักจะพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้ว ส่วนอาหารที่มีกรดยูริกมาก มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดโรคเก๊าท์ คืออาหารจำพวกสัตว์ปีก ปลาอินทรีย์ ถั่วแดง ถั่วดำ ผักชะอม เครื่องในสัตว์ตับ ตับอ้อน หัวใจ สมอง เซ่งจี๊ และยอดผักของพืชทุกชนิด ซึ่งส่วนใหญ่โรคเก๊าต์นั้นเกิดขึ้นกับพฤติกรรมการกินของมนุษย์อย่างเราๆ นั่นเองค่ะ
ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าต์ ต้องระมัดระวังอย่าให้เก๊าท์กำเริบอีก คือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง โดยเฉพาะพวกเหล้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะกระตุ้นให้กรดยูริกในเลือดสูงได้ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายเราจะได้กรดยูริกมาจาก 2 แหล่งคือ
ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง โดยการสลายตัวของเซลล์อวัยวะต่างๆ แต่บางคนที่ป่วยเป็นโรค ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว จะมีการสลายตัวของเซลล์ในร่างกายผิดปกติไปด้วย
รับจากการกินอาหาร เช่นเนื้อไก่ เครื่องในสัตว์ รวมถึงถั่วชนิดต่างๆ
วิธีการรักษา
แพทย์จะทำการตรวจหากพบว่าเป็นโรคเก๊าต์ จะให้ยาแก้อักเสบ หรือยาโคลซิซินเพื่อลดอาการปวดข้อและอักเสบ แต่มีผลข้างเคียงอาจทำให้ท้องเสีย ส่วนการรักษาระยะยาว ใช้ยาลดกรดยูริกในเลือด เช่นยาอัลโลพูรินอล กินวันละครั้ง ควรกินอย่างต่อเนื่องนานอย่างน้อย 3-5 ปี หากกินๆ หยุดๆ อาจทำให้แพ้ยาได้ง่าย หรือมีผื่นผิวหนังชนิดรุนแรงเกิดขึ้นกับร่างกายได้ค่ะ ที่สำคัญควรงดการนวดและห้ามนวดเด็ดขาดถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเก๊าต์อยู่ในระยะข้ออักเสบเพราะจะทำให้อักเสบรุ่นแรงหายช้าได้นะคะ

เรื่องจริงที่คุณผู้หญิงต้องสังเกตตัวท่านเองสัญญาณเตือน... #มะเร็งปากมดลูก ที่คุณไม่ควรมองข้ามสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็...
30/05/2019

เรื่องจริงที่คุณผู้หญิงต้องสังเกตตัวท่านเองสัญญาณเตือน... #มะเร็งปากมดลูก ที่คุณไม่ควรมองข้าม
สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพโทร.081-2964826
#โรคมะเร็ง เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ อุบัติเหตุ และ โรคหัวใจ สำหรับมะเร็งในสตรีไทย มะเร็งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดคือมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้และสามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะก่อนลุกลามเป็นมะเร็ง เเละสามารถสังเกตได้หากพบความผิดปกติ ดังนี้

1. มีเลือดออกผิดปกติ ที่ไม่ใช่ประจำเดือน เช่น เลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือนแล้ว เลือดออกเป็นระยะ เลือดออกหลังจากตรวจภายใน

2. เลือดออกหลังวัยทอง เช่น หญิงวัย 55 ปี หมดประจำเดือนไป 3 ปี แล้วมีเลือดออกจากช่องคลอดอีก อย่างนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์

3. ตกขาวผิดปกติ อาการตกขาวของผู้หญิงแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน การจะสังเกตว่าอาการตกขาวผิดปกติหรือไม่ ให้ใช้วิธีสังเกตจากอาการที่แตกต่างไปตนเองเคยเป็นมา เช่น ตกขาวที่ผิดปกติจะมีลักษณะเป็นหนอง กลิ่นเหม็นหรือมีลักษณะคล้ายน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด อาการตกขาวซึ่งอาจจะมีเลือดปน

4. ปัสสาวะขัด ปวดแสบ อาการปวดแสบ ปัสสาวะขัด อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งปากมดลูกได้ อย่างไรก็ตาม อาการปัสสาวะขัด อาจเกิดขึ้นได้เสมอจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และพบได้บ่อยซึ่งยังถือว่าไม่ได้ชี้ชัดเรื่องมะเร็งปากมดลูกเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่ควรประมาทและสังเกตอาการอื่นร่วมด้วย

5. มีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ อาการเจ็บขณะร่วมเพศ อาจะเป็นสัญญาณของมะเร็งปากมดลูกได่้เช่นกัน

6. ประจำเดือนมามากและนานผิดปกติ สังเกตจากการมีประจำเดือนตามปกติ หากมีมามากกว่าที่เคยเป็น และนานกว่าที่เคยเป็น อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งปากมดลูกได้

7. กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะจากสถิติผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก มักจะจำได้ว่าเคยมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และมีเลือดปนในปัสสาวะ

8. เจ็บปวดตามร่างกาย สัญญาณทั่วไปของมะเร็งปากมดลูก คือ อาการเจ็บปวดตามร่างกาย และเน้นโดยเฉพาะ ขา หลัง และ เชิงกราน ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมักจะมีประวัติว่าเคยมีอาการเหล่านี้ เนื่องจากมะเร็งที่แพร่กระจายส่งผลต่อระบบการหมุนเวียนของกระแสเลือด

9. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อาจเป็นสัญญาณเตือนได้ โดยเฉพาะหากมีอาการอื่นๆตามที่กล่าวมาข้างต้นร่วมด้วย เมื่อมีมะเร็งแพร่ขยาย ระบบการรักษาสมดุลของร่างกายจะทำงานอย่างหนักเพื่อทำการต่อต้านและกำจัดออกไป

10. น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ ตามปกติร่างกายจะสร้างโปรตีนเล็กๆชื่อว่า cytokines ทำหน้าที่กำจัดไขมันส่วนเกินเพื่อไม่ให้มีมากเกินกว่าระดับปกติ และกรณีเดียวกันนี้ เมื่อเกิดมะเร็ง ร่างกายก็จะสร้างกลไกแบบเดียวกันนี้ ทั้งที่คุณไม่ได้อดอาหาร จึงทำให้น้ำหนักลดและร่างกายซูบผอมได้

จากที่กล่าวมาข้างต้น การสังเกตควรดูองค์ประกอบหลายๆข้อรวมกัน หากพบว่ามีสัญญาณตรงกันหลายข้อ ให้พึงตระหนักว่าควรพบแพทย์แต่เนิ่นๆ

ข้อมูลจาก http://www.thaijobsgov.com/jobs=57327

Cr.clubคนรักสุขภาพ

วิธีเลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาดจัดการด้วย 8 วิธีนี้สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพ ปรึกษาโทร.081-296482...
16/05/2019

วิธีเลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาดจัดการด้วย 8 วิธีนี้
สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพ ปรึกษาโทร.081-2964826
วิธีเลิกบุหรี่สำหรับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจจะบอกลาอันตรายของบุหรี่ให้ได้ ด้วยวิธีตามนี้เลย

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า โทษของการสูบบุหรี่มีมากมาย ซึ่งนอกจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวผู้สูบบุหรี่ และผู้ที่อยู่รอบข้างแล้ว ยังทำให้สภาพแวดล้อมนั้น ๆ เสียตามไปด้วย และสิ่งเหล่านี้เองก็เป็นสาเหตุสำคัญ ที่เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่จำนวนไม่น้อยพยายามที่จะเลิกสูบโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้น วันนี้เราจึงมีวิธีการเลิกสูบบุหรี่มาฝาก ส่วนจะมีวิธีใดบ้าง และจะยากสักแค่ไหน มาลองดูกัน

จัดการดูแลตัวเอง

ในระยะแรก ๆ ที่เลิกสูบใหม่ ๆ มักจะเกิดอาการอยากบุหรี่อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งถือเป็นอาการที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะเป็นการเสพติดมาจากพฤติกรรมการสูบเดิม ดังนั้นหากมีอาการอยากสูบบุหรี่ล่ะก็ ขอแนะนำให้หาหมากฝรั่ง ลูกอม หรือดมยาดมแทนซะ เพื่อให้ติดเป็นนิสัยใหม่แทนการสูบบุหรี่

