09/11/2025
วันนี้พามารู้จักพื้นฐานกายวิภาคของเท้ากันค่ะ 👣
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมมนุษย์ถึงวิวัฒนาการจากการเดินสี่ขาเหมือนบรรพบุรุษพวกลิง มาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เดินสองขาได้? จริง ๆ แล้ว นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน! อย่างน้อยก็ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ว่าทำไมเราถึงเลิกเดินสี่ขาแล้วหันมาเดินสองขาแทน ปัจจุบันมีสมมติฐานมากกว่า 10 ข้อเกี่ยวกับวิวัฒนาการนี้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ทุกคนเห็นพ้องกันว่า “เท้ามนุษย์” ที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตนี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้เราสามารถเคลื่อนไหวด้วยสองขาได้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ส่วนโค้งของฝ่าเท้า (arches)” ที่ทำให้เท้าของเรามีความแข็งแรง (ตรงข้ามกับเท้าของลิงที่ยืดหยุ่นเพื่อใช้จับกิ่งไม้) และทำให้เราสามารถเดินและวิ่งในท่าตั้งตรงได้
: ส่วนโค้งของฝ่าเท้า (ARCHES OF THE FOOT)
ส่วนโค้งคืออะไร?
เช่นเดียวกับโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม “ส่วนโค้ง” ในฝ่าเท้า คือรูปทรงโค้งที่ช่วยรองรับน้ำหนักจากด้านบนและถ่ายแรงไปยังส่วนข้างเคียง
เท้ามนุษย์มีส่วนโค้งทั้งหมด 3 ส่วน คือ
1. ส่วนโค้งตามยาวด้านใน (Medial longitudinal arch)
2. ส่วนโค้งตามยาวด้านนอก (Lateral longitudinal arch)
3. ส่วนโค้งขวาง (Transverse arch)
ส่วนโค้งเหล่านี้เกิดจากการจัดเรียงของกระดูกทาร์ซัล (tarsal) และเมตาทาร์ซัล (metatarsal) และได้รับการพยุงจากเอ็น (ligaments) และเส้นเอ็นกล้ามเนื้อ (tendons) ของเท้า รูปทรงของส่วนโค้งเหล่านี้ทำให้มันทำงานได้เหมือน “สปริง” ที่ช่วยในการขับเคลื่อน รับน้ำหนักของร่างกาย และดูดซับแรงกระแทกในระหว่างการเคลื่อนไหวค่ะ
🦶 ส่วนโค้งตามยาวด้านใน (Medial Arch)
เป็นส่วนโค้งที่สูงกว่าอีกด้านหนึ่ง อยู่ทางด้านในของเท้า
ส่วนนี้เกิดจากกระดูก calcaneus (ส้นเท้า), talus, navicular, cuneiform ทั้งสามชิ้น และกระดูก metatarsal สามชิ้นแรก
กระดูก calcaneus และ metatarsal เป็นเสมือน “เสา” ของส่วนโค้งนี้
เอ็นฝ่าเท้า (plantar fascia) ทำหน้าที่เหมือนคานเชื่อมระหว่างเสาทั้งสองต้น และช่วยพยุงส่วนโค้งไว้
กล้ามเนื้อที่สำคัญที่สุดของส่วนนี้คือ tibialis anterior และ tibialis posterior ซึ่งช่วยยกขอบด้านในของเท้า
หากเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อเหล่านี้ได้รับความเสียหาย ส่วนโค้งนี้อาจยุบตัวลงได้
🦶 ส่วนโค้งตามยาวด้านนอก (Lateral Arch)
เป็นส่วนโค้งที่แบนกว่าของสองส่วน อยู่ทางขอบนอกของเท้า
ส่วนนี้จะสัมผัสพื้นในขณะยืน
เกิดจากกระดูก calcaneus, cuboid, และ metatarsal ลำดับที่ 4 และ 5
กระดูก calcaneus และ metatarsal เป็นเสาหลักเช่นกัน
เอ็นของกล้ามเนื้อ fibularis longus เป็นตัวช่วยหลักในการคงความมั่นคงของส่วนโค้งนี้
🦶 ส่วนโค้งขวาง (Transverse Arch)
อยู่ในระนาบตามขวาง (coronal plane) ของเท้า
เกิดจากกระดูกฐาน metatarsal, cuboid และ cuneiform ทั้งสามชิ้น
ส่วนโค้งตามยาวทั้งด้านในและด้านนอกทำหน้าที่เป็นเสาของส่วนโค้งนี้
กล้ามเนื้อ fibularis longus และ tibialis posterior ร่วมกับเอ็นฝ่าเท้าและ deep transverse metatarsal ligaments ช่วยพยุงส่วนนี้ไว้
เช่นเดียวกับโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่ทำจากก้อนหินทรงลิ่ม (wedge-shaped stones) รูปทรงลิ่มของกระดูกในส่วนนี้ทำให้มันแข็งแรงมาก
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์มักให้ความสำคัญกับส่วนโค้งตามยาวมากกว่า แต่จากการศึกษาล่าสุดพบว่า ส่วนโค้งขวางก็มีบทบาทสำคัญในการพยุงเท้า โดยเฉพาะในคนที่มีฝ่าเท้าแบน (flat-footed) เช่นกัน
🧐ความมหัศจรรย์ของเท้ามนุษย์
ส่วนโค้งทั้งสามนี้ร่วมกันสร้าง “รูปสามเหลี่ยม” บนฝ่าเท้า ซึ่งในคลาสการฝึกโยคะอาสนะของเรา เรามักจะพูดถึง “สามเหลี่ยมฐานของเท้า” นี้ ในลักษณะ สี่จุดของfoundation ของเท้า เพื่อเตือนให้ผู้ฝึกกระจายน้ำหนักอย่างสมดุลทั่วทั้งฝ่าเท้า
เท้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
• ส่วนหน้าเท้า (forefoot) — ประกอบด้วยนิ้วเท้า
• ส่วนกลางเท้า (midfoot) — ประกอบด้วยกระดูก metatarsal
• ส่วนหลังเท้า (hindfoot) — ประกอบด้วยกระดูก tarsal, talus และ calcaneus (กระดูกส้นเท้า)
และในเท้ายังมีข้อต่ออีกหลายข้อที่ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหว หนึ่งในข้อต่อสำคัญคือ ข้อต่อ subtalar ซึ่งเป็นการเชื่อมระหว่างกระดูก talus และ calcaneus
ข้อนี้ทำให้เท้าสามารถเคลื่อนไหวแบบ “บานปัดกระจก” ได้ คือ การเอียงเข้า (inversion) และ เอียงออก (eversion)
ข้อต่อ subtalar ร่วมกับข้อต่อ talocrural และส่วนหน้าเท้า ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวแบบหลายระนาบที่เรียกว่า supination และ pronation
• Supination คือ การเอียงเท้าเข้าด้านใน (subtalar inversion) + การเหยียดข้อเท้า (plantar flexion) + การหุบของหน้าเท้า (adduction)
• Pronation คือ การงอข้อเท้า (dorsiflexion) + การเอียงเท้าออก (eversion) + การกางของหน้าเท้า (abduction)
👣วงจรการเดิน (Gait Cycle)👣
กระบวนการเดินประกอบด้วย 2 ช่วงคือ
1. ช่วงเท้าสัมผัสพื้น (stance phase)
2. ช่วงเท้าเหวี่ยงไปข้างหน้า (swing phase)
ในช่วง stance phase เท้าจะเคลื่อนไหวจาก supination → pronation → supination อีกครั้ง โดยมีการถ่ายน้ำหนักผ่านส่วนโค้งด้านใน (medial arch) ซึ่งทำหน้าที่เป็นคานแข็งในการส่งแรงขับเคลื่อน
การเคลื่อนไหวแบบ pronation และ supination เป็นกระบวนการธรรมชาติและจำเป็นต่อการเดินอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่หากเกิด over-pronation (เอียงออกมากเกิน) หรือ under-pronation (เอียงเข้าน้อยเกิน) จะส่งผลต่อโครงสร้างส่วนโค้งของเท้า ทำให้เกิด การทำงานผิดปกติ ปวด อักเสบ หรือเสียสมดุล ได้
🧐ปัญหาหนึ่งที่เราพบบ่อยคือ พังผืดฝ่าเท้าอักเสบ (plantar fasciitis)
เป็นการอักเสบของเนื้อเยื่อพังผืดใต้ฝ่าเท้า ซึ่งพาดจากปลายเท้าถึงส้นเท้า และทำหน้าที่พยุงส่วนโค้งด้านใน (medial arch)
ภาวะนี้ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงบริเวณส้นเท้าและฐานเท้า
ผู้ที่มีพังผืดฝ่าเท้าอักเสบมักมีโอกาสเกิด กระดูกงอกบริเวณส้นเท้า (heel spur) หรือเจ็บบริเวณที่เราเรียกว่ารองช้ำได้ด้วยเหมือนกัน
🦶 YOGA AND THE FOOT
การฝึกโยคะอาสนะกับเท้าจึงเป็นการฝึกรากฐานของความมั่นคง รูปแบบของการฝึกในท่ายืน ล้วนกระตุ้นการทำงานของ ส่วนโค้งของฝ่าเท้า (arches of the foot) และช่วยพัฒนา ความสมดุลของร่างกาย (balance)
แต่เมื่อเรา “ตั้งใจฝึก” โดยมุ่งเน้นไปที่ กล้ามเนื้อเล็ก ๆ ในเท้า โดยเฉพาะ เราจะได้ผลลัพธ์ลึกซึ้งยิ่งกว่าทั้งในด้าน
👣ความมั่นคงของท่าทาง (stability)
♥️ การรับรู้ตำแหน่งของร่างกาย (proprioception)
👣 และรูปแบบการเดิน (gait)
เท้าคือ “รากฐาน” ของทุกการเคลื่อนไหว เป็นจุดที่ร่างกายสัมผัสกับโลกทุกครั้งที่เรายืน เดิน หรือเคลื่อนไหว
เมื่อเท้ามีความแข็งแรงและรับน้ำหนักอย่างสมดุล ส่วนโค้งของฝ่าเท้าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยดูดซับแรงกระแทก ส่งแรงขับเคลื่อน และรักษาสมดุลของทั้งร่างกาย
ในการฝึกโยคะอาสนะการเริ่มต้นจาก “เท้าที่ตื่นรู้” (Awakened Foot) คือกุญแจสำคัญ
เพราะเมื่อฐานมั่นคง ทุกการเคลื่อนไหวที่อยู่เหนือขึ้นไป ตั้งแต่ข้อเท้า เข่า สะโพก ไปจนถึงกระดูกสันหลัง
จะไหลลื่น เป็นอิสระ และมีพลังอย่างสมดุล
เปิดทางให้พลังชีวิต (Prana) ไหลเวียนได้อย่างอิสระ
“When the feet awaken, the whole body finds its balance.”
♥️เมื่อเท้าตื่นรู้ ร่างกายทั้งร่างก็เข้าสู่ความสมดุล♥️
Cr. Google