Kids Can Do Chiang Rai

Kids Can Do Chiang Rai autism, autistic, occupation therapy, special education, special child, ออทิสติก, ?

ให้บริการกระตุ้นพัฒนาการเด็กที่มีความต้องการพิเศษ พัฒนาการช้า ออทิสติก สมาธิสั้น มีปัญหาด้านการเรียนรู้ CP ฯลฯ และให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครอง โดยนักกิจกรรมบำบัด และครูการศึกษาพิเศษที่มีประสบการณ์ด้านเด็กโดยตรง

29/11/2025

ในชีวิตจริงของเด็กคนหนึ่งที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่จะพบแต่เรื่องดีๆ แน่นอนต้องมีปัญหา อุปสรรคเข้ามา มีทั้งคนที่ประสงค์ดีหรือร้าย มากบ้างน้อยบ้าง

ผู้ใหญ่คงไม่สามารถปกป้องเด็กๆ ได้ตลอด สิ่งสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้เด็กรู้จักดูแลพึ่งพาตัวเอง และอยู่รอดได้

มี 2 ทักษะสำคัญที่อยากพูดถึงคือ 1. ทักษะความเข้มแข็งทางจิตใจ 2. ทักษะการแก้ไขปัญหา


1. ความเข้มแข็งทางจิตใจ

เป็นพื้นฐานสำคัญ เหมือนเสาเข็มของบ้าน ที่จะทำให้มนุษย์มีความเชื่อมั่น กล้าหาญ มุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันปัญหา หรืออุปสรรคต่างๆ ที่เปรียบเหมือนพายุฝน หรือแผ่นดินไหวไปได้ ซึ่งสร้างและปลูกฝังได้โดย

1.1 ความรักความเอาใจใส่ที่ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดมีให้เด็ก ให้เด็กรู้สึกว่าเขามีคุณค่า เป็นที่รัก

1.2 บ้านที่มีบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัย จิตใจที่เข้มแข็งต้องมีพื้นฐานจากจิตใจที่รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยเป็นพื้นฐาน พ่อแม่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทะเลาะและขัดแย้งกันได้แต่ไม่ใช้ความรุนแรงต่อกันทั้งทางคำพูดและทางกาย

1.3 การมีเวลาคุณภาพที่มีให้กันและกัน เวลาคุณภาพ คือเวลาที่พร้อมจะรับฟังเด็กและรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกเด็ก เด็กเข้าใจว่าผู้ใหญ่พร้อมจะรับฟังและอยู่ตรงนี้เพื่อเขา ทำให้เด็กมีความรู้สึกไว้วางใจ เสริมสร้างความรู้สึกอบอุ่นมั่นคง

1.4 ปลูกฝังในเรื่องระเบียบวินัย ให้เด็กรู้จักควบคุมความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่ตามใจเด็กไปทุกเรื่อง

1.5 ให้รู้จักที่จะอดทนและรอคอยให้เป็น เด็กที่อยากได้ก็ได้มาตลอด ไม่เคยต้องรอคอยอะไร เด็กจะมีความอดทนทางอารมณ์ต่ำ ถ้ามีอะไรที่ขัดใจหรือไม่เป็นไปอย่างที่คิด เด็กจะหงุดหงิดไม่พอใจมาก บางคนก็ติดไปจนเป็นผู้ใหญ่ที่เอาแต่ใจ มีปัญหาเวลาอยู่กับคนรอบข้าง

1.6 ชมเชยให้กำลังใจอย่างเหมาะสม เวลาที่เด็กทำอะไรได้ การที่มีคนบอกว่าสิ่งที่เขาทำทำให้เกิดอะไรดีๆ เช่น "แม่ชื่นใจจังที่ลูกช่วยแม่เช็ดโต๊ทำให้แม่เหนื่อยน้อยลง" จะทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจ มีกำลังใจ และรู้สึกคุณค่าของตัวเอง

1.7 สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆนั้น เป็นเรื่องธรรมดา การรู้จักและรับรู้อารมณ์ความรู้สึกตัวเองเป็นเรื่องจำเป็น และเด็กควรต้องยอมรับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ว่าเป็นธรรมดาและเป็นธรรมชาติ ที่คนปกติอาจจะมีได้ ทั้งดีใจ โกรธ เสียใจ ผิดหวัง ฯลฯ เพราะเมื่อยอมรับได้ การจัดการอารมณ์ก็จะเป็นไปอย่างเหมาะสมมากขึ้น

1.8 การจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกให้เหมาะสม เช่น เมื่อโกรธรับรู้ว่าตัวเองโกรธ โกรธมากเลยแต่ก็ไม่อาละวาด ก็ไปทำอะไรให้รู้สึกสบายใจขึ้น เช่น บ่นระบายให้แม่ฟัง เขียนลงสมุด วาดรูป ฟังเพลง ออกกำลังกาย หรืออยากจะชกใครสักคน แต่ไม่ไปชกคน ไปชกกระสอบทรายแทน

1.9 ผู้ใหญ่ควรให้เด็กรู้จักความผิดหวังบ้าง เช่น เวลาที่อยากได้ของเล่น แต่พ่อแม่ไม่ซื้อให้เพราะไม่มีเหตุผลสมควร และควรให้เขาเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดหวัง บางทีเด็กอาจจะมีน้ำตา ร้องไห้ พ่อแม่บางคนทนไม่ได้กับน้ำตาของเด็ก จึงไม่ยอมให้เด็กต้องผิดหวัง ทำให้ยอมไปหมด ทีหลังเด็กโดตขึ้นต้องผิดหวังเรื่องอื่นๆ ก็อาจจะรับได้ยาก