ทำจิตใจให้เข้มแข็ง

หลังจากที่ได้เลิกสูบบุหรี่มาอย่างน้อย 2-3 อาทิตย์ การเสพติดบุหรี่ในร่างกายจะเริ่มทำงานอีกครั้ง ไม่ว่าจะความเคยชินในเรื่องของเวลาที่เคยสูบอยู่เป็นประจำ หรือแม้กระทั่งกลิ่นของบุหรี่เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เกิดอาการอยากบุหรี่ขึ้นมาได้ ทางที่ดีที่สุด ขอให้ทำจิตใจให้เข้มแข็ง เชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถเลิกสูบได้
ทิ้งทั้งบุหรี่และที่เขี่ยบุหรี่ไปให้พ้น ๆ สายตา

จะเลิกทั้งทีก็ต้องจัดการให้เด็ดขาด จะมีสิ่งยั่วยุมาวางให้เห็นตรงหน้าไม่ได้ ทิ้งไปเลย ไม่ต้องเสียดาย ให้คิดซะว่าเพื่อสุขภาพและเงินทองที่ดีของเรา

อยู่ให้ห่างจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ของคุณ

พยายามหลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่ หรือช่วงระยะเวลาที่คุณเคยสูบบุหรี่อยู่เป็นประจำ เพราะความเคยชินเหล่านั้น อาจจะเป็นสาเหตุทำให้คุณหวนกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้ง ลองหาสถานที่ใหม่ ๆ หรือเดินออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่วยคุณได้มากไม่น้อย

หากิจกรรมทำ

แน่นอนว่าเมื่อคุณไม่สูบบุหรี่ คุณก็จะมีเวลากับตัวคุณเองมากยิ่งขึ้น ลองเอาเวลาส่วนนั้นหากิจกรรมที่คุณชอบมาทำ ไม่ว่าจะเล่นเกม ออกกำลังกาย ตกแต่งสวน ก็เข้าท่าอยู่ไม่น้อย แถมยังทำให้คุณคลายเครียดได้อีกด้วย

ห้ามใจอ่อนกับตัวเองเป็นอันขาด!!

เชื่อว่าคงมีบ้างที่บอกกับตัวเองว่า "อีกสักมวนคงไม่เป็นไร" หรือ "ไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเลิก" เหล่านี้ขอให้ห้ามโดยเด็ดขาด เพราะนั่นจะหมายถึงว่าที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีค่าหรือเกิดประโยชน์ใด ๆ กับตัวคุณเลย ต้องใจแข็ง และผ่านมันไปให้ได้

คอยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ

หากคิดที่จะสูบบุหรี่ขึ้นเมื่อไหร่ ก็ขอให้ย้ำกับตัวเองอยู่เสมอ ๆ ว่าที่เลิกนั้นเพื่ออะไร เช่น เลิกบุหรี่เพื่อคนที่คุณรัก เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น เพื่อการเงินที่จะเหลือเก็บมากขึ้น เป็นต้น

อย่าละเลยแม้เพียงเล็กน้อย

ขอให้คุณอย่ายอมแพ้กับตัวเอง อย่าปล่อยให้โอกาสบางโอกาสที่สามารถนำคุณกลับไปสูบบุหรี่ได้มานำพาคุณไปอย่างง่าย ๆ ไม่ว่าจะเพื่อนชวน หรือมีสิ่งดึงดูดใจก็ตามแต่ ให้ทำตามเป้าหมายของการเลิกบุหรี่ของตัวเองตามที่ได้ตั้งใจไว้เป็นพอ

หากคุณกำลังคิดหรืออยู่ในช่วงของการเลิกสูบบุหรี่ ก็ขอให้ลองนำวิธีเหล่านี้ไปลองใช้ดู และเราก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณ อย่ายอมแพ้ สู้ต่อไป ให้คิดซะว่าเลิกบุหรี่เพื่อคนที่คุณรัก เพื่อคนรอบข้าง และเพื่อตัวของคุณเองก็แล้วกันนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Kapook .com

สายตายาวสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพปรึกษาโทร.081-2964826           สายตายาว (Hyperopia, Hyperm...
26/04/2019

สายตายาว
สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพปรึกษาโทร.081-2964826
สายตายาว (Hyperopia, Hypermetropia, Farsightedness) เป็นภาวะที่กระจกตาหรือแก้วตามีกำลังในการหักเหแสงน้อยเกินไป หรือลูกตามีขนาดเล็กเกินไป จึงทำให้จุดรวมแสงของภาพไม่ว่าวัตถุนั้นจะอยู่ใกล้หรือไกลไม่ไปโฟกัสบนจอประสาทตา แต่กลับไปโฟกัสข้างหลังจอประสาทตาแทน จึงทำให้มองเห็นภาพได้ไม่ชัดทั้งใกล้และไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามองวัตถุที่อยู่ใกล้ ๆ จะมัวมากกว่ามองวัตถุที่อยู่ไกล ๆ

สายตายาวเป็นภาวะที่พบได้มากในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ มักพบว่าเป็นกันหลายคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งในบ้านเราพบว่าเด็กประมาณ 15-20% เป็นสายตายาว

“สายตายาว” ในทางการแพทย์หมายถึง อาการสายตายาวที่เกิดขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย โดยที่ยังไม่ถึงวัยสูงอายุ แต่ถ้ามีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปและมีสายตายาวเกิดขึ้น ทางการแพทย์จะเรียกว่า “สายตาผู้สูงอายุ” หรือ “สายตายาวตามอายุ” (Presbyopia) ซึ่งเป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นได้ในคนแทบทุกคนที่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป แต่จะเกิดได้เร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้สายตามากน้อยแค่ไหน ซึ่งสายตาแบบนี้จะสามารถมองดูวัตถุไกล ๆ ได้สบาย ๆ เหมือนคนทั่วไป แต่ถ้ามองดูวัตถุที่อยู่ใกล้จะมองเห็นได้ไม่ชัด และสามารถแก้ไขได้ด้วยการตัดแว่นชนิดเลนส์นูนมาใส่เฉพาะในกรณีที่ต้องมองวัตถุที่อยู่ใกล้ให้เห็นได้ชัด แต่สำหรับในผู้ที่มีสายตายาวอยู่ก่อนแล้วอาจจะเกิดภาวะสายตาผู้สูงอายุได้เร็วกว่าคนทั่วไป และจะต้องแก้ไขด้วยการใช้แว่นสายตาถึง 2 อัน เพื่อใช้มองไกลอันหนึ่งและมองใกล้อันหนึ่ง หรืออาจใช้แว่นชนิดอเนกประสงค์เพียงอันเดียวที่สามารถใช้มองไกล (ผ่านเลนส์ชั้นบน) และใช้มองใกล้ (ผ่านเลนส์ชั้นล่าง)

ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่มีสายตายาวจะมองเห็นได้ชัดหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับความยาวของสายตาและกำลังการเพ่งของตา (กำลังการปรับรูปร่างของแก้วตาให้มีความโค้งและหนามากขึ้น หรือที่เรียกว่า “Accommodation“) ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ ตัวอย่างเช่น

ในคนปกติจะมีกำลังหักเหแสงของดวงตาประมาณ 63 ไดออปเตอร์ (เกิดจากกระจกตา 43 ไดออปเตอร์ และจากแก้วตา 20 ไดออปเตอร์) ถ้าผู้ป่วยมีกำลังหักเหแสงของดวงตาเพียง 60 ไดออปเตอร์ ซึ่งขาดไป 3 ไดออปเตอร์ (สายตายาว 3 ไดออปเตอร์)

เมื่ออายุ 10 ปี มีกำลังการเพ่งของตาปกติสูงถึง 8 ไดออปเตอร์ ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยสามารถเพิ่มกำลังหักเหแสงของดวงตาจากแก้วตาจาก 20 เป็น 28 ไดออปเตอร์ ถ้าผู้ป่วยกำลังการเพ่งของตาเพิ่มขึ้นเพียง 3 ไดออปเตอร์ ก็พอที่จะชดเชยความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ เพราะทำให้กำลังหักเหแสงของดวงตาโดยรวมยังเป็น 63 ไดออปเตอร์ตามปกติ ผู้ป่วยจึงสามารถมองเห็นได้เป็นปกติโดยไม่ต้องใส่แว่นสายตา

เมื่ออายุมากขึ้นเป็น 20 ปี กำลังการเพ่งของตาจะลดลงบ้างไปตามอายุ ผู้ป่วยยังมีกำลังการเพ่งของตาได้ถึง 4 ไดออปเตอร์ จึงสามารถมองเห็นได้เป็นปกติโดยไม่ต้องใส่แว่นเช่นกัน
เมื่ออายุ 40 ปี และกำลังการเพ่งของตาลดลงไปอีกและมีไม่ถึง 3 ไดออปเตอร์ คราวนี้สายตาก็จะมัวลง

สุขภาพดีกับไขมันหน้าท้องเกิดจากอะไร 12 เหตุผลนี้ไงที่ทำให้คุณสาว ๆ อ้วน !สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแล...
20/04/2019

สุขภาพดีกับไขมันหน้าท้องเกิดจากอะไร 12 เหตุผลนี้ไงที่ทำให้คุณสาว ๆ อ้วน !
สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพปรึกษาโทร.081-2964826
ไขมันหน้าท้องเกิดจากอะไร มาดูกันว่าตัวการที่ทำให้เรามีพุงป่อง ๆ แถมยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงมีอะไรบ้าง

อาหารที่กินเข้าไปบอกถึงรูปร่างได้ก็จริง แต่หลายคนก็ยังนึกไม่ออกว่าถ้าอ้วนขึ้นแล้วจะกระทบต่อสุขภาพยังไง โดยเฉพาะคนที่อ้วนลงพุงทั้งหลาย คนที่มีหน้าท้องที่เต็มไปด้วยไขมันกระจายอยู่รอบ ๆ คงเครียดสุด ๆ ก็แค่ใส่เสื้อผ้าแล้วไม่สวย ไม่หล่อ หรืออาจรู้สึกอึดอัดบ้างในบางเวลาเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วไขมันหน้าท้องเป็นตัวการก่อโรคเรื้อรังได้หลายอย่างเชียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็น #โรคความดันโลหิตสูง #โรคหัวใจ #โรคเบาหวาน #โรคมะเร็ง หรือไขมันอุดตันเส้นเลือด ฉะนั้นคงถึงเวลาแล้วที่เราจะตระหนักถึงไขมันหน้าท้องกันให้มากขึ้น โดยเริ่มด้วยการทำความเข้าใจให้ชัดว่า ไขมันหน้าท้องเกิดจากอะไรได้บ้าง ว่าแล้วก็มาเช็กเลย

1. #กรรมพันธุ์

สังเกตง่าย ๆ จากคนในครอบครัวเราเองนี่ล่ะ หากแม่ ป้า น้า อา ใครมีรูปร่างทรงแอปเปิลหรือลูกแพร์ ก็โป๊ะเชะว่าคุณได้ยีนเก็บสะสมไขมันเก่งอยู่กับตัว ทำให้เป็นคนที่อ้วนได้ง่าย และไขมันก็มักจะมาสะสมอยู่ที่หน้าท้อง สะโพก ต้นขา มากกว่าที่อื่น ๆ ดังนั้นคนที่ได้กรรมพันธุ์นี้ก็ยิ่งต้องระวังเรื่องอาหารการกินของตัวเองให้ดี พร้อมทั้งหมั่นออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ ด้วยนะคะ

2. #เกี่ยวกับฮอร์โมน

โฟกัสไปที่สาววัยทองกันสักแป๊บค่ะ เพราะวัยนี้จะมีระดับฮอร์โมนที่แกว่ง ๆ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมโทรมของร่างกาย โดยจะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ต่ำลง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญอ่อนแรงลงด้วย จึงอ้วนขึ้นได้ง่าย สังเกตได้จากไขมันที่เริ่มพอกพูนตรงสะโพก ก้น และหน้าท้อง

แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะดูแลรูปร่างให้เป๊ะปังไม่ได้ เพราะหากอยากมีหุ่นดีเหมือนสาวแรกรุ่น ก็แค่เล่นเวตเทรนนิ่ง หรือออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อเพื่อลดไขมันที่พอกพูน แค่นี้ก็ได้หุ่นดี ๆ สมใจแล้ว

3. เป็นโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ

ไขมันหน้าท้องเกิดจากความผิดปกติของร่างกายอย่างโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) ก็ได้ด้วยนะคะคุณสาว ๆ โดยภาวะนี้จะทำให้ผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศชายสูงขึ้น ส่งผลให้มีขนดก ประจำเดือนผิดปกติ เป็นสิว และอ้วนลงพุงได้ ซึ่งอาจรักษาได้ด้วยการกินยาคุมกำเนิดเพื่อปรับฮอร์โมนเพศ และควรต้องออกกำลังกายเป็นประจำ รวมทั้งควบคุมอาหารไปด้วยจึงจะลดไขมันหน้าท้องไปได้

4. พักผ่อนไม่เพียงพอ

ใครที่มักจะนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอเป็นประจำ เตือนไว้ดัง ๆ ว่าให้ระวังไขมันหน้าท้องกันด้วย เพราะการที่ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ จะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายแปรปรวน ทั้งระดับฮอร์โมน ระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจส่งผลให้เราอยากกินอาหารรสหวาน และอาหารขยะมากขึ้น จนในที่สุดก็มีไขมันหน้าท้องเพิ่มพูน กลายเป็นคนอ้วนลงพุง !

5. เครียดหนักมาก

ความเครียดไม่เข้าใครออกใคร และยังสามารถพาอ้วนให้เราได้อย่างร้ายกาจที่สุด เพราะเมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดซึ่งก็คือฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ทำให้เราอยากกินอาหารหวาน ๆ เพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย อีกทั้งฮอร์โมนคอร์ติซอลยังกระตุ้นให้ไขมันในร่างกายกระจายไปยังเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดไขมันหน้าท้องและไขมันในช่องท้องขึ้นมาได้

6. ขนมขบเคี้ยวและน้ำหวาน

กาแฟเย็น #ชาเย็น #ชาเขียว นมที่ดื่มกันอยู่ทุกวัน บอกเลยว่ามีปริมาณน้ำตาลสูงปรี๊ด แล้วไหนจะเค้ก ขนมปัง รวมทั้งขนมขบเคี้ยวอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีแค่น้ำตาล แต่ยังเปี่ยมไปด้วยแป้งและโซเดียม ส่วนประกอบสุดจี๊ดที่ทำให้เรามีไขมันสะสมอยู่ตรงหน้าท้องและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อีกทั้งโซเดียมยังทำให้เราเกิดภาวะบวมน้ำได้อีกด้วยนะคะ

7. ดื่มหนัก

สาวนักดื่มตัวยงฟังไว้ ! การดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะพุงพลุ้ยได้เหมือนกันนะ เพราะในแต่ละแก้วที่ดื่มเข้าไปแคลอรีไม่ใช่น้อย ยิ่งดื่มก็จะยิ่งส่งผลให้ไขมันเข้าไปสะสมตรงท้องมากเป็นพิเศษ ดังการศึกษาที่พบว่า อาสาสมัครที่ดื่มเก่งจะมีรอบเอวที่หนา และมีพุงมากกว่าอาสาสมัครที่ไม่ค่อยดื่มหรือไม่ดื่มเลย ดังนั้นเพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดีก็หันมาดื่มน้ำเปล่ากันเถอะค่ะ

8. #ไขมันทรานส์

ไขมันทรานส์คือไขมันชนิดเลวที่มักจะเจอได้ในอาหารจำพวกคุกกี้ เนย อาหารสำเร็จรูป เนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารประเภททอด ซึ่งจะมีไขมันทรานส์หรือไขมันอิ่มตัวอยู่สูงมาก หากกินอาหารเหล่านี้เข้าไปมาก ๆ และไม่ออกกำลังกาย ก็เตรียมตัวรับไขมันสะสมหน้าท้องไว้เชยชมได้เลย แต่ถ้าไม่อยากมีพุงเพราะกินไขมันเลวเข้าไป แนะนำให้เลือกกินไขมันชนิดดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวอย่างน้ำมันอะโวคาโด น้ำมันมะกอก อาหารประเภทปลา และถั่วชนิดต่าง ๆ แทนนะคะ

9. ไม่ออกกำลังกาย

เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้หลายคนอ้วนลงพุงหรือมีหน้าท้องก็เพราะไม่ชอบออกกำลังกายนี่แหละค่ะ แถมบางคนยังไม่ชอบจะเคลื่อนไหวร่างกายไปไหนมาไหนซะด้วยนะ ซึ่งเคสนี้ก็จะยิ่งอ้วนลงพุงได้ง่ายขึ้นไปอีก ดังนั้นขยับเคลื่อนไหวให้มากเข้าไว้ดีกว่า ถ้าไม่ชอบออกกำลังกายก็เดินเล่นหรือทำงานบ้านไปก็ได้ ได้ประโยชน์ควบคู่ทั้งบ้านสะอาด และหน้าท้องแบนเรียบปราศจากไขมันเลยทีเดียว

10. กินโปรตีนน้อยเกินไป

ไม่น่าเชื่อว่าแค่กินโปรตีนน้อยเกินไปก็ทำให้มีไขมันหน้าท้องได้ แต่นี่คือความจริงล้วน ๆ ค่ะ โดยอธิบายให้เข้าใจได้ว่า การกินโปรตีนน้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะทำให้ร่างกายรู้สึกหิวบ่อย ส่งผลให้อยากกินจุบจิบมากขึ้น และก็จบด้วยการมีไขมันหน้าท้องอยู่ในครอบครองนั่นเอง ฉะนั้นกินอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนวนไปค่ะสาว ๆ อย่างถั่วเปลือกแข็ง เนื้อปลา เต้าหู้ เนื้อสัตว์ไร้มัน และไข่ไก่ เป็นต้น

11. แบคทีเรียในลำไส้ไม่สมดุล

ในลำไส้เราจะมีแบคทีเรียที่ดีและไม่ดีอาศัยอยู่ ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปด้วย แต่เมื่อไรที่แบคทีเรียในลำไส้เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นมา แบคทีเรียชนิดไม่ดีออกอาละวาดและคุมถิ่น เมื่อนั้นกระบวนการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะการขับถ่าย การเผาผลาญ และระบบภูมิคุ้มกันอาจเพลียเอาได้ ส่งผลให้เกิดไขมันสะสมที่หน้าท้องและร่างกายส่วนต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าปกติ แถมยังอาจกระทบไปถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้อีกด้วยนะ

12. กินไฟเบอร์ไม่เพียงพอ

ไม่เพียงแต่อาการท้องผูกที่จะมาเยือนคุณเท่านั้น แต่ไขมันหน้าท้องก็จะมาเซย์ฮัลโหลเป็นประจำหากคุณไม่กินไฟเบอร์ให้พอต่อความต้องการของร่างกายสักที เพราะจริง ๆ แล้วไฟเบอร์เป็นอาวุธสำคัญที่จะช่วยลดไขมันหน้าท้องได้ ฉะนั้นหากใครอยากมีหน้าท้องปราศจากไขมันก็ลองหาผัก-ผลไม้มากินกันเถอะ

เอาเข้าจริง ๆ ก็เชื่อว่าเราต่างก็รู้กันดีถึงสาเหตุที่ทำให้มีไขมันหน้าท้องและอ้วนขึ้น แต่ก็ยังอยากย้ำคำเดิม ๆ อยู่ว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะดูแลสุขภาพให้ดีที่สุด ทั้งพยายามไม่เครียด ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็ไม่ใช่เพื่อใครเลยค่ะ แต่ทั้งหมดนี้เพื่อสุขภาพดี ๆ ของตัวคุณเองล้วน ๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก : prevention /
authoritynutrition / heal

ที่อยู่

Bangkok
10400

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 19:00
อังคาร 08:00 - 19:00
พุธ 08:00 - 19:00
พฤหัสบดี 08:00 - 19:00
ศุกร์ 08:00 - 19:00
เสาร์ 08:00 - 19:00
อาทิตย์ 08:00 - 19:00

เบอร์โทรศัพท์

081 296 4826

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สุขและสวย โดย ภูมิสมดุลผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง สุขและสวย โดย ภูมิสมดุล:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram