เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี วีโว่ ดีคอนแทค

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี วีโว่ ดีคอนแทค ดีคอนแทคผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ปลอดภัย100%

ต้อเนื้อเป็นโรคกลุ่มเดียวกันกับต้อลม แต่มีการยื่นเข้าไปในส่วนของกระจกตา (ตาดำ) สาเหตุ เหมือนกับต้อลม คือเกิดจากการเสื่อม...
29/10/2017

ต้อเนื้อเป็นโรคกลุ่มเดียวกันกับต้อลม แต่มีการยื่นเข้าไปในส่วนของกระจกตา (ตาดำ) สาเหตุ เหมือนกับต้อลม คือเกิดจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตา

7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา       กรมการแพทย์แนะ 7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา เน้นกินผักผลไม้มีวิตามินเอ พักสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์...
07/10/2017

7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา

กรมการแพทย์แนะ
7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา เน้นกินผักผลไม้มีวิตามินเอ พักสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ บริหารดวงตาทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง และตรวจสุขภาพตาประจำปี

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ ให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพดวงตา ภายในพิธีเปิดการประชุมวิชาการพยาบาลจักษุเครือข่ายอาเซียน The 1st Congress of ASEAN Ophthalmic Nurses Society ว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความละเอียดอ่อน แต่มีบทบาทและสำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะช่วยให้เรามองเห็น การดูแลสุขภาพดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ สามารถทำได้ดังนี้

1. ทานอาหารมีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะพืชผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ผักคะน้า ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอ

2. หลับตาเพื่อพักสายตา ทุก 1 ชั่วโมง เมื่อใช้สายตามากๆ หรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ

3. สวมแว่นกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องเจอแสงแดด

4. การดูโทรทัศน์ควรปรับความสว่างของจอให้พอควร และควรนั่งห่างจากโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของขนาดจอ

5. เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ห้ามใช้มือขยี้ตา ให้ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำยาล้างตา

6. ควรบริหารดวงตา ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การบริหารง่ายๆ คือ หน้าตั้ง คอตรง กรอกลูกตาหมุนเป็นวงกลม ตามเข็มนาฬิและทวนเข็มนาฬิกา ทำต่อเนื่องกัน 10 ครั้ง และ

7. ควรตรวจสุขภาพตา จากจักษุแพทย์ปีละครั้ง เพื่อรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีอยู่เสมอ

》ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี!
📱โทรศัพท์มือถือ 063 8344498 คุณรุ้ง

ต้อหินต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและถือว่าเป็นโรคตาที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้ตาบอดได...
28/09/2017

ต้อหิน
ต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและถือว่าเป็นโรคตาที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้ตาบอดได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากโรคต้อกระจก สามารถพบได้ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อหินจะพบได้ประมาณ 1% หมายความว่า ในทุก ๆ 100 คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสตรวจพบโรคต้อหิน 1 คน

แต่เดิมโรคนี้มีคำนิยามว่า “เป็นโรคที่เกิดจากภาวะความดันภายในลูกตา/ความดันลูกตาสูงกว่าปกติ” แต่ในปัจจุบันพบว่า ต้อหินไม่จำเป็นต้องเกิดจากสาเหตุนี้เสมอไป จึงมีการเปลี่ยนคำนิยามของโรคนี้กันใหม่เป็น “โรคที่มีการทำลายเซลล์ประสาทในจอตา/จอประสาทตา (Retina) ไปเรื่อย ๆ ทำให้สูญเสียการมองเห็น และทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของขั้วประสาทตาไป เป็นลักษณะที่เรียกว่า Glaucomatous cupping disc (รอยหวำผิดปกติคือกว้างขึ้น ซึ่งเกิดที่ขั้วประสาทตา) จนเป็นผลทำให้ลานสายตาผิดปกติ”

กล่าวโดยสรุป ต้อหินเป็นโรคที่เซลล์ประสาทในจอตาตายไปเรื่อย ๆ ทำให้ลานสายตาผิดปกติ ขั้วประสาทตาซึ่งเป็นที่รวมของใยประสาทตาที่ต่อมาจากเซลล์ประสาทถูกทำลาย เกิดเป็นรอยหวำกว้างขึ้นที่ขั้วประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็น โดยภาวะเช่นนี้มักเกิดจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ความดันลูกตาที่สูงขึ้นผิดปกติ อายุที่มากขึ้น การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ การมีโรคที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงจอตาลดลง เป็นต้น

อนึ่ง แม้ว่าความดันลูกตาจะเป็นเพียงปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบได้มากที่สุดและเป็นสิ่งที่ตรวจวัดได้ ความดันลูกตา (Intraocular pressure – IOP) จึงเป็นปัจจัยเดียวที่เมื่อให้การรักษาแล้วสามารถเห็นผลเป็นรูปธรรมได้ แพทย์จึงใช้วิธีลดความดันลูกตาเป็นการรักษาหลัก และผู้ป่วยต้อหินส่วนมากจะมีความดันลูกตาสูงกว่าปกติ (ค่าปกติอยู่ที่ระหว่าง 10-21 มิลลิเมตรปรอท และมีค่าเฉลี่ยทั่วไปอยู่ที่ 15.5 มม.ปรอท) เมื่อความดันลูกตาสูงมาก การคลำลูกตาจากภายนอกจะรู้สึกว่าลูกตาแข็งคล้ายหิน อันเป็นที่มาของชื่อโรคต้อหิน ซึ่งไม่เกี่ยวกับการมีเศษหินอยู่ในตาแต่อย่างใด

สาเหตุของโรคต้อหิน
ต้อหินเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคต้อที่พบได้บ่อย ๆ มีทั้งต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก และต้อหิน แต่ต้อหินเป็นต้อเพียงชนิดเดียวที่ไม่มีตัวต้อให้เห็น เพราะต้อจริง ๆ แล้วเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากขั้วประสาทตาเสื่อม ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น เป็นการสูญเสียถาวรที่รักษาให้กลับคืนมาเป็นปกติไม่ได้ และเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะตาบอดที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยอาการสำคัญที่พบแทบทุกราย คือ การมีความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายได้ง่าย

โดยปกติแล้วภายในลูกตาจะมีการสร้างของเหลวหลายอย่าง ซึ่งของเหลวที่สำคัญอย่างหนึ่งจะอยู่ตรงช่องว่างระหว่างกระจกตากับแก้วตา ซึ่งเรียกว่า “ช่องด้านหน้าในลูกตา” หรือ “ช่องหน้าลูกตา” (Anterior chamber) ของเหลวชนิดนี้จะมีลักษณะใส เรียกว่า “น้ำหล่อเลี้ยงลูกตา” (Aqueous humor) ซึ่งจะไหลเวียนจากด้านหลังของม่านตา (Iris) ผ่านรูม่านตา (Pupil) เข้าไปในช่องด้านหน้าในลูกตา แล้วระบายออกนอกลูกตาโดยผ่านมุมแคบ ๆ ระหว่างตากับกระจกตาดำเข้าไปในตะแกรงระบายเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า “ท่อชเลมส์” (Schlemm’s canal) เข้าสู่หลอดเลือดดำที่อยู่นอกลูกตา แต่ถ้าการระบายของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาดังกล่าวเกิดการติดขัดด้วยสาเหตุใดก็ตาม (เช่น ความเสื่อมของร่างกายจากอายุที่มากขึ้น) จะทำให้มีการคั่งของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาและทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดเป็นโรคต้อหิน และความดันลูกตาที่สูงขึ้นนี้เองจะไปทำลายขั้วประสาทตา ทำให้ขั้วประสาทตาเสื่อมหรือฝ่อไปทีละน้อยจนตาบอดในที่สุด

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินเฉียบพลัน
ผู้หญิง เพราะพบได้มากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ผู้ที่มีเชื้อชาติเอเชีย คนเอเชียจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินชนิดมุมปิดได้มากกว่าชาติอื่น ๆ เนื่องจากโครงสร้างลูกตามีแนวโน้มที่มุมระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาจะมีความแคบมากกว่าชาวยุโรปหรืออเมริกันถึง 9 เท่า

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ทุกคน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่แก้วตาจะหนาตัวมากขึ้นตามอายุและทำให้ช่องด้านหน้าในลูกตาที่แคบอยู่แล้วยิ่งแคบมากขึ้นไปอีก จึงมีโอกาสเกิดต้อหินได้มากขึ้น จึงมักพบโรคนี้ในคนอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
ผู้ที่มีสายตายาว เพราะมีกระบอกตาสั้นและช่องด้านหน้าในลูกตาแคบ

ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ (กรรมพันธุ์หรือพันธุกรรม) เพราะโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ จึงมักพบพ่อแม่พี่น้องของผู้ป่วยเป็นโรคนี้ร่วมด้วย
สาเหตุอื่น ๆ เช่น เกิดจากโรคตาบางอย่าง (เช่น เป็นต้อกระจกที่ต้อแก่แล้วและไม่ได้รับการผ่าตัด แต่ส่วนใหญ่แล้วโรคนี้จะเกิดขึ้นฉับพลันโดยไม่มีโรคตาอื่น ๆ นำมาก่อน) หรือเกิดจากอุบัติเหตุจนแก้วตาเคลื่อนไปจากเดิม เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินเรื้อรัง
ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ (กรรมพันธุ์หรือพันธุกรรม) ถ้ามีญาติพี่น้องเป็นโรคต้อหินก็จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงขึ้น และกลับกันผู้ที่เป็นโรคต้อหินก็มักจะพบว่ามีญาติพี่น้องของตนเป็นโรคนี้ด้วย (มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคต้อหินจะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไปถึง 9.2 เท่า)
ผู้ที่มีเชื้อชาติแอฟริกัน คนเชื้อชาติแอฟริกันจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินเรื้อรังมากกว่าคนทั่วไปประมาณ 3-8 เท่า นอกจากนั้นคนแอฟริกันที่มีอายุ 45-65 ปี ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดตาบอดจากต้อหินได้มากกว่าคนในอายุเดียวกันสูงถึง 15 เท่า
ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง เพราะโรคเหล่านี้จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงขั้วประสาทตาได้น้อยลง จึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหินเรื้อรังก็เป็นได้ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีโรคข้ออักเสบจากสาเหตุบางอย่าง เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ก็มักจะมีโรคม่านตาอักเสบร่วมด้วย ซึ่งเมื่อเป็นเรื้อรังก็จะเกิดโรคต้อหินตามมาได้ในที่สุด

ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังอีกโรคที่สำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ความผิดปกติของหลอดเลือดต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เพราะนอกจากจะพบโรคต้อหินชนิดนี้ในผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าคนทั่วไปแล้ว โรคเบาหวานยังทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดที่จอตา ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานนอกจากจะต้องตรวจตาเพื่อดูว่าเบาหวานทำลายจอตาหรือไม่แล้ว ยังต้องตรวจดูด้วยว่ามีต้อหินหรือไม่ด้วย

ผู้ที่มีสายตาสั้น โดยเฉพาะในรายที่สั้นมาก ๆ คือ มากกว่า 6 ไดออปเตอร์ขึ้นไป ก็จะมีโอกาสเป็นโรคต้อหินเรื้อรังได้มากกว่าคนปกติ
ผู้ที่มีหรือตรวจพบความดันลูกตาสูงกว่าปกติ
ผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ
ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดทางตา ไม่ว่าจะเป็นต้อกระจก ผ่าตัดเปลี่ยนตา ผ่าตัดจอตา เหล่านี้อาจทำให้เกิดโรคต้อหินเรื้อรังตามมาในภายหลังได้
ผู้ที่เคยมีและรับการรักษาโรคเรื้อรังทางตา เช่น ตาขาวอักเสบ ม่านตาอักเสบ เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดโรคต้อหินเรื้อรังขึ้นมาได้

ผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุทางตา ทั้งจากแรงกระทบกระแทกหรือถูกของมีคม ทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือผ่านมานานแล้ว ทั้งจากอุบัติเหตุรุนแรงที่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือเพียงเล็กน้อยที่เกิดจากการใช้ยาหยอดตาเพียงไม่กี่วัน ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดโรคต้อหินเรื้อรังได้ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย ๆ คือ การมีเลือดออกในลูกตาหลังได้รับอุบัติเหตุจากการถูกกระแทก เช่น การถูกลูกขนไก่หรือถูกหนังสติ๊กจนทำให้มีเลือดออกในตา

ผู้ที่มีประวัติการใช้ยาทั้งชนิดหยอดตาหรือยารับประทานบางชนิด โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์ในรูปแบบของยาหยอดตาซึ่งนิยมใช้กันมาก เพราะยานี้จะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น หากใช้ยานี้ในคนที่มีความดันลูกตาสูงอยู่ก่อนแล้วก็จะเกิดโรคต้อหินได้ โดยมากมักเกิดอาการหลังจากหยอดยานานประมาณ 6-8 สัปดาห์ แต่หลังจากหยุดใช้ยาความดันลูกตาก็จะลดลงสู่ระดับเดิม (การใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดต้อหินเรื้อรังได้ประมาณ 35% จึงเป็นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนอายุต่ำกว่า 60 ปีเป็นโรคต้อหินเรื้อรังได้ เพราะโรคต้อหินเรื้อรังที่เกิดจากการใช้ยาจะไม่เลือกอายุ แม้จะอายุน้อยก็เป็นได้)

ต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา (Pterygium) คือ โรคตาที่เกิดจากเยื่อบุตาที่เกิดการเสื่อมและหนาตัวขึ้นงอกไปบนกระจกตา (ตาดำ) ซึ่ง...
04/09/2017

ต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา (Pterygium) คือ โรคตาที่เกิดจากเยื่อบุตาที่เกิดการเสื่อมและหนาตัวขึ้นงอกไปบนกระจกตา (ตาดำ) ซึ่งมักพบบริเวณหัวตามากกว่าหางตา และจะค่อย ๆ โตลุกลามอย่างช้า ๆ เข้าไปในตาดำ ถ้าเป็นมากจะลามเข้าไปจนถึงกลางตาดำและปิดรูม่านตา ซึ่งจะปิดบังการมองเห็นทำให้ตามัวได้

ต้อเนื้อเป็นโรคที่พบได้มากในประเทศเขตร้อนที่ค่อนข้างแห้งแล้ง กันดาร และมีฝุ่นลมจัด (ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายนั่นแหละครับ ส่วนประเทศที่มีอากาศหนาวจะไม่ค่อยพบคนเป็นโรคนี้) โรคนี้จึงเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่งในบ้านเราแทบทุกภาคของประเทศ แต่จะพบเป็นกันมากที่สุดในภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ฯลฯ เป็นต้น มักพบหรือเกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และจะพบได้มากในผู้ที่มีอายุระหว่าง 30-55 ปี (ยังไม่ค่อยพบโรคนี้ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี คือ พบได้เหมือนกันแต่น้อยมาก และยังไม่พบโรคนี้เลยในเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี) ส่วนอัตราการเกิดโรคนี้ในผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดได้พอ ๆ กัน

หมายเหตุ : หากเนื้องอกอยู่เฉพาะในส่วนที่เป็นตาขาวจะเรียกว่า “ต้อลม” แต่หากเนื้องอกจากตาขาวลามเข้าไปในตาดำจะเรียกว่า “ต้อเนื้อ”

สาเหตุของโรคต้อเนื้อ

ต้อเนื้อเป็นความผิดปกติของเยื่อบุตา (บริเวณตาขาวชิดตาดำ) ที่เกิดจากการเสื่อมและหนาตัวขึ้น ทำให้กลายเป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยมสีแดง ๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา เนื่องจากแผ่นเนื้อดังกล่าวมีสีแดงยื่นจากตาขาวเข้าสู่ตาดำเหมือนแผ่นเนื้อ

ต้อเนื้อระยะแรก
IMAGE SOURCE : synapse.koreamed.org (ต้อหินระยะแรกถึงระยะที่ 3)
ส่วนสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดต้อเนื้อนั้นในปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่พบว่าการถูกแสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต – UV) เป็นประจำ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้ นอกจากนี้ โรคตาแห้ง การถูกลม ฝุ่น ควัน ทราย ความร้อน สารเคมี และมลพิษทางอากาศเป็นประจำก็อาจทำให้เกิดโรคต้อเนื้อได้ด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้จึงพบโรคต้อเนื้อได้บ่อยในคนที่ทำงานกลางแจ้ง ซึ่งถูกแสงแดดเป็นประจำ เช่น ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ชาวประมง คนงานก่อสร้าง ผู้ที่ต้องรับเหมากลางแจ้ง วิศวกรสร้างทางหรือกรรมกรสร้างทาง นักกีฬากลางแจ้ง เป็นต้น และมีส่วนน้อยที่อาจพบได้ในผู้ที่มีอาชีพที่ต้องสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองตาอื่น ๆ บ่อย ๆ เช่น คนทำครัว (ถูกควัน ไอร้อน) คนงานในโรงงาน (ถูกสารเคมี) เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ผู้ป่วยบางรายจะมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย จึงเชื่อว่าปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเกิดต้อเนื้อได้ด้วย คืออย่างบางคนแม้จะไม่ได้เผชิญปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวเลยและทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์ก็ยังเป็นโรคนี้ได้ หรือบางคนอายุแค่ 17-18 ปีก็เป็นโรคนี้กันแล้ว ซึ่งตามหลักแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ นั่นแสดงว่าน่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์นั่นเอง

อาการของโรคต้อเนื้อ

จะเห็นแผ่นเนื้อเยื่อรูปสามเหลี่ยมที่ยื่นจากตาขาวเข้าไปในกระจกตา (ตาดำ) ซึ่งอาจเป็นสีเหลืองและมีสีแดงบ้างเล็กน้อย และมีเส้นเลือดอยู่รอบ ๆ ต้อเนื้อ โดยส่วนมากมักจะเกิดที่ด้านหัวตา (ด้านในของตาส่วนที่อยู่ใกล้กับจมูก) และมีส่วนน้อยที่อาจเกิดที่ด้านหางตา ทั้งนี้เป็นเพราะส่วนของหัวตามีโอกาสกระทบกับสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดต้อเนื้อได้มากกว่าส่วนหางตานั่นเอง และประกอบกับการมีหลอดเลือดมาเลี้ยงในบริเวณที่หัวตามากกว่าด้วย (ในผู้ป่วยบางรายอาจมีต้อเนื้อทั้งหัวตาและหางตาพร้อมกันได้ และผู้ป่วยอาจเป็นต้อเนื้อที่ตาเพียงข้างเดียวหรือเป็นทั้งสองข้างเลยก็ได้)

ในบางครั้งหลังจากถูกแสงถูกลมมาก ๆ หรือนอนดึก อาจทำให้เห็นหลอดเลือดขยายมีลักษณะแดงเรื่อ ๆ ได้
โดยทั่วไปผู้ป่วยจะไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นแต่อย่างใด นอกจากบางครั้งที่มีการอักเสบจะมีอาการเคืองตา แสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล หรือมีอาการปวดได้เล็กน้อย (อาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นเมื่อถูกแดดถูกลม)

ในบางรายที่เป็นโรคต้อเนื้อนานเป็นแรมเดือนแรมปี ต้อเนื้ออาจยื่นเข้าไปถึงกลางตาดำ ทำให้บดบังสายตา ตามัว และมองไม่ถนัดได้
ต้อเนื้อแม้จะลุกลามได้แต่ก็ไม่ใช่มะเร็งและไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งได้ จึงไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดกับดวงตา จึงสามารถปล่อยทิ้งไว้เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมต่อการผ่าตัดได้

ปรึกษา/สอบถามได้ค่ะ
โทร.063 8344498
line.

หรือคลิ๊กลิ้งค์ด้านล่างเลยค่ะ
https://line.me/R/ti/p/%40sisishop

เคล็ดลับดีๆในการดูแลดวงตาเวลาอยู่หน้าคอมฯค่ะสายด่วน 063-8344498 คุณรุ้งค่ะ
29/08/2017

เคล็ดลับดีๆในการดูแลดวงตาเวลาอยู่หน้าคอมฯค่ะ

สายด่วน 063-8344498 คุณรุ้งค่ะ

อาการของต้อกระจกตามัวลงช้าๆ เหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง โดยไม่มีอาการปวดตาเห็นภาพซ้อน สายตาพร่า สู้แสงไม่ได้ เห็นดวงไฟแตกกระจ...
23/08/2017

อาการของต้อกระจก

ตามัวลงช้าๆ เหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง โดยไม่มีอาการปวดตาเห็นภาพซ้อน สายตาพร่า สู้แสงไม่ได้ เห็นดวงไฟแตกกระจายโดยเฉพาะในเวลากลางคืน

ในบางรายอาการระยะแรกของต้อกระจก คือจะมีสายตาสั้นมากขึ้นๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยๆ เมื่อต้อกระจกขุ่นมาก แว่นตาจะช่วยไม่ได้

ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอาจจะเกิดอาการแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น มีอาการปวดตาอย่างรุนแรง และตาแดงมาก เนื่องจากโรคลุกลามกลายเป็นโรคต้อหินเฉียบพลัน และม่านตาอักเสบ จนกระทั่งตาบอดได้ในที่สุด

วิธีการรักษาต้อกระจก

เมื่อต้อกระจกเป็นมากจนทำให้สายตาขุ่นมัว การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ หรือเทคนิค “เฟโค” (Phacoemulsification) พร้อมทั้งใส่เลนส์แก้วตาเทียม เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้สายตาของผู้ป่วยดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์ เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย และได้ผลดีมาก ไม่จำเป็นต้องให้ยาสลบ นอกจากนี้ แผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาวิธีนี้จะมีขนาดเล็กมากเพียง 3 ม.ม. จึงสมานตัวได้เป็นปกติอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความสะอาด และระวังไม่ให้มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกต่อดวงตา

ดี คอนแทค-Dcontact  ฟาร์อินฟาเรดดี คอนแทค หลังจากที่ได้เผยแพร่ และมีคนทานมากๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ผล และดีมา...
19/08/2017

ดี คอนแทค-Dcontact ฟาร์อินฟาเรด

ดี คอนแทค หลังจากที่ได้เผยแพร่ และมีคนทานมากๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ผล และดีมากๆ

และวันนี้ดี คอนแทคเราได้มีการปรับโฉมใหม่ โดยเปลี่ยนรูปแบบจาก แคปซูล มาเป็นแบบเม็ดแทปเล็ต
และปรับสูตรดี คอนแทค เป็นสูตรเพิ่มพลัง "ฟาร์อินฟาเรด"

ฟาร์อินฟราเรด ดีอย่างไร?

*ข้อดีของ ฟาร์ อินฟราเรด คือ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย เพิ่มระดับออกซิเจนในเลือด เพิ่มการดูดซึมและเหนี่ยวนำสารอาหารที่ดีเข้าสู่กระบวนการของร่างกาย มากถึง 70%

**ข้อดีของฟาร์อินฟราเรดในอาหารเสริม คือ นวัตกรรมนาโนไบโอเทค ช่วยในเรื่องการกักเก็บพลังงานจากน้ำสู่กระบวนการผลิตในแต่ละสารสกัดเพื่อเหนี่ยวนำพลังานนั้นเข้าสู่เซลล์ต่างๆในร่างกายเพื่อเร่งซ่อมแซมในแต่ละจุดของร่างกาย

***ของแทัต้องซื้อจากตัวแทนที่มีบัตรอนุญาตเท่านั้นครับ

💯วันพฤหัสที่ 8 มิ.ย.เชิญร่วมงานเปิดตัว ดี คอนแทค ฟาร์อินฟาเรด พบกับ Mr. In sang kim เจ้าของสิทธิบัตรชาวเกาหลี ในงาน D Network Product for Life

วิธีโยคะสายตา ง่ายนิดเดียวชีวิตยุคไอที การใช้งานคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัย เพื่อทำงาน หรือติดต...
19/08/2017

วิธีโยคะสายตา ง่ายนิดเดียว

ชีวิตยุคไอที การใช้งานคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัย เพื่อทำงาน หรือติดตามข่าวสาร จำเป็นต้องใช้สายตาจ้องมองเป็นเวลานาน การดูแลสุขภาพดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญเทคนิคเพื่อบริหารดวงตาให้มีสุขภาพดีนั้นมีหลากหลาย โยคะมีการบริหารดวงตา

โดยต้องถอดแว่นหรือคอนแทคเลนส์ออกก่อน แล้วทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 หลับตาแล้วถูฝ่ามือสองข้างเข้าหากันไปมาอย่างเร็วจนรู้สึกร้อน

ขั้นตอนที่ 2 ประคบฝ่ามือทั้งสองข้างนาบกับหนังตานานประมาณ 1 นาที ให้รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่จากฝ่ามือสู่ดวงตา

ขั้นตอนที่ 3 ผ่อนคลายความ
เคร่งเครียดทั้งมวลลงพร้อมทั้งหายใจลึกๆ นำมือออก ลืมตาขึ้น

ขั้นตอนที่ 4 เคลื่อนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมองไปยังที่ไกลๆ จากมุมซ้ายสุด แล้วกวาดสายตาไปยังมุมขวาสุด ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 5 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาจากมุมขวาบนไปยัง มุมซ้ายล่างเป็นเส้นทแยงมุม ทำซ้ำๆ กัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 6 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาโดยกวาดสายตาเป็นวง (ทิศทางตามเข็มนาฬิกา) ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 7 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาจากบนสุดลงมายังจุดล่างสุด โดยมองไปยังจุดไกลๆ ที่สุดด้านบน แล้วกวาดสายตาลงมายังจุดด้านล่างอย่างช้าๆ ทำซ้ำกัน 4 ครั้งขั้นตอนง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตนเองเพียงแค่นี้ ก็สามารถดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดี

ที่มาข้อมูล สาระน่ารู้ดีดี.คอมที่มารูปภาพ photos.com

"ทุ ก ปั ญ ห า ด ว ง ต า มี ท า ง อ อ ก"(แชร์เป็นวิทยาทาน กับ ผู้มีปัญหาดวงตา)ครูสลา ขวัญใจคนลูกทุ่ง 🎼 เผยวิธีดูแลดวงตา ...
17/08/2017

"ทุ ก ปั ญ ห า ด ว ง ต า มี ท า ง อ อ ก"
(แชร์เป็นวิทยาทาน กับ ผู้มีปัญหาดวงตา)

ครูสลา ขวัญใจคนลูกทุ่ง 🎼 เผยวิธีดูแลดวงตา !!!
ปกติต้องใช้สายตาในการทำงานมากๆ มีปัญหาดวงตา ได้ทานดีคอนแทคประทับใจมาก จึงนำสิ่งดีๆ มีประโยชน์มาให้ใช้กันจ้า

🏚 บ้านเก่ายังต้องซ่อม!! 👀 ดวงตามีเพียงคู่เดียวของท่านซ่อมแซม 🛠 บ้างหรือยัง?? ➡ คุณหรือคนที่คุณรักมีอาการเช่นนี้หรือไม่??
❎ตาแดง ❎แสบตา ❎เคืองตา ❎ตาแห้ง ❎แพ้แสง ❎น้ำตาไหล ❎เบลอ ❎ตาพล่ามัว ❎มีจุดดำๆ ลอยไปลอยมา ❎มองเห็นคล้ายสายฟ้าแลบ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังประสบปัญหา "เกี่ยวกับดวงตา" ... ดีคอนแทค dcontact ช่วยได้มาก ๆๆๆๆๆ
อยากแชร์ให้ทุกคนเริ่มก้าวแรกกันค่ะ อย่ามัวรอวันโน้น วันนี้ ... ดวงตาสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตนะค่ะ

🌼🌻🌼🌻🌼🌻🌼🌻🌼🌻🌼🌻🌼🌻
👉👉มีปัญหาดวงตา นึกถึง D-contact (ดีคอนแทค)
ดูแลดวงตา...กับนวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส
🌼🌻🌼🌻🌼🌻🌼🌻🌼🌻🌼🌻🌼🌻
>>เหมาะสำหรับ
➡ผู้ที่มีอาการสายตาสั้นเทียม,สั้น,ยาว,เอียง
➡ผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์มาเป็นเวลานาน ตาแห้ง
➡ผู้ที่มีจอตาเปลี่ยนแปลง
➡ผู้ที่ใช้มือถือ-คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
➡พนักงานที่ทำงานผลัดกลางคืนมาเป็นเวลานาน
➡ผู้ที่ขับรถเป็นเวลานานนาน
➡ผู้สูงอายุสายตาฝ้าฟาง
➡ผู้ที่มีแนวโน้มน้ำตาไหลเมื่อเห็นแสงแดดจ้า
➡ผู้ที่มีปัญหาจอประสาทตา

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์บำรุงดวงตา “ดีคอนแทค”
สามารถป้องกันและแก้ปัญหาตามัว มองไม่ชัด
และต้อทุกประเภทของคุณได้อย่างชัดเจน เห็นผลเร็ว
รับประกันความพอใจ 100%💖💖💖

เลขทะเบียน อย. เลขที่ 10-1-15456-5-0001

ได้รับมาตรฐาน GMP, HACCP, ฮาลาลรับรอง

ขนาดบรรจุ 1 กล่อง 30 แคปซูล
สินค้าพร้อมส่ง ของแท้ 📮📮📮
บ.จัดส่งเองถึงหน้าบ้านท่าน

#มีปัญหาดวงตานึกถึงดีคอนแทค
💓ติดต่อคุณรุ้ง
💓โทร 063-8344498
👉line.

👉👉หรือคลิ๊กลิ้งค์ด้านล่างเลยค่ะ
https://line.me/R/ti/p/%40sisishop

วุ้นตาเสื่อมคืออะไร?วุ้นตาเสื่อม หรือ น้ำวุ้นตาเสื่อม หรือ น้ำวุ้นตาตกตะกอน (Vitreous floater หรือ Eye floater หรือ Floa...
14/08/2017

วุ้นตาเสื่อมคืออะไร?

วุ้นตาเสื่อม หรือ น้ำวุ้นตาเสื่อม หรือ น้ำวุ้นตาตกตะกอน (Vitreous floater หรือ Eye floater หรือ Floater) คือ ภาวะที่เกิดมีตะกอน อาจเป็นจุดเล็กๆ เป็นเส้นๆ และ/หรือเป็นวงๆ ซึ่งเกิดขึ้นในน้ำวุ้นตา (vitreous humor หรือ Vitreous humour) ที่ตามปกติจะใสไม่มีตะกอน กล่าวคือ ในภาวะปกติ น้ำวุ้นตาเป็นน้ำใส ไม่มีสี หนืดๆ คล้ายไข่ขาว ปราศจากหลอดเลือด โดยอยู่ในช่องตาส่วนหลังสุด (Vitreous cavity) เป็นเนื้อที่ 2/3 ของปริมาตรของลูกตาโดยประ มาณ (ต่างจากน้ำวุ้นส่วนหน้าที่เรียกว่า สารน้ำในลูกตา หรือ Aqueous humour) ซึ่งจะใสไม่มีความหนืดและอยู่ที่ส่วนหน้าของลูกตาในช่องที่เรียกว่า Anterior และ Posterior chamber)

น้ำวุ้นตานี้มีส่วนประกอบเป็นน้ำถึง 99% ที่เหลืออีกเพียง 1% เป็นโปรตีน กรด Hyaluro nic สาร Collagen ตลอดจน สารเกลือแร่ (Electrolyte) ต่างๆ สารเหล่านี้อาจเรียงเป็นเส้นใยบางๆ อาจพบเซลล์ได้บ้างเล็กน้อย ซึ่งทำให้น้ำวุ้นตามีลักษณะหนืดๆ
หน้าที่ของน้ำวุ้นตา บ้างก็ว่าไม่มีหน้าที่อะไร ที่สำคัญเพียงแต่ตัวน้ำวุ้นจะแนบกับจอตา เป็นส่วนทำให้จอตาแนบติดอยู่กับที่ ไม่หลุดออกมา บ้างก็ว่าอาจมีส่วนในการเลี้ยงส่วนอื่นของดวงตาอยู่บ้าง

วุ้นตาเสื่อมมีอาการอย่างไร?

วุ้นตาเสื่อม

วุ้นตา/น้ำวุ้นตาที่เสื่อม/ตกตะกอน อาจเป็นอณูเล็กๆ เป็นจุดจุดเดียว หลายจุด เป็นเส้น เป็นวงๆ และ/หรือเป็นเส้นหงิกๆงอๆ อณูเหล่านี้ เมื่อต้องแสงจากข้างหน้าดวงตา จะเกิดเป็นเงาทอดไปยังจอตา หรืออณูเหล่านี้ก่อให้เกิดการหักเหของแสงที่ผ่านมาจากส่วนหน้าดวงตากระ จายไปตกที่จอตาส่วนต่างๆ เกิดการรับรู้ว่ามีจุดมืดเกิดขึ้น และเนื่องจากอณูเหล่านี้อยู่ในน้ำวุ้นซึ่งเป็นน้ำ จึงมีการเคลื่อนไหวตามการขยับของลูกตา จึงทำให้เจ้าตัวรับรู้ว่ามีอะไรลอยไปมา แต่หากอณูเหล่านี้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เงาที่ทอดตกที่จอตา ก็จะอยู่กับที่ เจ้าตัวอาจไม่รู้สึกว่ามีอะไรลอยไปมา
รูปร่างและขนาด ตลอดจนจำนวนของอณู ทำให้เจ้าตัวแปลออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น มีจุดลอยไปมา มีลักษณะเป็นลูกน้ำ เป็นแมลง หรือเป็นวงๆ ลอยอยู่ข้างหน้า บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนมีแมลงบินอยู่ข้างหน้า อาจเห็น หรืออาจหายไป แต่จะเห็นชัดเมื่อมองผ่านพื้นเรียบ เช่น บนกระดาษสีขาว บนฝาผนัง ตลอดจนบนท้องฟ้าใส เป็นต้น

โดยทั่วไปการมองเห็นอะไรลอยไปมานี้ไม่ทำให้สายตามัวลง แต่อาจก่อให้เกิดความรำ คาญมากกว่า

วุ้นตาเสื่อมมีสาเหตุจากอะไร?

วุ้นตา/น้ำวุ้นตาเสื่อมมีสาเหตุจาก

น้ำวุ้นตาเสื่อมและหดตัว (Vitreous syneresis) แรกเกิดน้ำวุ้นจะหนืดจากการรวม ตัวของสาร Collagen ของ Protein และสารอื่นๆที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นน้ำ แต่เป็นส่วนเป็นเส้นใยบางๆ ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น ส่วนที่เป็นเส้นใยจะจับตัวกันหนาขึ้น ร่วมกับมีการหดตัวของน้ำวุ้นตาที่เหลือ จึงทำให้เส้นใยดังกล่าวมีขนาดใหญ่ และเห็นชัดขึ้น ลอยไปมา โดยพบมากในผู้สูงอายุ กล่าวกันว่า พบได้กว่า 50% ของคนอายุมากกว่า 70 ปี ของคนสายตาสั้นมากๆ และของผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุทางดวงตา ซึ่งเส้นใยเหล่านี้ หากเกิดขึ้นและลอยอยู่บริเวณขอบๆของดวงตา เจ้าตัวจะไม่มีอาการ แต่หากเส้นใยเหล่านี้มาอยู่บริเวณตรงกลางดวงตา ที่แสงผ่านเข้าจอตา เจ้าตัวจึงจะเกิดอาการขึ้น

ในภาวะปกติ น้ำวุ้นตานาบอยู่กับจอตาอย่างหลวมๆ แต่ส่วนหลังสุดที่อยู่รอบๆจาน /ขั้วประสาทตา (Optic disc) จะนาบแน่นกว่าบริเวณอื่น เมื่อน้ำวุ้นเสื่อม จะมีบางส่วนกลายเป็นน้ำใสๆ ส่วนที่หนืดเป็นใยรวมตัวกัน ดึงน้ำวุ้นที่เกาะที่ขั้วประสาทตาหลุดออกมา แล้วน้ำวุ้นที่ใสเป็นน้ำจะเข้าไปแทนที่ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกกันว่า PVD (Posterior vitreous detachment) ทำให้เจ้าตัวอาจเห็นเป็นวงลอยไปมาได้

ในการพัฒนาของการเกิดลูกตาคนเราตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั้น ภายในน้ำวุ้นตามีหลอดเลือดที่เรียกว่า Hyaloid artery หลอดเลือดนี้ต้องหดหายไปก่อนเด็กคลอด แต่ในบางคน การหดหายของหลอดเลือดไม่สมบูรณ์ ทำให้เด็กที่เกิดมาอาจยังมีติ่งของหลอดเลือดนี้หลงเหลืออยู่ ซึ่งภายในหลอดเลือดมีเม็ดเลือดแดง จึงอาจหลุดออกมาในวุ้นตาได้

อาจมีสารเคมีบางตัวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเส้นใย Synchysis scintillans ในน้ำวุ้น เกิดเป็นผลึกของแคลเซียม (Asteroid hyalosis) หรือของไขมันคอเลสเตอรอล/Cholesterol ลอยไปมาในน้ำวุ้นได้
มีรายงานว่าการใช้ยาบางตัวอาจก่อให้เกิดน้ำวุ้นตาเสื่อมตกตะกอนได้ เช่น Zovi rax (ยารักษาโรคเริม โรคงูสวัด และโรคอีสุกอีใส) อาจทำให้เกิดน้ำวุ้นตาเสื่อมตกตะกอนได้

ยังมีตะกอนที่เกิดจากสาเหตุต่างๆอีก แต่พบได้น้อยกว่า 5 ข้อแรก เช่น อาจมีเซลล์ต่างๆ ได้แก่ เม็ดเลือดแดงที่มาจากหลอดเลือดที่จอตาฉีกขาด หลอดเลือดที่ผิดปกติในผู้ป่วย เบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy) ในผู้ป่วยจอตาเสื่อม (Age related macular degeneration) ตลอดจนเม็ดเลือดขาวที่มาจากการอักเสบภายในดวงตาทั้งจากโรคม่านตาอัก เสบ การอักเสบภายในดวงตา (Endophthalmitis) การอักเสบจากอุบัติเหตุมีบาดแผลทำให้ดวงตาทะลุ นอกจากนี้อาจมีอณูสีเล็กๆ (Pigmented granule) ที่มาจากอณูสีในเนื้อเยื่อชั้นของจอตา หรือแม้แต่เซลล์มะเร็งที่หลุดมาจากมะเร็งตาในเด็ก/มะเร็งจอตา (Retinoblastoma) ฯลฯ

อนึ่ง ในบรรดาสาเหตุต่างๆที่ทำให้เกิดน้ำวุ้นเสื่อมตกตะกอนใน 5 ข้อแรก เป็นภาวะ/ประ เภทไม่อันตราย เรียกกันว่า Benign vitreous Floater เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ ส่วนในข้อ 6 เรียก ว่า Pathologic vitreous floater หรือเป็นประเภทอันตรายต้องหาสาเหตุและต้องรักษาต้นเหตุ

เมื่อมีอาการของวุ้นตาเสื่อมควรทำอย่างไร?
เมื่อมีอาการของวุ้นตาเสื่อม ควรต้องรีบพบจักษุแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ เพื่อการรัก ษาที่เหมาะสมเมื่อกรณีสาเหตุเกิดจากภาวะ/ประเภทอันตรายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เช่น เบาหวานขึ้นตา หรือ จอตาฉีกขาด
ควรเตรียมตัวมารับการตรวจวุ้นตาเสื่อมอย่างไร?
ผู้ที่มาด้วยอาการของวุ้นตาเสื่อมจำเป็นต้องรับการตรวจน้ำวุ้นตาและจอตาอย่างละเอียด การตรวจเริ่มจากตรวจส่วนหน้าของลูกตาก่อน ตามด้วยการขยายม่านตาด้วยยาหยอดตาขยายม่านตา เพื่อที่จะได้ดูน้ำวุ้นตาและจอตาให้ได้ทุกมุม เพราะการมีน้ำวุ้นเสื่อมตกตะกอนอาจเกิดร่วมหรือเป็นเหตุให้เกิดจอตาฉีกขาดได้ โดยทั่วไปจักษุแพทย์จะต้องดูว่ามีการฉีกขาดของจอตาที่บริเวณใดหรือไม่ การมีน้ำวุ้นตาตกตะกอนอาจพบจอตาฉีกขาดได้ประมาณ 15% แต่หากน้ำวุ้นตาตกตะกอนร่วมกับมีเม็ดเลือดแดงในวุ้นตา มีโอกาสจะพบจอตาฉีกขาดได้ถึง 75% ซึ่งหากพบจอตาฉีกขาด จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยแสงเลเซอร์เพื่อป้องกันการลอกของจอตา
อนึ่ง ผู้ที่มารับการตรวจ ซึ่งแพทย์ต้องตรวจโดยใช้ยาหยอดขยายม่านตา จะทำให้มีอา การตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้เป็นเวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง จึงไม่ควรขับรถมาตรวจเอง และไม่ใช้สายตาในการมองใกล้ประมาณ 2-4 ชั่วโมง สำหรับผู้สูงอายุควรมีญาติมาเป็นเพื่อนด้วย

มีปัญหาสายตาและดวงตา ปรึกษาโทร.063-8344498 คุณรุ้งค่ะ
09/08/2017

มีปัญหาสายตาและดวงตา ปรึกษา
โทร.063-8344498 คุณรุ้งค่ะ

บำรุง ฟื้นฟูด้วยอาหารเสริมดีคอนแทค สายด่วนโทร 063 8344498 คุณรุ้งคลิกเพื่อสอบถาม https://line.me/R/ti/p/%40sisishop
09/08/2017

บำรุง ฟื้นฟูด้วยอาหารเสริมดีคอนแทค

สายด่วนโทร 063 8344498 คุณรุ้ง
คลิกเพื่อสอบถาม
https://line.me/R/ti/p/%40sisishop

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

+66638344498

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี วีโว่ ดีคอนแทคผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี วีโว่ ดีคอนแทค:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram