Center for Medical Genomics

Center for Medical Genomics ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Center for Medical Genomics, ห้องทดลองทางการแพทย์, center for medical genomics, Bangkok.

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
"เราอาจไม่ใช่ผู้คิดค้นทุกนวัตกรรม แต่เรามุ่งมั่นเป็นผู้ประยุกต์ใช้จีโนมิกส์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง เพื่อยกระดับสุขภาพคนไทยและแก้ปัญหาสาธารณสุขชาติ พร้อมเป็นพันธมิตรสำคัญของโลกเพื่อสร้างอนาคตการแพทย์"

การตรวจวินิจฉัยทางพันธุกรรมทารกในครรภ์: แนวทางปัจจุบัน วิธีการ และความท้าทายในยุคที่พันธุศาสตร์ก้าวล้ำจนกลายเป็นส่วนหนึ่...
14/11/2025

การตรวจวินิจฉัยทางพันธุกรรมทารกในครรภ์: แนวทางปัจจุบัน วิธีการ และความท้าทาย

ในยุคที่พันธุศาสตร์ก้าวล้ำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลตั้งครรภ์ การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกไม่ใช่แค่ความหวังอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้ครอบครัวและทีมแพทย์ บทความนี้ถ่ายทอดสาระสำคัญจากการบรรยายของ รศ.พญ.ชยดา ตั้งชีวินศิริกุล หัวหน้าสาขาวิชาเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล ณ รพ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2568 ชวนผู้อ่านก้าวเข้าสู่โลกจีโนมที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน ตั้งแต่พื้นฐานของความผิดปกติ ไปจนถึงศักยภาพและข้อจำกัดของเทคนิควินิจฉัยล้ำสมัยอย่าง Karyotype, CMA และ ES เพื่อให้สูติแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถให้คำแนะนำที่แม่นยำและวางแผนการดูแลได้อย่างรอบด้าน

การตรวจวินิจฉัยทางพันธุกรรมของทารกในครรภ์ นับเป็นประเด็นที่มีความก้าวหน้าอย่างโดดเด่นในสาขาวิชาสูติศาสตร์และพันธุศาสตร์ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกลไก สาเหตุ และเครื่องมือในการวินิจฉัยจึงมีความสำคัญสูงสุดต่อการให้คำปรึกษาและการวางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยความถูกต้องแม่นยำ บทความนี้มุ่งนำเสนอภาพรวมของความจำเป็นและประโยชน์ของการวินิจฉัยก่อนคลอด สาเหตุแห่งความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารก ตลอดจนเครื่องมือการตรวจวิเคราะห์ในปัจจุบัน รวมถึงแนวทางและข้อจำกัดที่พึงตระหนัก
__________________________________________
🎯 ความจำเป็นและประโยชน์ของการวินิจฉัยทางพันธุกรรมก่อนคลอด
__________________________________________

การวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมของทารกในครรภ์ (Fetal Genetic Disorder) ตั้งแต่ช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ มีคุณูปการหลายประการ:
1. การประเมินพยากรณ์โรคอย่างแม่นยำ (Accurate Prognosis): ช่วยให้สามารถประเมินพยากรณ์ของทารกได้อย่างแม่นยำและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งในด้านความผิดปกติทางร่างกายและสติปัญญา (Neurodevelopment) เนื่องจากข้อมูลทางพันธุกรรมสามารถทำนายภาวะพัฒนาการล่าช้าได้ ซึ่งการตรวจอัลตราซาวด์เพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมด
2. การวางแผนการดูแลและการคลอดล่วงหน้า: สามารถวางแผนการจัดการการตั้งครรภ์และการคลอดได้อย่างรอบคอบ เช่น การพิจารณาให้ทารกคลอดในศูนย์ดูแลเฉพาะทาง (Tertiary Center) การกำหนดวิธีการคลอดที่เหมาะสม (การผ่าตัดคลอด หรือ การคลอดเอง) และการเตรียมการดูแลหลังคลอดเพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการของโรคที่อาจรุนแรงขึ้น
3. ทางเลือกในการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์: หากผลการวินิจฉัยบ่งชี้ถึงโรคทางพันธุกรรมที่มีความรุนแรงอย่างยิ่ง อาจเป็นทางเลือกที่สำคัญในการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์สำหรับผู้ปกครอง
4. การให้คำปรึกษาความเสี่ยงซ้ำ (Recurrence Risk Counseling): ภายหลังจากการได้รับข้อมูลทางพันธุกรรม จะสามารถประเมินความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติซ้ำในครรภ์ถัดไปได้อย่างชัดเจน และสามารถวางแผนการวินิจฉัยก่อนคลอดสำหรับครรภ์ต่อไปได้
__________________________________________
🧬 สาเหตุและความซับซ้อนของความผิดปกติทางพันธุกรรม (Genetic Disorders)
__________________________________________

ความผิดปกติของทารกในครรภ์ (Fetal Anomalies) มีกลไกสาเหตุที่สลับซับซ้อนและหลากหลาย มิได้จำกัดอยู่เพียงภาวะโครโมโซมผิดปกติ (เช่น Down Syndrome) เท่านั้น แต่ยังรวมถึง:
• ความผิดปกติของโครโมโซม (Chromosomal Abnormalities): คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% (หนึ่งในสี่) ของสาเหตุทั้งหมด ซึ่งรวมถึงภาวะ Aneuploidy ที่พบบ่อย เช่น Trisomy 21 (Down Syndrome), Trisomy 18, และ Trisomy 13 (Common Autosomal Trisomy: CAT)
• Copy Number Variant (CNV): เป็นสัดส่วนราว 10% ซึ่งเป็นกลุ่มของ Microdeletion หรือ Microduplication ที่ต้องใช้เทคนิค Chromosomal Microarray Analysis (CMA) ในการวินิจฉัย
• ความผิดปกติของยีนเดี่ยว (Single Gene Defect): คิดเป็นประมาณ 20% ซึ่งครอบคลุมโรคที่ถ่ายทอดแบบ Mendel เช่น Autosomal Dominant (AD), Autosomal Recessive (AR), หรือ X-Linked
• Multifactorial: เป็นสัดส่วนที่มากที่สุดที่ประมาณ 40% เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างยีนหลายตัวและปัจจัยสิ่งแวดล้อม (Environmental Factor) เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Defect) หรือ Neural Tube Defect
• Teratogen: เป็นสัดส่วนประมาณ 5%
กลไกทางพันธุกรรมที่นำไปสู่ความผิดปกติมีความสลับซับซ้อนอย่างยิ่งยวด อาทิ โครโมโซมผิดปกติ (จำนวนหรือโครงสร้าง), Single Gene Disorder, Mitochondrial Inheritance, DNA Triplet Repeat Expansion (เช่น Fragile X), และ Imprinting Disorder/UPD (Uniparental Disomy) เครื่องมือการตรวจวิเคราะห์แต่ละชนิดจึงมีข้อจำกัดในการตรวจจับกลไกเหล่านี้ที่แตกต่างกัน
__________________________________________
💡 คำอธิบายระดับพันธุกรรม (Genome Basics): การเปรียบเทียบโครโมโซมเสมือนตู้หนังสือ 46เล่ม:
__________________________________________

• โครโมโซม (Chromosome): เสมือนหนังสือแต่ละเล่ม การขาดหายไปหรือเกินมาทั้งเล่ม (Aneuploidy) สามารถตรวจจับได้ด้วย Karyotype
• ยีน (Gene): เสมือนบท (Chapter) ในหนังสือ การขาดหายไปของบทเล็กๆ (Microdeletion/Microduplication หรือ CNV) สามารถตรวจจับได้ด้วย Array
• เบส (Base Pair): เสมือนตัวอักษรในบทนั้นๆ การสะกดผิด (Point Mutation หรือ Single Gene Disorder) จำเป็นต้องใช้การ Sequencing เพื่ออ่านลำดับ
__________________________________________
🏥 ข้อบ่งชี้และแนวทางการตรวจคัดกรอง
__________________________________________

ปัจจุบัน American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) มีข้อแนะนำให้สตรีมีครรภ์ทุกราย ควรได้รับการนำเสนอทางเลือกในการตรวจคัดกรอง Aneuploidy ในครรภ์ (Prenatal Aneuploidy Screening) หรือการวินิจฉัย แม้ว่าระดับความเสี่ยงจะแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิด Fetal Genetic Disorder:
• Advance Maternal Age (AMA): เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ Aneuploidy ซึ่งมีสาเหตุจากการเกิดภาวะ Non-disjunction ในระหว่างกระบวนการ Meiosis I หรือ II
• Advance Paternal Age (APA): เพิ่มความเสี่ยงต่อ Fetal Single Gene Disorder โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Autosomal Dominant (AD)
• ประวัติบุตรคนก่อนมีความผิดปกติ (Anomalies): โอกาสที่ครรภ์ถัดไปจะมี Fetal Anomaly สูงกว่าประชากรทั่วไป
• ประวัติครอบครัวเป็นโรคทางพันธุกรรม
• พ่อแม่เป็นพาหะ (Carrier): เช่น เป็นพาหะธาลัสซีเมีย หรือเป็นพาหะ Chromosome Rearrangement
• พบ Fetal Structural Anomalies จากการตรวจอัลตราซาวด์
สำหรับแนวทางการตรวจวินิจฉัย (Diagnosis) องค์กรวิชาชีพชั้นนำ ได้แก่ ACOG, ACMG, และ SMFM แนะนำให้ส่ง Chromosomal Microarray Analysis (CMA) เป็นการตรวจแรก (First Test) ในกรณีที่พบ Fetal Structural Anomalies หรือ Stillbirth
__________________________________________
🛠️ เครื่องมือการวินิจฉัยทางพันธุกรรม: Karyotype vs. Array vs. Sequencing
__________________________________________

1. Karyotype (Cytogenetic Analysis)
เป็นการตรวจวิเคราะห์ทางเซลล์พันธุศาสตร์แบบดั้งเดิม โดยต้องใช้เซลล์ที่มีชีวิตและสามารถแบ่งตัวได้ (Dividing Cells) ซึ่งต้องนำไปเพาะเลี้ยงจนถึงระยะ Metaphase
• ความละเอียด (Resolution): ต่ำ โดยสามารถตรวจพบความผิดปกติที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 5–10 Mb (5-10 ล้านเบสแพร์) ขึ้นไป หากเล็กกว่านี้ Karyotype จะไม่สามารถมองเห็นได้
• ระยะเวลาดำเนินการ (Turnaround Time: TAT): ค่อนข้างยาวนาน ประมาณ 3–4 สัปดาห์ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเลี้ยงเซลล์
• จุดแข็ง: เป็นเครื่องมือเพียงชนิดเดียวที่สามารถตรวจพบ Balance Chromosomal Rearrangement ได้อย่างชัดเจน และสามารถตรวจจับ Low Level Mosaicism ได้ดีกว่า Array เนื่องด้วยความสามารถในการนับจำนวนเซลล์ได้มากกว่า
2. Chromosomal Microarray Analysis (CMA)
CMA มีความไวในการตรวจจับสูงกว่า Karyotype ถึง 100 เท่า จึงสามารถตรวจจับความผิดปกติขนาดเล็ก (Submicroscopic Deletion/Duplication หรือ CNV) ได้
• ความละเอียด (Resolution): สามารถตรวจจับได้ถึงระดับ 50–100 Kb (50,000 ถึง 100,000 เบสแพร์)
• ระยะเวลาดำเนินการ (TAT): รวดเร็วมาก อยู่ที่ประมาณ 3–5 วัน เนื่องจากใช้ DNA ที่ไม่ได้เพาะเลี้ยง (Uncultured DNA) จึงไม่จำเป็นต้องรอการแบ่งเซลล์
• แพลตฟอร์ม (Platforms):
o Comparative Genomic Hybridization (CGH): หลักการคือการเปรียบเทียบปริมาณ DNA ของผู้ป่วย (เช่น สีเขียว) กับ Reference DNA (เช่น สีแดง) หากเกินมาจะเห็นสัญญาณสีเขียวเด่น หากขาดหายไปจะเห็นสัญญาณสีแดงเด่น
o Single Nucleotide Polymorphism (SNIP) Array: ใช้วิธีวิเคราะห์รูปแบบ (Pattern) ของ SNIPs เพื่อตรวจจับการขาดหายหรือเกินของโครโมโซม อีกทั้งยังมีความสามารถในการตรวจจับ Triploidy และ Region of Homozygosity (ROH) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึง Uniparental Disomy (UPD) หรือภาวะ Consanguinity (การสืบเชื้อสายร่วมกัน) ได้
• Incremental Yield (ผลการตรวจที่เพิ่มขึ้น): หากทารกมี Structural Anomalies และ Karyotype ปกติ การใช้ Array จะช่วยเพิ่มโอกาสในการวินิจฉัยได้อีกประมาณ 6.5% หากทารกไม่มีลักษณะผิดปกติทางโครงสร้าง แต่อาจมีข้อบ่งชี้อื่น การใช้ Array จะเพิ่มโอกาสในการวินิจฉัยได้ประมาณ 1–2%
• ข้อจำกัดของ Array:
o ไม่สามารถตรวจพบ Balance Chromosomal Rearrangement
o ไม่สามารถตรวจพบ Low Level Mosaicism ได้ดีเท่า Karyotype
o ไม่สามารถตรวจพบ Point Mutation หรือ Single Gene Disorder
o มีความเสี่ยงที่จะเกิด Variant of Unknown Significance (VUS) ประมาณ 2% ซึ่งเป็น CNV ที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะก่อให้เกิดโรคหรือไม่
o อาจพบ Secondary Finding โดยบังเอิญ เช่น Non-paternity หรือ Adult-onset Disease ซึ่งต้องมีการให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยล่วงหน้า
3. Exome Sequencing (ES)
ES เป็นการตรวจในระดับเบส (ตัวอักษร) เพื่อค้นหาความผิดปกติของ Single Gene Disorder
• หลักการ: มุ่งเน้นไปที่ Exon (ส่วนที่เข้ารหัสเป็นโปรตีน) ซึ่งคิดเป็นเพียง 1.5% ของจีโนม แต่เป็นสาเหตุของโรคประมาณ 85%
• การแปลผล (Variant Interpretation): มีความซับซ้อนสูงมากและไม่สามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ ต้องอาศัยการให้คะแนนตามเกณฑ์ (Criteria) อย่างเคร่งครัด เช่น ความถี่ของ Variant ในประชากร, การทำนายผลต่อโปรตีน (Computational Prediction), ข้อมูลทางฟังก์ชัน (Functional Data), และข้อมูลการถ่ายทอด (Segregation/De Novo) การแปลผลที่คลาดเคลื่อน (ไม่ว่าจะเกินจริงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง) อาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการตัดสินใจทางการแพทย์ รวมถึงการยุติการตั้งครรภ์
• ข้อจำกัดและความท้าทาย:
o ระยะเวลาดำเนินการ (TAT): โดยทั่วไปใช้เวลานาน (ประมาณ 3 เดือน) เนื่องจากกระบวนการวิเคราะห์ Variant ที่ซับซ้อน การลด TAT อาจทำได้โดยใช้ Targeted Gene Panel หรือ Trio Sequencing (ตรวจพ่อแม่และลูกพร้อมกัน)
o ข้อจำกัดของข้อมูลทารก (Fetal Phenotype): ข้อมูลอัลตราซาวด์มีข้อจำกัดในการเห็นลักษณะผิดปกติบางอย่าง (Dysmorphic Feature) หรือภาวะพัฒนาการล่าช้า (Delay Development) ทำให้การแปลผลทางพันธุกรรมทำได้ยากขึ้น
o Secondary Finding: ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการรายงาน Secondary Finding (เช่น โรคหัวใจหรือมะเร็งบางชนิด) ใน Prenatal Sequencing ดังเช่นที่มีใน Postnatal
o VUS: มีโอกาสเกิด VUS ในระดับสูง ซึ่งนำมาซึ่งความวิตกกังวลแก่บิดามารดา
• คำแนะนำ: Exome Sequencing ยังไม่ได้รับการแนะนำให้ตรวจในสตรีมีครรภ์ทุกราย แต่ควรใช้ในกรณีจำเป็น เช่น พบ Anomalies ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิธีการทั่วไป (Karyotype, Array) หรือมีประวัติโรคซ้ำๆ ในหลายครรภ์ และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์คลินิก (Clinical Geneticist) เสมอ
__________________________________________
⚖️ การเปรียบเทียบการใช้งาน CMA และ Karyotype ในทางคลินิก
__________________________________________

แม้ว่า Chromosomal Microarray Analysis (CMA) จะมีความละเอียดที่เหนือกว่ามากถึง 100 เท่า แต่ Karyotype ก็ยังคงมีความสำคัญที่ไม่สามารถทดแทนได้ โดยมีข้อเปรียบเทียบดังนี้:
ในด้าน ความละเอียด (Resolution), CMA สามารถตรวจจับได้ในระดับ 50–100 Kb ซึ่งละเอียดกว่า Karyotype ซึ่งตรวจพบความผิดปกติขนาดใหญ่ที่ระดับ 5–10 Mb ขึ้นไปเท่านั้น สำหรับ ระยะเวลาดำเนินการ (TAT), CMA ใช้เวลาเพียง 3–5 วัน เนื่องจากใช้ DNA ที่ไม่ได้เพาะเลี้ยง (Uncultured DNA) ซึ่งรวดเร็วกว่า Karyotype ที่ต้องใช้เวลาถึง 3–4 สัปดาห์ในการเพาะเลี้ยงเซลล์
อย่างไรก็ตาม, Karyotype มีจุดแข็งที่สำคัญคือเป็นเครื่องมือเพียงชนิดเดียวที่ สามารถตรวจพบ Balance Chromosomal Rearrangement ได้อย่างชัดเจน และ มีความสามารถในการตรวจจับ Low Level Mosaicism ได้ดีกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ Array ไม่สามารถทำได้ ในทางกลับกัน, CMA มีความสามารถในการตรวจ CNV (Microdeletion/Microduplication) ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Karyotype ไม่สามารถทำได้ ทั้งสองวิธีสามารถตรวจหาภาวะ Aneuploidy/Trisomy ได้ แต่ไม่สามารถตรวจหา Point Mutation หรือ Single Gene Disorder ได้

นอกจากนี้, Karyotype ยังมีความสำคัญในการให้ ข้อมูล Recurrence Risk เนื่องจากสามารถระบุกลไกทางพันธุกรรม เช่น Translocation ได้อย่างชัดเจน เพื่อใช้ในการประเมินความเสี่ยงซ้ำในครรภ์ถัดไป ในขณะที่ Array ให้ข้อมูลเพียงการขาดหรือเกินเท่านั้น ทำให้ไม่ทราบถึงกลไกที่แน่ชัด

ในทางปฏิบัติ จึงมีการพิจารณาส่งทั้งสองการตรวจควบคู่กันไป โดยเฉพาะกรณีที่ต้องการทราบกลไกทางพันธุกรรม (เช่น Translocation) เพื่อประเมินความเสี่ยงซ้ำในครรภ์ถัดไป (เช่น ความเสี่ยงซ้ำอาจเพิ่มสูงถึง 15% หากเป็น Translocation, ซึ่งแตกต่างจาก Trisomy ธรรมดาที่มีความเสี่ยงประมาณ 1% เท่านั้น)
__________________________________________
🗣️ บทบาทของการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม (Genetic Counseling)
__________________________________________

เนื่องด้วยการตรวจทางพันธุกรรมมีความซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูง และมีข้อจำกัดหลายประการ การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยควรดำเนินการร่วมกันเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพ (Multidisciplinary Team) ทั้งสูติแพทย์และนักพันธุศาสตร์:
1. Pre-Test Counseling: ต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบถึงข้อจำกัดของการตรวจ Array/Sequencing ว่าไม่สามารถตรวจจับกลไกทางพันธุกรรมได้ครบทุกชนิด (เช่น Multifactorial, Teratogen, Single Gene Disorder บางชนิด)
2. การจัดการ VUS: ต้องแจ้งล่วงหน้าว่าผลการตรวจอาจปรากฏเป็น VUS (Variant of Unknown Significance) ในสัดส่วนประมาณ 2% ซึ่งเป็นภาวะก้ำกึ่งที่ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็น Pathogenic หรือ Benign การเตรียมใจและการกำหนดแนวทางรับมือล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดความวิตกกังวล
3. Secondary Finding: ต้องปรึกษาผู้ป่วยว่ามีความประสงค์ที่จะรับทราบข้อมูลการตรวจพบความผิดปกติที่ไม่ได้ตั้งใจค้นหา (Secondary Finding) หรือไม่ เช่น โรค Adult-onset Disease (เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หรือมะเร็งบางชนิด) หรือการพบ Non-paternity/Consanguinity โดยบังเอิญ
4. ความเข้าใจเทคนิค: ผู้ให้บริการควรมีความเข้าใจในเทคนิคของ CMA ที่ใช้ (เช่น 300K หรือ 750K) เนื่องจากความละเอียดที่สูงขึ้นอาจนำไปสู่การพบ VUS ที่มากขึ้น ซึ่งต้องพิจารณาความเหมาะสมในการนำมาใช้ในครรภ์
__________________________________________
บทสรุป
__________________________________________

การตรวจวินิจฉัยทางพันธุกรรมก่อนคลอดได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด จาก Karyotype สู่ Chromosomal Microarray (CMA) และ Exome Sequencing (ES) โดยที่ Array ได้กลายเป็นมาตรฐานแรกในการตรวจวินิจฉัยสำหรับทารกที่มีโครงสร้างผิดปกติ อย่างไรก็ตาม แต่ละเทคนิคล้วนมีข้อจำกัดของตนเอง และไม่มีการตรวจใดที่สามารถตรวจจับกลไกของโรคทางพันธุกรรมได้ครบถ้วนทั้งหมด ดังนั้น ความรอบรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในกลไกการเกิดโรคและข้อจำกัดของเครื่องมือวิเคราะห์ ตลอดจนการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมและรอบด้าน จึงถือเป็นหัวใจสำคัญในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยและครอบครัว

FDA เปิดทาง: ยีนบำบัดเฉพาะบุคคล จาก "Mission Impossible" สู่ "Possible" ก้าวข้ามจาก "One-size-fits-all" สู่ "One patient...
14/11/2025

FDA เปิดทาง: ยีนบำบัดเฉพาะบุคคล จาก "Mission Impossible" สู่ "Possible" ก้าวข้ามจาก "One-size-fits-all" สู่ "One patient at a time"

องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้ประกาศ "พิมพ์เขียว" ครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่เคยเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้อย่าง “Mission Impossible” ในการรักษาโรคพันธุกรรมที่หายากและซับซ้อน ให้กลายเป็น “Possible” โดยการเปิดเส้นทางอนุมัติยาบำบัดด้วยการตัดต่อยีน (Gene-Editing Treatments) ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายโดยเฉพาะ นับเป็นการก้าวกระโดดจากยุค "One-size-fits-all" สู่การแพทย์ที่มุ่งเน้น "One patient at a time" อย่างแท้จริง

แนวทางดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชื่อดังอย่าง New England Journal of Medicine โดยมีแรงบันดาลใจและหลักฐานสนับสนุนจากกรณีของ "Baby K.J." ทารกผู้ซึ่งได้รับการรักษาด้วยการตัดต่อยีนแบบสั่งทำพิเศษ (Custom Gene-Editing) เพื่อแก้ไขความผิดปกติทางพันธุกรรมที่หายากและเป็นอันตรายถึงชีวิต
____________________________________
จุดเริ่มต้นจากปาฏิหาริย์ของ Baby K.J.
____________________________________

Baby K.J. เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเดิมๆ เขาเกิดมาพร้อมกับภาวะขาดเอนไซม์ Carbamoyl-Phosphate Synthetase 1 (CPS1) ซึ่งเป็นโรคหายากที่ส่งผลต่อ วัฏจักรยูเรีย (Urea Cycle) ในตับ

ก่อนการรักษา: ความบกพร่องของยีน CPS1 ทำให้ร่างกายของ K.J. ไม่สามารถผลิตเอนไซม์ CPS1 ที่ทำงานได้ ซึ่งเอนไซม์นี้มีหน้าที่สำคัญในการเปลี่ยน แอมโมเนีย (Ammonia) ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากการย่อยสลายโปรตีน ให้กลายเป็น ยูเรีย (Urea) เพื่อขับออกทางปัสสาวะ การสะสมของแอมโมเนียในเลือดสูง (Hyperammonemia) จึงเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นภัยคุกคามต่อชีวิต

____________________________________
การบำบัดเฉพาะบุคคล:
____________________________________

1. ทีมแพทย์ได้ระบุตำแหน่งการกลายพันธุ์ที่เฉพาะเจาะจงในยีน CPS1 ของ K.J.

2. พวกเขาใช้เทคโนโลยีตัดต่อยีน "k-abe" (Adenine Base Editor) ซึ่งเป็นยาตัดต่อฐานดีเอ็นเอที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ซ่อมแซมความผิดปกติในยีน CPS1 ของ K.J. โดยตรง

3. ยาบำบัดนี้ถูกนำส่งไปยังเซลล์ตับ (ซึ่งเป็นอวัยวะที่รับผิดชอบวัฏจักรยูเรีย) ผ่านอนุภาคไขมันนาโน

4. ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ หลังจากการยื่นคำร้องผ่านช่องทางพิเศษของ FDA (Single-patient IND) การบำบัดก็เริ่มต้นขึ้น
ผลลัพธ์หลังการรักษา: การแก้ไขยีนที่ประสบความสำเร็จทำให้เซลล์ตับของ Baby K.J. กลับมาผลิตเอนไซม์ CPS1 ที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายของเขาเคยผลิตไม่ได้เลยมาก่อน สิ่งนี้ทำให้วัฏจักรยูเรียกลับมาทำงานได้บางส่วน และส่งผลให้:

• K.J. สามารถจัดการและรับโปรตีนจากอาหาร (Dietary Protein) ได้ในปริมาณที่มากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด

• ระดับแอมโมเนียถูกควบคุมได้ดีขึ้น และความจำเป็นในการใช้ยาควบคุมไนโตรเจน (Nitrogen-scavenger medication) ก็ลดลง
ผลลัพธ์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่า "ยาเฉพาะบุคคล" สามารถให้ผลลัพธ์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการรักษาแบบมาตรฐาน
____________________________________
ถอดรหัส "Plausible Mechanism Pathway"
____________________________________

FDA เรียกแผนงานใหม่นี้ว่า "Plausible Mechanism Pathway" หรือ "เส้นทางกลไกที่เป็นไปได้" ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถทำการทดลองแบบสุ่ม (Randomized Trial) ในผู้ป่วยจำนวนมากได้ โดยมีหลักการสำคัญ 5 ข้อที่ต้องพิจารณา:
____________________________________
1. การระบุความผิดปกติทางชีวภาพที่ชัดเจน
____________________________________
การรักษานี้จะสงวนไว้สำหรับโรคที่ทราบสาเหตุทางชีวภาพอย่างแม่นยำเท่านั้น เช่น ภาวะทางพันธุกรรมที่มีความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างการกลายพันธุ์และอาการของโรค ไม่ใช่ โรคที่นิยามด้วยชุดของอาการทางคลินิกที่กว้างๆ
____________________________________
2. ตัวยาต้องมุ่งเป้าไปที่ต้นเหตุ
____________________________________

ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ต้องออกแบบมาเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพที่เป็นรากฐานของโรคโดยตรง ไม่ใช่แค่การบรรเทาอาการหรือผลกระทบที่อยู่ห่างไกลจากสาเหตุหลัก
____________________________________
3. มีข้อมูลประวัติธรรมชาติของโรค
____________________________________
ต้องมีข้อมูลที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา โรคจะมีอาการทรุดลงอย่างไร (Natural History) เพื่อใช้เป็นฐานในการเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการรักษา
____________________________________
4. ยืนยันว่าเป้าหมายถูก "แก้ไข" สำเร็จ
____________________________________

ต้องมีหลักฐานยืนยันว่ายีนหรือเป้าหมายที่ต้องการแก้ไขนั้นได้รับการตัดต่อหรือแก้ไขสำเร็จแล้ว (เช่น การตรวจชิ้นเนื้อ) อย่างไรก็ตาม FDA ก็มีความยืดหยุ่นในการพิจารณาหลักฐานอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นการตรวจชิ้นเนื้อที่รุกล้ำ
____________________________________
5. ต้องมีการปรับปรุงผลลัพธ์ทางคลินิก
____________________________________

ต้องมีการปรับปรุงในผลลัพธ์ทางคลินิกอย่างสม่ำเสมอ ในโรคที่มีอาการแย่ลงเรื่อยๆ การรักษาต้องแสดงให้เห็นถึงการหยุดยั้งหรือย้อนกลับของความเสื่อมนั้น ผู้ป่วยแต่ละคนอาจถูกพิจารณาให้เป็นกลุ่มควบคุมของตนเอง โดยเปรียบเทียบกับอาการก่อนการรักษา
____________________________________
เปรียบเทียบ: เส้นทางอนุมัติยาแบบดั้งเดิม vs. ยีนบำบัดเฉพาะบุคคล
____________________________________
การเปรียบเทียบระหว่างสองเส้นทางนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของ FDA ในการรับมือกับการแพทย์เฉพาะบุคคล:

คำว่า Bespoke Therapy หรือ "การบำบัดแบบสั่งทำพิเศษ" คือหัวใจสำคัญของแนวคิด "One patient at a time" ซึ่งหมายถึงการรักษาที่ถูก ออกแบบ สร้าง และปรับแต่ง ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อแก้ไขความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือกลไกทางชีววิทยาที่ผิดพลาด เฉพาะเจาะจง ของผู้ป่วย เพียงรายเดียว เท่านั้น ไม่ใช่ยาที่ผลิตจำนวนมาก แต่เป็น "ชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีต" ให้ตรงกับรหัสพันธุกรรมที่ผิดพลาดของบุคคลนั้น ๆ โดยสมบูรณ์

• รากศัพท์ของ Bespoke: คำนี้มาจากภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์เดิมในอุตสาหกรรมการตัดเย็บเสื้อผ้า (Tailoring) โดยมาจากคำว่า bespeak ซึ่งหมายถึง "สั่งทำตามที่ระบุไว้ล่วงหน้า" หรือ "ออกแบบตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า" ดังนั้น Bespoke Therapy จึงเปรียบเสมือน "ชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีต" ให้ตรงกับรหัสพันธุกรรมที่ผิดพลาดของบุคคลนั้น ๆ โดยสมบูรณ์

• เส้นทางอนุมัติแบบดั้งเดิม (Traditional Pathway) เป็นแนวคิด "One-size-fits-all" (ยาเดียวรักษาได้ทุกขนาด/ทุกรูปแบบ) ที่เข้มงวด มุ่งเน้นไปที่การอนุมัติยาที่ใช้ได้กับผู้ป่วย "ส่วนใหญ่" ที่เป็นโรคเดียวกัน โดยมีสมมติฐานว่าสาเหตุและกลไกการเกิดโรคมีความคล้ายคลึงกันในประชากรผู้ป่วยส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงต้องทำการทดลองทางคลินิกแบบควบคุมแบบสุ่ม (RCT) ซึ่งต้องใช้ผู้ป่วยจำนวนมากเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพและความปลอดภัยในวงกว้าง

• ในทางตรงกันข้าม เส้นทางกลไกที่เป็นไปได้ (Plausible Mechanism Pathway) ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ "One patient at a time" (หนึ่งคนต่อหนึ่งการรักษา) สำหรับยาบำบัดเฉพาะบุคคล โดยยอมรับว่าโรคบางชนิด (โดยเฉพาะโรคหายาก) อาจเกิดจากการกลายพันธุ์ที่แตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย (หรือกลุ่มย่อย) ทำให้ไม่สามารถรวมกลุ่มผู้ป่วยมาทดลองแบบ RCT ได้ FDA จึงอนุญาตให้ใช้ข้อมูลจากผู้ป่วยเพียงไม่กี่ราย หรือแม้แต่ ผู้ป่วยรายเดียว (N=1) ในการพิจารณาแทน โดยมุ่งเน้นที่การแก้ไขต้นเหตุของโรคในระดับโมเลกุลของบุคคลนั้นๆ โดยตรง

____________________________________
สถานการณ์จำลอง: เมื่อโรคมียีนกลายพันธุ์นับร้อย
____________________________________

ความสำคัญของเส้นทางใหม่นี้จะเห็นได้ชัดจากสถานการณ์จำลอง: ลองจินตนาการถึง โรค X ซึ่งเป็นโรคหายากทางพันธุกรรมที่มีการกลายพันธุ์ของยีนที่แตกต่างกันถึง 150 รูปแบบ แม้ผลลัพธ์ของโรคจะคล้ายกัน แต่การรักษานั้นต้องสร้างยีนบำบัด 150 ตัวที่แตกต่างกัน

• หากใช้ แนวทางแบบดั้งเดิม การผลิตยาทั้ง 150 ตัวเพื่ออนุมัติถือเป็น "Mission Impossible" เพราะยากต่อการหาผู้ป่วยจำนวนมากมาทดลองแต่ละรูปแบบ ทำให้ยาไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้เลย

• แต่ด้วย Plausible Mechanism Pathway การพิสูจน์ความสำเร็จของ "แพลตฟอร์ม" การตัดต่อยีนในการรักษาผู้ป่วยรายแรกๆ ทำให้ภารกิจกลายเป็น “Possible” โดย FDA สามารถอนุมัติแพลตฟอร์มนี้ได้ทันที ผู้ผลิตจึงสามารถผลิตยาเฉพาะบุคคลสำหรับรูปแบบการกลายพันธุ์ที่เหลือได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การที่ผู้ป่วยทุกคนเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
____________________________________
ความท้าทายและความรับผิดชอบในยุคใหม่
____________________________________

แม้เส้นทางใหม่ของ FDA จะเต็มไปด้วยความหวัง แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่สำคัญในด้านความปลอดภัย (Safety) และการติดตามผล:

1. ความเสี่ยงของการตัดต่อผิดเป้าหมาย (Off-Target Edits): หนึ่งในความกังวลหลักของการตัดต่อยีนคือความเสี่ยงที่การแก้ไขจะเกิดขึ้นกับยีนอื่นที่ไม่ได้เป็นเป้าหมาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดในระยะยาว ดังนั้น ผู้ผลิตจึงมีพันธกรณีหลังการตลาด (Post-marketing Commitment) ที่จะต้องรวบรวมหลักฐานในโลกแห่งความเป็นจริง (Real-world Evidence) เพื่อยืนยันว่าไม่มีการตัดต่อผิดเป้าหมาย

2. การติดตามผลระยะยาว: เนื่องจากการบำบัดด้วยยีนมีผลถาวร ผู้ผลิตจึงต้องศึกษาผลกระทบของการรักษาในระยะยาว รวมถึงผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก ซึ่งเป็นข้อผูกมัดที่ต้องสมดุลกับความเร่งด่วนในการรักษาโรคที่อาจถึงแก่ชีวิต

3. การขยายขอบเขตสู่โรคทั่วไป: แม้จะเริ่มต้นที่โรคหายาก แต่เส้นทางนี้พร้อมจะขยายไปยังโรคทั่วไปที่มีความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง (Unmet Need) หรือโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์หลายรูปแบบ เพื่อให้การรักษาเฉพาะบุคคลเข้าถึงผู้ป่วยได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
____________________________________
ข้อเสนอแนะสำหรับ อย. ไทย: การเตรียมพร้อมรับมือคลื่นแห่งยีนบำบัด
____________________________________

เมื่อองค์กรกำกับดูแลระดับโลกอย่าง FDA ได้เปิดเส้นทางที่ชัดเจนเช่นนี้ องค์การอาหารและยาของไทย (อย. ไทย) ในฐานะผู้ดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของประเทศ ก็ควรเริ่มพิจารณาปรับปรุงและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการบำบัดแห่งอนาคตนี้ โดยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญที่ควรดำเนินการเชิงรุกดังนี้:
____________________________________
1. การพัฒนากฎระเบียบที่ยืดหยุ่นสำหรับ N=1 (Bespoke Therapy)
____________________________________

• สร้างช่องทางพิเศษ: ควรมีช่องทางที่รวดเร็วและยืดหยุ่น (คล้าย Single-patient IND) สำหรับยาบำบัดเฉพาะบุคคลสำหรับโรคหายากที่ไม่มีทางรักษาอื่น เพื่อลดระยะเวลาการเข้าถึงยาของผู้ป่วยวิกฤต

• นิยามหลักฐานใหม่: พิจารณายอมรับ "หลักฐานเชิงกลไกที่เป็นไปได้" (Plausible Mechanism Evidence) และการเปรียบเทียบอาการผู้ป่วยกับตนเอง (Patient-as-their-own-control) แทนการพึ่งพาเฉพาะ RCT ขนาดใหญ่ สำหรับการบำบัดที่จำเพาะเจาะจงสูง
____________________________________
2. การเสริมสร้างความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐาน
____________________________________
• คณะกรรมการเฉพาะทาง: จัดตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics) การตัดต่อยีน (Gene Editing) และจริยธรรม (Ethics) เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนสูงโดยเฉพาะ

• มาตรฐานห้องปฏิบัติการ (GMP): กำหนดมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) สำหรับการผลิตยาบำบัดเฉพาะบุคคลในศูนย์วิจัยหรือโรงพยาบาล (Point-of-Care Manufacturing) เพื่อรองรับการผลิตยาในปริมาณน้อยแต่มีความแม่นยำสูง
____________________________________
3. การติดตามผลระยะยาวและความปลอดภัยเชิงรุก
____________________________________
• ทะเบียนผู้ป่วยแห่งชาติ: สร้างระบบทะเบียนผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดด้วยยีนแห่งชาติ เพื่อติดตามผลลัพธ์ในระยะยาวและตรวจสอบความเสี่ยงของการตัดต่อยีนผิดเป้าหมาย (Off-target edits) อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตของผู้ป่วย

• การกำกับดูแลหลังการตลาด: กำหนดพันธกรณีที่ชัดเจนให้ผู้ผลิตหรือสถาบันที่ทำการรักษา ต้องรวบรวมหลักฐานในโลกแห่งความเป็นจริง (Real-world Evidence) และรายงานผลกระทบต่อพัฒนาการและการเติบโตของเด็ก ตามมาตรฐานที่ยอมรับร่วมกัน
____________________________________
4. ความร่วมมือระหว่างประเทศและในประเทศ
____________________________________

• เรียนรู้จากหน่วยงานสากล: ศึกษาและปรับใช้กรอบความคิดของ FDA, EMA (European Medicines Agency) และหน่วยงานกำกับดูแลระดับโลกอื่น ๆ เพื่อให้กฎระเบียบของไทยทันสมัยและเป็นมาตรฐานสากล

• สนับสนุนการวิจัยในประเทศ: สนับสนุนนักวิจัยและสถาบันในประเทศให้สามารถพัฒนายีนบำบัดของตนเองได้ ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวด เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศและเพิ่มการเข้าถึงของผู้ป่วย

การดำเนินการเชิงรุกเหล่านี้จะช่วยให้ อย. ไทย สามารถควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูให้ผู้ป่วยชาวไทยเข้าถึงการรักษาที่เคยถูกมองว่าเป็น "Mission Impossible" ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น
____________________________________
อนาคตของการอนุมัติยา
____________________________________

การตัดสินใจของ FDA ครั้งนี้จึงเป็นการขีดเส้นใต้ว่า วิทยาศาสตร์ได้ทำให้สิ่งที่เคยเป็น “Mission Impossible” ในการรักษาโรคพันธุกรรมเฉพาะบุคคลกลายเป็น “Possible” และเป็นการยอมรับในเชิงนโยบายอย่างเป็นทางการว่า กฎระเบียบต้องวิวัฒนาการเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านจากการรักษาแบบ “One-size-fits-all” ไปสู่ยุคที่ทุกชีวิตมีความสำคัญด้วยการมุ่งเน้นที่ “One patient at a time” อย่างแท้จริง

เมื่อผู้ผลิตแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยหลายรายด้วยการบำบัดเฉพาะบุคคลที่แตกต่างกัน FDA จะพิจารณาให้ใบอนุญาตทางการตลาดในวงกว้างขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ให้ความหวังใหม่แก่ผู้ป่วยโรคหายากที่รอคอยการรักษาเท่านั้น แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ว่า เทคโนโลยีตัดต่อยีนได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นจริงทางการแพทย์แล้ว

____________________________________

FDA’s New Plausible Mechanism Pathway
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMsb2512695?af=R&rss=currentIssue

14/11/2025

อนุมัติชุดตัดเย็บยีน! ✂️ Bespoke Therapy คืออะไร? การปฏิรูปกฎระเบียบของ FDA สหรัฐ เพื่อรักษาโรคหายาก

บทวิเคราะห์ด้านความคุ้มค่าของนโยบาย: NIPT แทน Quad test ภายใต้ สปสช.Quad (Quadruple Marker) test เป็นการคัดกรองดาวน์ซินโ...
13/11/2025

บทวิเคราะห์ด้านความคุ้มค่าของนโยบาย: NIPT แทน Quad test ภายใต้ สปสช.

Quad (Quadruple Marker) test เป็นการคัดกรองดาวน์ซินโดรม เอ็ดเวิร์ดส์ซินโดรม และภาวะท่อประสาทไม่ปิด โดยประเมินระดับฮอร์โมน 4 ชนิดร่วมกับการกำหนดอายุครรภ์ซึ่งต้องอาศัยทักษะของนักอัลตราซาวด์วินิจฉัย จึงมีความเสี่ยงต่อความคลาดเคลื่อนในพื้นที่ที่บุคลากรขาดแคลน

ในทางตรงกันข้าม NIPT จาก cfDNA ให้ผลคงที่ไม่ว่าตัวอย่างมาจากเมืองใหญ่หรือชนบท เพราะมีศูนย์ตรวจมาตรฐานรองรับทั่วประเทศและระบบขนส่งหลอดพิเศษที่คงสภาพตัวอย่างที่อุณหภูมิห้อง ทำให้การคัดกรองมีคุณภาพเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ และไม่ต้องพึ่งพาการประเมินอัลตราซาวด์อย่างเข้มข้นเหมือน Quad test

การให้บริการ NIPT ภายใต้บัตรทองจึงเป็นครั้งแรกที่หญิงตั้งครรภ์ทุกสิทธิ์เข้าถึงการคัดกรองโครโมโซมอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ ขณะที่ผลจาก economy of scale (ประสิทธิภาพเชิงขนาด) ของปริมาณตรวจระดับประมาณ 400,000 รายต่อปี ทำให้ตลาดเกิดการแข่งขัน ส่งผลให้ราคาค่าตรวจทั้งในระบบ สปสช. และนอกสิทธิ์ลดลงกว่าครึ่งอย่างเห็นได้ชัด

จากการที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี สอบถามโรงพยาบาลกว่า 100 แห่งทั่วประเทศในปี 2568 พบว่า ร้อยละ 99 ได้เปลี่ยนหรือกำลังเปลี่ยนมาใช้ NIPT แทน Quad test เป็นมาตรฐานหลักแล้ว และมีแนวโน้มว่าในปี 2569 จะเปลี่ยนเป็น 100% เต็ม โรงพยาบาลที่ยังมีน้ำยาตรวจ Quad test อยู่จึงปรับไปใช้กับหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่นอกสิทธิ์บัตรทองหรือผู้ที่ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิ์

________________________________________________

อ้างอิงข้อมูลจริงจากศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี (ข้อมูลตัวอย่างที่ส่งมาตรวจ NIPT เดือนที่ผ่านมา) ซึ่งเป็นเพียง ภาพรวมเบื้องต้น (Snapshot Data) ที่บันทึกในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อสะท้อนแนวโน้มเท่านั้น และจะมีการรวบรวมและสรุปผลตลอดทั้งปีอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

________________________________________________
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Genomic Medicine: การลงทุนที่ยกระดับมาตรฐานประเทศ
________________________________________________

ท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร นโยบายการดูแลมารดาและทารกในครรภ์ถือเป็นหัวใจสำคัญ การตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมในกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (T21) ได้รับการปฏิบัติมาอย่างยาวนานด้วยวิธี Quad test แต่ด้วยข้อจำกัดด้านความแม่นยำและอัตราผลบวกลวงที่สูง ทำให้เกิดภาระในการเจาะน้ำคร่ำโดยไม่จำเป็นจำนวนมหาศาล ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ระบบสาธารณสุขไทยจะต้องก้าวสู่ยุคใหม่ ด้วยการนำเทคโนโลยี Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT) เข้ามาแทนที่ ซึ่งไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงวิธีการตรวจ แต่คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเชิงสังคมสูงที่สุด และเป็นการก้าวกระโดดสู่ Genomic Medicine อย่างแท้จริง
________________________________________________
ผลลัพธ์จาก Real-World Data
________________________________________________

Real-World Data (RWD) คืออะไร? Real-World Data หมายถึง ข้อมูลที่ถูกรวบรวมจากการใช้งานจริงในระบบบริการสุขภาพ (เช่น โรงพยาบาล, คลินิก, หรือโครงการคัดกรองระดับประเทศ) ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้จากการทดลองทางคลินิกที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด (Clinical Trials) ข้อมูล RWD จึงสะท้อนประสิทธิภาพและความเสถียรของเทคโนโลยีในการใช้งานจริง (Real-World Effectiveness) ซึ่งมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือสูงในการประเมินนโยบายสาธารณสุข

ข้อมูลทั้งหมดนี้มาจากปริมาณตรวจ NIPT ภายใต้สิทธิ สปสช. ของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็น real-world data ที่สะท้อนคุณภาพงานจริงของประเทศไทยในระดับปฏิบัติการ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยประเมินความแม่นยำ ความเสถียร และความคุ้มค่าของการใช้นโยบาย NIPT แทน Quad test ได้อย่างมีน้ำหนัก
________________________________________________
คำอธิบายผลการตรวจที่สำคัญ:
________________________________________________

• T21, T18, T13: เป็นคำย่อทางการแพทย์ที่ใช้เรียกภาวะโครโมโซมเกินมา (Trisomy) ได้แก่ T21 (ดาวน์ซินโดรม), T18 (เอ็ดเวิร์ดซินโดรม) และ T13 (พาทัวซินโดรม)

• Low Risk (ความเสี่ยงต่ำ): ผลการตรวจบ่งชี้ว่าทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่ำมากที่จะมีความผิดปกติของโครโมโซมที่ตรวจคัดกรอง

• Inconclusive (ผลสรุปไม่ได้): ผลการตรวจที่ไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ชัดเจน มักเกิดจากปริมาณ DNA ของทารกในเลือดแม่ต่ำเกินไป (Fetal Fraction) ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำหรือตรวจยืนยันด้วยวิธีอื่น
________________________________________________
ผลลัพธ์รวม 2,531 ตัวอย่าง แสดงให้เห็นคุณภาพของระบบที่มั่นคง:
________________________________________________

• สัดส่วน Low Risk 99.56% อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับ epidemiology ของไทย

• การพบ T21 จำนวน 7 ราย, T18 จำนวน 2 ราย, และ T13 จำนวน 1 ราย อยู่ในช่วงคาดหวังตามประชากรจริง

• อัตรา Inconclusive เพียง 0.039% ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานโลกที่มักพบ 1–4% แสดงถึงประสิทธิภาพของการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ pre-analytical, analytical ไปจนถึง logistics ที่ลดการเสื่อมสภาพของตัวอย่างและสามารถรองรับปริมาณงานระดับ สปสช. ได้อย่างมีเสถียรภาพ
เมื่อเปรียบเทียบ NIPT กับ Quad test ไม่เพียงเห็นความแม่นยำที่เหนือกว่า แต่ยังเห็นความคุ้มค่าของนโยบายเชิงระบบ ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพ ความเท่าเทียม และภาระงานที่ลดลงของบุคลากรทางการแพทย์
________________________________________________
6 ประเด็นสำคัญด้านความคุ้มค่าเชิงนโยบาย
________________________________________________

1. ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม
________________________________________________

NIPT มีอัตรา false positive ต่ำกว่า 0.2% เทียบกับ 5–7% ใน Quad test ทำให้ลดการเจาะน้ำคร่ำที่ไม่จำเป็นจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายที่ลดลงต่อเคสครอบคลุมทั้งค่าหัตถการ, ค่า admit, เวลาของบุคลากร และความเสี่ยงแท้งจาก invasive procedure ขณะเดียวกัน การตรวจพบ T21/T18/T13 ตั้งแต่ต้นยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายตลอดชีวิตของผู้ป่วยที่อาจสูงกว่า 10–20 ล้านบาทต่อราย จึงทำให้ NIPT ให้ผลตอบแทนเชิงสังคมสูงกว่าอย่างชัดเจน
________________________________________________
2. ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างจังหวัดและโรงพยาบาล
________________________________________________

Quad test ต้องอาศัยการประเมินระดับฮอร์โมนร่วมกับความแม่นยำของการกำหนดอายุครรภ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับคุณภาพอัลตราซาวด์และทักษะของ sonographer ผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ตรวจอัลตราซาวด์เพื่อตรวจวัดอายุครรภ์และโครงสร้างทารกในครรภ์ ความแม่นของผลจึงแปรผันตามประสบการณ์ของบุคลากร ทำให้จังหวัดขนาดเล็กที่มี sonographer จำกัดเสียเปรียบอย่างมาก

ในทางตรงกันข้าม NIPT ซึ่งอาศัย cfDNA ไม่ขึ้นกับทักษะอัลตราซาวด์ จึงทำให้โรงพยาบาลทุกระดับ—ตั้งแต่จังหวัดใหญ่จนถึงอำเภอชนบท—เข้าถึงคุณภาพการคัดกรองทารกในครรภ์ระดับเดียวกัน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะพื้นที่ที่ sonographer ขาดแคลนหรือมีภาระงานสูง
________________________________________________
3. อธิบายข้อจำกัดเชิงพันธุศาสตร์ของ Quad test ที่ NIPT แก้ไขได้
________________________________________________

Quad test ไม่ได้วัด DNA ของทารก แต่เป็นเพียงการประเมินความเสี่ยงจากฮอร์โมน ซึ่งถูกรบกวนง่ายมากจากปัจจัยต่างๆ ในขณะที่ NIPT ใช้สัญญาณทางจีโนมโดยตรง ทำให้ไม่ถูกบิดเบือนจากปัจจัยเหล่านี้ และจึงมีความแม่นยำสม่ำเสมอในทุกกลุ่ม

ปัจจัยที่รบกวนการตรวจ Quad test:

• การทำ IVF (In Vitro Fertilization - การปฏิสนธินอกร่างกาย): กระบวนการทำเด็กหลอดแก้วมีผลต่อระดับฮอร์โมนที่ใช้ในการตรวจคัดกรอง

• ภาวะเบาหวาน

• BMI (Body Mass Index - ดัชนีมวลกาย) สูง: น้ำหนักตัวที่สูงของมารดาสามารถส่งผลต่อความเข้มข้นของฮอร์โมนในเลือดได้

• อายุครรภ์ไม่ตรง

• ความแปรผันของประชากร (model พัฒนาจากข้อมูลยุโรป-อเมริกัน ไม่ใช่เอเชีย)
________________________________________________
4. เสริมความสำคัญของ Genetic Counselor – Variant Analyst – MFM
________________________________________________

ผล NIPT ที่มีความแม่นยำจะเกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตีความผลได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะ genetic counselor (ที่ปรึกษาทางพันธุกรรม) และ variant analyst (นักวิเคราะห์การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูล ขยายความหมายเชิงคลินิก และสื่อสารให้ผู้ป่วยเข้าใจง่ายและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ขณะเดียวกันแพทย์สูติ–นรีเวช และแพทย์ MFM – Maternal–Fetal Medicine (แพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์) ต้องมีทักษะในการอธิบายทางเลือก ประเมินความเสี่ยง และวางแผนดูแลร่วมกัน

องค์ประกอบทั้งหมดนี้คือหัวใจของระบบบริการแบบครบวงจรที่รพ.รามาธิบดีกำลังพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวคิด genomic medicine ยุคใหม่
________________________________________________
5. ศูนย์จีโนมมีศักยภาพในการรองรับปริมาณสูงระดับประเทศ
________________________________________________

ผลลัพธ์ที่เสถียรในเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ศุนย์จีโนมทางการแพทย์ รามาธิบดี เป็นอีกหนึ่งศูนย์บริการที่สามารถรองรับปริมาณตัวอย่างระดับพันตัวอย่างต่อเดือน และขยายความสามารถไปถึงระดับ 2,000–3,000 รายต่อเดือน ได้ โดยยังคงคุณภาพ TAT

ที่อยู่

Center For Medical Genomics
Bangkok
10400

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 19:00
อังคาร 08:30 - 19:00
พุธ 08:30 - 19:00
พฤหัสบดี 08:30 - 19:00
ศุกร์ 08:30 - 19:00
เสาร์ 09:00 - 18:00
อาทิตย์ 09:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+66645850928

เว็บไซต์

https://www.rama.mahidol.ac.th/rama-km/post-activity/99/download/2473

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Center for Medical Genomicsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Center for Medical Genomics:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram