คลีนิคภูมิแพ้เชียงราย

คลีนิคภูมิแพ้เชียงราย รักษาโรคภูมิแพ้และโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ที่รักษายากและเป็นมานาน

26/01/2024

เบอร์ติดต่อ 053-716040
098-5927458
เวลาเปิด 9.00-11.30 น. ทุกวัน
17.00-19.30 น. จันทร์-เสาร์

29/09/2022
พ่อแม่กลัวลูกจะเป็นหอบหืดบทความนี้เขียนโดย นพ.ระวี  เนตตกุล หนึ่งในความกังวลของพ่อแม่ที่มีต่อบุตรอายุน้อย (< 5 ปี) โดยเฉ...
13/07/2020

พ่อแม่กลัวลูกจะเป็นหอบหืด
บทความนี้เขียนโดย นพ.ระวี เนตตกุล

หนึ่งในความกังวลของพ่อแม่ที่มีต่อบุตรอายุน้อย (< 5 ปี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุน้อยกว่า 1 ปี คือกลัวว่าลูกจะเป็นหอบหืด เมื่อลูกไอบ่อย ๆ และหอบ เวลาไปพบแพทย์ทุกครั้งหรือหลายๆ ครั้ง ก็จะได้รับการรักษาโดยการพ่นยาแก้หอบที่โรงพยาบาลหรือคลินิก บางรายก็อาจต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายวัน เมื่อถามแพทย์ที่รักษาว่าเป็นหอบหืดหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องเปลี่ยนแพทย์ที่รักษาเพราะมีความไม่มั่นใจ แต่ว่าการปรึกษาแพทย์หลาย ๆ ท่าน ก็มักจะได้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน แพทย์บางท่านก็ตอบว่าใช่เป็นหอบหืด บางท่านก็ตอบไม่ใช่และคำตอบที่เพิ่มความกังวลคือ ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่

ผู้เขียนอยากทำความเข้าใจกับผู้ปกครองทุกท่านว่า ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และมีอาการหอบนั้น มีโรคบางโรคที่มีอาการคล้ายหอบหืดและไม่จำเป็นต้องเป็นหอบหืดเสมอไป ช่วงหลังพบว่าหลายท่านที่มีบุตรได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น RSV (Respiratory Syncytial Virus) บ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เป็นโรคหอบหืดแต่อาการคล้ายกัน การติดเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ ก็สามารถเกิดอาการคล้ายหอบหืดได้เช่นกัน รวมทั้งโรคอื่นๆที่อาจทำให้วินิจฉัยผิดได้เช่น เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด, สิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ, การติดเชื้อทางเดินหายใจเรื้อรัง และกรดไหลย้อน เป็นต้น

มีเด็กจำนวนไม่น้อยได้รับยาขยายหลอดลมหรือยาแก้แพ้รับประทานทุกวันเป็นเวลาหลายปีโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิดความกังวลของผู้ปกครองเกี่ยวกับการใช้ยานานๆ ว่าอาจมีผลข้างเคียง มีการให้ข้อมูลจากผู้รักษาเช่น โตขึ้นอาการจะหายเอง ตัวอย่าง เช่น จะหายเมื่ออายุ 7 ปี ซึ่งพบว่ามีการให้ข้อมูลในลักษณะเช่นนี้บ่อยครั้งมากโดยที่ยังไม่มีผลการศึกษาใดๆที่สนับสนุนความเชื่อนี้ ผู้เขียนคิดว่าน่าจะมีการบอกกันต่อๆมาเป็นทอดๆ

ความกังวลของการไม่แน่นอนในการวินิจฉัยของแพทย์ต่อบุตรหลานของผู้ปกครองนั้นจะสมเหตุผลหรือไม่ คำตอบก็คือหากเป็นหอบหืดจริงและรักษาได้ไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน อาจจะมีผลเสียตามมาไม่มากก็น้อย เช่น หากเด็กเป็นหอบหืดและได้รับยาขยายหลอดลมรับประทานทุกวัน ยังคุมอาการไม่ได้ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อพ่นยาบ่อย ๆ ถ้าเกิดอาการดังกล่าวเป็นระยะเวลานาน เป็นเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลอดลมขนาดเล็ก คือเกิดการแข็งตัวและเป็นพังผืด (Remodeling) ทำให้การตอบสนองต่อยาขยายหลอดลมน้อยลง ความรุนแรงของโรคจะมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้

ดังนั้นกรณีที่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับการวินิจฉัยว่าเป็นหอบหืดหรือไม่ การพบผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ – หอบหืด หรือแพทย์ระบบทางเดินหายใจในเด็ก น่าจะเหมาะสมที่สุด ทำให้สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำและรักษาอย่างเหมาะสม การหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้หอบและสิ่งกระตุ้นจะทำให้อาการหอบหายหรือดีขึ้น มีผู้ป่วยหอบหืดหลายรายสามารถหยุดยาที่ใช้ได้แทนที่จะรักษาโดยให้รับประทานยานานหลายๆเดือนหรือหลายๆปี นอกจากจะเสียเวลาไปพบแพทย์แล้วยังเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้นอาจได้รับผลข้างเคียงจากยาที่ใช้

เอกสารอ้างอิง
1. Grigg, J. and Ducharme, F.M. (2019) Asthma in Preschool Age Child. Kendig's Disorders of the Respiratory Tract in Children. 9th Ed, Elsvier, 677-685e2.
2. Kercsmar, C.M. and Mcdowell, K.M. (2019) Wheezing in Older Children:Asthma. Kendig's Disorders of the Respiratory Tract in Children. 9th Ed, Elsvier,686-721e3.
3.Yang, C.L., Gaffin, J.M. and Radhakrichnan, D. Question3(2019): Can we diagnose asthma in children under the age of 5 years? Ped Res Rev;29,25-30.

ภาวะขาดอาหาร(เด็กถ่ายเหลวเรื้อรัง)บทความนี้เขียนโดย นพ. ระวี   เนตตกุล ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น  มีเรื่อง(...
10/11/2019

ภาวะขาดอาหาร
(เด็กถ่ายเหลวเรื้อรัง)
บทความนี้เขียนโดย นพ. ระวี เนตตกุล
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีเรื่อง(จริง) ที่อยากจะเล่าสู่กันฟังเพราะหากมีผู้ใดพบปัญหานี้จะได้ทราบว่าเป็นภาวะที่ผิดปกติจะทำให้สามารถแก้ไขได้ทันเวลาก่อนที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนที่ท่านรัก
มีคุณแม่เด็กท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าบุตรชายอายุ 1 ปี มีอาการถ่ายเหลววันละประมาณ 4-6 ครั้งทุกวัน เป็นมานานประมาณ 6 เดือน น้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานมากคือหนักเพียง 6.7 กิโลกรัม สภาพของเด็กโดยทั่วไปดูไม่ค่อยสดชื่น หน้าตาคล้ายเด็กขาดอาหารที่หลายท่านอาจเคยเห็นในภาพถ่ายจากสื่อต่างๆของเด็กแถบทวีปอาฟริกา คุณแม่ท่านนี้ไม่ได้ละเลยในการดูแลลูกโดยพาบุตรชายคนนี้รักษาอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง มีการตรวจอุจจาระพบว่าปกติ ตรวจเลือดพบว่าแพ้นมวัวเล็กน้อย แพทย์ให้รับประทานนมชนิดไม่มีน้ำตาลแลคโตส ซึ่งก็ทำให้ถ่ายเหลวดีขึ้นเล็กน้อย ทางผู้ปกครองยังให้ประวัติเพิ่มว่าหลังจากเด็กคนนี้ดื่มนมวัวไปสักพักหนึ่งจะมีอาการหายใจมีเสียงดัง อาการดังกล่าวนี้เป็นๆ หายๆ ส่วนอาการถ่ายเหลวเป็นทุกวัน ไม่มีวันใดในรอบ 6 เดือนที่จะถ่ายเป็นปกติ อุจจาระไม่มีมูกหรือเลือดให้เห็น สีเหลืองเหมือนอุจจาระทั่วไปแต่เหลว
แม่เด็กยังให้รายละเอียดว่าทุกครั้งที่พบแพทย์ก็จะได้คำตอบว่า เด็กก็ไม่มีไข้ หวัดก็ไม่ได้เป็น ไม่มีอาการผิดปกติอื่นใดยกเว้นถ่ายเหลวเท่านั้นและได้แนะนำกับผู้ปกครองว่าอย่ากังวลกับอาการดังกล่าว คล้ายกับว่าอาการนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดปกติ (แต่แพทย์ก็ไม่ได้พูดถึงน้ำหนักที่น้อยผิดปกติเมื่อเทียบกับอายุ)
เมื่อผู้เขียนเห็นเด็กในครั้งแรก ก็ทราบได้ทันทีว่าภาวะดังกล่าวผิดปกติ โดยพบว่าเด็กมีศีรษะโตเมื่อเทียบกับตัว ดูผอม ไม่สดชื่น ซึม มีคำถามที่หลายๆ ท่านอาจสงสัยว่า ถ่ายเหลวที่ถือว่าผิดปกติจะทราบได้อย่างไร คำตอบก็คือ การที่ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน, ถ่ายมีมูกเลือด, หรือถ่ายเป็นน้ำ แม้เพียงหนึ่งครั้งถือว่าผิดปกติ ภาวะดังกล่าวหากเป็นติดต่อกัน 7 วันขึ้นไป ถือว่าเป็นอุจจาระร่วงเรื้อรัง ซึ่งต้องหาสาเหตุให้ได้และจะสามารถรักษาให้หายขาด หากไม่จะเกิดภาวะขาดอาหาร และทำให้พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจผิดปกติ
จากการตรวจเพิ่มเติมในผู้ป่วยรายนี้ พบว่าแพ้อาหารเลยให้หยุดอาหารที่แพ้ ซึ่งตอบสนองต่อการรักษาดีมากคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งกิโลกรัมในเวลาแค่ 7 วัน ถ่ายเหลวหยุดทันทีในวันแรกที่รักษาและเด็กคนนี้มีอารมณ์ที่ดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสกับผู้เขียนทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น เด็กจะร้องไห้ และซึมตลอด
จุดมุ่งหมายของบทความนี้ก็คือเพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า การถ่ายเหลวเรื้อรังนั้นอย่าคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ผู้ปกครองมีฐานะดีแต่ลูกอยู่ในภาวะขาดอาหาร ไม่เจริญเติบโตจึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งเพราะเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ไม่ยาก
เอกสารอ้างอิง
Kliegman,R.M., ST GemeIII, J.W., Blum, N. J., Tasker, R.C., Shah, S.S. et al (2020). Nelson Textbook of Pediatrics :21 th Edition: Elsevier,Philadelphia, PA, 2033-41.

แพ้สุนัขหรือแมว  แต่อยากเลี้ยงจะทำอย่างไรบทความนี้เขียนโดย นพ. ระวี   เนตตกุล ปัจจุบันสัตว์เลี้ยงได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้...
08/06/2018

แพ้สุนัขหรือแมว แต่อยากเลี้ยงจะทำอย่างไร
บทความนี้เขียนโดย นพ. ระวี เนตตกุล

ปัจจุบันสัตว์เลี้ยงได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตของคนเรามากขึ้น ประโยชน์ของสัตว์เลี้ยงก็มีมากทั้งเป็นงานอดิเรกและเป็นเพื่อนของมนุษย์ อาจช่วยคลายความเหงาได้สำหรับบางท่าน สุนัขและแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากของมนุษย์แต่มีผู้เลี้ยงจำนวนหนึ่งมีอาการแพ้สัตว์ดังกล่าว อาการแพ้ที่เกิดได้แก่อาการผื่นคันตามตัว, หอบหืด หรือมีอาการคล้ายหวัด น้ำมูกไหลและจามบ่อยๆ เป็นต้น

ข้อสงสัยของผู้แพ้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้คือส่วนไหนของสัตว์ที่มนุษย์แพ้ สารก่อภูมิแพ้ในแมวผลิตขึ้นจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังและถูกขับออกมาอยู่บริเวณผิวหนังและขนของแมว ต่อมน้ำลายใต้ลิ้นและต่อมบริเวณทวารก็สามารถขับสารก่อภูมิแพ้ออกมาได้ ซึ่งการผลิตสารดังกล่าวอยู่ใต้การควบคุมของฮอร์โมน เช่น เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ส่วนสารก่อภูมิแพ้ในสุนัขนั้นผลิตจากต่อมน้ำลาย

มีบางท่านได้รับการตรวจพบว่าแพ้สุนัขและแมว โดยที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ในบ้าน ก็เลยเกิดคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไร สารก่อภูมิแพ้ของสัตว์เลี้ยงดังกล่าว มีขนาดเล็กมากสามารถปนเปื้อนในฝุ่นบ้านและนอกบ้านได้ มีการศึกษาพบว่ามีระดับสารก่อภูมิแพ้จากสุนัขและแมวจำนวนหนึ่งในบริเวณบ้านที่ไม่เคยเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว คำอธิบายก็คือสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้นสามารถติดกับเสื้อผ้าของผู้ที่เข้าไปยังแหล่งเลี้ยงสัตว์เหล่านี้และถูกนำมายังบริเวณบ้านโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นที่ปนเปื้อนด้วยสารก่อภูมิแพ้ จะทำให้ผู้แพ้สารนั้นเกิดอาการได้

ผู้ป่วยภูมิแพ้สุนัขและแมวที่ยืนยันการแพ้สัตว์เลี้ยงดังกล่าวโดยการตรวจสารก่อภูมิแพ้ มาตรฐานโดยทั่วไปที่แนะนำคือให้หยุดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว แต่ที่แน่ๆก็คือเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยยังยืนยันที่จะเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ บางครั้งอาจเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้รักษาและผู้ป่วยได้ มีวิธีที่อาจได้ผลเมื่อปฏิบัติในผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็คือ การควบคุมสิ่งแวดล้อมเพื่อลดสารก่อภูมิแพ้อย่างจริงจัง โดยการเอาพรมออกจากห้องนอนรวมทั้งลดการใช้เฟอร์นิเจอร์บุนวมซึ่งอาจเป็นที่เก็บกักฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้จากสุนัขและแมว, การใช้เครื่องกรองอากาศ, ควรหมั่นอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง, การใช้ผ้าชนิดพิเศษเช่น ผ้ากันไรฝุ่นหุ้มเบาะที่นอนและหมอนเนื่องจากเป็นสถานที่เก็บกักสารก่อภูมิแพ้ ควรจำกัดพื้นที่ที่ให้สัตว์เลี้ยงอยู่และใช้เครื่องดูดฝุ่นประสิทธิภาพสูงทำความสะอาด

เมื่อได้ปฏิบัติวิธีการดังกล่าวก็จะช่วยลดสารก่อภูมิแพ้ได้ระดับหนึ่งและหลายคนมีอาการดีขึ้น ในกรณีที่อาการแพ้ยังคงอยู่ การลดความไวของผู้ป่วยภูมิแพ้ต่อสัตว์เลี้ยง โดยการใช้สารก่อภูมิแพ้ทำเป็นวัคซีนฉีดให้ผู้ป่วยดังกล่าวก็จะสามารถช่วยให้อาการดีขึ้นเช่นกัน

เอกสารอ้างอิง
1. Chapman, M.D., & Wood, R. (2001). The role and remediation of animal allergens in allergic diseases. J Allergy Clin Immuno, 107, S 414-21.
2. Nilsson, O.B.,Hage, A.V., and Gronlund, H. (2014). Mammalian-derived respiratory allergens-Implications for diagnosis and therapy of individuals allergic to furry animals. Methods, 66, 86-95.

ภาวะกลัวการใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid Phobia)บทความนี้เขียนและเรียบเรียง โดย  นายแพทย์ระวี  เนตตกุล ผู้ป่วยที่มีอาการผื่นค...
27/11/2017

ภาวะกลัวการใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid Phobia)

บทความนี้เขียนและเรียบเรียง โดย นายแพทย์ระวี เนตตกุล

ผู้ป่วยที่มีอาการผื่นคันทางผิวหนัง เมื่อไปพบบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรักษา หรือแม้แต่จะซื้อยาทาเฉพาะที่ใช้เอง ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์มาทาเนื่องจากเป็นยาที่ได้ผลดีในการรักษาการอักเสบจากการแพ้และ การระคายเคืองบนผิวหนัง ซึ่งยาตัวแรกในกลุ่มนี้ที่สังเคราะห์ได้ใน ปี ค.ศ. 1951 คือ ไฮโดรคอติโซน (Hydrocortisone) หลังจากนั้นก็ได้มีการสังเคราะห์ยาเพิ่มขึ้นมาอีกมาก ได้มีการแบ่งหมวดหมู่ของยาสเตียรอยด์ออกเป็นกลุ่มตามความแรงของยา (Potency) ให้เลือกใช้ตามชนิดของรอยโรคที่เป็น, ตำแหน่ง รวมทั้งอายุของผู้ใช้ บุคลากรทางการแพทย์ที่จ่ายยาชนิดนี้ให้แก่ผู้ป่วยไปใช้ควรที่จะมีความรู้เกี่ยวกับยากลุ่มนี้เป็นอย่างดีเพื่อที่จะเลือกใช้ยาให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการรักษาและลดผลข้างเคียงของยาได้

ผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์อาจเกิดขึ้นได้หากใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เช่น ผิวบาง (Skin atrophy), ผิวลายคล้ายภาวะท้องลายหลังคลอดบุตร (Striae), อาจเห็นเส้นเลือดบนผิวหนังชัดเจน (Telangiectasia) เป็นต้น นอกจากนี้อาจทำให้เกิดสิว, ขนขึ้นมากตามร่างกาย, เกิดภาวะต้อหิน ต้อกระจก และอื่นๆ อีกมากมาย การดูดซึมของยาทาอาจทำให้มีผลข้างเคียง เช่น มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก, การบวมจากภาวะโรคต่อมไร้ท่อ (Cushing’s syndrome)

ในระยะหลังผู้เขียนได้พบว่ามีผู้ป่วยและญาติจำนวนมากขึ้นได้แสดงความกังวลหรือไม่อยากใช้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ในรักษาอาการผื่นคันตามร่างกาย เมื่อสอบถามดูส่วนใหญ่ให้คำตอบว่า มีคนเขาว่าเป็นยาอันตราย, ใช้นานๆไม่ดี ทำให้ผิวบาง, ทำให้เสพติด เมื่อหยุดใช้จะเป็นมากขึ้น เมื่อถามว่าไปได้ข้อมูลมาจากไหน บ้างก็ว่าจากร้านขายยา, จากญาติ, จากเพื่อน คนรู้จัก, จากอินเตอร์เน็ตและอื่นๆ มีอยู่จำนวนไม่น้อยได้รับคำแนะนำจากเภสัชกรที่จำหน่ายยาให้ว่าไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ซึ่งก็เป็นความปรารถนาดีต่อผู้ป่วยแต่ก็มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งซึ่งกลัวการใช้ยากลุ่มนี้มากเกินไป (Steroid Phobia) เวลามาพบแพทย์จะถามว่าจ่ายยาสเตียรอยด์ให้หรือเปล่าและไม่อยากใช้ยานี้ ทำให้ผู้เขียนต้องใช้เวลานานมากพอควรอธิบายให้เข้าใจถึงผลดี ผลเสียของยากลุ่มนี้ว่าสามารถใช้ได้แต่ต้องใช้ให้เหมาะสม และเล่าให้ฟังถึงผู้ใช้บางรายที่เกิดผลข้างเคียงจากการซื้อยาใช้เองอย่างไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน

มีคำถามว่าแล้วจะใช้ติดต่อกันได้นานแค่ไหนจึงจะไม่มีผลข้างเคียง เรื่องนี้ได้มีการศึกษามาบ้างพอควร ตัวอย่างเช่น มีการศึกษาถึงภาวะผิวหนังบาง (Skin thinning) โดยใช้เครื่องมือ pulsed ultrasound พบว่า การใช้ยา 1% hydrocortisone ทาเช้า เย็น เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ไม่พบว่าทำให้เกิดผิวบาง ในขณะที่ยากลุ่มที่มีความแรงสูง (very potent เช่น Clobetasol) ใช้ทา เช้า เย็น แค่ 1 สัปดาห์ พบว่าเริ่มมีภาวะผิวบางได้ มีการศึกษาหนึ่งที่ดูผลการใช้ยาสเตียรอยด์ รักษาโรคผื่นแพ้ (Atopic Dermatitis) โดยใช้ติดต่อกัน 3 เดือน ไม่พบว่าทำให้เกิดผิวบาง

ดังนั้นจึงอยากแนะนำให้ผู้สนใจเกี่ยวกับหัวข้อนี้ทราบว่าอย่ากลัวอะไรโดยไม่สมเหตุสมผลและขาดข้อมูล หากสงสัยให้ถามจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง การใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทาในการรักษาโรคผื่นแพ้ทางผิวหนังสามารถทำได้ การเลือกใช้ชนิดของยา, ความเข้มข้นของยา, ระยะเวลาที่รักษา และอายุของผู้ป่วยให้เหมาะสม เรียกได้ว่าจะไม่เกิดผลข้างเคียงที่กังวลเหล่านี้เลย แต่เหนือสิ่งอื่นใดถ้าสามารถทำให้หายขาดจากอาการแพ้ได้ก็น่าจะดีที่สุด ต่อไปก็ไม่ต้องใช้ยาอีก ซึ่งควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุการแพ้และถ้าหากหลีกเลี่ยงได้จะทำให้หายขาดได้

เอกสารอ้างอิง
1. Charman, C. and Williams, H. (2003). The use of corticosteroids and corticosteroid phobia in atopic dermatitis. Clinics Dermatology; 21: 193-200.
2. Li, A.W., Yin, E.S., and Antaya, R.J. (2017). Topical corticosteroid phobia in atopic dermatitis. A systemic review. JAMA Dermatol; 150(10): 1036-1042.

โรคสะเก็ดเงินอีกแล้วบทความนี้เขียนโดย นายแพทย์ระวี เนตตกุล ผู้เขียนเชื่อว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อย อาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคน...
15/04/2017

โรคสะเก็ดเงินอีกแล้ว
บทความนี้เขียนโดย นายแพทย์ระวี เนตตกุล

ผู้เขียนเชื่อว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อย อาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคนี้มาบ้าง และคุ้นเคยกับคำว่าโรคสะเก็ดเงินพอสมควร ปัจจุบันมีสื่อข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้มากมาย ทั้งรายละเอียดของโรครวมทั้งรูปภาพของผู้ที่เป็นโรคนี้และมีหลายท่านได้นำมาเปรียบเทียบกับอาการของตนเองหรือญาติที่เป็น ข้อมูลดังกล่าวได้แก่การดำเนินของโรค การรักษา ยาที่ใช้รักษารวมทั้งผลข้างเคียงของยาที่ใช้ ซึ่งมักจะหาอ่านจากสื่อออนไลน์ สิ่งที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับทราบข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์ก็คือโรคนี้รักษาไม่หายขาด ทำให้หลายท่านเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคที่เป็น แม้จะเปลี่ยนผู้รักษาก็จะได้รับข้อมูลที่ไม่ต่างกันมากนักรวมทั้งผลการรักษาก็ไม่ค่อยดี

จุดประสงค์ของการเขียนบทความนี้ เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาต่อเนื่องที่นาน ยาที่ใช้รักษาใหม่ๆมีราคาแพงและผลข้างเคียงก็มาก การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก มีข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ก็คือ หากท่านได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้แล้วรักษาไม่ดีขึ้น ท่านควรที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมและสอบถามแพทย์ที่รักษาท่านอย่างละเอียดในทุกแง่มุม ถ้ามีการแนะนำให้ใช้ยาใหม่ที่มีราคาแพงขอให้คิดให้รอบคอบ บางครั้งอาจจำเป็นต้องสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายท่านก่อนตัดสินใจใช้ เนื่องจากหากวินิจฉัยไม่ถูกต้อง นอกจากท่านจะเสียเงินค่ารักษามากแล้วท่านอาจจะได้รับผลข้างเคียงของยาไปด้วย และโรคที่เป็นก็ไม่ดีขึ้น

จากรูปด้านขวามือที่แสดงเป็นผิวหนังที่บางลงของผู้ป่วยวินิจฉัยว่าเป็นโรคสะเก็ดเงิน ได้รับยาทาสเตียรอยด์ที่มีความแรงสูง (high potency) มาเป็นระยะเวลานาน ทำให้การสร้างใยคอลลาเจนของผิวหนังลดลง จะเห็นได้ว่าดูผิวบางเห็นเส้นเลือดชัดเจน โดยทั่วไปการวินิจฉัยโรคสะเก็ดเงินทำได้ไม่ยาก แต่ก็มีบางครั้งที่ถูกวินิจฉัยโรคอื่นว่าเป็นโรคสะเก็ดเงินก็มี ทำให้เกิดผลเสียดังกล่าวข้างต้น

เอกสารอ้างอิง
1.Schleicher, S.M. (2016). Psoriasis. Clin Podiatr Surg; 33,355-366.
2Yawalga N, (2009). Management of Psoriasis, Kargu, Basel, 1.p45.

ผลกระทบเมื่อหายใจทางปากเป็นระยะเวลานานบทความนี้เขียนโดย นายแพทย์ระวี  เนตตกุล     การหายใจทางปากนั้นผู้เขียนเชื่อว่ามนุษ...
05/11/2016

ผลกระทบเมื่อหายใจทางปากเป็นระยะเวลานาน
บทความนี้เขียนโดย นายแพทย์ระวี เนตตกุล

การหายใจทางปากนั้นผู้เขียนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ไม่มากก็น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลารูจมูกอุดตันจากการเป็นหวัด ซึ่งจะเกิดในระยะเวลาไม่นานอาการก็จะดีขึ้นเอง แต่ในกรณีที่เป็นนานซึ่งระยะเวลานานไม่มีตัวเลขที่แน่นอนว่ากี่วันถือว่านาน แต่อาจจะประเมินหรือสรุปว่านานกว่าช่วงระยะที่เป็นหวัด โดยปกติคนที่แข็งแรงเวลาเป็นหวัดจะหายได้ในระยะเวลาไม่กี่วัน (3-5 วัน) ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน แต่ถ้าหากว่ามีโรคแทรกซ้อนเช่นไซนัสอักเสบ ก็อาจใช้เวลานานกว่านั้น

มีผู้ปกครองบางท่านที่ปล่อยให้บุตรหลานมีอาการคัดจมูกเรื้อรังหลายเดือนหรือเป็นปี ทำให้ต้องใช้ปากหายใจแทนจมูกโดยที่ไม่ทราบว่าจะมีผลเสียตามมาอย่างไรบ้าง บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อที่จะเรียนให้ทราบว่าภาวะดังกล่าวถือว่าผิดปกติ ธรรมชาติของมนุษย์มีจมูกไว้ใช้หายใจโดยเป็นทางผ่านของอากาศเข้าไปในร่างกายจะมีข้อดีกว่าการที่หายใจทางปาก โดยที่จมูกจะทำหน้าที่กรองฝุ่น,สิ่งแปลกปลอม รวมทั้งปรับอุณหภูมิอากาศที่เข้าไปให้เหมาะกับร่างกายมนุษย์ การที่เราหายใจทางปากทำให้สารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งต่างๆเข้าไปในร่างกายง่ายขึ้น สามารถกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินหายใจได้ และทำให้ผู้ป่วยที่เป็นหอบหืดอยู่แล้วเกิดอาการหอบได้ง่าย อนุภาคขนาดเล็ก (

แพ้ผงชูรสมีจริงหรือ?ผู้เขียนบทความ  นพ. ระวี  เนตตกุล• มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่สังเกตตนเองว่าบางครั้งหรือหลายๆครั้ง เวลารับป...
23/07/2016

แพ้ผงชูรสมีจริงหรือ?

ผู้เขียนบทความ นพ. ระวี เนตตกุล

• มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่สังเกตตนเองว่าบางครั้งหรือหลายๆครั้ง เวลารับประทานอาหารนอกบ้านหรือซื้ออาหารสำเร็จรูปมาบริโภคจะเกิดอาการผิดปกติขึ้นในร่างกาย เช่น อาการร้อนตามตัว เจ็บหรือร้อนบริเวณหน้าอก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง เหงื่อออก ใจสั่น บางรายมีอาการหอบ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจะ เป็นการแพ้อาหารหรือไม่ หรืออาจแพ้ส่วนประกอบของอาหาร ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะหาข้อสรุป หรือหาวิธีการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติหลังจากการรับประทานอาหารนอกบ้านนี้คืออะไร

• ข้อสังเกตที่พอจะนึกได้คือ ในครอบครัวของผู้ที่เกิดอาการนี้ไม่ได้ใช้ผงชูรสในการปรุงอาหารและไม่มีอาการดังกล่าวเมื่อปรุงอาหารรับประทานเอง ทำให้คิดว่าผงชูรสอาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดอาการเหล่านี้ ปัญหาก็คือว่าอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดทุกครั้งที่รับประทานอาหารนอกบ้าน จึงทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าผงชูรสเป็นสาเหตุหรือไม่ อาการดังกล่าวเป็นการแพ้ผงชูรสหรือไม่

• ปี ค.ศ. 1986 มีแพทย์ท่านหนึ่งคือ Dr.Kwok ได้รายงานผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวหลังจากรับประทานอาหารในภัตตาคารจีน ซึ่งจะเกิดอาการประมาณ 15 – 20 นาทีหลังรับประทานและคงอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยๆ หายไปได้เอง จึงใช้คำเรียกว่าเป็นกลุ่มอาการจากการรับประทานอาหารในภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) ชื่อย่อคือ CRS หลังจากนั้นก็มีผู้สังเกตพบอาการดังกล่าวมากขึ้น และมีการศึกษามากพอสมควรทำให้สามารถชี้ให้เห็นว่าผงชูรสทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้ในปริมาณการบริโภคที่มากในระดับหนึ่ง

• ผงชูรสได้มีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Monosodium glutamate (MSG) โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเพิ่มรสชาติของอาหาร ในประเทศไทยก็มีการใช้ในร้านอาหารแทบจะทุกที่ทุกแห่ง พบว่าทำให้เกิดอาการดังกล่าวน้อยกว่า 1%ของประชากรที่บริโภค ปริมาณที่สามารถทำให้เกิดได้คือ ประมาณ 2.5 กรัมขึ้นไป อาจมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นกับความไวต่อการตอบสนองของแต่ละบุคคล หลังจากบริโภคผงชูรสจะทำให้ระดับกลูตาเมต (glutamate) ในร่างกายมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งของไนตริกออกไซด์ (NO) ผลก็คือทำให้เส้นเลือดเกิดการขยายตัว ทำให้เกิดอาการดังกล่าว

• ดังนั้นจะเห็นได้ว่าปฏิกิริยาดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากการแพ้ผงชูรสโดยตรง แต่คล้ายกับว่าเป็นผลข้างเคียงซึ่งเกิดกับคนบางคนเท่านั้น เนื่องจากอาการดังกล่าวไม่มีอันตรายและสามารถหายได้เอง จึงไม่ได้มีการห้ามการบริโภคผงชูรส แต่มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการมากก็ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าวในการปรุงอาหาร มีรายงานผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการเต้นผิดปกติของหัวใจได้ แต่พบไม่บ่อย การปรุงอาหารเองโดยไม่ใส่ผงชูรสน่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด

เอกสารอ้างอิง
1. Scher, W. and Scher, B.M. (1992). A possible Role for Nitric Oxide in Glutamate (MSG)-Induce Chinese Restaurant Syndrome: Medical Hypothesis, 38, 185-188.
2. Yang, W. H., Drouin, M.A., Herbert, M., Mao, Y., and Karsh, J. (1997). The monosodium glutamate symptom complex: Assessment in DBPC, randomized study J Allergy Clin Immunol; 99, 757-62.
3. Zautcke, J.L., Schwartz, J.A., and Mueller, E.J. (1986). Chinese Restaurant Syndrome: A Review. Ann Emerg Med, 15, 1210-13.

ที่อยู่

230/7 ถนน ธนาลัย (ข้างธนาคารกรุงศรีอยุธยา หน้าตลาดเทศบาล 1)อำเภอ เมือง จังหวัด เชียงราย
Chiang Rai
57000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 12:00
17:00 - 20:00
อังคาร 09:00 - 12:00
17:00 - 20:00
พุธ 09:00 - 12:00
17:00 - 20:00
พฤหัสบดี 09:00 - 12:00
17:00 - 20:00
ศุกร์ 09:00 - 12:00
17:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 12:00
17:00 - 20:00
อาทิตย์ 09:00 - 12:00

เบอร์โทรศัพท์

053716040

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลีนิคภูมิแพ้เชียงรายผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram