25/03/2022
สวัสดีค่ะ วันนี้เภสัชกรมีสรุปแนวทางการป้องกัน ตรวจวัด ดูแลรักษาตนเองให้ห่างไกลจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
1. การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา ดังนั้น แนวทางในการป้องกันการติดเชื้อโควิด คือ
1.1 การสวมหน้ากากอนามัยเพื่อดักกรองเชื้อโควิด เปลี่ยนหน้ากากอนามัยเมื่อถึงขีดสุดประสิทธภาพของหน้ากากอนามัย ใช้หน้ากากอนามัยที่กระชับ ครอบคลุม เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสรับเชื้อ
1.2 สารทำความสะอาด ควรทำความสะอาดเท่าที่ทำได้ ภายใต้พื้นที่ที่เหมาะสม ทั้งที่ใช้กับผิวหนัง เฃ่น แอลกอฮอล์ คลอโรซินอล และพื้นผิว เช่น ไฮโปคลอไรด์ คลอเฮกซิดีน สารบางอย่างสามารถฉีดพ่นเพื่อให้เกิดภาวะปลอดเชื้อได้จะเป็นการดี
1.3 รักษาความสะอาดของร่างกายอย่างเหมาะสม สม่ำเสมอ ส่วนทางเดินหายใจและช่องปาก เป็นช่องทางหลักที่มีโอกาสได้รับเชื้อ ดังนั้น การอาบน้ำ แปรงฟัน กลั้วคอ พ่นคอ หลังออกพบปะผู้คน เป็นการช่วยลดการติดเชื้อได้อย่างมาก
1.4 การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีหลากหลายวิธี ทั้งดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลัง การรับประทานอาหารให้ครบ ในปริมาณที่เหมาะสม หากไม่เพียงพอ อาหารเสริมและวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น
1.5 เนื่องจากโควิดเป็นโรคอุบัติใหม่ วัคซีนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเพาะกับเชื้อไวรัสโควิด
2. หากมีอาการคล้ายการติดเชื้อโควิด เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูก เสมหะ เจ็บคอ ท้องเสีย แน่นอก หอบ เหนื่อยง่าย หายใจไม่ออก สามารถตรวจได้หลายวิธี เช่น
2.1 หากมีอาการตัวร้อน วัดได้โดยการใช้ปรอทวัดไข้ ซึ่งมีทั้งแบบปรอทแท่งแก้ว แบบดิจิตอล และแบบอินฟราเรด หากมีอุณหภูมิเกิน 37.5 องศา แสดงว่า มีอาการไข้
2.2 ออกซิเจนในเลือด วัดได้โดยเครื่อง Pulse Oximeter หากค่าออกซิเจนต่ำกว่า 95% แสดงว่า มีความเป็นไปได้ว่า การแลกเปลี่ยนออกซิเจนในปอดเป็นไปไม่ปกติดี
2.3 ตรวจหาเชื้อโดยใช้แอนติเจนเชื้อโควิด เป็นการหาเขื้อจากตัวอย่างทั้งในโพรงจมูกหรือน้ำลาย ทำได้โดยทั้งชุดตรวจอย่างง่าย (ATK) ที่หาเชื้อโดยตรง แต่ผลอาจคลาดเคลื่อนหากตัวอย่างมีเชื้อน้อยเกินความสามารถชุดตรวจ หรือวิธีที่แน่นอนที่สุด คือ RT-PCR เป็นการเพิ่มจำนวนแอนติเจนให้มีมากพอก่อน จึงนำไปตรวจ แต่อาจหาแหล่งรับตรวจยาก และค่าใช้จ่ายสูง
3. หากผลพบว่ามีเชื้อ ผู้ป่วยมีสิทธิรักษาตามอาการและสิทธิของผู้ป่วย ทั้งผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว กลุ่มสีเหลือง และกลุ่มสีแดง ดังนี้
3.1.ผู้ป่วยสีเขียว อาการ ได้แก่ ไม่มีอาการ มีไข้อุณหภูมิ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ลิ้นไม่รับรส จมูกไม่รับกลิ่น ไอมีน้ำมูก เจ็บคอ ตาแดง มีผื่น ถ่ายเหลว
กลุ่มนี้รักษาฟรีใน รพ.ตามสิทธิ ทั้ง บัตรทอง ข้าราชการ หรือประกันสังคม (กรณีประกันสังคม หากทำงานต่างพื้นที่สามารถเข้า รพ.เครือข่ายสิทธิสุขภาพได้) , การรักษาในกักตัวที่บ้าน HI ,ในชุมชน CI และโครงการ ‘เจอ แจก จบ’ ที่หน่วยบริการใกล้บ้าน
3.2 ผู้ป่วยสีเหลือง อาการ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย ปอดอักเสบ ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน เด็กมีอาการหายใจลำบาก ซึมลง ไม่ดื่มนม หรือทานอาหารน้อยลง กลุ่ม 608 ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ อ้วน น้ำหนักเกิน 90 กิโลกรัม การรักษา คือ รักษาฟรีใน รพ.ตามสิทธิหรือ UCEP Plus ฟรีทุก รพ.ทั้งภาครัฐและเอกชน
3.3 ผู้ป่วยสีแดง อาการ หอบเหนื่อย พูดไม่เป็นประโยคขณะสนทนา แน่นหน้าอก หายใจเจ็บหน้าอก ปอดอักเสบรุนแรง มีภาวะช็อก มีภาวะโคม่า ซึมลง มีอาการไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียสนานกว่า 24 ชั่วโมง และค่าออกซิเจนน้อยกว่า 94% รักษาฟรีใน รพ.ตามสิทธิ หรือใช้สิทธิ UCEP Plus รักษาฟรีทุก รพ.ทั้งภาครัฐและเอกชน
แนวทางการรักษาผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง และกลุ่มสีแดง ที่มาความเสี่ยงสูง และอาการหนัก จะเป็นไปอย่างใกล้ชิดภายใต้การดูแลของแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาล
4. ส่วนผู้ป่วยที่อาการน้อย ไม่รุนแรง สามารถรักษาตามอาการได้ หลากหลายแนวทาง ทั้งแผนไทย แผนปัจจุบัน เช่น
4.1 อาการไข้ สามารถใช้ยาพาราเซตามอล หรือสมุนไพรฟ้าทะลายโจร หรือสมุนไพรรางจืด หรือการทำให้ร่างกายเย็นลงโดยผ้าชุบน้ำเช็ดหรือเจลแปะลดไข้
4.2 อาการน้ำมูก สามารถใช้ยาคลอเฟนิรามีน แต่อาจทำให้ง่วง หรือลอร่าตาดีน เซเทเรซีน ที่ลดน้ำมูกได้น้อยกว่าคลอเฟนิรามีน แต่ทำให้ง่วงน้อยกว่า
4.3 อาการไอแห้ง คันคอ สามารถใช้ทั้งยาแผนปัจจุบัน คือ ไกวเฟนิซิน เด็กโตรเมโทรแฟน แอมโมเนียมคอลไรด์ เทอร์ปีนไฮเดรต ทั้งในรูปยาเม็ด ยาแคปซูล ยาน้ำ
หรือใช้ตำรับยาสมุนไพรไทย เช่น มะแว้ง มะขามป้อม สมอ ทั้งในรูปยาอม ยาน้ำจิบ ยาพ่นคอ
การดื่มน้ำอุ่นช่วยลดอาการคันคอ อาการอยากไอเมื่อพูดได้
4.4 อาการเสมหะ โดยใช้ยาแผนปัจจุบัน กลุ่ม คาร์โบซีสทิอิน อะแซทิลซิสเทอีล บรอมเฮกซิน และแอมบรอกซอล
4.5 อาการแน่น เสียงแหบ เนื่องจากเส้นเสียงบวม โดยใช้ยาแผนปัจจุบันกลุ่มเซอราทิโอเปปติเดส หรือกลุ่มเออีซิน
4.6 อาการเจ็บคอ ในบางกรณีหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมอาจใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดอาการติดเชื้อในลำคอ
4.7 ท้องเสีย นิยมดื่มเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสีย ปกติจะผสมน้ำจิบ ปริมาณ 1 ซอง เทียบเท่าการถ่ายเหลว 1 ครั้ง
4.8 อาการอื่นๆ หากไม่แน่ใจ แนะนำปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้าน โดยใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น ไลน์ แชท หรือโทรศัพท์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่น
ช่วงกักตัว รักษาตนเอง ควรหมั่นสำรวจสุขภาพร่างกาย ทำความสะอาดร่างกาย เครื่องใช้ ที่พัก เพื่อลดการับเชื้อซ้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจเชื้อ หากสีแถบทดสอบจางลงในแต่ละวันจะเป็นสัญญาณของการหายจากอาการติดเชื้อ
ประมาณ 3 วันหลังจาก ตรวจไม่พบเชื้อ อนุมานได้ว่า หายขาดจากการติดเชื้อโควิด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังคงต้องระมัดระวัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ แม้จะมีภูมิคุ้มกันสูง หลังจากหายจากการติดเชื้อ
ขอให้ทุกท่านปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ
มีข้อสงสัย ปัญหาสุขภาพ แนะนำปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้านท่าน เพราะสุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