09/09/2025
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด หรือ CBC นั่นเอง😍
🩸ถอดรหัส CBC: หยดเลือดของคุณกำลังบอกอะไร⁉️
เคยสงสัยไหมคะว่าในการตรวจสุขภาพประจำปี ทำไมเราต้องเจาะเลือด และผลเลือดที่เต็มไปด้วยตัวย่อและตัวเลขเหล่านั้นมันมีความหมายว่าอะไร? หนึ่งในการตรวจเลือดพื้นฐานที่สำคัญที่สุดและทำบ่อยที่สุดคือ การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ (Complete Blood Count หรือ CBC) ค่ะ
การตรวจ CBC เปรียบเสมือนการ "ส่องดู" ประชากรเซลล์ในกระแสเลือดของเรา ซึ่งเป็นข้อมูลด่านแรกที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการประเมินภาวะสุขภาพโดยรวม การวินิจฉัยโรค การติดตามการรักษา และการคัดกรองความผิดปกติต่างๆ ที่อาจซ่อนอยู่ บทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกความหมายของแต่ละพารามิเตอร์ใน CBC อย่างละเอียดกันค่ะ
⚠️ คำเตือนสำคัญ: โปรดอ่านก่อนเสมอ ⚠️
ก่อนจะดูค่าปกติต่างๆ ในบทความนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า ค่าปกติ (Reference Range) ของแต่ละโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการนั้นไม่เท่ากัน เนื่องจากขึ้นอยู่กับเครื่องมือ, น้ำยา, และกลุ่มประชากรที่ใช้อ้างอิง นอกจากนี้ ค่าปกติยังแตกต่างกันไปตาม เพศ, อายุ, และสภาวะร่างกาย (เช่น การตั้งครรภ์) ดังนั้น โปรดใช้ค่าอ้างอิงที่ระบุไว้ในใบรายงานผลเลือดของท่านเป็นหลักเสมอ และปรึกษาแพทย์เพื่อการแปลผลที่ถูกต้องที่สุด
🩸กลุ่มที่ 1: กองทัพเม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell Series) - หน่วยลำเลียงออกซิเจน

เม็ดเลือดแดง (Erythrocytes) มีหน้าที่สำคัญที่สุดคือการขนส่งออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาที่ปอดเพื่อขับทิ้ง ความผิดปกติในกลุ่มนี้มักเกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางหรือภาวะเลือดข้นเกินไป
1. จำนวนเม็ดเลือดแดง (RBC Count)
▪️ ความหมาย: คือจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงทั้งหมดในปริมาตรเลือด 1 ไมโครลิตร
▪️ กลไกและหน้าที่: เม็ดเลือดแดงถูกสร้างจากไขกระดูกโดยมีฮอร์โมน Erythropoietin (EPO) จากไตเป็นตัวกระตุ้น ภายในเซลล์เต็มไปด้วยโปรตีน "ฮีโมโกลบิน" ซึ่งทำหน้าที่จับกับออกซิเจนโดยตรง
▪️ค่าปกติโดยทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่:
RBC: ผู้ชาย 4.5-5.9 ล้านเซลล์/mcL, ผู้หญิง 4.0-5.2 ล้านเซลล์/mcL
▪️การแปลผล:
⬆️ค่าสูง (Erythrocytosis/Polycythemia): อาจเกิดจากการที่ร่างกายขาดออกซิเจนเรื้อรัง (เช่น การสูบบุหรี่, โรคปอด, การอาศัยบนที่สูง) ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงมาชดเชย หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของไขกระดูกที่สร้างเม็ดเลือดแดงออกมามากเกินไป (Polycythemia Vera) ทำให้เลือดข้นหนืดและเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
⬇️ค่าต่ำ (Anemia): บ่งชี้ถึงภาวะโลหิตจาง ซึ่งอาจเกิดจากการเสียเลือด, การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง (เช่น ขาดธาตุเหล็ก, วิตามิน B12, กรดโฟลิก) หรือมีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ (Hemolysis)
‼️ข้อจำกัดและข้อควรระวัง: ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) อาจทำให้ค่า RBC และค่าที่เกี่ยวข้องดูสูงกว่าความเป็นจริงได้ เนื่องจากปริมาตรของเหลวในเลือด (พลาสมา) ลดลง
2. ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin, Hb)
▪️ความหมาย: คือปริมาณโปรตีนฮีโมโกลบินในเลือด ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการนำพาออกซิเจนได้ดีที่สุด
▪️กลไกและหน้าที่: 1 โมเลกุลของฮีโมโกลบินประกอบด้วยโปรตีนโกลบิน 4 สาย และ "ฮีม" (Heme) 4 หน่วย ซึ่งแต่ละหน่วยมีธาตุเหล็ก (Fe²⁺) เป็นองค์ประกอบหลักในการจับออกซิเจน 1 โมเลกุล ดังนั้น 1 ฮีโมโกลบินจึงจับออกซิเจนได้ 4 โมเลกุล
▪️ค่าปกติโดยทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่:
Hb: ผู้ชาย 13.8-17.2 g/dL, ผู้หญิง 12.1-15.1 g/dL
▪️การแปลผล:
⬆️ค่าสูง: พบในภาวะเลือดข้นเช่นเดียวกับ RBC Count
⬇️ค่าต่ำ: เป็นตัวยืนยันภาวะโลหิตจางที่สำคัญที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่าย, อ่อนเพลีย, วิงเวียน, ใจสั่น เนื่องจากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
‼️ข้อจำกัดและข้อควรระวัง: การมีไขมันในเลือดสูง (Lipemia) หรือบิลิรูบินสูงมาก อาจรบกวนการวัดค่าสีของเครื่องตรวจวิเคราะห์ได้
3. ฮีมาโตคริต (Hematocrit, Hct)
▪️ความหมาย: คือเปอร์เซ็นต์ของปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่นต่อปริมาตรเลือดทั้งหมด
▪️ค่าปกติโดยทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่:
Hct: ผู้ชาย 40.7-50.3 %, ผู้หญิง 36.1-44.3 %
▪️การแปลผล: ค่า Hct จะแปรผันตาม RBC และ Hb โดยทั่วไปค่า Hct จะมีค่าประมาณ 3 เท่าของค่า Hb
⬆️ค่าสูง: ภาวะเลือดข้น, ภาวะขาดน้ำรุนแรง (เช่น ในโรคไข้เลือดออก)
⬇️ ค่าต่ำ: ภาวะโลหิตจาง, ภาวะที่มีน้ำในร่างกายเกิน (Overhydration)
‼️ข้อจำกัดและข้อควรระวัง: เป็นค่าที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรน้ำในร่างกายอย่างมาก
4. ดัชนีเม็ดเลือดแดง (Red Cell Indices)
กลุ่มนี้เป็นค่าคำนวณที่ช่วยบอก "ลักษณะ" ของเม็ดเลือดแดง ทำให้แพทย์สามารถจำแนกชนิดของภาวะโลหิตจางได้
🔬 MCV (Mean Corpuscular Volume): ขนาดเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดง
▪️ ค่าปกติโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 80 - 96 fL
⬇️ค่าต่ำ (Microcytic): เม็ดเลือดแดงขนาดเล็กกว่าปกติ พบในภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก, ธาลัสซีเมีย
⏺️ค่าปกติ (Normocytic): เม็ดเลือดแดงขนาดปกติ พบในภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเฉียบพลัน, โรคเรื้อรัง
⬆️ค่าสูง (Macrocytic): เม็ดเลือดแดงขนาดใหญ่กว่าปกติ พบในภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามิน B12 หรือกรดโฟลิก
🔬 MCH (Mean Corpuscular Hemoglobin): ปริมาณฮีโมโกลบินเฉลี่ยในเม็ดเลือดแดง 1 เซลล์
🔬 MCHC (Mean Corpuscular Hemoglobin Concentration): ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินเฉลี่ยในเม็ดเลือดแดง 1 เซลล์
(MCHและMCHC: บอกปริมาณและความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้รู้ว่าเม็ดเลือดแดง "ติดสีจาง (Hypochromic)" หรือไม่)
⬇️ค่าต่ำ (Hypochromic): เม็ดเลือดแดงติดสีจาง บ่งชี้ว่ามีฮีโมโกลบินน้อย มักพบร่วมกับ MCV ต่ำในภาวะขาดธาตุเหล็ก
🔬RDW (Red Cell Distribution Width): บอกความหลากหลายของขนาดเม็ดเลือดแดง หากค่านี้สูง หมายความว่าเม็ดเลือดแดงมีขนาดแตกต่างกันมาก มักเป็น สัญญาณแรกๆ ของภาวะขาดธาตุเหล็ก
⬆️ค่าสูง: บ่งชี้ว่าเม็ดเลือดแดงมีขนาดแตกต่างกันมาก (Anisocytosis) ซึ่งมักเป็นสัญญาณแรกๆ ของภาวะขาดธาตุเหล็ก
🩸กลุ่มที่ 2: กองกำลังเม็ดเลือดขาว (White Blood Cell Series) - หน่วยพิทักษ์ร่างกาย
เม็ดเลือดขาว (Leukocytes) คือเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม การเปลี่ยนแปลงของจำนวนและชนิดของเม็ดเลือดขาวสามารถบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ, การอักเสบ, หรือแม้แต่มะเร็งในระบบเลือดได้
1. จำนวนเม็ดเลือดขาว (WBC Count)
▪️ความหมาย: คือจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวทั้งหมดในปริมาตรเลือด 1 ไมโครลิตร
▪️ ค่าปกติโดยทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่: จำนวนเม็ดเลือดขาวรวม (WBC Count) ควรจะอยู่ที่ประมาณ 4,500 - 11,000 เซลล์/mcL
▪️การแปลผล:
⬆️ค่าสูง (Leukocytosis): มักบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ (โดยเฉพาะแบคทีเรีย), การอักเสบ, การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ, ความเครียดทางร่างกาย, หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
⬇️ค่าต่ำ (Leukopenia): อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด (เช่น ไข้เลือดออก), การทำงานของไขกระดูกล้มเหลว, การได้รับยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา, หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (เช่น SLE)
2. การนับแยกชนิดของเม็ดเลือดขาว (WBC Differential Count)
เป็นการนับเปอร์เซ็นต์ของเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดจาก 5 ชนิดหลัก ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกกว่าการดูแค่จำนวนรวม ซึ่งช่วยแยกภาวะผิดปกติได้ละเอียดยิ่งขึ้น
🔬นิวโทรฟิล (Neutrophil): ค่าปกติ 40 - 75%
▪️หน้าที่: เป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับ เชื้อแบคทีเรีย โดยการกินเชื้อโรค (Phagocytosis)
▪️แปลผล: สูงขึ้น (Neutrophilia) ในการติดเชื้อแบคทีเรียเฉียบพลัน การอักเสบ และการเห็นเซลล์ตัวอ่อน (Band form) เพิ่มขึ้นเรียกว่า "Left Shift"
🔬ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte): ค่าปกติ 20 - 45%
▪️หน้าที่: เป็นกำลังหลักในการต่อสู้กับ เชื้อไวรัส และสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว (T-cells, B-cells)
▪️แปลผล: สูงขึ้น (Lymphocytosis) ในการติดเชื้อไวรัสส่วนใหญ่ (เช่น โรคโมโนนิวคลีโอซิส) และมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด (เช่น CLL)
🔬โมโนไซต์ (Monocyte): ค่าปกติ 2 - 10%
▪️หน้าที่: เป็น "หน่วยเก็บกวาด" ที่จะเจริญไปเป็น Macrophage ในเนื้อเยื่อเพื่อกินเซลล์ที่ตายแล้วและเชื้อโรค
▪️แปลผล: สูงขึ้นในการติดเชื้อเรื้อรัง เช่น วัณโรค
🔬อีโอซิโนฟิล (Eosinophil): ค่าปกติ 1 - 6%
▪️หน้าที่: ต่อสู้กับการติดเชื้อ พยาธิ และเกี่ยวข้องกับ ปฏิกิริยาภูมิแพ้
▪️แปลผล: สูงขึ้น (Eosinophilia) ในโรคภูมิแพ้, หอบหืด, และการติดเชื้อพยาธิ
🔬เบโซฟิล (Basophil): ค่าปกติ 0 - 2%
▪️หน้าที่: เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาภูมิแพ้ โดยการหลั่งสารฮิสตามีน (Histamine)
▪️แปลผล: พบได้น้อยที่สุด แต่จะสูงขึ้นในภาวะภูมิแพ้บางชนิดและมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางประเภท
🩸กลุ่มที่ 3: เกล็ดเลือด (Platelet Series) - หน่วยซ่อมแซมและห้ามเลือด
เกล็ดเลือด (Thrombocytes) ไม่ใช่เซลล์ที่สมบูรณ์ แต่เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ขนาดใหญ่ในไขกระดูกที่เรียกว่า Megakaryocyte มีหน้าที่สำคัญในการทำให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล
1. จำนวนเกล็ดเลือด (Platelet Count, PLT)
▪️ความหมาย: คือจำนวนเกล็ดเลือดในปริมาตรเลือด 1 ไมโครลิตร
▪️ ค่าปกติโดยทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่: จะอยู่ที่ประมาณ 150,000 - 450,000 เซลล์/mcL
▪️การแปลผล:
⬆️ค่าสูง (Thrombocytosis): อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือดได้ พบได้ในภาวะอักเสบเรื้อรัง, การตัดม้าม, หรือความผิดปกติของไขกระดูก
⬇️ค่าต่ำ (Thrombocytopenia): ทำให้เลือดออกง่ายและหยุดยาก อาจมีจุดเลือดออกตามตัว (Petechiae) หรือจ้ำเลือดได้ง่าย สาเหตุมีหลากหลายมาก เช่น โรคไข้เลือดออก, โรคภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือด (ITP), การทำงานของไขกระดูกล้มเหลว
‼️ ข้อจำกัดและข้อควรระวัง: การเจาะเลือดที่ยากอาจกระตุ้นให้เกล็ดเลือดมาจับกลุ่มกัน (Platelet clumping) ทำให้เครื่องนับจำนวนได้ต่ำกว่าความเป็นจริงได้ ซึ่งนักเทคนิคการแพทย์จะต้องยืนยันผลด้วยการส่องดูสไลด์เลือดเสมอ
บทสรุป
การตรวจ CBC เป็นเครื่องมือคัดกรองสุขภาพที่ทรงพลัง ให้ข้อมูลมากมายจากเลือดเพียงหยดเดียว อย่างไรก็ตาม ผลตรวจ CBC เป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งเท่านั้น ค่าที่ผิดปกติเพียงค่าเดียวไม่ได้หมายความว่าคุณป่วยเป็นโรคร้ายเสมอไป แพทย์จะต้องนำผลตรวจนี้ไปประกอบกับอาการ, การตรวจร่างกาย, และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด และเบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้ คือบทบาทของนักเทคนิคการแพทย์ที่ต้องควบคุมคุณภาพการตรวจวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือที่สุดสำหรับผู้ป่วยทุกคนค่ะ
#ตรวจเลือด #โลหิตจาง #เม็ดเลือดขาว #เกล็ดเลือด #ไข้เลือดออก #ธาลัสซีเมีย #มะเร็งเม็ดเลือดขาว #การแปลผลเลือด #วิทยาศาสตร์การแพทย์ #นักเทคนิคการแพทย์ #สุขภาพ #ความรู้สุขภาพ
แหล่งอ้างอิง:
1. Bain, B. J., Bates, I., & Laffan, M. A. (2017). Dacie and Lewis Practical Haematology (12th ed.). Elsevier. Link: https://books.google.co.th/books?id=rEPUDAAAQBAJ&printsec=frontcover&redir_esc=y =onepage&q&f=false
2. National Heart, Lung, and Blood Institute. (n.d.). Blood tests. U.S. Department of Health and Human Services. Retrieved September 6, 2025, from https://www.nhlbi.nih.gov/health/blood-tests