1.10 ให้เด็กเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบผลจากการกระทำ บางทีผู้ใหญ่เห็นเด็กทำผิดแต่ไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือน เพราะเห็นใจและสงสาร จริงๆ แล้ว การให้อภัยสามารถทำควบคู่ไปกับการสอนให้เด็กได้เรียนรู้ได้ เช่น สมมติว่าเด็กคนหนึ่งโกรธพ่อและขว้างของเล่นพัง เด็กเข้ามาขอโทษ พ่อก็ควรชมเชยที่เด็กสำนึกผิด แต่หลังจากนั้น เด็กควรรับผิดชอบ ด้วยการเก็บกวาด และอาจจะต้องหักค่าขนมสมทบเป็นราคาของที่เสียหาย หรือทำงานบ้านชดเชย

1.11 ยอมรับในตัวตนและให้โอกาสเด็ก ตามข้อที่ผ่านมา เมื่อทำผิดก็ต้องให้เด็กได้เรียนรู้ แต่ผู้ใหญ่ก็ควรให้โอกาสเด็กแก้ตัว ปรับปรุง เด็กจะเข้าใจได้ว่า ทุกปัญหามีโอกาสและทางออก เช่นเดียวกับอุปสรรคที่เขาเจอในชีวิต

1.12 ผู้ใหญ่ต้องไม่ใช้คำพูดหรือการกระทำที่ทำลายคุณค่าในตัวตนของเด็ก เช่น คำพูดรุนแรงที่มาจากอารมณ์ เช่น ตีตรา ประชด เปรียบเทียบ ดูถูก การกระทำที่รุนแรง เช่น การทำโทษรุนแรง เช่น การตบตี หากทำต่อเนื่องนานๆ ไปเด็กจะรู้สึกสูญเสียคุณค่า รู้สึกแย่กับตัวเอง ไม่ภาคภูมิใจในตัวเองได้


2. ทักษะการแก้ปัญหาอุปสรรคในชีวิต

2.1 เริ่มจากสร้างความเข้มแข็งทางใจด้วยการทำตามที่เขียนมาในข้อ1 ให้ครบก่อน

2.2 ให้เด็กช่วยเหลือและทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ใช่อ้างว่าเพราะความรักจึงช่วยเหลือเด็กไปหมดทุกเรื่อง การช่วยไปหมดทุกเรื่องจะทำให้เด็กติดสบาย ถ้าเป็นเด็กเล็กบางครั้งทำให้พัฒนาการล่าช้าได้ เพราะไม่เคยได้ฝึกฝน ส่วนเด็กโตก็จะมีแนวโน้มไม่มั่นใจในตัวเองเวลาต้องทำอะไรเอง เพราะติดว่ามีคนช่วยตลอด

2.3 เด็กที่ได้ลองทำเองและทำได้ เด็กจะรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถ ภูมิใจว่าเขาก็ทำอะไรเองได้ เวลาที่เด็กทำเอง อาจจะลำบากกว่าผู้ใหญ่ทำให้บ้าง ช้ากว่าบ้าง แต่ก็ทำให้เด็กรู้จักเรียนรู้การพึ่งพาตัวเอง เวลามีปัญหา เพราะเรื่องจริงก็คือ ผู้ใหญ่คงช่วยเหลือแก้ปัญหาให้เขาไม่ได้ตลอดชีวิต

2.4 ลองให้คิดแก้ปัญหาเองในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่อันตรายมากมาย ทักษะการแก้ปัญหา (Problem-solving skill) เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ด้วยการลงมือทำเอง

2.5 เวลาที่ให้เด็กฝึกแก้ปัญหาเล็กๆน้อยด้วยตัวเอง แม้จะทำได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จ อย่างน้อยเขาก็ได้ลองทำ ทำให้มีประสบการณ์

2.6 พ่อแม่ควรชมเชยเขาที่แก้ปัญหาทำอะไรเอง โดยไม่ต้องมุ่งเน้นผลลัพธ์มาก ชมที่กระบวนการขั้นตอน เช่น “แม่เห็นเลยว่า หนูมีความพยายาม ตั้งใจ แม่ภูมิใจในตัวหนูนะลูก”


ทั้งนี้ผู้ใหญ่และพ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กเรียนรู้ด้วย เพราะเด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการกระทำของผู้ใหญ่ที่เขารักและเคารพ ไม่ใช่จากคำพูดสอนว่าเขาต้องเป็นแบบไหนอย่างไร

หากพ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นคนที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง พ่อแม่ก็ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งเป็นตัวอย่าง นั่นก็คือ เมื่อมีอุปสรรคต่างๆเข้ามาในชีวิต พ่อแม่สามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม บางทีผลที่ออกมาอาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่พ่อแม่ก็ผ่านพ้นไปได้

ลูกก็จะเห็นและเรียนรู้ ในเวลาที่เขาต้องเจอกับเรื่องราวยากลำบาก เขาก็จะสามารถมีสติที่จะจัดการและพร้อมยอมรับผลที่ออกมา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่เขาก็จะเข้าใจและยอมรับมันได้

สุดท้ายจิตใจที่เข้มแข็งและทักษะการจัดการปัญหาและอุปสรรคคงไม่สามารถสร้างได้ในวันสองวัน แต่ต้องใช้ความพยายามและตั้งใจ ความอดทนและเสียสละของพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด ค่อยๆสร้างตั้งแต่เด็กยังเล็กๆ จึงจะได้ผลดี

#หมอมินบานเย็น

https://www.facebook.com/share/17TjRKu9kL/
20/11/2025

https://www.facebook.com/share/17TjRKu9kL/

"การชมที่ดีจะส่งไปถึงหัวใจของลูก"
1. ชมด้วยความจริงใจ
เริ่มด้วย "ภาษากายที่จริงใจ"
-เดินเข้าไปหา
-ย่อตัวลง/นั่งเท่ากัน
-ตามองที่เขา
-พูดเอ่ยจากใจ
-กอดแน่นๆ ด้วยความภูมิใจ
"คำชมอย่างจริงใจ"
เมื่อเรามองเห็น
และรับรู้ว่าลูกทำสิ่งดีๆ /ทำได้ดี
เราจะพูดชมสิ่งนั้นได้ง่ายขึ้น
พ่อแม่จำเป็นต้องวางทุกอย่างลง
เพื่อมองให้เห็นลูกตรงหน้าเราก่อน
เมื่อเรามีเวลามอง
เราจึงเห็น
ขอให้เราชมสิ่งที่เห็น "ลูกทำอะไร"
เช่น "เห็นลูกช่วยเก็บจานด้วยตัวเอง"
จากนั้นชมสิ่งที่เรารับรู้/รู้สึกได้
"สิ่งที่ลูกทำ ทำให้เรารู้สึกอย่างไร"
เช่น "รู้สึกดีใจและขอบคุณที่ลูกเก็บจานให้"
*****
(2) แม้จะยังไม่สำเร็จวันนี้
แต่อย่าลืมชื่นชมที่ความตั้งใจ/พยายาม
เพราะสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ
ที่จะทำให้เด็กพัฒนาเติบโตต่อไป
บางครั้งผลลัพธ์ไม่เป็นดังหวัง
แต่ลูกพยายามและตั้งใจอย่างเต็มที่แล้ว
คำชมคือการทำให้ลูกรับรู้ว่า
พ่อแม่มองเห็นความพยายามและความตั้งใจของเขา
ความพยายามที่ชัดเจน
-การเตรียมตัว ฝึกฝนสม่ำเสมอ
-การตามกติกา เคารพในกติกา
-การทำเต็มที่ ได้แก่ ทำจนหมดเวลา/ทำจนเสร็จ
คำชมที่เราสามารถมอบให้ลูกได้
เช่น
"ดีใจที่ลูกไม่ยอมแพ้"
"ขอบคุณที่ลูกทำเต็มที่"
"ลูกอดทนและเหนื่อยมาตลอด เยี่ยมมากเลยที่มาถึงวันนี้ได้"
*****
(3) แม้จะยังไม่รู้ว่าต้องชมอะไร
เราชวนพูดคุยสะท้อนตัวเอง (Feedback)
บางครั้งลูกอาจจะยังไม่ได้พยายามเต็มที่
และความสำเร็จยังไม่เกิดขึ้น
จึงเป็นเรื่องยากที่จะชมอย่างจริงใจ
ดังนั้นสิ่งที่เราชวนลูกทำได้คือ
"พูดคุยสะท้อนตัวเอง (Feedback)"
ตัวอย่างคำถาม
-"เราตั้งใจจะทำอะไร/เราทำอะไรไปบ้าง"
-"เราพอใจกับสิ่งที่เราทำมาก/น้อยแค่ไหน เพราะอะไร"
-"ในมุมมองของพ่อแม่เห็นอย่างไรบ้าง"
เช่น เห็นว่าลูกกล้าคิดกล้าทำแล้ว แต่ขาดการฝึกฝน
หรือ เห็นว่าลูกตั้งใจดี แต่อาจจะต้องเปลี่ยนวิธี
การพูดคุยทำให้เราได้เรารู้จักลูก
และลูกได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้เราได้ช่วยลูกเติมเต็มในส่วนที่เขาขาด
และลูกจะพัฒนาเติบโตต่อไปได้
**********
การชมไม่ได้ใช่เพียงแค่คำพูดที่ทำให้ลูกรับรู้ว่าเขาทำอะไรได้ดี
แต่คือคำที่ยืนยันว่า "พ่อแม่มองเห็นคุณค่าในตัวเขา"
และ "สิ่งที่เขาทำนั้นมีคุณค่าและควรทำต่อไป"
ด้วยรักจากใจ
เม
เพจตามใจนักจิตวิทยา

https://www.facebook.com/share/p/17JRkWga8h/
19/11/2025

https://www.facebook.com/share/p/17JRkWga8h/

‘เอ็ดดี้’ เด็กชายชั้น ป.4 ที่เรียนไม่ค่อยเก่ง แม้จะพยายาม แต่เวลาสอบก็ทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าไหร่ ทำงานก็จะเสร็จช้ากว่าเพื่อน

เวลาครูถาม บางทีก็จะตอบคำถามไม่ทันเพื่อนคนอื่น ถึงบางทีเขาอยากจะลองตอบ แต่บางทีก็ไม่มั่นใจ กลัวผิด ทำให้ยิ่งช้ามากขึ้น

ยิ่งที่ผ่านมามีครูบางคนก็แซวเอ็ดดี้ ที่เขาอ้ำอึ้งตอบคำถามช้า เพื่อนๆ ก็จะล้อว่าเป็น ‘สล็อต ยังหลับไม่ตื่นหรือเอ็ดดี้’ ‘น้ำมันหมดเหรอ’ ‘ไอ้อืด’ ฯลฯ

เอ็ดดี้ทำเป็นไม่สนใจ แต่จริงๆ แล้วก็รู้สึกไม่ดี บางทีก็รู้สึกไม่อยากจะไปโรงเรียน


แต่หลังจากเปิดเทอม2 มีคุณครูคนใหม่มาสอนวิชาวิทยาศาสตร์

ครูคนนี้ต่างกับครูคนอื่น เพราะครูเปิดโอกาสให้เอ็ดดี้ตอบคำถาม

แม้ว่าจะยกมือไม่ทันเพื่อน แต่ครูจะเรียกเอ็ดดี้ตอบ นอกจากเอ็ดดี้ ครูก็สนใจเด็กคนอื่นๆ ที่เรียนไม่ค่อยทันเพื่อนด้วย

"ผมรู้สึกดีกับการเรียนขึ้น เพราะครูคนนี้ เขาให้โอกาสผมตอบคำถาม บางทีตอบผิด ครูก็ไม่ได้ดุ .. ครูผมทำให้เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ครูบางคนสนใจแต่เพื่อนที่เรียนเก่ง ตอบคำถามเร็ว"


เรื่องของเอ็ดดี้ทำให้เห็นว่า เรื่องของการยอมรับ เข้าใจ และการให้โอกาส เป็นสิ่งสำคัญ

ก่อนที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตไปเป็นคนที่ยอมรับและมองเห็นคุณค่า ให้โอกาสในตัวเองได้ ควรมีใครสักคนยอมรับและให้โอกาส เชื่อมั่นในตัวเขาก่อน

จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนก็ต้องการการยอมรับและโอกาสทั้งนั้นแหละ


หมายเหตุ: เรื่องของเอ็ดดี้ เป็นชื่อสมมติของเด็กที่หมอได้คุยด้วย มีการดัดแปลงรายละเอียดบางอย่าง เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับบุคคลที่สาม

#หมอมินบานเย็น
#ข้อคิดจากห้องตรวจจิตเวชเด็ก

03/11/2025
https://youtube.com/watch?v=dXCy6RU4AcQ&si=w6bcmQjBYh_7xc0P
19/10/2025

https://youtube.com/watch?v=dXCy6RU4AcQ&si=w6bcmQjBYh_7xc0P

โรคสมาธิสั้นเป็นโรคทางสมองสมองส่วนหน้า (Prefrontal cortex) ของคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นทำงานได้น้อยกว่าปกติและมีเส้นใย...

10/10/2025

บทความนี้อยากให้ผู้ปกครองทุกคนอ่านค่ะ เป็นเรื่องใกล้ตัว ที่อยากให้ทำความเข้าใจ

เพราะเดี๋ยวนี้มีเคสที่พ่อแม่ ผู้ปกครองพาเด็กมาปรึกษาหมอในเรื่องปัญหาการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต การใช้งานอินเตอร์เน็ตต่างๆ พบมากขึ้นเรื่อยๆ

เคสเหล่านี้เป็นเคสที่รักษาไม่ง่ายเลย เพราะปัญหามักจะสะสมเรื้อรังบานปลาย (ปวดหัวกันไปทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง เด็กๆ รวมทั้งหมอเองด้วย)

ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม โซเชียลมีเดีย YouTube TikTok เป็นต้น (เช่น ติดหน้าจอมาก จนไม่ทำกิจกรรมอื่น แยกตัว นอนดึก บางคนไม่ทำการบ้าน งานค้าง ไม่ทำกิจวัตรประจำวัน ทะเลาะกับพ่อแม่ มีปัญหาอารมณ์ หงุดหงิด ก้าวร้าว ฯลฯ)

มีปัญหาทั้งเรื่องการเรียน ความสัมพันธ์ภายในบ้าน ความรับผิดชอบ การดูแลตัวเอง การใช้งานไม่เหมาะสม ถูกมิจฉาชีพในออนไลน์หลอก (เหมือนข่าวเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบที่เพื่อนในอินเตอร์เน็ตบอกให้ส่งรูปโป๊ไปให้ โชคดีที่พ่อมาเห็นก่อน)

เด็กที่หลงไปเล่นพนันออนไลน์ เด็กที่เสียเงินไปกับเกมเป็นจำนวนหลายหมื่นเพราะดูไม่เท่าทัน) ติดเกมจนขดมยเงินพ่อแม่ โกหกต่างๆ นาๆ ถ้าปล่อยทิ้งไว้บางทีกลายเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องไปในอนาคต ฯลฯ

เห็นแล้วรู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ และครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง


ส่วนใหญ่พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมา มีสาเหตุจาก สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง ที่สะสมบ่มเพาะกันมานาน ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ

วันนี้หมอจึงอยากเขียนบทความ โดยรวบรวมปัญหาที่มักจะพบในครอบครัว ตามประสบการณ์ของหมอที่ได้คุยกับหลายครอบครัวที่มีปัญหาเรื่องนี้

คุยไปคุยมาก็เหมือนกรอเทปกลับไปกลับมา เกือบทุกครอบครัวก็มีที่มาของปัญหาคล้ายๆ กัน

ถ้าหากเข้าใจและรู้ที่มาและแก้ตั้งแต่ต้น คิดว่าน่าจะเป็นการป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น


10 สิ่งที่หมอมักจะพบในครอบครัวที่เด็กๆ เกิดปัญหาในการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอต่างๆ

1. ผู้ปกครองซื้อสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ได้วางแผนตั้งกติกาก่อน(พอซื้อให้เด็กแล้ว เด็กก็บอกว่าเขาเป็นเจ้าของ จะใช้ยังไงก็ได้ตามสบาย พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์บังคับ ตรงนี้ป้องกันได้ด้วยการตกลงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร มีการเขียนสัญญาการใช้งานที่ชัดเจน ซึ่งหมอเคยเขียนบทความรายละเอียดไว้หลายปีก่อน ไปหาอ่านกันได้ แต่ถ้าหาไม่เจอเดี๋ยวจะเอามาแปะให้ในคอมเมนท์) หรือตั้งแล้วแต่ไม่ใช้กติกาจริงจัง ขึ้นลงเปลี่ยนไปตามอารมณ์พ่อแม่

2. ผู้ปกครองไม่ปลูกฝังทักษะในเรื่องระเบียบวินัย การควบคุมตัวเอง การจัดระเบียบชีวิต ให้รู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ให้เด็กก่อนจะซื้ออุปกรณ์ให้

3. ผู้ปกครองไม่มีเวลาให้เด็ก สัมพันธภาพพื้นฐานไม่ดี เช่น ช่วงเด็กเล็กๆ ให้ญาติเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ พ่อแม่ทำงานมาก พอจะมาสอนทีหลัง เด็กไม่สนิท ทำให้ไม่เชื่อฟัง มีแนวโน้มต่อต้านได้ง่าย

4. ผู้ปกครองมีภาวะ เครียด กังวล ซึมเศร้า ปัญหาการจัดการอารมณ์ ฯลฯ ทำให้เวลาสอนเด็กทำไม่ได้ดี ขึ้นลงตามอารมณ์ เช่น บางทีใช้การบังคับด้วยอารมณ์รุนแรง บางทีก็ยอมหรือปล่อยเล่นตามใจเด็ก มีปัญหาการตัดสินใจต่างๆที่ไม่แน่นอน ส่งผลต่อการพูดคุย สื่อสารกับเด็ก จะไม่ชัดเจน ทำให้เด็กไม่เชื่อฟัง เด็กสับสน ผู้ใหญ่ก็สับสน

5. ผู้ปกครองเองไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้งานให้เด็กเห็น เช่น พ่อแม่ก็ติดอุปกรณ์หน้าจอมาก มีงานวิจัยที่บอกว่าผู้ปกครองที่ใช้หน้าจอมาก เด็กก็จะใช้มากไปด้วย

6. เด็กมีภาวะบางอย่างที่ทำให้เกิดปัญหาการใช้งานได้ง่าย

-ควบคุมตัวเองในการใช้งานได้ไม่ดี บังคับตัวเองไม่ได้ เช่น สมาธิสั้น(เด็กจะมีปัญหาไม่รู้จักวางแผน จัดระเบียบชีวิตก่อนหลัง ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่รักษาเวลา ควบคุมตัวเองไม่ดีฯลฯ)

-เด็กที่มีความเครียด มีปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพจิต (ใช้การเล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อช่วยให้สบายใจ หนีจากโลกความเป็นจริง)

-เด็กที่มีปัญหาปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ค่อยมีเพื่อนในชีวิตจริง ทำให้ไปหาเพื่อนในโลกออนไลน์แทน

7. ผู้ปกครองที่กลัวเด็กจะโกรธ โมโห ถ้าไปตั้งกติกาอะไร เด็กกลุ่มนี้ชอบใช้เสียงดัง โวยวาย พ่อแม่ห่วงเด็กจะหงุดหงิด เลยกลายเป็นปล่อยให้เล่น เด็กก็จะจำไว้ว่า ถ้ายิ่งเสียงดังยิ่งโวยวาย พ่อแม่ก็จะยอมตาม แบบนี้ก็จะยิ่งเสียงดัง โวยวาย และพ่อแม่ต้องยอมไปเรื่อยๆ (บางทีจะพบในผู้ปกครองที่มีความรู้สึกผิดในบางเรื่องกับลูก เพราะรู้สึกผิดก็เลยคิดว่าไม่อยากไปบังคับหรือห้ามอะไรมาก)

8. ผู้ปกครองที่ไม่รู้เท่าทันหรือขาดความรู้ความตระหนักในเรื่องการจัดการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ต

ยกตัวอย่าง ผู้ปกครองคนหนึ่งบอกว่าลูกเล่นมือถือ เกม ยูทูบ จนไม่นอน แต่ถามรายละเอียด พ่อแม่ก็ไม่ได้ไปปิดสัญญาณ WIFI บ้านตอนกลางคืน ไม่ได้ควบคุมเรื่องของซิมอินเทอร์เน็ต ลูกจึงเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ตลอด แถมให้เงินลูกไปเติมเกมโดยไม่จำกัด ตรงนี้จะมีปัญหามากกว่าพ่อแม่ที่รู้เท่าทันและมีการวางแผน

พ่อแม่ที่รู้เท่าทันและวางแผนรอบคอบ ถ้าให้ลูกใช้ซิม ซิมก็จะต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ หรือถ้าต่อได้ก็จะจำกัดปริมาณการใช้งาน หรือมีเวลาเก็บมือถือ เช่น หลังสามทุ่มต้องเอามือถือมาฝากที่พ่อแม่ ถ้าจะใช้ต้องต่อจาก WIFI เท่านั้น และพ่อแม่จะเป็นเปิดปิด WIFI ทำตามเวลาที่กำหนด กล่องปล่อยสัญญาณต้องอยู่ในห้องนอนพ่อแม่ ที่ลูกเข้าถึงไม่ได้ และไม่ให้เงินไปเติมเกมโดยไม่ควบคุมดูแล

มีกติกาการใช้งาน คือ ต้องเรียนออนไลน์ ทำการบ้านเสร็จแล้ว จึงจะเล่นได้ แต่ก็ต้องนอนเวลากี่โมงๆ ตามนี้ นอกจากนั้นพ่อแม่ที่รู้จักแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ใช้จำกัดการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเช่น Google family link หรือ Screentime ก็จะสามารถป้องกันปัญหาการใช้งานได้ตั้งแต่เนิ่นๆ (แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่เท่าที่หมอเคยคุยด้วยไม่ค่อยรู้จักโปรแกรมแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ค่ะ)

9. ผู้ปกครองที่ใช้อุปกรณ์หน้าจอเป็นเครื่องมือเลี้ยงเด็ก เช่น ผู้ปกครองทำงานยุ่งมาก เลยเปิดจอให้เด็กเล่นและดู เพื่อให้ตัวเองทำงานง่ายขึ้น หรือเป็นการตัดรำคาญเวลาเด็กงอแง ถ้าทำแบบนั้นก็จะต้องทำต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นปัญหาทีหลัง

10. ผู้ปกครองที่มีปัญหาระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเอง ขัดแย้งในเรื่องต่างๆ ทะเลาะกันบ่อยๆ ตรงนี้เด็กอาจไม่ชอบบรรยากาศเครียดๆ ในบ้านก็เลยไปเล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อผ่อนคลาย หนีจากบรรยากาศแย่ๆ แถมผู้ปกครองบางคนอาจทะเลาะกันในเรื่องวิธีการเลี้ยงลูก การควบคุมการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอ เช่น พ่อไม่มีเวลาจะไม่มายุ่งเรื่องการเลี้ยงลูก ส่วนแม่มีระเบียบมาก ยายเป็นคนตามใจ ตรงนี้ทำให้ปรับพฤติกรรมเด็กยาก การดูแลเด็กต้องเป็นทีมเดียวกัน แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกันและขอให้หาจุดกึ่งกลางที่ทำให้พูดคุยกับเด็กได้เหมือนกัน จะทำให้ปรับพฤติกรรมเด็กได้ง่ายกว่า


หวังว่าบทความนี้จะเป็นการป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้น ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม เพราะส่วนใหญ่เวลาที่มาหาหมอมักเป็นจุดที่ไฟลามทุ่งไปแล้ว

ความเสียหายที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นก็ต้องใช้เวลาเยียวยานานเลย กว่าจะกลับไปดีเหมือนเดิม และรักษาไม่ง่ายด้วยค่ะ

ให้กำลังใจผู้ใหญ่และเด็กๆ ทุกคน

#หมอมินบานเย็น

https://www.facebook.com/share/p/17KWmEQ4Sb/
27/09/2025

https://www.facebook.com/share/p/17KWmEQ4Sb/

.5 #ทำไมเด็กๆจึงไอไม่หายสักที 🗣️
ภาวะหลอดลมไว โรคฮิตของเด็กยุคใหม่
เป็นแล้ว จะหายไหม ??

#ภาวะหลอดลมไว คือโรคของทางเดินหายใจที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากไป เป็นอาการในเด็กที่เกิดมาในยุค PM2.5 มีโรค ระ บาด เช่น โค วิด RSV
#เมื่อมีสิ่งกระตุ้นต่างๆมากระตุ้นทางเดินหายใจ เช่น อากาศหนาวเย็น เชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ฝุ่น ควันบุหรี่ ควันธูป ควันเผา ฯลฯ หรือแม้แต่การกินอาหารที่ระคายคอก็ส่งผลให้ไอไม่หยุดได้ 🗣️🗣️🗣️🗣️🗣️

และมักพบว่าหลังจากที่เด็กเคยติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น RSV โค วิ ด อาจมีภาวะหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้นกว่าเดิมได้

ภาวะหลอดลมไว อาจรวมถึงทางเดินหายใจต่างๆไวต่อตัวกระตุ้นด้วย ทำให้มีผลต่อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง

🗣️ #ผลต่อทางเดินหายใจส่วนบน : ไอแห้ง ไอก้อง นอนกรน คัดจมูก น้ำมูก หายใจครืดคราด

🫁 #ผลต่อทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลมจะหดตัวง่าย ไวกว่าเด็กปกติ พอหลอดลมหดตัว อากาศก็ผ่านเข้าออกลำบาก เพราะต้องวิ่งผ่านรูที่แคบลงกว่าเดิม เด็กต้องพยายามออกแรงช่วยหายใจ ผลักดันให้อากาศเข้าปอด ทำให้มีอาการหอบเหนื่อย หายใจแรงหรือหายใจเร็วได้

• ช่วงหลังปีใหม่มานี้ เด็กๆมักมีประวัติมาด้วยไอเรื้อรัง ไอเป็นๆหายๆ ไอกันมาเป็นเดือนๆ อาการเป็นไม่หนัก #แต่ก็ไม่หายสักที สัมพันธ์กับค่าฝุ่น PM 2.5
และมักเป็นตามหลังการติดเชื้อไวรัสต่างๆ
บางรายมาตรวจฟังปอดจะได้ยินเสียงวี๊ดๆ หอบเหนื่อย
เป็นเสียงของลมหายใจที่ผ่านหลอดลมที่แคบลง
ต้องรักษาด้วยการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านออกซิเจน
(เพราะฉะนั้นบางรายที่พ่นยาผ่านเครื่องพ่นยาที่บ้าน และอาการยังไม่ค่อยดีขึ้น ให้พบแพทย์เพื่อฟังปอดและให้การรักษาอื่นๆเพิ่มเติม)

• และเด็กที่เป็นโรคในกลุ่มภูมิแพ้ เช่น มีผื่นผิวหนังที่เกิดจากการแพ้, จมูกอักเสบจากภูมิแพ้, แพ้อาหาร เด็กกลุ่มนี้มักจะมีอาการไอหรือหอบได้นาน อาการจะสงบลงได้ ก่อนเข้าสู่วัยรุ่น ที่อายุประมาณ 5-7 ปีขึ้นไปค่ะ

• ในเคสที่มีอาการเรื้อรัง ไอมาก ไอนาน ไอบ่อยจนมีอาการหอบ เป็นนาน เป็นรุนแรง เคสเหล่านี้จะใช้แต่ยาขยายหลอดลมอาจไม่เพียงพอ อาจพิจารณาใช้ยาลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในเยื่อบุทางเดินหายใจร่วมไปด้วย จะทำให้โรคสงบและบรรเทาอาการของโรคได้ดีขึ้น #และเป็นการป้องกันการกำเริบในครั้งต่อไปได้ด้วย ทำให้ไม่ต้องไอและหอบบ่อยๆ นอกจากนี้การใช้ยาลดการอักเสบในเคสกลุ่มนี้ยังเกิดผลดีในระยะยาว #คือพบว่าทำให้เด็กเป็นโรคหอบหืดลดลง

• ยาลดการอักเสบส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของยาพ่นแบบกด (พ่นผ่านกระบอกพ่นยา) เพราะให้ความปลอดภัยต่อเด็กสูงกว่ายากิน เนื่องจากปริมาณยาที่ใช้พ่นน้อยกว่ายาที่กิน เข้าถึงหลอดลมได้เลย ไม่ต้องไปวนผ่านกระแสเลือด ยากลุ่มนี้มีมากมายหลายยี่ห้อ #และควรใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้นค่ะ

#การป้องกันสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาพ่นลดการอักเสบ/ยาป้องกันโรคกำเริบอย่างเหมาะสมด้วย

#อีกเรื่องที่สำคัญคือควันบุหรี่จากคนใกล้ตัว ถ้ายังไม่ลดละเลิก ใช้ยาอย่างเดียวก็อาจไม่ช่วยและส่งผลระยะยาวต่อลูกหลานได้ค่ะ !!!! 🚬🚬🚬🚬🚬

(การใช้ยาต่างๆขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ที่ดูแลนะคะ)

#คลินิกเด็กหมอรวงข้าว
#หมอรวงข้าว #คลินิกเด็กย่านสายไหม #สุขาภิบาล5
#หมอเด็กแม่ลูกสอง #คลินิกเด็กสายไหม #คลินิกเด็กลำลูกกา #คลินิกเด็กวัชรพล #คลินิกเด็ก #คลินิกกุมารเวช #คลินิกเด็กสายไหมลำลูกกา

❌ไม่อนุญาตให้นำรูปและบทความไปใช้ต่อในที่อื่นๆ
แชร์ไปทั้งโพสต์ได้เลยค่ะ
❌ใช้ยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำภาพไปปักตะกร้าขายสินค้า

26/09/2025

ช่วงนี้หลายโรงเรียนกำลังสอบไล่ พ่อแม่หลายคนก็กำลังติวสอบให้ลูก เป็นช่วงที่เคร่งเครียดกันพอสมควร

ชีวิตคนเรามีปัญหาอุปสรรคให้ต้องเผชิญ การเรียนก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของความท้าทายในชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งในที่สุดจะผ่านไปเหมือนทุกเรื่องในชีวิตนั่นแหละค่ะ

สำหรับเด็กที่เรียนหนัก การบ้านเยอะ สอบแยะและยาก สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กผ่านพ้นไปได้ก็คือมีกำลังใจที่ดี เริ่มจากครอบครัว

หมอจึงอยากเขียนบทความเกี่ยวกับว่า พ่อแม่จะมีส่วนช่วยลูกอย่างไรให้ผ่านพ้นการเรียนที่หนักหนาไปได้อย่างไม่สะบักสะบอมเกินไป และทำให้เด็กเรียนรู้ประสบการณ์และกลายเป็นบทเรียนที่ดีในชีวิตข้างหน้าได้ด้วยค่ะ


1.พ่อแม่เองอย่าเครียดมากไป

พ่อแม่หลายคนแม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็มีความคาดหวังกับเรื่องเรียนของลูกอย่างมาก จนเกิดความเครียดและเผลอส่งต่อความเครียดนั้นไปที่ลูก

พ่อแม่เองพยายามทำใจให้สบาย ไม่ต้องคร่ำเคร่งกับการสอบของลูกมากเกินไป ลูกเห็นเราไม่เคร่งเครียด เขาจะมีแนวโน้มเครียดน้อยลงไปด้วยระดับหนึ่งค่ะ

อยากให้ลูกมีสุขภาพจิตที่ดี คงไม่ใช่การที่จะไม่เครียดเลย หากเครียดก็ไม่เป็นไร แต่สำคัญคือการจัดการความเครียดที่เกิดได้อย่างเหมาะสม พ่อแม่ก็ควรมีวิธีการจัดการความเครียดให้เด็กดูเป็นตัวอย่าง เช่น การออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้เพียงพอ รักษาสุขภาพร่างกายด้วย เป็นต้น


2.พ่อแม่อย่านำผลการเรียนของลูกไปเป็นเงื่อนไขความรักของพ่อแม่ หรือมุมมองของพ่อแม่ที่มีต่อเขา

จริงๆแล้ว ไม่ว่าเด็กจะเรียนเก่งหรือไม่ พ่อแม่ย่อมรักลูกแน่นอน

แต่พ่อแม่บางคนมีคำพูดคาดหวังกับลูก เช่น ลูกต้องสอบให้ได้คะแนนดีๆ พ่อแม่ถึงจะรักหนู หนูถึงจะเป็นเด็กดี

พ่อแม่เป็นคนสำคัญของเด็ก เมื่อเป็นสิ่งที่คนสำคัญมอบความคาดหวังมาให้ เด็กก็อยากที่จะทำตาม อยากให้พ่อแม่ชื่นชมและพอใจ

"หนูอยากเรียนเก่ง แม่จะได้รักหนู" ประโยคซื่อๆของเด็กหกขวบคนหนึ่ง ที่หมอฟังแล้วสะท้อนใจ "เวลาสอบได้คะแนนไม่ดี หน้าแม่จะเศร้า แม่จะไม่ยิ้ม หนูกลัวว่าแม่จะไม่รัก"

ตรงนั้นจะทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นคงในความรักของพ่อแม่ และหากเขาเรียนไม่เก่ง เขาอาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอที่พ่อแม่จะรัก


3.พ่อแม่ควรจะมองความสามารถของลูกตามความเป็นจริง ที่สุดควรยอมรับลูกอย่างที่ลูกเป็น

เช่น ลูกของครอบครัวหนึ่งเรียนเก่งพอสมควรแต่อาจจะไม่เก่งคณิตศาสตร์ คุณแม่อยากให้ลูกได้ 4.00 จึงหาครูพิเศษมาติวเข้มคณิตศาสตร์ให้ แต่บางครั้งหลังจากติวไปแล้วเด็กก็ยังทำได้ไม่ดี เพราะทำไม่ได้จริงๆ เพราะไม่ถนัดคณิตศาสตร์ ก็ควรจะต้องเข้าใจ ยอมรับ


4.อย่าเอาความฝันของพ่อแม่ไปผูกติดกับตัวลูก

บางครั้งพ่อแม่มีความฝันบางอย่างที่ทำไม่ได้ ก็คิดว่าความฝันของตัวเองเป็นสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับเด็ก แต่ก็อาจจะลืมคิด หรือถามลูกว่า ลูกมีความสุขกับสิ่งที่พ่อแม่ฝันหรือไม่ จนกลายเป็นว่าการแข่งขันเรื่องเรียนของเด็กสมัยนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เด็กแข่งขันเพื่อไปถึงความฝันของพ่อแม่ด้วย


5.หยุดเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น

บางทีลูกเราก็ทำได้ดีแล้ว แต่อาจจะไม่ได้เก่งเท่าเพื่อนๆ พ่อแม่เลยคิดไปว่าลูกเราทำได้ไม่ดี จริงๆแต่ละคนมีขีดจำกัด ข้อดีข้อเสียต่างกัน ถ้าจะเปรียบเทียบ ให้เปรียบเทียบกับตัวของลูกเองที่ผ่านมา แล้วพ่อแม่อาจจะเห็นว่า เขาพัฒนาขึ้นแล้วนะ


6.ควรมีสติ อย่าวิ่งตามกระแสสังคมรอบข้างเกินไป

พ่อแม่หลายๆคน ที่ให้ลูกเรียนพิเศษมากมายบอกหมอว่า จริงๆก็ไม่ได้อยากให้ลูกเครียด แต่ทุกคนรอบข้างให้ลูกเรียนกันหมด เลยต้องให้ลูกเรียนกวดวิชาด้วย บางคนเรียนจนไม่มีเวลาแบบที่เด็กๆควรจะมี

เด็กควรได้เล่นอิสระพักผ่อนตามประสาเด็กบ้าง ถ้าเรียนก็เอาเท่าที่จำเป็น

คนอื่นเค้าวิ่งกันหมด กลัวว่าถ้าจะเดินเฉยๆ จะไม่ทัน

ซึ่งก็ต้องระวัง ถ้าวิ่งเร็วไป ก็ทำให้หกล้มคลุกคลานกันไปตามๆกันได้


7.ชีวิตยังมีด้านต่างๆที่มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตนอกเหนือจากการเรียน

โดยเฉพาะการจะประสบความสำเร็จและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คุณสมบัติ เช่น การจัดการปัญหาเฉพาะหน้า การพึ่งพาตัวเองได้ และอยู่ร่วมกับคนรอบข้าง ถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเด็กที่เรียนเก่งจะมีคุณสมบัติเหล่านี้เสมอ ดังนั้นอยากให้พ่อแม่ให้ความสำคัญ และอย่าลืมพัฒนาปลูกฝังคุณสมบัติด้านอื่นๆในการใช้ชีวิตให้ลูกด้วย


แม้ว่าจะเรียนหนักแต่ถ้าพ่อแม่มีความเข้าใจ หมอเชื่อว่าเด็กจะผ่านพ้นมันไปจนกระทั่งเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขได้

#หมอมินบานเย็น

21/09/2025

⚠️ #ลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน
เรียนรู้ 10 มารยาทพื้นฐานสำคัญที่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่เล็ก เพื่อการเติบโตเป็นคนดี มีคุณภาพ อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข 😊💞

⬇️ คลิกอ่านฉบับเต็มได้ในคอมเมนต์

#มูลนิธิเด็กโสสะ #สอนลูกเรื่องมารยาท

18/09/2025

เนื่องด้วยประเด็นการใช้โกรทฮอร์โมน (growth hormone, GH) หรือฮอร์โมนเจริญเติบโตที่เป็นกระแสสังคมในขณะนี้ สมาคมต่อมไร้ท่อเด็กและวัยรุ่นไทยขอชี้แจงว่าการรักษาด้วย GH ควรใช้เฉพาะในเด็กที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ชัดเจนเท่านั้น ซึ่งข้อบ่งชี้การใช้ GH ในประเทศไทย ได้แก่
🔹 ภาวะขาดโกรทฮอร์โมน (Growth hormone deficiency)
🔹 เด็กหญิงที่เป็นโรค Turner syndrome
🔹 เด็กที่เกิดมาตัวเล็กมีน้ำหนักน้อยกว่าอายุครรภ์ (Small for gestational age)

❌ ไม่แนะนำให้ใช้ GH ในเด็กปกติ เพราะปัจจุบัน ไม่มีหลักฐานทางวิชาการว่าสามารถช่วยเพิ่มความสูงได้เกินศักยภาพทางพันธุกรรม

⚠️ โกรทฮอร์โมนเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งและติดตามการรักษาโดยกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อในโรงพยาบาลเท่านั้น

ผลข้างเคียงที่อาจพบ
• ความดันในกะโหลกศีรษะสูง
• ปวดข้อหรือสะโพก
• น้ำตาลในเลือดสูงหรือเบาหวาน
• ไทรอยด์ทำงานน้อย
• ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

👉 การใช้ GH โดยไม่ตรงตามข้อบ่งชี้ทำให้เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่จำเป็น

สมาคมฯ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการใช้โกรทฮอร์โมนในเด็กปกติที่ไม่มีข้อบ่งชี้ เพียงเพื่อหวังผลเพิ่มความสูง

คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม
◎ ภาวะขาดฮอร์โมนเจริญเติบโต https://thaipedendo.org/ภาวะขาดฮอร์โมนการเติบโ/
◎ อยากให้ลูกตัวสูง ตอนที่ 1 https://thaipedendo.org/questions-growth-1/
◎ อยากให้ลูกตัวสูง ตอนที่ 2 https://thaipedendo.org/questions-growth-2/
◎ กราฟการเจริญเติบโตมาตรฐานของเด็กไทย https://thaipedendo.org/thai-growth-chart-by-tspe/
◎ กุมารแพทย์โรคต่อมไร้ท่อ https://thaipedendo.org/รายชื่อกุมารแพทย์/

ที่อยู่

หมู่บ้านสินธานี3 ซอย 8/2
Chiang Rai
57000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 18:30
อังคาร 09:00 - 18:30
พุธ 09:00 - 18:30
ศุกร์ 09:00 - 18:30
เสาร์ 09:00 - 18:30
อาทิตย์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66846479812

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Kids Can Do Chiang Raiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Kids Can Do Chiang Rai:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram