Chiang Mai Caregiving เชียงใหม่ รับส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล

Chiang Mai Caregiving เชียงใหม่ รับส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล รับส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล We provide both transportation and experienced caregivers with the knowledge to assist you.

จริงๆ นะ 🙏
29/11/2025

จริงๆ นะ 🙏

“คุณคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่คุณใช้เวลาด้วยมากที่สุด” 🗣️💬

มันมีเหตุผลทางจิตวิทยา + พฤติกรรม + ชีววิทยารองรับจริง ๆ ว่าทำไมมันถึง “จริงโคตร ๆ” เดี๋ยวโจ้สรุปให้

1) สมองมนุษย์มีระบบลอกเลียนแบบโดยอัตโนมัติ (Mirror Neurons)

สมองเราถูกออกแบบมาให้ “เลียนแบบพฤติกรรมของคนใกล้ตัว”
คำพูด, ท่าทาง, วิธีคิด, พลังงาน, ค่านิยม
เรารับเข้ามาโดยไม่รู้ตัวเลย
เหมือนอยู่กับคนพูดหยาบ → เราก็พูดหยาบขึ้น
อยู่กับคนคิดบวก → เราก็คิดบวกขึ้น

สรุป : สมองเรียนแบบก่อนรู้ตัวเสมอ

2) พลังงานและอารมณ์มันติดต่อกัน (Emotional contagion)

ถ้าคุณอยู่กับคนเครียด คนลบ คนงอแง
พลังงานแบบนั้นจะ “ลากจูงอารมณ์คุณลง”
ถ้าอยู่กับคนที่ไฟแรง มีเป้าหมาย
คุณก็จะรู้สึกมีไฟตามไปด้วย

สรุป : อารมณ์เหมือนไวรัส — ติดต่อกันได้

3) มาตรฐานของกลุ่ม = มาตรฐานของคุณ

อยู่กับคนที่มาสายตลอด → คุณจะรู้สึกว่ามาสายคือปกติ
อยู่กับคนรักสุขภาพ → คุณจะเริ่มโทรหาฟิตเนส
อยู่กับคนหาเงินเก่ง → เงินเดือนเดิมจะดูไม่พอ
อยู่กับคนพัฒนา → คุณจะไม่อยากอยู่ที่เดิม

สรุป : คุณจะปรับตัวให้ “ไม่ต่าง” จากกลุ่ม
เพราะสมองกลัวการถูกแยกออกจากฝูง

4) เป้าหมายคุณจะถูกยกระดับ (หรือกดต่ำลง)

เพื่อนหาได้หมื่น → คุณพอใจหมื่น
เพื่อนหาได้แสน → คุณจะเริ่มรู้สึกว่าแสนเป็นเรื่องปกติ
เพื่อนหาได้ล้าน → คุณจะเริ่มมองหาวิธี
เพื่อนลงทุน → คุณจะเริ่มศึกษา
เพื่อนเที่ยวทุกวัน → คุณจะใช้เงินตาม

สรุป : สิ่งที่อยู่รอบตัวจะเป็น “ขอบเขตความเป็นไปได้” ของคุณ

5) มนุษย์ต้องการการยอมรับแบบไม่รู้ตัว

เราจะปรับ
• คำพูด
• พฤติกรรม
• การใช้เงิน
• สไตล์ชีวิต
เพื่อให้เข้ากับคนที่เราอยู่ด้วย

สรุป : สุดท้ายเราจะ “กลายเป็นเหมือนพวกเขา” โดยไม่ทันรู้ตัว

แล้วทำไมมันถึงทรงพลังมาก?

เพราะมันไม่ใช่เรื่องมองโลกสวย
แต่มันคือข้อเท็จจริงว่า…

สภาพแวดล้อมชนะความตั้งใจเสมอ

ต่อให้คุณตั้งใจพัฒนาแค่ไหน
แต่ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มที่ไม่สนการพัฒนา
คุณจะถูก “ดึงให้อยู่ระดับเดิม”

แต่ถ้าคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เติบโต
ไม่ว่าคุณจะเก่งหรือไม่
สุดท้ายคุณก็ต้องเติบโตตามเพื่อนในกลุ่มอยู่ดี

คนรอบตัว = อนาคตของเราในอีก 1–5 ปี
อยู่กับคนระดับไหน.. คุณจะค่อย ๆ กลายเป็นระดับนั้น

#ความคิด #แรงบันดาลใจ #พัฒนาตัวเอง #ทัศนคติ #พลังบวก

23/11/2025

จากชายวัย 95 ถึงตัวผมในวัย 30... บทเรียนที่เงินพันล้านก็ซื้อไม่ได้

เรามักเห็นภาพ "ปู่บัฟเฟตต์" นั่งจิบโค้กอย่างมีความสุขบนกองเงิน แต่สิ่งที่เราไม่เห็นคือ "บาดแผล" และ "ประสบการณ์" ที่เขาผ่านวิกฤตมานับครั้งไม่ถ้วน

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ นี่คือ 9 สิ่งที่ Warren Buffett ในวัย 95 ปี อยากบอกกับคนรุ่นหลัง (และบอกตัวเองในวัยหนุ่ม) ครับ
1️⃣ การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ "การเลือกคู่ครอง"
ข้อนี้สำคัญกว่าการเลือกหุ้นพันเท่า ถ้าคุณอยากมีความสุขและประสบความสำเร็จ จงเลือกคนที่เข้าใจ สนับสนุน และพร้อมจะเติบโตไปกับคุณ

"ผมไม่เคยเห็นใครที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ แล้วรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวในชีวิตเลย"

2️⃣ บางอย่างในชีวิต "เร่งไม่ได้" (The importance of Patience)
ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน หรือพยายามแค่ไหน บางเรื่องต้องใช้เวลา

"คุณไม่สามารถคลอดลูกภายใน 1 เดือน โดยการทำให้ผู้หญิง 9 คนตั้งท้องพร้อมกันได้"... ความสำเร็จและการลงทุนก็เช่นกัน จงเรียนรู้ที่จะรอ

3️⃣ ดูแล "พาหนะ" เพียงคันเดียวในชีวิต (Health is your fixed asset)

ร่างกายและจิตใจคือสินทรัพย์เดียวที่คุณ "เปลี่ยนใหม่ไม่ได้"อย่าใช้งานมันหนักเหมือนรถเช่า จนพังก่อนวัยอันควร

"ถ้าคุณไม่ดูแลร่างกายให้ดีตั้งแต่ตอนนี้... คุณจะไม่มีวันได้มีความสุขกับเงินพันล้านที่คุณหามาทั้งชีวิตเลย"
4️⃣ นิยามความสำเร็จที่แท้จริง คือ "จำนวนคนที่รักคุณ" เมื่อถึงวัย 95 คุณจะไม่วัดความสำเร็จจากตัวเลขในบัญชี แต่วัดจากจำนวนคนที่รักคุณจริงๆ
"ผมรู้จักคนรวยที่มีชื่อบนตึกใหญ่โต แต่ไม่มีใครรักเขาเลย... นั่นคือความล้มเหลวที่สุด"

5️⃣ ชื่อเสียงสร้าง 20 ปี... พังได้ใน 5 นาที
ในโลกการเงิน "เครดิต" และ "ความซื่อสัตย์" สำคัญกว่าเงินทอง
ถ้าคุณทำธุรกิจด้วยความถูกต้อง คุณจะยืนระยะได้ตลอดชีวิต

6️⃣ คบเพื่อนให้นำพาชีวิต
"คุณคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่คุณสนิทที่สุด"
อยากรวย ให้พาตัวเองไปอยู่ในวงล้อมของคนเก่ง อยากมีความสุข ให้พาตัวเองไปอยู่กับคนที่มีทัศนคติดี

7️⃣ การลงทุนที่ดีที่สุด
ไม่ใช่หุ้น ไม่ใช่ทองคำ แต่มันคือการลงทุนใน "ตัวคุณเอง"
ความรู้และทักษะในหัวคุณ คือสินทรัพย์เดียวที่เงินเฟ้อทำลายไม่ได้ และใครก็ขโมยไปไม่ได้

8️⃣ ลงทุนในสิ่งที่ "รู้จัก" (Circle of Competence)
อย่าตามกระแสไปลงทุนในธุรกิจที่คุณอธิบายไม่ได้ว่ามันทำเงินยังไง
ความไม่รู้ คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด

9️⃣ เงินซื้อเตียงได้ แต่ซื้อการหลับสบายไม่ได้
สุดท้ายแล้ว ความมั่งคั่งสูงสุดคือการ "พอใจ" ในสิ่งที่ตนมี
ใช้เงินซื้ออิสรภาพ แต่อย่าให้เงินมาซื้อจิตวิญญาณของคุณ
💡 บทสรุป
ความรวยอาจสร้างได้ในชั่วข้ามคืน (ถ้าโชคดี)
แต่ "ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน" ต้องใช้เวลา วินัย และปัญญาครับ

#การลงทุน #หุ้น #อิสรภาพทางการเงิน #พัฒนาตัวเอง

22/11/2025

หวัง เสี่ยว หญิงสาววัย 24 ปี กำลังเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังจากภาวะยูรีเมีย โรคไตวายร้ายแรงที่ต้องได้รับการปลูกถ่ายไตโดยด่วน แต่เมื่อไม่มีผู้บริจาคที่เข้ากันได้ในครอบครัว โอกาสรอดของเธอก็น้อยลงเรื่อย ๆ

ด้วยความกลัวที่กดทับ เธอตัดสินใจโพสต์ข้อความออนไลน์ เพื่อขอไตจากผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่กำลังจะจากไป หวังว่าอวัยวะของใครสักคนจะช่วยต่อชีวิตเธอได้

และจากโพสต์นั้นเอง เธอได้พบกับ อวี่ เจี้ยนผิง ชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้กับมะเร็งไขกระดูกซึ่งกลับมาเป็นซ้ำ เขาคือผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ยอมตอบรับคำขอของเธอ
ทั้งคู่ทำข้อตกลงที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา...

หวัง เสี่ยวจะดูแลและอยู่เคียงข้างอวี่ เจี้ยนผิงในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต รวมถึงดูแลพ่อของเขาเมื่อเขาจากไปแล้ว จากนั้นไตของเขาจะถูกบริจาคให้เธอ

และเพื่อให้การบริจาคอวัยวะถูกต้องตามกฎหมายจีน ซึ่งห้ามการบริจาคจากคนแปลกหน้า พวกเขาจึงจดทะเบียนสมรสในปี 2013

การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็น "สัญญาเพื่อความอยู่รอด" ที่ถูกเซ็นขึ้นระหว่างคนสองคนที่อยู่บนเส้นแบ่งระหว่างชีวิตและความตาย
แต่สิ่งที่ทั้งสองไม่คาดคิดก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป ความใกล้ชิด ความเข้าใจ และการเป็นที่พึ่งพิงให้กัน ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากข้อตกลงแลกชีวิต ให้กลายเป็นความผูกพันที่แท้จริง

ทั้งสองตกหลุมรักกัน...

เมื่อความรักเกิดขึ้นจริง หวัง เสี่ยวไม่ได้คิดถึงแค่การรอรับไตอีกต่อไป สิ่งเดียวที่เธออยากทำคือช่วยชีวิตผู้ชายที่กลายมาเป็นทั้งสามีและความหวังของเธอ

เธอลงมือขายดอกไม้ เล่าเรื่องราวของพวกเขา และระดมทุนเพื่อรักษาอวี่ เจี้ยนผิงด้วยตัวเอง
แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น อาการของเขาดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจด้วยแรงสนับสนุนและความรักจากภรรยา

ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือ สุขภาพของหวัง เสี่ยวก็ฟื้นตัวตามไปด้วย จนแพทย์ระบุว่าเธออาจไม่จำเป็นต้องปลูกถ่ายไตอีกต่อไป

สิ่งที่เคยเป็นเพียง "ข้อตกลงเพื่อยื้อชีวิต" กลับกลายเป็นความรักที่แข็งแกร่งจนพาทั้งคู่ข้ามผ่านโรคภัย พวกเขาไม่ต้องแลกไตให้กันอีกแล้ว แต่ได้ใช้ชีวิตคู่ที่อบอุ่นและงดงามกว่าแทน

ปัจจุบัน ทั้งสองเปิดร้านดอกไม้เล็ก ๆ ในเมืองซีอาน ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ และมีสุขภาพแข็งแรง

เรื่องราวของหวัง เสี่ยว และอวี่ เจี้ยนผิง ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Viva La Vida (2024) ย้ำให้เห็นว่า แม้ในห้วงเวลาที่มืดมนที่สุด ความรักก็ยังงอกงามได้เสมอ
::
อ้างอิงจาก : South China Morning Post (Sick China woman marries cancer patient...), India Today

06/11/2025

คนจีนแชร์ชีวิตหลัง ‘ลาออกแบบไร้แผน’ เผยใช้เงินน้อยมากจนตกใจ
พาไปสำรวจชีวิตของคนหนุ่มสาวจีนที่ตัดสินใจ "ลาออกโดยไม่มีงานรองรับ" เพื่อเข้าสู่ช่วงพักฟื้นและทดลองใช้ชีวิตแบบ "เรียบง่ายที่สุด" จนค้นพบว่า แท้จริงแล้วต้นทุนขั้นต่ำในการดำรงชีวิตในเมืองนั้นต่ำกว่าที่เคยคิดไว้มาก
➡️"ค่าครองชีพ" ลดลงอย่างน่าตกใจ
ผู้ที่ลาออกและมีภาระส่วนตัวน้อย (เช่น ไม่มีภาระค่าเลี้ยงดูบุตร หรือค่าผ่อนบ้าน/รถ) สามารถลดค่าใช้จ่ายรายเดือนลงได้อย่างรวดเร็ว
เจียงเนี่ยน หญิงสาววัย 24 ปีที่ย้ายมาเซี่ยงไฮ้หลังลาออก สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายหลักๆ ให้อยู่ที่ประมาณ 2,100 หยวนต่อเดือน (ราว 9,660 บาท) โดยมีค่าเช่าห้องเล็กเพียง 1,500 หยวน (ราว 6,900 บาท) และค่าอาหารต่ำกว่า 500 หยวน (ราว 2,300 บาท) ต่อเดือน เธอใช้ชีวิตในห้องเช่าขนาดไม่ถึง 7 ตารางเมตร ทำอาหารง่ายๆ ด้วยหม้อไฟฟ้า เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเกี๊ยว เนื่องจากเธอนอนเยอะและตื่นสาย ทำให้เธอแทบไม่หิวและทานเพียงวันละมื้อเท่านั้น
ขณะที่อาหลิน วัย 29 ปี ซึ่งย้ายไปอยู่เมืองเล็กๆ ใกล้หางโจวและไม่ต้องเสียค่าเช่า สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานให้เหลือเพียง 1,500 หยวน (ราว 6,900 บาท) ต่อเดือน โดยเธอยังเคยทดลองใช้ชีวิตในโหมด "ขีดจำกัดขั้นสุด" ด้วยเงินเพียง 400 หยวน ต่อเดือน (ราว 1,800 บาท) มาแล้ว ค่าใช้จ่ายหลักที่เธอยังต้องจ่ายคือค่าประกันสุขภาพสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระจำนวน 439 หยวน (ราว 2,019 บาท)
➡️เมื่อสุขภาพจิตดีขึ้น "ค่าใช้จ่ายเพื่ออารมณ์" ก็หายไป
ผู้ที่ตัดสินใจหยุดพักงานหลายคนให้การยอมรับว่า นิสัยการบริโภคที่เคยมีขณะทำงานได้หายไปโดยอัตโนมัติ การลาออกช่วยลดความเครียดจากการทำงาน ทำให้ไม่จำเป็นต้องมี "การบริโภคเพื่อปลอบใจตัวเอง" อีกต่อไป
อาหลินเล่าว่า เธอไม่จำเป็นต้องซื้อกาแฟราคาแพงทุกวันเพื่อกระตุ้นตัวเองให้ทำงาน หรือซื้อสินค้าเพื่อ "บำบัด" อารมณ์หลังถูกหัวหน้าต่อว่าอีกต่อไป เมื่อความเครียดลดลง อารมณ์ก็มั่นคงขึ้น และที่น่าประหลาดใจคือ สุขภาพกายของเธอก็ดีขึ้นตามไปด้วย หลังจากหยุดทำงานมานานกว่าหนึ่งปี เธอไม่เคยเป็นหวัดเลย และผิวพรรณก็ดีขึ้นจากการได้นอนหลับอย่างสม่ำเสมอ
เจียงเนี่ยนเปรียบเทียบว่า การลาออกครั้งนี้เป็นการ "พักเพื่อหยุดหายใจ" หลังจากที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือน เช่น ปัญหาต่อมไทรอยด์และหัวใจ ซึ่งอาการเหล่านั้นได้กลับมาเป็นปกติหลังจากการพักผ่อนเพียงไม่กี่สัปดาห์
➡️“ซื้อเวลาคืน” เพื่อพักใจจากความเหนื่อยล้า
สำหรับคนยุคใหม่จีน การลาออกโดยไม่มีงานรองรับกลายเป็นเครื่องมือในการ "ซื้อเวลาของตัวเองคืนมา" เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ฟื้นฟูพลังงานที่ถูกสูบไปอย่างต่อเนื่อง
อาหลิน ซึ่งเคยทำงานหนักจนเกือบไม่ได้นอนในช่วงที่ผ่านมา บอกว่าตนรู้สึก "โล่งใจ" ทันทีที่ถูกเลิกจ้าง และใช้ช่วงเวลานี้ในการถอนตัวออกจากวงจรของการแข่งขันและความเร่งรีบ เธอเลิกดื่มกาแฟ และเลือกที่จะพักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า
➡️ยอมสูญเสีย "ความสง่างาม"
การใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายนั้นไม่ง่ายสำหรับคนวัยกลางคนที่มีพื้นฐานมาจากชีวิตชนชั้นกลาง ซึ่งต้องเผชิญกับการบอกลารูปแบบชีวิตที่เคยชินและความรู้สึกสูญเสียศักดิ์ศรีและถูกลดคุณค่า
หลี่เสี่ยวเย่ วัย 46 ปี อดีต HR เงินเดือนสูง จำเป็นต้องเปลี่ยนจากการขับรถมาเป็นใช้จักรยานสาธารณะ เปลี่ยนรองเท้าราคาหลักพันเป็นหลักสิบหยวน และเลิกการเข้าร้านเสริมสวยราคาแพง เธอยอมรับว่าตัวเองต้องทิ้งความ "หยิ่งผยอง" ในอดีต และพยายามรักษา "ความสง่างามขั้นพื้นฐาน" ในชีวิตปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งผู้ที่ลาออกด้วยความสมัครใจและผู้ที่ถูกเลิกจ้างต่างก็ได้ตั้งคำถามถึงความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า "ความสำเร็จ" ต้องแลกมาด้วยการทำงานหนักและการไต่เต้าอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขากำลังแสวงหาความหมายของชีวิตที่มั่นคงและยั่งยืน โดยมีต้นทุนที่สามารถควบคุมได้
📧 ติดต่อเรา Email: info@jeenthainews.com
#ลาออก #ค่าครองชีพ #มนุษย์เงินเดือน

30/10/2025

The Longevity Paradox: เมื่อคนอยู่ได้นานกว่าเงินที่ตัวเองวางแผนไว้

วันนั้นฉันนั่งประชุมกับลูกค้าคู่สามีภรรยาวัย 75 ปี
เขาหันมาพูดกับฉันว่า
“Annabel ตอนเราวางแผนเกษียณ เราคิดว่าจะอยู่ถึง 85 ก็เยอะแล้ว”

ฉันยิ้มแล้วถามกลับว่า “แล้วตอนนี้คิดว่ายังไงคะ?”
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า
“หมอบอกเราน่าจะอยู่ถึงร้อย…”
แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดช้า ๆ ว่า
“แต่เงินเราไม่ได้ถูกออกแบบให้ใช้ถึงตอนนั้น”

คุณคะ นี่คือ ความจริงที่ไม่มีใครอยากพูด
ในศตวรรษนี้ “เวลา” กลายเป็นหนี้รูปแบบใหม่
เราอยู่ได้นานขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ “ดี” ขึ้นเสมอไป

อายุยืนไม่ใช่รางวัล ถ้าไม่มีแผนรองรับ

ในยุคพ่อแม่เรา การเกษียณหมายถึงชีวิตหลังงานอีก 15–20 ปี
แต่ในยุคนี้ อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ขยับเข้าใกล้ 100 ปี
และถ้าคุณอายุ 30 ตอนนี้ โอกาสที่คุณจะอยู่ถึง 110 ปีคือ 50%

ฟังดูเหมือนข่าวดี
แต่ในโลกการเงิน มันคือ “ระเบิดเวลา”

เพราะระบบเกษียณของทั้งโลกถูกออกแบบไว้สำหรับชีวิตหลังทำงาน 20 ปี
ไม่ใช่ 40 ปี

คนรวยเริ่มกลัว “อยู่นานเกินไป”

คุณทราบไหมว่า
“Longevity Risk” ถูกจัดให้เป็นความเสี่ยงลำดับต้นของตระกูลมั่งคั่งทั่วโลก
กว่า 56% ของครอบครัวระดับ Ultra High Net Worth
เริ่มวางโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Longevity Planning
การออกแบบชีวิตให้ยาวและมีคุณภาพกว่าที่ระบบการเงินเคยคาดคิดไว้

ที่ UBS เองก็ยืนยันในรายงาน The Century Club
ว่ากว่าครึ่งของเศรษฐีทั่วโลกเชื่อว่าพวกเขาจะอายุถึง 100 ปี
และพวกเขาไม่ได้วางแผน “เกษียณ”
แต่กำลังวางแผน “อยู่ให้รอดหลังเกษียณ”

จาก Saving for Retirement ไปสู่
Designing for Longevity

ในโลกของ Private Banking เราไม่ได้พูดถึง “เงินพอใช้” มานานแล้วค่ะคุณ
เพราะสำหรับเศรษฐีจริง ๆ เงินไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
สิ่งที่พวกเขาคิดคือ
“ฉันจะอยู่อย่างไรให้สมศักดิ์ศรีในอีก 30 ปีข้างหน้า”

หลายครอบครัวเริ่มสร้างสิ่งที่เรียกว่า Healthspan Fund มันคือ
กองทุนที่ไม่ได้ลงทุนแค่ใน biotech
แต่ลงทุนในชีวิตหลังวัย 70
ตั้งแต่ wellness retreat, senior living ที่หรูและอบอุ่น,
ไปจนถึงระบบดูแลสุขภาพแบบ personalized ที่อิงจาก DNA

เพราะในโลกของคนรวย “เวลามีค่าเกินกว่าจะใช้แบบเดิม”
พวกเขาไม่ได้อยากอยู่ร้อยปี
แต่ถ้าจะอยู่ ก็อยากอยู่ดีด้วยไง

เศรษฐีไม่ซื้อเวลา…แต่ซื้อคุณภาพของมัน

รายงานจาก Global Private Banker ปี 2024 บอกว่า
เศรษฐีทั่วโลกกำลัง “ลดค่าใช้จ่ายด้านสถานะ”
และหันมาทุ่มงบใน wellness, longevity และ mental health แทน

พวกเขารู้ดีว่าเงินซื้อนาฬิกาเรือนละล้านได้
แต่ซื้อเวลาเพิ่มไม่ได้
สิ่งเดียวที่ซื้อได้คือ สุขภาพที่ทำให้ใช้เวลานั้นได้อย่างเต็มที่

ที่สวิตเซอร์แลนด์ มีคลินิกชื่อ Clinique La Prairie ค่ะ
ที่ไม่ได้ขายแค่การรักษา แต่ขาย “การยืดอายุ”
ลูกค้าคือเศรษฐีจากทั่วโลก
จ่ายหลักล้านฟรังก์เพื่อเข้าคอร์สตรวจ DNA
ฟื้นฟูเซลล์ในระดับ mitochondria และออกแบบชีวิตใหม่ตั้งแต่ระบบอาหารถึงสมอง

พวกเขาไม่ได้ทำเพราะกลัวตาย
แต่เพราะอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับเวลาที่เหลือ

เอาจริง ๆ ในแต่ละปี ฉันมีลูกค้าหลายครอบครัวบินไปทำ Wellness Retreat ที่สวิตเซอร์แลนด์กันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะที่ Clinique La Prairie นี่แหละ
โปรแกรมหนึ่งสัปดาห์ ราคาประมาณ “ล้านบาทต่อคน” 😅

ส่วนฉัน…มีปัญญาแค่ “ไปส่ง” ท่าน ๆ ที่Montreux แล้วขอ กลับมาทำ Retreat ของตัวเองที่ไทยแทน

ฉันเทียบมาแล้วและเห็นว่าโปรแกรม Wellness ที่ไทยตอนนี้ แทบไม่ต่างจากที่ยุโรปเลย
แค่ราคาดีกว่าหลายเท่าค่ะคุณ

หมอที่ฉันไว้วางใจให้ดูแลทั้งครอบครัวก็คือ
คุณหมอนรินทร สุรสินธร คนนี้แหละที่เข้าใจ Wellness อย่างลึกซึ้ง
แนะนำให้ลองไปปรึกษาได้เลยค่ะ
จริงๆฉันไม่อยากบอกใครแล้วเก็บหมอไว้คนเดียว กลัวหมอดังมากกว่านี้แล้วไม่มีเวลาเหมือนเดิม 😝

เล่าต่อ,

มุมมองของ Billionaires: “เราจะอยู่ให้ได้นานแค่ไหน และใช้ชีวิตแบบไหนในเวลานั้น”

บิลเลียนเนียร์อย่าง Jeff Bezos, Sam Altman, Peter Thiel, Sergey Brin
ต่างเทเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เข้าสู่อุตสาหกรรม longevity biotech
พวกเขาไม่ได้มอง “ความตาย” เป็นจุดจบ
แต่มองมันเป็น “ปัญหาทางเทคโนโลยี” ที่มนุษย์สามารถแก้ได้

Sam Altman (OpenAI) ลงทุนกว่า US $180 ล้านในบริษัท Retro Biosciences
ที่มีเป้าหมาย “เพิ่มอายุสุขภาพให้มนุษย์อีก 10 ปี”
Jeff Bezos ร่วมลงทุนใน Altos Labs บริษัทที่วิจัยเรื่องการฟื้นฟูเซลล์
Peter Thiel ลงทุนใน Unity Biotechnology เพื่อหยุดการเสื่อมของเซลล์
และ Sergey Brin (Google) ตั้งหน่วยงาน Calico เพื่อศึกษาชีววิทยาแห่งความแก่โดยตรง

พวกเขาเชื่อว่า “เวลา” คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในโลก
และสุขภาพคือระบบที่ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องเหมือนบริหารพอร์ตการเงิน

บางคนอย่าง Bryan Johnson ถึงกับใช้เงินปีละกว่า 2 ล้านเหรียญ
เพื่อรักษาร่างกายให้ย้อนวัยลงด้วยการตรวจเลือดวันละหลายรอบ
ควบคุมอาหารทุกมื้อด้วย AI
และใช้เทคโนโลยีแพทย์ระดับสูงที่ติดตามทุกการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย

คุณอาจมองว่านี่คือความฟุ้งเฟ้อ
แต่ในมุมของพวกเขา สุขภาพไม่ใช่ค่าใช้จ่าย มันคือ “สินทรัพย์”
เพราะถ้าร่างกายคือยานพาหนะของชีวิต
จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราขับรถคันนี้ได้แค่ครึ่งทาง

Longevity Economy: ตลาดใหม่แห่งศตวรรษ

Morgan Stanley เรียก Longevity Economy ว่า The Next Trillion-Dollar Opportunity
เพราะเมื่อมนุษย์อยู่นานขึ้น ทุกอย่างต้องออกแบบใหม่
ตั้งแต่ระบบสุขภาพ บ้าน การท่องเที่ยว ไปจนถึงการเงิน

Family Office จำนวนมากในยุโรปและสหรัฐ
กำลังจัดพอร์ตลงทุนด้าน longevity และ healthcare innovation
ไม่ใช่เพราะแฟชั่น แต่เพราะพวกเขาเข้าใจแล้วว่า
สุขภาพที่ดี = พอร์ตการลงทุนที่ยั่งยืนที่สุดของชีวิต

มุมจิตวิทยาของความยืนยาว

ลูกค้าหลายคนของฉันไม่ได้กลัวตาย
แต่กลัว “อยู่โดยไร้ตัวตน”

บางคนพูดว่า
“Annabel, ฉันอยากใช้เงินตอนยังมีแรงใช้
ไม่ใช่ตอนต้องให้คนอื่นรูดบัตรแทน”

คำพูดนี้สะท้อนสิ่งสำคัญมาก
ว่า “ความมั่งคั่ง” ในศตวรรษนี้
ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินในพอร์ต
แต่วัดจาก “พลังใช้ชีวิต”

บทเรียนจากเศรษฐี

ลูกค้าผู้หญิงวัย 82 ปีของฉัน
อดีตนักธุรกิจจากฝรั่งเศส
ทุกเช้าเธอยังเปิด iPad ดูพอร์ตตัวเอง
แต่ไม่ได้ซื้อนาฬิกาหรูอีกแล้ว
เธอซื้อหุ้นบริษัท Healthcare และ Wellness Center แทน

เธอบอกฉันว่า

“ตอนนี้ฉันอยากให้เงินฉันดูแลร่างกายฉัน เหมือนที่มันเคยดูแลใจฉัน”

และนั่นคือความฉลาดทางชีวิตที่แท้จริง

แล้วคนธรรมดาล่ะ…ควรเริ่มยังไง?

อย่าคิดว่า Longevity เป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้น
เพราะทุกคนกำลังเข้าสู่ยุคเดียวกัน ยุคที่ “อายุยืนขึ้น แต่เงินไม่ยืดตาม”
1. วางแผนทางการเงินให้ยืดเท่าชีวิตจริง
อย่าคิดแค่ “เกษียณแล้วพอ”
คิดให้ถึง “หลังเกษียณอีก 30–40 ปี”
ถ้าคุณอายุ 35 วันนี้ คุณยังมีเวลาอีกครึ่งศตวรรษที่จะวางแผนอย่างชาญฉลาด
2. ลงทุนในสุขภาพเหมือนลงทุนในพอร์ตการเงิน
ตรวจสุขภาพประจำปี
ออกกำลังอย่างมีวินัย
และอย่าประหยัดกับสิ่งที่ต่ออายุคุณได้
3. สร้างระบบรายได้ระยะยาวที่ไม่ขึ้นกับแรงกาย
เริ่มต้นจากการลงทุนหรือธุรกิจที่สร้าง passive income
เพราะอายุยืนคือดาบสองคม คือ ถ้าไม่มีรายได้ คุณจะเหนื่อยยาวกว่าเดิม
4. มองสุขภาพและความรู้เป็นสินทรัพย์ระยะยาว
เงินสามารถทบต้นได้
สุขภาพและความรู้ก็เช่นกัน

Longevity คือกลยุทธ์ ไม่ใช่โชคชะตา

Family Office หลายแห่งในยุโรปแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ชื่อ
Chief Longevity Officer
คนที่ดูแลทั้งพอร์ตการเงินและพอร์ตสุขภาพของครอบครัว

เพราะพวกเขาเข้าใจแล้วว่า
เงินที่ดีไม่ใช่เงินที่อยู่ได้นาน
แต่คือเงินที่อยู่ “พอดี” กับชีวิตที่อยากมี

และสุขภาพที่ดี
ไม่ใช่การอยู่ไปเรื่อย ๆ
แต่คือการอยู่โดยไม่ต้องพึ่งใคร

Health is wealth, but longevity is freedom.
Health gives you strength today; longevity gives you time to enjoy it tomorrow.

ความหรูหราที่แท้จริงในอนาคต
ไม่ใช่ของแพง
แต่คือ “เวลา”
และ “ปัญญาในการใช้มันอย่างมีความหมาย”

ฝากถึงคุณในวันนี้

คุณอาจอยู่ถึงร้อยปี
แต่เงินคุณจะอยู่ถึงไหม?
ถ้ายังไม่แน่ใจ นั่นแปลว่าคุณต้องเริ่มวางแผนตอนนี้

อย่าให้ชีวิตต้องยืนยาวโดยไม่มีคุณภาพ
เพราะสุดท้ายแล้ว…
เงินอาจหมดได้ แต่เวลาไม่มีใครเติมให้คุณได้อีกเลย

Annabel
The Wealth Architect

ลดการท่องเที่ยวลง คือ ลดยากด้วยสิ 😅
03/10/2025

ลดการท่องเที่ยวลง คือ ลดยากด้วยสิ 😅

ผมไปสอนเรื่องเกษียณล่าสุดมา
บทเกี่ยวกับ post retirement สอนยากที่สุด
เพราะ คนเรียนกำลังจะเกษียณส่วนใหญ่
ยังไม่เข้าใจเรื่องการเงิน ที่สำคัญจะให้
ไปใช้ excel ก็จะไม่ถนัดกันเท่าไร

ผมเลยสอนไปแบบง่ายๆ

1. Withdrawal Rule (หลักถอนเงิน)

• ใช้ตัวเลขอ้างอิงง่ายๆ
เช่น 3.3–4% ต่อปีจากพอร์ตทั้งหมด
(เป็น Guideline ไม่ใช่กฎตายตัว)

• อธิบายให้เข้าใจว่าเป็น safe zone
ของการถอนเพื่อไม่ให้หมดพอร์ตเร็วเกินไป

2. แยกค่าใช้จ่าย “จำเป็น” vs “ฟุ่มเฟือย”

• จำเป็น = ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายแน่นอน
เช่น อาหาร, ที่อยู่อาศัย, ประกัน, ค่ารักษา

• ฟุ่มเฟือย = ท่องเที่ยว, ของหรู, งานอดิเรก

• ทำให้ผู้เรียนเห็นภาพว่าเงินสองกอง
นี้มีความเสี่ยงไม่เท่ากัน

3. Income Portfolio (พอร์ตสร้างรายได้เสี่ยงต่ำ)

• สำหรับค่าใช้จ่าย “จำเป็น”
• เน้นตราสารหนี้, กองทุนตราสารหนี้,, หรือ/annuity

• ให้รู้สึกว่า “ค่ากินอยู่หลักๆ”
มาจากกระแสเงินสดเสถียร

4. Conservative Growth Portfolio
(พอร์ตอนุรักษ์นิยม)

• สำหรับค่าใช้จ่าย “ฟุ่มเฟือย”
• ลงทุนแบบมีความเสี่ยงได้บ้าง แต่ยังคุม Drawdown
• ใช้เพื่อสร้าง Upside และรักษากำลังซื้อ

5. Dynamic Withdrawal (การถอนแบบยืดหยุ่น)

• ถ้า Income Portfolio
ดอกเบี้ย/ปันผลไม่พอ →
ไปเสริมจาก Conservative Portfolio

• ถ้า Conservative Portfolio ติดลบ
→ งดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยชั่วคราว
หรือ ลดลง ~50%

สรุป Key หลักๆ

อย่าทำให้ซับซ้อนเกินไป
คนทั่วไปไม่จำเป็นต้องเปิด Excel simulation
แบบในสหรัฐ

• สิ่งสำคัญคือ “ให้หลักคิด 4–5 ข้อ”
แล้วเขาไปประยุกต์เองได้
• ใช้ตัวอย่างง่ายๆ เช่น
• พอร์ต 10 ล้าน → ถอน 400k/ปี
• ค่าใช้จ่ายจำเป็น 250k → ลง Income Portfolio
• ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย 150k → ลง Conservative Portfolio

หลังเกษียณคือการอยู่รอด ไม่ใช่ Maximize Returns

29/09/2025

Matchmaking Bus Tours Gain Popularity Among Older Adults in Japan

Although divorce rates in Japan are rising even after long-term marriages, there is also a growing trend of older adults seeking new relationships. In particular, “Matchmaking Bus Tours” targeting people over 50 have become increasingly popular.
These tours offer participants opportunities to meet and interact with potential partners during the journey and at various destinations. Men pay a participation fee of ¥16,000, while women pay ¥15,000.

Some participants on these tours have reportedly found love quickly, with a few even going on to marry shortly after.

23/09/2025

อ่านแล้วชอบจัง 🥹

21/09/2025

17 ค่านิยมไทยที่ทำให้คุณจนลงๆ

ประเทศไทยมีเอกลักษณ์นะคะ ไม่ว่าจะอาหาร รอยยิ้ม หรือความอบอุ่น
แต่ก็มี “กับดัก” ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากทำงานทั้งชีวิตแต่ไม่มีวันรวย
สิ่งนั้นคือ…ค่านิยมทางสังคมที่เผาเงิน

บางทีคุณไม่ได้อยากหรอก แต่สังคมบังคับ
บางทีคุณรู้ว่าไม่คุ้ม แต่กลัวโดนว่า “จน”

มาดูกันทีละข้อค่ะ ว่าอะไรบ้างที่ทำให้คุณจนลงเรื่อยๆ พร้อมทางแก้ที่จะช่วยให้คุณหลุดออกจากวงจรนี้

1. งานแต่ง = โรงละครหนี้

ต้นทุนจริงๆ
• ชุดเจ้าสาว 80,000 รองเท้าเจ้าสาว Jimmy Choo 25,000 ค่าแต่งหน้าเจ้าสาว 30,000
• ชุดเจ้าบ่าว 50,000
• ถ่ายพรีเวดดิ้งต่างประเทศ 100,000
• ค่าโรงแรม+จัดเลี้ยงแขก 500,000–1,000,000
รวมๆ = 850,000–1,350,000 บาท

ถามจริงค่ะ → ใช้เงิน 1 ล้านบาท เพื่อให้คนมางาน 3 ชั่วโมงแล้วกลับบ้าน?

Mindset ที่ผิด:
แต่งงานต้องใหญ่ ต้องสมศักดิ์ศรี ไม่งั้น “อายญาติ”
คือคุณเริ่มชีวิตคู่ด้วยการสร้างโชว์ ไม่ใช่สร้างรากฐาน

เพราะพอคุณจ่ายค่าจัดงานเยอะๆ คุณก็จะคาดหวังเงินใส่ซองมากๆ แต่ถ้าสุดท้ายนับซองแล้วไม่พอ คุณก็โกรธแขกและเพื่อนๆคุณอีก เฮ้อ เหนื่อยค่ะคุณ

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• จัดงานเล็กลง แค่นั้นเองค่ะคุณ😅
• เงินที่เหลือ → วางดาวน์บ้าน 20% ได้ทันที หรือเปิดกองทุนรวมคู่ชีวิต
• ใช้ mindset: งานแต่งไม่ใช่เป้าหมาย แต่คือการเริ่มต้นการลงทุนชีวิตคู่

2. รถ = บัตรประชาชนทางสังคม

ต้นทุนจริงๆ
• รถญี่ปุ่นกลางๆ 800,000 → ค่างวด 12,000/เดือน 5 ปี = 720,000
• รถยุโรป 3,000,000 → ค่างวด 45,000/เดือน 7 ปี = 3,780,000
ต่างกัน 3 ล้าน แต่ทำงานพาไปถึงที่ทำงานเหมือนกัน

Mindset ที่ผิด:
“ถ้าไม่มีรถหรู แสดงว่าฉันยังไม่ประสบความสำเร็จ”
คือคุณยอมให้รถเป็นคนขับชีวิตคุณ แทนที่จะเป็นเครื่องมือ

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• ใช้สูตรรถค่าผ่อนงวดรถต้องห้ามเกิน 20% ของรายได้ สุดๆๆๆๆจริงๆคือ ได้แค่ 30% ค่ะคุณไม่งั้นเจ๊ง
• คิดเสมอว่ารถคือ “ค่าเสื่อม” ไม่ใช่ “การลงทุน”
• เงินส่วนต่าง 30,000/เดือน ถ้าเอาไปลงทุนกองทุนหุ้น 7% ต่อปี → 7 ปีได้เกือบ 3 ล้าน

3. บ้านต้องใหญ่มาก ถึงจะสมศักดิ์ศรี แต่คือหนี้ 30 ปี

ต้นทุนจริงๆ
• บ้าน 5 ล้าน กู้ 30 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 6% → จ่ายจริงเกือบ 11 ล้าน
• บ้าน 10 ล้าน กู้ 30 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 6% → จ่ายจริง 22 ล้าน

คุณซื้อบ้าน 1 หลัง → แถมบ้านให้ธนาคารอีก 1 หลังฟรีๆ

Mindset ที่ผิด:
“ถ้าไม่ซื้อบ้าน = ไม่มีอนาคต”
คือคุณซื้อศักดิ์ศรี แต่ยกชีวิตให้ธนาคาร

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• ค่าผ่อนบ้านไม่ควรเกิน40% ของรายได้ต่อเดือน
• ถ้าการเงินยังไม่มั่นคง เริ่มจากเช่าก็ไม่ตาย แต่หนี้บ้านอาจทำให้คุณตายก่อน
• mindset ใหม่: บ้านคือที่อยู่อาศัย ไม่ใช่เครื่องวัดคุณค่า ซื้อให้พอประมาณ กำลังดี แบบที่คุณผ่อนแล้วไม่เดือดร้อน

มุมมองการลงทุนบ้าง : ถ้าคุณเก่งแล้วรู้จักใช้leverageจากการใช้เงินแบงค์ซื้อบ้าน อันนี้คือ อีกเรื่องนึงของลงทุนการเก็งกำไรจากอสังหาค่ะ ทำได้คือ เอาค่าเช่า มาจ่ายดอกเบี้ยแบงค์ แล้วบริหารความเสี่ยงให้ดีให้รอด ไม่กู้หนักเกิน conceptนีทำกันเป็นเรื่องปกติ ให้ศึกษาเรื่องทำเลดีๆเพราะมีผลสูงมากต่อราคาขายในอนาคตของคุณ และให้ดูsupply -demand ของการปล่อยเช่าในแต่ละช่วงเวลาด้วย

4. ลูกต้องเรียนแพง = พ่อแม่ต้องแห้ง

ต้นทุนจริงๆ
• โรงเรียนอินเตอร์ 600,000/ปี → 12 ปี = 7.2 ล้าน
• มหาวิทยาลัยเอกชน 1.2 ล้าน → รวมแล้วลูก 1 คน = เกือบ 9 ล้าน

พ่อแม่ไทยคือ ATM แบบไม่คิดดอกเบี้ย

Mindset ที่ผิด:
“ยอมจน แต่ลูกต้องเรียนอินเตอร์”
คือคุณซื้อหน้าพ่อแม่ ไม่ใช่อนาคตลูก

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• เลือกโรงเรียนตามฐานะที่คุณไหวจริงๆแบบไม่โกหกตัวเอง และเสริมskillลูกเพิ่มเอง (ภาษา/การเงิน/เทคโนโลยี)
• ระวังช่องโหว่ในใจคุณที่กัดฟันทำเพราะกลัวน้อยหน้าเพื่อนร่วมงาน เงินก้อนนี้จะเป็น fixed cost ที่กัดกินฐานะการเงินของครอบครัวคุณไปอีกสิบปี
• mindset ใหม่: ลูกไม่ได้อยากได้ค่าเทอมแพง แต่ต้องการพ่อแม่ที่ไม่เครียดเรื่องหนี้ และมีเวลาให้

5. งานศพ–งานบุญ = เวทีโชว์

ต้นทุนจริงๆ
• งานศพใหญ่ 500,000 รีเควสดอกไม้แบบสรวงสวรรค์
• งานบวช+เลี้ยงแขก 300,000–600,000

รวมแล้วบางบ้านหมดเงินเป็นล้าน…เพื่อให้ชาวบ้านชมวันเดียว

Mindset ที่ผิด:
“บุญต้องใหญ่ คนจะได้เห็น”
แต่หนี้ที่เหลือ → คนที่เห็นคือธนาคาร

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• งบงานบุญไม่เกิน 5–10% ของทรัพย์สินที่มี
• ทำบุญแบบยั่งยืน เช่น กองทุนการศึกษาเด็กกำพร้า
• mindset ใหม่: บุญแท้คือไม่สร้างหนี้ให้ลูกหลาน

6. เจ้านายที่ดี = เจ้านายที่โคตรเปย์

ต้นทุนจริงๆ
• outing บริษัท 500,000
• เลี้ยงข้าวลูกน้อง 30,000/เดือน = 360,000/ปี

เจ้านายไทยบางคนหมดเงินล้านกับ “เปย์ลูกน้อง” แต่ไม่เหลืองบพัฒนาธุรกิจ

Mindset ที่ผิด:
“เจ้านายที่ดี = ต้องเลี้ยง”
คือคุณทำให้ลูกน้องเคยตัว แทนที่จะทำให้โต

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• สวัสดิการแทนเลี้ยง → กองทุนสุขภาพ, ประกัน, training
• mindset ใหม่: เจ้านายคือโค้ช ไม่ใช่ตู้ ATM

7. ผู้ชาย = ต้องออกค่าเดทเสมอ

ต้นทุนจริงๆ
• กินข้าวดีๆ 2,000/ครั้ง x 4 ครั้ง/เดือน = 8,000
• ปีละ = 96,000 (เกือบแสน/ปี แค่ค่าเดท)

Mindset ที่ผิด:
“ผู้ชายไม่จ่าย = ไม่แมน”
ความรักเลยกลายเป็นระบบผ่อน 0%

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• แชร์บิล → ความรักต้องแชร์ ไม่ใช่แช่หนี้
• สร้างเดทแบบใช้ใจ เช่น ทำอาหารด้วยกัน วิ่งสวนสาธารณะ
• mindset ใหม่: โรแมนติกไม่จำเป็นต้องแพง

8. ซื้อของแพง = พิสูจน์รัก

ต้นทุนจริงๆ
• กระเป๋า Louis Vuitton 80,000
• Rolex เริ่มต้น 250,000
รวมแล้วความรักปีนึงอาจหมดไปครึ่งล้าน

Mindset ที่ผิด:
“ไม่ซื้อ = ไม่รัก”
คือคุณตีราคาความรักเป็นสินทรัพย์หรู

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• แทนที่จะซื้อของ → ลงทุนคู่กัน เช่น กองทุนหุ้น 5,000/เดือน
• ของแท้ที่พิสูจน์รัก = การสร้างอนาคต ไม่ใช่กระเป๋าที่ตกรุ่น
• mindset ใหม่: ความรักพิสูจน์ได้ด้วยการ “สร้าง” ไม่ใช่การ “ซื้อ”

9. ลูก = กองทุนบำนาญพ่อแม่?

ต้นทุนจริงๆ
ลูกส่งให้พ่อแม่เดือนละ 10,000 → ปีละ 120,000 → 30 ปี = 3.6 ล้าน
เงินก้อนนี้ ถ้าคุณไหว จ่ายไปเลยค่ะ ดูแลให้ท่านมีความสุขแต่ตัวคุณต้องรอดด้วย ถึงจะรอดทั้งบ้าน ถ้าทำไม่ไหวให้กล้าบอกว่าไม่ไหว แล้วช่วยท่านดูว่าลดรายจ่ายกันยังไงได้บ้าง

Mindset ที่ผิด:
“โตไปลูกต้องเลี้ยงพ่อแม่เสมอ”
ฟังดูอบอุ่น แต่ถ้าลูกเองยังไม่มั่นคง การแบกทั้งครอบครัวอาจกลายเป็นภาระเกินกำลังได้

วิธีแก้ (นักการเงิน)
• พ่อแม่: วางแผนเกษียณเองตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำนาญ หรือการลงทุนระยะยาว
• ลูก: ดูแลพ่อแม่ในแบบที่ตัวเองไหว — อาจเป็นการแบ่งเงินบางส่วน บวกกับเวลาและการอยู่เคียงข้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นภาระทั้งหมด
• mindset ใหม่: กตัญญูคือการสร้างความสุขร่วมกัน ไม่ใช่การแบกภาระเพียงฝ่ายเดียว

10. ระบบสินสอด = ความรักตีราคา

ต้นทุนจริงๆ
สินสอดเฉลี่ย 500,000–2,000,000
บางบ้านโชว์ทองกิโล → ฝ่ายชายกู้หนี้ยาว

Mindset ที่ผิด:
“สินสอดเยอะ = รักมาก”
แต่ที่ได้จริงคือหนี้ก้อนโต

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• เปลี่ยนสินสอดเป็นกองทุนคู่ชีวิต
• คุยตรงๆ ว่าเงินนี้จะใช้เพื่ออะไร ไม่ใช่แค่โชว์
• mindset ใหม่: รักไม่ใช่การตีราคา แต่คือการสร้างมูลค่าร่วมกัน

11. เที่ยว = หลักฐานว่าฉันมีชีวิต

ต้นทุนจริงๆ
ทริปญี่ปุ่น 80,000
ทริปยุโรป 200,000
ลงสตอรี่ 50 รูป แต่หนี้อยู่อีก 2 ปี

Mindset ที่ผิด:
“ถ้าไม่โพสต์ = เหมือนไม่ได้ไป”
คุณเลยเที่ยวเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อใจคุณ

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• เที่ยวเท่าที่เงินเก็บอนุญาต ไม่ใช่บัตรเครดิตอนุญาต
• เก็บเล็กแต่เที่ยวบ่อย สุขภาพใจก็ได้ กระเป๋าก็ไม่พัง
• mindset ใหม่: เที่ยวเพื่อสุข ไม่ใช่เพื่อสตอรี่

12. กลัวคำว่า “จน” มากกว่ากลัว “หนี้”

ตัวอย่าง
• ไม่กล้าใส่เสื้อธรรมดา เพราะกลัวเพื่อนว่า
• เลยรูดซื้อเสื้อ 5,000 ทั้งที่เงินเหลือ 2,000

Mindset ที่ผิด:
“ให้คนอื่นคิดว่ารวย ดีกว่ามีเงินเก็บจริง”

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• ศักดิ์ศรีที่แท้จริงคือการไม่มีหนี้
• mindset ใหม่: ไม่ต้องอวดใคร แต่มีจริง

13. ของมันต้องมี โชว์ก่อน คิดทีหลัง

ต้นทุนจริงๆ
บัตรเครดิตไทยดอกเบี้ยเฉลี่ย 16–18%
ซื้อ iPhone ใหม่ทุกรอบที่ออก 50,000 → ถ้าผ่อนไม่ตรง = เสียเพิ่มอีกเกือบ 10,000

Mindset ที่ผิด:
“อยากได้ก่อน เดี๋ยวอนาคตค่อยคิด”

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• ใช้สูตร 48 ชั่วโมง rule → อยากได้อะไร ให้รอ 2 วัน ถ้ายังอยากได้อยู่ค่อยซื้อ
• mindset ใหม่: ซื้อเพราะต้องใช้ ไม่ใช่เพราะลดราคา

14. ไม่กล้าแตกต่าง

ตัวอย่าง
• อยากแต่งเล็กๆ แต่กลัวญาติว่า
• อยากเช่าบ้าน แต่กลัวโดนว่าไม่มีอนาคต

Mindset ที่ผิด:
“กลัวสังคมด่า มากกว่ากลัวดอกเบี้ย”

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• เลือกสิ่งที่เหมาะกับฐานะตัวเอง
• mindset ใหม่: คนที่กล้าแตกต่าง คือคนเดียวที่รอดจากวงจรหนี้

15. รวยต้องโชว์

ต้นทุนจริงๆ
• กระเป๋าแบรนด์ 100,000
• นาฬิกาหรู 300,000
• รถยุโรป 5,000,000

รวมแล้วหมดไป 5–6 ล้าน เพื่อซื้อคำว่า “ดูรวย”

Mindset ที่ผิด:
“รวยแล้วต้องเห็น”

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• Ultra Rich จริงๆ ลงทุนเงียบๆ
• mindset ใหม่: เงินอยู่ในพอร์ต ไม่ใช่บนแขน

16. ฉันจน เพราะกรรมเก่า 😅

ต้นทุนจริงๆ
• หนี้บัตร 200,000
• หนี้บ้าน 3 ล้าน
• หนี้รถ 1.5 ล้าน

แต่ดันโทษว่า “กรรมเก่า” ทั้งที่กดรูดเองในชาตินี้

Mindset ที่ผิด:
“ความจนเป็นเวรกรรม”

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• หยุดโทษกรรมเก่า → สร้างบุญใหม่ด้วยการเก็บก่อนใช้
• mindset ใหม่: หนี้ทุกก้อนคือผลจากการตัดสินใจ ไม่ใช่กรรมเก่า

17. พิธีกรรม 8.8 / 9.9 / 10.10

ต้นทุนจริงๆ
• กด flash sale เดือนละ 5,000
• ปีละ = 60,000 (โดยไม่รู้ตัว)
5 ปี = 300,000 → ได้ของเต็มบ้าน แต่ไม่มีเงินเก็บ

Mindset ที่ผิด:
“ลดราคา = ประหยัด”
แต่จริงๆ = ซื้อสิ่งที่ไม่ได้อยากได้แต่แรก

วิธีแก้ (นักการเงิน):
• ใช้ 48 ชั่วโมง rule ก่อนซื้อ
• เปลี่ยน “พิธีกรรมช้อป” → “พิธีกรรมลงทุน” ทุกวันที่ 9 ของเดือนโอนเข้ากองทุนแทน

✨ คุณคะ

คุณไม่ได้จนเพราะขี้เกียจ
คุณไม่ได้จนเพราะไม่มีโอกาส

คุณจนเพราะ “ค่านิยม” ที่ทำให้คุณใช้เงินเพื่อซื้อสายตาคนอื่น
แล้วพอเงินหมดก็บอกว่า “เพราะกรรมเก่า” 😅

แต่จริงๆ แล้วนี่คือ กรรมสดๆ ที่คุณสร้างเองจากการรูดบัตร

💡 คำตอบใหม่
• ใช้เงินสร้างชีวิต ไม่ใช่สร้างโชว์
• ซื้อสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ไม่ใช่ที่สังคมบอกว่าต้องมี
• ศักดิ์ศรีแท้จริง = ไม่มีหนี้ ไม่ใช่มีของแพง

ใช้เงินแบบนี้ก็เจ๊งไง!
ถ้าอยากรอด → เปลี่ยน mindset + ใช้หลักการเงินง่ายๆ
เก็บก่อนใช้ ลงทุนก่อนอวด แล้วคุณจะมั่งคั่งจริง ไม่ใช่รวยแต่รูป (ไอจี) และทำทุกอย่างตามรายได้ของคุณนะคะ อย่าเลียนแบบชีวิตใคร

ใครคิดค่านิยมอะไรออกเพิ่ม มาช่วยกันเขียนเพิ่มหน่อยในcomment ค่ะ

11/09/2025

1. The Secret Life of Walter Mitty

ในโลกที่ความธรรมดาคล้ายกล่องใส่ชีวิตชายคนหนึ่งไว้ Walter Mitty เปลี่ยนความธรรมดานั้นด้วยจินตนาการสุดฟุ้งที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แต่เมื่อโอกาสแห่งการผจญภัยจริงมาเยือน ความฝันและความกล้าสัมผัสกันในที่สุด ทำให้ชายธรรมดากลายเป็นฮีโร่ในชีวิตของตัวเอง

2. Blue Giant

เสียงแซกโซโฟนก้องกังวานในหัวใจ เด็กหนุ่มผู้หลงใหลในแจ๊สยืนหยัดท้าทายเส้นทางดนตรีในโตเกียว Blue Giant ถ่ายทอดความหวัง ความฝัน และหยาดเหงื่อที่บรรเลงจนเกิดเสียงแห่งชีวิต

3. Cast Away

เมื่อลมหายใจถูกฝากไว้กับเกาะร้าง ชายคนหนึ่งต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดในโลกที่ไม่มีใคร นอกจากลูกวอลเลย์บอลและความหวังที่เลือนราง Cast Away เป็นบทกวีของการเผชิญหน้ากับธรรมชาติและความโดดเดี่ยว

4. CODA

เสียงเพลงที่ไร้เสียง ชีวิตที่ห้อมล้อมด้วยความเงียบ เด็กสาวคนหนึ่งต้องบาลานซ์ระหว่างความฝันในการร้องเพลงและหน้าที่ที่เธอต้องรับผิดชอบในครอบครัวผู้พิการทางการได้ยิน CODA เป็นบทเพลงของความรักและความเสียสละ

5. 12 Fail

ความล้มเหลว 12 ครั้งที่มากพอจะล้มใคร แต่ชายคนหนึ่งกลับหยิบมันมาสร้างสะพานไปสู่ความสำเร็จ 12 Fail สอนเราว่าความผิดพลาดไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นบทเรียนอันล้ำค่า

6. Whiplash

ความฝันไม่ได้ถูกบรรเลงด้วยเสียงดนตรีที่สวยงามเสมอไป สำหรับ Andrew ความสำเร็จมาพร้อมเสียงฉาบและกลองที่ฟาดฟันจนเลือดซิบในห้องเรียนสุดโหด Whiplash สะท้อนการเสียสละเพื่อความสมบูรณ์แบบ

7. Up in the Air

ชายผู้บินเหนือเมฆด้วยงานที่ไม่มีใครต้องการ ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยแตะพื้นโลกถูกท้าทายด้วยคำถามที่ว่า อะไรคือจุดหมายปลายทางของชีวิต? Up in the Air คือบทสะท้อนของความเหงาในยุคแห่งความเชื่อมต่อ

8. The Intern

ชายวัยเกษียณที่มองหาความหมายใหม่ในชีวิต พบโอกาสในบริษัทสตาร์ตอัปที่เต็มไปด้วยพลัง The Intern เป็นเรื่องราวของมิตรภาพต่างวัยที่แสนอบอุ่น และการพิสูจน์ว่าประสบการณ์ไม่มีวันเกษียณ

9. Slumdog Millionaire

จากเด็กข้างถนนสู่คำถามมูลค่าหลายล้าน ความรู้และประสบการณ์ชีวิตกลายเป็นคำตอบที่ไม่มีใครคาดคิด Slumdog Millionaire เผยเส้นทางที่ไม่เคยสวยงาม แต่เต็มไปด้วยความหวัง

10. Soul

เมื่อชีวิตที่วุ่นวายชะงักลงด้วยคำถามว่า “จุดหมายที่แท้จริงคืออะไร?” Soul พาเราดำดิ่งเข้าสู่ดนตรีของจิตวิญญาณ และค้นหาความสุขจากการเป็นตัวเอง

11. Billy Elliot

ในเมืองเหมืองถ่านหิน เด็กชายผู้หลงใหลการเต้นบาลเลต์ต้องฝ่าฟันสายตาของผู้คนและความไม่เข้าใจ Billy Elliot สะท้อนความกล้าที่จะฝันในโลกที่ไม่ยอมรับ

12. Hidden Figures

เบื้องหลังความสำเร็จในยุคอวกาศคือหญิงผิวสีสามคนที่ต่อสู้กับทั้งแรงโน้มถ่วงและอคติทางสังคม Hidden Figures คือการเฉลิมฉลองความฉลาดและความกล้าหาญ

13. Ford vs Ferrari

สนามแข่งที่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความเร็ว แต่คือการปะทะกันของวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่น Ford vs Ferrari คือบทเรียนแห่งการต่อสู้เพื่อสร้างประวัติศาสตร์

14. Good Will Hunting

อัจฉริยะที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของบอสตันถูกดึงออกมาสู่แสงสว่าง ด้วยความรักและการชี้นำ Good Will Hunting พิสูจน์ว่าพรสวรรค์ต้องการมากกว่าตัวมันเองเพื่อเปล่งประกาย

15. The Shawshank Redemption

ในคุกที่ดูเหมือนว่าจะกักขังทุกสิ่งไว้ Shawshank Redemption คือการปลดปล่อยความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์

16. The Pursuit of Happiness

ชายคนหนึ่งและลูกชายเล็กๆ ต้องฝ่าฟันความยากลำบากที่ดูเหมือนไร้ทางออก The Pursuit of Happiness คือเรื่องราวของความมุ่งมั่นและความรักที่ไม่เคยสิ้นสุด

17. Sing Street

ในดับลินยุค 80 วงดนตรีที่เกิดขึ้นจากความรักและความฝันทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ค้นพบตัวตน Sing Street คือจดหมายรักถึงวัยเยาว์และเสียงดนตรี

18. The Terminal

เมื่อสนามบินกลายเป็นบ้าน ชายคนหนึ่งต้องสร้างโลกใหม่ด้วยตัวเอง The Terminal เป็นเรื่องราวของการปรับตัวและมนุษยธรรม

19. A Beautiful Mind

ความฉลาดที่ล้ำเลิศมักมาพร้อมกับความโดดเดี่ยว A Beautiful Mind ถ่ายทอดชีวิตของนักคณิตศาสตร์ที่ต่อสู้กับศัตรูในจิตใจ

20. The Fighter

การต่อสู้ในเวทีมวยไม่ยากเท่ากับการต่อสู้เพื่อครอบครัว The Fighter แสดงถึงความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ

21. Million Dollar Baby

นักมวยหญิงที่ไม่มีใครเชื่อมั่น นอกจากโค้ชที่เหมือนจะหมดไฟ Million Dollar Baby คือเรื่องราวของความหวังและการเสียสละ

22. The Wrestler

อดีตนักมวยปล้ำผู้พยายามหาความหมายใหม่ในชีวิต The Wrestler เป็นบทกวีแห่งการกลับตัวที่ขมขื่นและงดงาม

23. Into the Wild

ชายหนุ่มผู้ทิ้งทุกสิ่งเพื่อค้นหาอิสรภาพในธรรมชาติ Into the Wild เป็นการเดินทางที่เปลี่ยนทุกจุดหมายให้เป็นคำถาม

24. Moneyball

เกมเบสบอลที่เล่นด้วยสถิติและตัวเลขเปลี่ยนวงการกีฬาไปตลอดกาล Moneyball สอนว่าความสำเร็จเกิดจากการมองต่างมุม

25. Minari

ครอบครัวเกาหลีที่ย้ายมาอเมริกาค้นหาความฝันในดินแดนใหม่ Minari เป็นเรื่องราวที่อบอุ่นและลึกซึ้งเกี่ยวกับรากเหง้า

26. Life of Pi

เด็กหนุ่มกับเสือเบงกอลล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทร Life of Pi คือการเดินทางที่เชื่อมโยงจินตนาการกับความเชื่อ

27. I Am Sam

พ่อผู้มีความบกพร่องทางสติปัญญาต่อสู้เพื่อสิทธิในการเลี้ยงดูลูกสาว I Am Sam คือการเฉลิมฉลองความรักที่ไม่มีขอบเขต

28. The Fault in Our Stars

ความรักของวัยรุ่นที่เปราะบางในโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด The Fault in Our Stars คือเรื่องราวที่ทำให้ความเจ็บปวดกลายเป็นบทกวี

29. มหาลัยเหมืองแร่

บันทึกชีวิตในเหมืองแร่ของชายหนุ่มที่เรียนรู้บทเรียนจากชีวิตจริง มหาลัยเหมืองแร่ เป็นบทกวีแห่งความงดงามในความธรรมดา

30. Forrest Gump

ชายหนุ่มที่แม้จะมีความแตกต่าง แต่ไม่เคยหยุดเดิน เขาเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง สร้างความมหัศจรรย์ของชีวิตที่ไม่เหมือนใคร Forrest สอนให้เราเห็นว่าบางครั้งความพิเศษนั้นไม่ได้อยู่ในตัวตน แต่อยู่ในใจที่ไม่เคยหยุดฝัน

________
แนะนำ Projector มาฉายดูชิลๆ
📌https://s.lazada.co.th/s.Cz8Ya?cc
📌https://s.shopee.co.th/8AKnvVYVQu

ที่อยู่

1
Chiang Mai
50000

เบอร์โทรศัพท์

+66918540771

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Chiang Mai Caregiving เชียงใหม่ รับส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram