Kids Can Do Chiang Rai

Kids Can Do Chiang Rai autism, autistic, occupation therapy, special education, special child, ออทิสติก, ?

ให้บริการกระตุ้นพัฒนาการเด็กที่มีความต้องการพิเศษ พัฒนาการช้า ออทิสติก สมาธิสั้น มีปัญหาด้านการเรียนรู้ CP ฯลฯ และให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครอง โดยนักกิจกรรมบำบัด และครูการศึกษาพิเศษที่มีประสบการณ์ด้านเด็กโดยตรง

https://www.facebook.com/share/p/17KWmEQ4Sb/
27/09/2025

https://www.facebook.com/share/p/17KWmEQ4Sb/

.5 #ทำไมเด็กๆจึงไอไม่หายสักที 🗣️
ภาวะหลอดลมไว โรคฮิตของเด็กยุคใหม่
เป็นแล้ว จะหายไหม ??

#ภาวะหลอดลมไว คือโรคของทางเดินหายใจที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากไป เป็นอาการในเด็กที่เกิดมาในยุค PM2.5 มีโรค ระ บาด เช่น โค วิด RSV
#เมื่อมีสิ่งกระตุ้นต่างๆมากระตุ้นทางเดินหายใจ เช่น อากาศหนาวเย็น เชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ฝุ่น ควันบุหรี่ ควันธูป ควันเผา ฯลฯ หรือแม้แต่การกินอาหารที่ระคายคอก็ส่งผลให้ไอไม่หยุดได้ 🗣️🗣️🗣️🗣️🗣️

และมักพบว่าหลังจากที่เด็กเคยติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น RSV โค วิ ด อาจมีภาวะหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้นกว่าเดิมได้

ภาวะหลอดลมไว อาจรวมถึงทางเดินหายใจต่างๆไวต่อตัวกระตุ้นด้วย ทำให้มีผลต่อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง

🗣️ #ผลต่อทางเดินหายใจส่วนบน : ไอแห้ง ไอก้อง นอนกรน คัดจมูก น้ำมูก หายใจครืดคราด

🫁 #ผลต่อทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลมจะหดตัวง่าย ไวกว่าเด็กปกติ พอหลอดลมหดตัว อากาศก็ผ่านเข้าออกลำบาก เพราะต้องวิ่งผ่านรูที่แคบลงกว่าเดิม เด็กต้องพยายามออกแรงช่วยหายใจ ผลักดันให้อากาศเข้าปอด ทำให้มีอาการหอบเหนื่อย หายใจแรงหรือหายใจเร็วได้

• ช่วงหลังปีใหม่มานี้ เด็กๆมักมีประวัติมาด้วยไอเรื้อรัง ไอเป็นๆหายๆ ไอกันมาเป็นเดือนๆ อาการเป็นไม่หนัก #แต่ก็ไม่หายสักที สัมพันธ์กับค่าฝุ่น PM 2.5
และมักเป็นตามหลังการติดเชื้อไวรัสต่างๆ
บางรายมาตรวจฟังปอดจะได้ยินเสียงวี๊ดๆ หอบเหนื่อย
เป็นเสียงของลมหายใจที่ผ่านหลอดลมที่แคบลง
ต้องรักษาด้วยการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านออกซิเจน
(เพราะฉะนั้นบางรายที่พ่นยาผ่านเครื่องพ่นยาที่บ้าน และอาการยังไม่ค่อยดีขึ้น ให้พบแพทย์เพื่อฟังปอดและให้การรักษาอื่นๆเพิ่มเติม)

• และเด็กที่เป็นโรคในกลุ่มภูมิแพ้ เช่น มีผื่นผิวหนังที่เกิดจากการแพ้, จมูกอักเสบจากภูมิแพ้, แพ้อาหาร เด็กกลุ่มนี้มักจะมีอาการไอหรือหอบได้นาน อาการจะสงบลงได้ ก่อนเข้าสู่วัยรุ่น ที่อายุประมาณ 5-7 ปีขึ้นไปค่ะ

• ในเคสที่มีอาการเรื้อรัง ไอมาก ไอนาน ไอบ่อยจนมีอาการหอบ เป็นนาน เป็นรุนแรง เคสเหล่านี้จะใช้แต่ยาขยายหลอดลมอาจไม่เพียงพอ อาจพิจารณาใช้ยาลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในเยื่อบุทางเดินหายใจร่วมไปด้วย จะทำให้โรคสงบและบรรเทาอาการของโรคได้ดีขึ้น #และเป็นการป้องกันการกำเริบในครั้งต่อไปได้ด้วย ทำให้ไม่ต้องไอและหอบบ่อยๆ นอกจากนี้การใช้ยาลดการอักเสบในเคสกลุ่มนี้ยังเกิดผลดีในระยะยาว #คือพบว่าทำให้เด็กเป็นโรคหอบหืดลดลง

• ยาลดการอักเสบส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของยาพ่นแบบกด (พ่นผ่านกระบอกพ่นยา) เพราะให้ความปลอดภัยต่อเด็กสูงกว่ายากิน เนื่องจากปริมาณยาที่ใช้พ่นน้อยกว่ายาที่กิน เข้าถึงหลอดลมได้เลย ไม่ต้องไปวนผ่านกระแสเลือด ยากลุ่มนี้มีมากมายหลายยี่ห้อ #และควรใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้นค่ะ

#การป้องกันสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาพ่นลดการอักเสบ/ยาป้องกันโรคกำเริบอย่างเหมาะสมด้วย

#อีกเรื่องที่สำคัญคือควันบุหรี่จากคนใกล้ตัว ถ้ายังไม่ลดละเลิก ใช้ยาอย่างเดียวก็อาจไม่ช่วยและส่งผลระยะยาวต่อลูกหลานได้ค่ะ !!!! 🚬🚬🚬🚬🚬

(การใช้ยาต่างๆขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ที่ดูแลนะคะ)

#คลินิกเด็กหมอรวงข้าว
#หมอรวงข้าว #คลินิกเด็กย่านสายไหม #สุขาภิบาล5
#หมอเด็กแม่ลูกสอง #คลินิกเด็กสายไหม #คลินิกเด็กลำลูกกา #คลินิกเด็กวัชรพล #คลินิกเด็ก #คลินิกกุมารเวช #คลินิกเด็กสายไหมลำลูกกา

❌ไม่อนุญาตให้นำรูปและบทความไปใช้ต่อในที่อื่นๆ
แชร์ไปทั้งโพสต์ได้เลยค่ะ
❌ใช้ยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำภาพไปปักตะกร้าขายสินค้า

26/09/2025

ช่วงนี้หลายโรงเรียนกำลังสอบไล่ พ่อแม่หลายคนก็กำลังติวสอบให้ลูก เป็นช่วงที่เคร่งเครียดกันพอสมควร

ชีวิตคนเรามีปัญหาอุปสรรคให้ต้องเผชิญ การเรียนก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของความท้าทายในชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งในที่สุดจะผ่านไปเหมือนทุกเรื่องในชีวิตนั่นแหละค่ะ

สำหรับเด็กที่เรียนหนัก การบ้านเยอะ สอบแยะและยาก สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กผ่านพ้นไปได้ก็คือมีกำลังใจที่ดี เริ่มจากครอบครัว

หมอจึงอยากเขียนบทความเกี่ยวกับว่า พ่อแม่จะมีส่วนช่วยลูกอย่างไรให้ผ่านพ้นการเรียนที่หนักหนาไปได้อย่างไม่สะบักสะบอมเกินไป และทำให้เด็กเรียนรู้ประสบการณ์และกลายเป็นบทเรียนที่ดีในชีวิตข้างหน้าได้ด้วยค่ะ


1.พ่อแม่เองอย่าเครียดมากไป

พ่อแม่หลายคนแม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็มีความคาดหวังกับเรื่องเรียนของลูกอย่างมาก จนเกิดความเครียดและเผลอส่งต่อความเครียดนั้นไปที่ลูก

พ่อแม่เองพยายามทำใจให้สบาย ไม่ต้องคร่ำเคร่งกับการสอบของลูกมากเกินไป ลูกเห็นเราไม่เคร่งเครียด เขาจะมีแนวโน้มเครียดน้อยลงไปด้วยระดับหนึ่งค่ะ

อยากให้ลูกมีสุขภาพจิตที่ดี คงไม่ใช่การที่จะไม่เครียดเลย หากเครียดก็ไม่เป็นไร แต่สำคัญคือการจัดการความเครียดที่เกิดได้อย่างเหมาะสม พ่อแม่ก็ควรมีวิธีการจัดการความเครียดให้เด็กดูเป็นตัวอย่าง เช่น การออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้เพียงพอ รักษาสุขภาพร่างกายด้วย เป็นต้น


2.พ่อแม่อย่านำผลการเรียนของลูกไปเป็นเงื่อนไขความรักของพ่อแม่ หรือมุมมองของพ่อแม่ที่มีต่อเขา

จริงๆแล้ว ไม่ว่าเด็กจะเรียนเก่งหรือไม่ พ่อแม่ย่อมรักลูกแน่นอน

แต่พ่อแม่บางคนมีคำพูดคาดหวังกับลูก เช่น ลูกต้องสอบให้ได้คะแนนดีๆ พ่อแม่ถึงจะรักหนู หนูถึงจะเป็นเด็กดี

พ่อแม่เป็นคนสำคัญของเด็ก เมื่อเป็นสิ่งที่คนสำคัญมอบความคาดหวังมาให้ เด็กก็อยากที่จะทำตาม อยากให้พ่อแม่ชื่นชมและพอใจ

"หนูอยากเรียนเก่ง แม่จะได้รักหนู" ประโยคซื่อๆของเด็กหกขวบคนหนึ่ง ที่หมอฟังแล้วสะท้อนใจ "เวลาสอบได้คะแนนไม่ดี หน้าแม่จะเศร้า แม่จะไม่ยิ้ม หนูกลัวว่าแม่จะไม่รัก"

ตรงนั้นจะทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นคงในความรักของพ่อแม่ และหากเขาเรียนไม่เก่ง เขาอาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอที่พ่อแม่จะรัก


3.พ่อแม่ควรจะมองความสามารถของลูกตามความเป็นจริง ที่สุดควรยอมรับลูกอย่างที่ลูกเป็น

เช่น ลูกของครอบครัวหนึ่งเรียนเก่งพอสมควรแต่อาจจะไม่เก่งคณิตศาสตร์ คุณแม่อยากให้ลูกได้ 4.00 จึงหาครูพิเศษมาติวเข้มคณิตศาสตร์ให้ แต่บางครั้งหลังจากติวไปแล้วเด็กก็ยังทำได้ไม่ดี เพราะทำไม่ได้จริงๆ เพราะไม่ถนัดคณิตศาสตร์ ก็ควรจะต้องเข้าใจ ยอมรับ


4.อย่าเอาความฝันของพ่อแม่ไปผูกติดกับตัวลูก

บางครั้งพ่อแม่มีความฝันบางอย่างที่ทำไม่ได้ ก็คิดว่าความฝันของตัวเองเป็นสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับเด็ก แต่ก็อาจจะลืมคิด หรือถามลูกว่า ลูกมีความสุขกับสิ่งที่พ่อแม่ฝันหรือไม่ จนกลายเป็นว่าการแข่งขันเรื่องเรียนของเด็กสมัยนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เด็กแข่งขันเพื่อไปถึงความฝันของพ่อแม่ด้วย


5.หยุดเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น

บางทีลูกเราก็ทำได้ดีแล้ว แต่อาจจะไม่ได้เก่งเท่าเพื่อนๆ พ่อแม่เลยคิดไปว่าลูกเราทำได้ไม่ดี จริงๆแต่ละคนมีขีดจำกัด ข้อดีข้อเสียต่างกัน ถ้าจะเปรียบเทียบ ให้เปรียบเทียบกับตัวของลูกเองที่ผ่านมา แล้วพ่อแม่อาจจะเห็นว่า เขาพัฒนาขึ้นแล้วนะ


6.ควรมีสติ อย่าวิ่งตามกระแสสังคมรอบข้างเกินไป

พ่อแม่หลายๆคน ที่ให้ลูกเรียนพิเศษมากมายบอกหมอว่า จริงๆก็ไม่ได้อยากให้ลูกเครียด แต่ทุกคนรอบข้างให้ลูกเรียนกันหมด เลยต้องให้ลูกเรียนกวดวิชาด้วย บางคนเรียนจนไม่มีเวลาแบบที่เด็กๆควรจะมี

เด็กควรได้เล่นอิสระพักผ่อนตามประสาเด็กบ้าง ถ้าเรียนก็เอาเท่าที่จำเป็น

คนอื่นเค้าวิ่งกันหมด กลัวว่าถ้าจะเดินเฉยๆ จะไม่ทัน

ซึ่งก็ต้องระวัง ถ้าวิ่งเร็วไป ก็ทำให้หกล้มคลุกคลานกันไปตามๆกันได้


7.ชีวิตยังมีด้านต่างๆที่มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตนอกเหนือจากการเรียน

โดยเฉพาะการจะประสบความสำเร็จและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คุณสมบัติ เช่น การจัดการปัญหาเฉพาะหน้า การพึ่งพาตัวเองได้ และอยู่ร่วมกับคนรอบข้าง ถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเด็กที่เรียนเก่งจะมีคุณสมบัติเหล่านี้เสมอ ดังนั้นอยากให้พ่อแม่ให้ความสำคัญ และอย่าลืมพัฒนาปลูกฝังคุณสมบัติด้านอื่นๆในการใช้ชีวิตให้ลูกด้วย


แม้ว่าจะเรียนหนักแต่ถ้าพ่อแม่มีความเข้าใจ หมอเชื่อว่าเด็กจะผ่านพ้นมันไปจนกระทั่งเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขได้

#หมอมินบานเย็น

21/09/2025

⚠️ #ลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน
เรียนรู้ 10 มารยาทพื้นฐานสำคัญที่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่เล็ก เพื่อการเติบโตเป็นคนดี มีคุณภาพ อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข 😊💞

⬇️ คลิกอ่านฉบับเต็มได้ในคอมเมนต์

#มูลนิธิเด็กโสสะ #สอนลูกเรื่องมารยาท

18/09/2025

เนื่องด้วยประเด็นการใช้โกรทฮอร์โมน (growth hormone, GH) หรือฮอร์โมนเจริญเติบโตที่เป็นกระแสสังคมในขณะนี้ สมาคมต่อมไร้ท่อเด็กและวัยรุ่นไทยขอชี้แจงว่าการรักษาด้วย GH ควรใช้เฉพาะในเด็กที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ชัดเจนเท่านั้น ซึ่งข้อบ่งชี้การใช้ GH ในประเทศไทย ได้แก่
🔹 ภาวะขาดโกรทฮอร์โมน (Growth hormone deficiency)
🔹 เด็กหญิงที่เป็นโรค Turner syndrome
🔹 เด็กที่เกิดมาตัวเล็กมีน้ำหนักน้อยกว่าอายุครรภ์ (Small for gestational age)

❌ ไม่แนะนำให้ใช้ GH ในเด็กปกติ เพราะปัจจุบัน ไม่มีหลักฐานทางวิชาการว่าสามารถช่วยเพิ่มความสูงได้เกินศักยภาพทางพันธุกรรม

⚠️ โกรทฮอร์โมนเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งและติดตามการรักษาโดยกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อในโรงพยาบาลเท่านั้น

ผลข้างเคียงที่อาจพบ
• ความดันในกะโหลกศีรษะสูง
• ปวดข้อหรือสะโพก
• น้ำตาลในเลือดสูงหรือเบาหวาน
• ไทรอยด์ทำงานน้อย
• ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

👉 การใช้ GH โดยไม่ตรงตามข้อบ่งชี้ทำให้เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่จำเป็น

สมาคมฯ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการใช้โกรทฮอร์โมนในเด็กปกติที่ไม่มีข้อบ่งชี้ เพียงเพื่อหวังผลเพิ่มความสูง

คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม
◎ ภาวะขาดฮอร์โมนเจริญเติบโต https://thaipedendo.org/ภาวะขาดฮอร์โมนการเติบโ/
◎ อยากให้ลูกตัวสูง ตอนที่ 1 https://thaipedendo.org/questions-growth-1/
◎ อยากให้ลูกตัวสูง ตอนที่ 2 https://thaipedendo.org/questions-growth-2/
◎ กราฟการเจริญเติบโตมาตรฐานของเด็กไทย https://thaipedendo.org/thai-growth-chart-by-tspe/
◎ กุมารแพทย์โรคต่อมไร้ท่อ https://thaipedendo.org/รายชื่อกุมารแพทย์/

https://www.facebook.com/share/p/18vPazA4D3/
16/09/2025

https://www.facebook.com/share/p/18vPazA4D3/

ตีแผ่ความจริงของเด็กที่ชอบแกล้งเพื่อน
พ่อแม่ต้องสอนลูกอย่างไรไม่ให้ไป Bully
กลั่นแกล้งเพื่อน 🥹🥹

แม่มิ่งเคยลงบทความวิธีป้องกันตนเอง
ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการบูลลี่ แต่บทความนี้
ชวนมองสาเหตุและทำความเข้าใจเด็ก
ที่มีพฤติกรรมกลั่นแกล้งผู้อื่น

ความจริงของเด็กที่ชอบแกล้งเพื่อน

“ลูกเราไม่มีทางแกล้งใครหรอก”
หลายพ่อแม่อาจคิดแบบนี้ เพราะลูกดูเป็นเด็กดี เรียบร้อย แต่ความจริงคือ เด็กหลายคนที่กลั่นแกล้งเพื่อน อาจไม่ได้ตั้งใจ “ร้าย” แต่เขากำลัง
ส่งสัญญาณบางอย่างที่เราต้องฟังให้ลึก

เข้าใจ “เด็กที่แกล้งเพื่อน” คือใคร?

เด็กที่กลั่นแกล้งผู้อื่น (bully) อาจมีสาเหตุ
หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ เช่น

• ต้องการควบคุมหรือรู้สึกมีอำนาจ
เพราะรู้สึกไร้อำนาจในบ้านหรือในชีวิต

• เคยถูกแกล้งมาก่อน เด็กที่เคยเป็นเหยื่อ
อาจสลับบทมาเป็นผู้กระทำ

• ขาดทักษะในการจัดการอารมณ์ เมื่อโกรธ เศร้า หรืออิจฉา ไม่รู้จะทำยังไงนอกจากการแกล้ง

• ได้รับการเลี้ยงดูแบบการแข่งขันสูง หรือมีโมเดลพฤติกรรมรุนแรงในครอบครัว เช่น การเห็น
พ่อแม่พูดจาเสียดสี ทำร้ายกัน

5 วิธีสอนลูกไม่ให้เป็น “เด็กแกล้งเพื่อน”🌱🌱

1. พูดเรื่อง “ความรู้สึก” และ “ความเห็นอกเห็นใจ” เป็นประจำ

เด็กที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง จะลังเลก่อนทำร้าย
คนอื่น สอนให้ลูกตั้งคำถามง่ายๆ เช่น

“ถ้าเป็นเรา เราจะรู้สึกยังไงนะ?”

2. สร้างบรรยากาศในบ้านที่เคารพกัน

บ้านที่มีการใช้คำพูดเชิงลบ ประชด ดุด่าแรง ๆ
เด็กจะซึมซับว่า “แบบนี้คือปกติ”

ลองเปลี่ยนมาใช้ “วาจาเชิงบวก” และตั้งกฎในบ้าน
ว่า ห้ามล้อเลียนกันแม้จะเป็นเรื่องเล่น ๆ

3. ชมพฤติกรรมที่เป็นมิตร

เมื่อเห็นลูกช่วยเพื่อน แบ่งปัน หรือพูดดี ๆ กับคนอื่น

จงชื่นชมเจาะจง เช่น “แม่เห็นลูกปลอบเพื่อน
ตอนเขาเศร้า แม่ภูมิใจมากเลยนะ”

4. อย่ามองข้ามคำพูดหรือพฤติกรรมที่บอกว่าเขา
“ข่มคนอื่น”

หากลูกพูดจาเสียดสีเพื่อน ใช้คำดูถูก
หรือหัวเราะเยาะคนอื่น อย่าปล่อยผ่าน

ถามอย่างสงบว่า “หนูพูดแบบนั้นเพราะอะไร?
แล้วถ้าเพื่อนพูดแบบนี้กับเรา เราจะรู้สึกยังไง?”

5. สอนลูกเรื่องความกล้าหาญที่แท้จริง

เด็กหลายคนแกล้งเพื่อน
เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่ม

สอนลูกว่า “การกล้ายืนอยู่ข้างความถูกต้อง
กล้ายุติความรุนแรง คือความกล้าที่แท้จริง”

แม่มิ่งชวนคุย 🌱🌱

สิ่งสำคัญที่สุด: พ่อแม่ต้องกล้ายอมรับ “
ถ้าลูกเรากำลังแกล้งคนอื่น”

ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากได้ยินว่า
“ลูกคุณกำลังแกล้งเพื่อน”

แต่การปฏิเสธ

ด่วนปกป้อง

หรือการไปต่อว่าครู ต่อว่าเพื่อน

โดยไม่ฟังข้อเท็จจริง อาจยิ่งทำให้ลูกไม่ได้เรียนรู้

กล้าฟังด้วยใจเปิดกว้าง และใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

บทสรุป 🌱🌱

เด็กที่แกล้งเพื่อน ไม่ใช่เด็กเลว
เขาอาจเป็นแค่เด็กที่เจ็บปวด สับสน หรือ
ไม่รู้จะสื่อสารยังไง

และเด็กที่จะไม่แกล้งใครได้ ต้องเติบโตมา
กับบ้านที่ เข้าใจ อบอุ่น และกล้าสอนอย่างอ่อนโยน

การป้องกันไม่ให้ลูกเป็น bully เริ่มต้นจากบ้าน
– และจากใจของเรา

สอนลูกแบบเข้าใจง่าย ๆ

อย่าลืมกด See first ติด ⭐️
เพื่อติดตามเพจแม่มิ่งนะคะ
#แม่มิ่ง
#เพจเลี้ยงลูกให้ถูกทางbyแม่มิ่ง
#เลี้ยงลูกเชิงบวก
#เลี้ยงลูกวัยรุ่น
#ปัญหาเลี้ยงลูก
#ปรึกษาปัญหาเลี้ยงลูก

https://www.facebook.com/share/14HdrKzsNSJ/
15/09/2025

https://www.facebook.com/share/14HdrKzsNSJ/

#คาถาเปิดใจลูก

ส่วนหนึ่งของปัญหาที่ทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจและพาลูกวัยรุ่นมาหาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นก็คือ 'การที่สื่อสารกับลูกไม่ได้ ไม่เข้าใจกัน'

อยากรู้ว่าลูกคิดอะไร มีปัญหาอะไร แต่ลูกไม่ค่อยเล่าให้ฟัง ยิ่งถามก็ยิ่งเงียบ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่โตแล้ว

ก็พบบ่อยๆ ว่าเป็นกันคล้ายๆ กับคุณพ่อท่านนี้พบ คือในวันที่เด็กยังเล็กๆ เด็กจะชอบเข้าหาพ่อแม่ เล่าโน่นนี่ให้พ่อแม่ฟัง แต่บางทีด้วยภาระงานหรือบางอย่างที่ทำให้พ่อแม่ไม่ได้ฟังเขามากเท่าไหร่ ทำให้พอเขาโตขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว ก็คล้ายมีกำแพงของความสัมพันธ์ไปแล้ว

สำหรับคุณพ่อท่านนี้หรือพ่อแม่คนอื่นๆ ถ้าเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ก็ตั้งสตินะคะ คือยังไงเสีย เราไม่มีทางย้อนอดีตได้ สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป เรียนรู้จากตรงนั้นเท่าที่เราทำได้ตอนนี้นะคะ

บอกตัวเองว่าเราอยู่ในปัจจุบันที่มีกันและกันอยู่ ไม่มีอะไรสายเกินไป ถ้าเราตั้งใจจริง อย่างน้อยก็มีความรักเป็นพื้นฐาน แล้วจะทำอย่างไรดีให้ลูกคุยกับเรามากขึ้น


1. เข้าใจพัฒนาการปกติก่อน

ต้องทำความเข้าใจว่าเมื่อลูกโต เขาก็อาจไม่ได้เล่าทุกเรื่องให้พ่อแม่ฟัง ซึ่งตรงนั้นเป็นปกติ จะได้ไม่น้อยใจ ไม่เป็นอารมณ์มาก ยิ่งเข้าวัยรุ่น เด็กวัยรุ่นจะมีพื้นที่ส่วนตัว ไม่ต้องไปโกรธหรือบังคับให้เขาเล่าทุกเรื่อง จะทะเลาะกันเปล่าๆ

2. บ่นให้น้อย

พ่อแม่ก็ห่วงบางทีก็อยากจะเตือนให้เขาทำสิ่งต่างๆ เช่น ทานข้าว แปรงฟัน อาบน้ำ สระผม ยิ่งเด็กโตมากเท่าไหร่ เขาจะไม่ชอบให้พ่อแม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวเหล่านี้ ก็เตือนได้ แต่อย่าบ่นอย่าพูดยาว ปล่อยวางบางเรื่อง เอาแค่ที่จำเป็น ยิ่งพูดทุกเรื่องเขาจะรำคาญและพาลไม่อยากคุยกับพ่อแม่

3. บอกให้ชัด

บอกเขาในจุดประสงค์ของเราให้ชัดเจน เช่น บางเรื่องที่ทำได้หรือไม่ได้ หรือในพฤติกรรมที่ลูกทำผิด ให้ บอกเขาตรงจุดว่าเขาทำผิดตรงไหน และเราอยากให้เขาทำอย่างไร เด็กจะไม่ชอบให้เราบ่นว่าด้วยการตีตรา เช่น ทำไมเขาแย่อย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้น หรือเอาเรื่องเก่าๆ มาเล่าใหม่

4. อย่าประชด ไม่เปรียบเทียบ

เพราะคำพูดแบบนี้มักจะหลุดออกมาในเวลาที่คุยกันแล้วพ่อแม่รู้สึกไม่พอใจ พ่อแม่อาจไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อลูกได้ยินก็จะเกิดความรู้สึกด้านลบ ยิ่งไม่อยากคุยหรือเล่าอะไรให้ฟัง

5. ฟังให้มาก

ถ้าเขามาเล่าให้ฟัง ถือเป็นโอกาสที่พ่อแม่ควรฉวยไว้ ให้แสดงออกว่าเอาใจใส่ วางทุกอย่างตรงหน้าถ้าทำได้ มองหน้า สบตาเวลาที่ลูกเล่า ปิดเสียงเตือนโทรศัพท์ อย่าพูดแทรกเวลาที่เขาเล่า โดยเฉพาะการสอน/แนะนำ รอให้เขาเล่าจบก่อนก็ได้ ให้เขาได้ระบายเรื่องราวออกมาเต็มที่

6. เข้าใจตัวเขาหรือสิ่งที่เขาชอบ

พ่อแม่บางคนที่คุยกับลูกไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกไม่ชอบสิ่งที่ลูกชอบ มองว่าไม่มีประโยชน์ ไร้สาระ ลูกก็จะรู้สึกว่าพ่อแม่อคติ ไม่เปิดใจ แบบนี้ลูกก็จะยากที่จะเปิดใจให้เรา แม้พ่อแม่จะรู้สึกว่ามันไม่โอเค ให้ใจเย็น ลองไปดูก่อนว่าทำไมลูกชอบ ค่อยๆคุยกัน แลกเปลี่ยนข้อมูล

7. ใจเย็นพอที่จะฟัง

หมอเคยคุยกับเด็กๆบางคนที่ไม่ค่อยอยากเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟัง เพราะพ่อแม่มีความกังวลหรือมีอารมณ์ท่วมท้นเวลาลูกเล่า เช่น ห่วงมาก เครียดไปกับเรื่องที่ลูกเล่า โกรธ ไม่พอใจ พอลูกเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่กลายเป็นเครียดกว่าเด็กอีก ทำให้เด็กยิ่งเครียด เด็กก็จะรู้สึกว่าไม่อยากทำให้พ่อแม่กลุ้มใจ แถมรู้สึกว่าเล่าไปแล้วตัวเองไม่สบายใจมากกว่าเดิม เลยไม่เล่าดีกว่า

8. จงเป็นคนที่ลูกคุยด้วยแล้วสบายใจ เริ่มด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดง่ายๆ คือถ้าหากเป็นเราไปคุยกับคนอื่น จะอยากคุยกับคนแบบไหน ก็จงเป็นแบบนั้น

9. ถ้าลูกยังไม่อยากคุย ไม่ต้องบังคับ ก็แค่รออยู่ ให้รู้นะว่าเราอยู่ตรงนี้ ให้เวลากับเขา พิสูจน์ให้เห็นว่าเราให้ความสำคัญ เรารักเขา

ประมาณนี้แล้วกัน หวังว่าบทความนี้ของหมอจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ได้อ่านนะคะ เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่และลูกๆ ทุกคนค่ะ

#หมอมินบานเย็น
#คำถามจากทางบ้าน

https://www.facebook.com/share/17Cy8zLWru/
13/09/2025

https://www.facebook.com/share/17Cy8zLWru/

คุณรู้จักคนที่เป็น "พ่อแม่ที่ไม่ดี" ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นการสปอยล์ลูกแบบสุดโต่ง ใช้ความรุนแรง เลี้ยงโดยใช้เงินเลี้ยงโดยแท้ ทอดทิ้ง ทิ้งให้คนอื่นเลี้ยงซึ่งหากคนอื่นที่เลี้ยงลูกให้ก็เลี้ยงแย่ด้วย คุณว่าจุดร่วมของพ่อแม่ที่ไม่ดีเหล่านี้คืออะไร ? ...

คำตอบก็คือ "เห็นแก่ความสบายของตัวเองเป็นสำคัญ" ในแง่มุมที่ต่างกันของวิถีการเลี้ยงที่ไม่ค่อยดีนั้น

คนที่สปอยล์แบบสุดขั้ว คือ คนที่ไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับ 'ความขัดแย้ง' กับลูก ไม่ชอบตอนลูกเสียงดังร้องไห้ รำคาญจัง ร้องทำไม เอาไปก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องมาร้องไห้หรือทำตัวงี่เง่ากับพ่อแม่ ขี้เกียจจะดีลด้วย ขี้เกียจใช้เหตุผลด้วย ตามใจไปก็แล้วกัน อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็ได้ พ่อแม่ลอยตัว ชิล ...

คนที่ใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงเด็ก ก็คือ คนที่ขี้เกียจที่จะใช้เหตุผล ไม่ต้องการทำความเข้าใจกับการไม่ปฏิบัติตามหรือพฤติกรรมของลูกที่แสดงออกมา ไม่มีเวลาจะฟัง ไม่มีเวลาจะพูด ขี้เกียจพูด ไม้เรียวสิ ตอบโจทย์ ฟาดเลย ด่าเลย ได้ผลดี เพราะก็เห็นฟาดแล้วหยุดนี่นา ด่าแล้วทำนี่นา ไม่เห็นต้องมานั่งใช้เวลาพูดคุยหรือเข้าใจลูกเลย ฟาดเลย อะไรใกล้มือก็เอามาใช้ได้เลย ง่ายดายกว่าเยอะ

คนที่ทอดทิ้งเด็ก ไม่สนใจไม่เลี้ยง ส่วนหนึ่งก็คือ ไม่เลี้ยงอ่ะ จะทำไม ชั้นจะมีชีวิตของชั้น ใช้ชีวิตของชั้นเสร็จก่อนแล้วค่อยกลับมาเลี้ยงลูก พ่อแม่ก็ต้องมีชีวิตของตัวเองไหม ไปเที่ยวก่อน กินเหล้าก่อน ไปเล่นไพ่ก่อน ลูกค่อยว่ากัน เดี๋ยวมันก็หาอะไรกินได้เองนั่นแหละ ... เปิด ๆ ตู้เย็นหาอะไรกินเอาสิ ... พอจ่ายค่าเทอมชั้นก็จ่ายมะ จะเอาอะไรเยอะ ให้แม่มันเลี้ยงสิ ...

มองเห็นภาพใช่ไหมครับ ... ที่กล่าวมาคือ การยกตัวอย่างแบบสุดโต่งให้เห็นภาพ โดยในชีวิตจริง คงไม่สุดขนาดนี้ แต่หากมองให้ดี บางพฤติกรรมของพ่อแม่ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกนั้นก็อาจมาจาก การเห็นแก่ความสบายของตัวเองในหลายแม่มุมนั่นแหละ ไม่อยากทะเลาะกับลูก ไม่อยากต้องมานั่งฟังลูกร้องไห้ อารมณ์ขึ้นก็ฟาด ก็ด่าลูก เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองเลยระบายมันกับลูกนี่แหละ

ไม่ดีเลย

เอาเข้าจริง สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์จะบั่นทอนลงไปเรื่อย ๆ พฤติกรรมของลูกจะแย่ลงเรื่อย ๆ จนถึงวันหนึ่งที่ปัญหาใหญ่โต อาจทำให้เด็กกลายเป็นคน 'สันดานไม่ดี' คราวนี้แหละที่มันจะย้อนกลับส่งผลกับพ่อแม่ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ... ถึงตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจจะได้ "ยอมแพ้" จริง ๆ ก็ได้

ยอมแพ้แล้วกับสิ่งที่ตัวเองทำมา กับลูก ต้องยอมรับมัน แล้วค่อยมาฟื้นฟูกันอีกทีซึ่งยากกว่าการเลี้ยงเขาให้ดีตอนเด็กมากเลย

#หมอวินเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ

หนังสือ "เลี้ยงลูกให้กินง่าย แก้ไขเด็กกินยาก" ฉบับปรับปรุงใหม่สั่งซื้อที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/79401750

หนังสือเลี้ยงลูกเชิงบวก "อย่าปล่อยให้พ่อแม่รังแกฉัน" สั่งได้ที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/71368488

หนังสือ The Parent's Guide to The First Year เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับพ่อแม่มือใหม่ สั่งได้ที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/79401740

สั่งหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพเด็กและการเลี้ยงลูกของหมอวินทั้ง 5 เล่ม
รวมถึง นิทานชุด ‘เด็กชายช่างสงสัย’ ได้ที่

อินบอกซ์ http://m.me/tamjaimorbooks
และ https://tamjaimorbooks.page365.net/

A. เลี้ยงลูกให้กินง่าย แก้ไขเด็กกินยาก * NEW ฉบับปรับปรุง 2568
(ปลูกฝังพฤติกรรมการกินที่ดี แก้ปัญหากินยาก)
B. อย่าปล่อยให้พ่อแม่รังแกฉัน (การเลี้ยงลูกเชิงบวก)
C. The Parent's Guide to The First Year
เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับพ่อแม่มือใหม่ * NEW
D. สู่วิถีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ฉบับชีวิตจริง * NEW
Survival Guide to Breastfeeding
E. เลี้ยงลูกให้ไกลโรค (ความรู้เรื่องสุขภาพ อาการ โรคและยาในเด็ก)
F. นิทานชุด มิน เด็กชายช่างสงสัย (3 เล่ม - เสียงอะไรน่ะ, แปรงฟัน แปรงฟัน, ก็ผมไม่อยากนอนนี่นา)

11/09/2025

ตัดไฟแต่ต้นลม สำหรับพ่อแม่

พฤติกรรมตามวัยในวัยเด็กเล็กอาจดูเข้าใจได้และน่าเอ็นดูในบางที แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ดูแลและรับมือให้ดี หลายพฤติกรรมอาจหนักขึ้น โตหน่อยพ่อแม่ก็ว่าเป็น "ปัญหาวัยรุ่น" พอรู้ตัวอีกที ลูกก็อาจกลายเป็นผู้ใหญ่มีปัญหาไปแล้ว ...

ดื้อตามวัย ในวัย 3 ขวบหรือ 5 ขวบอาจดูเป็นเรื่องที่น่ารักน่าชัง

การกรีดร้องลงไปดิ้นอาละวาดที่ห้างเพราะอยากได้ของเล่น ลูกอม พ่อแม่หลายคนก็ยื่นขนมให้ ซื้อของเล่นให้ เพื่อลูกจะได้หยุดร้องไห้ อยากดูหน้าจอต่อร้องไห้ พ่อแม่ก็ยอมให้ดูต่อ ลูกไปแกล้งเพื่อนที่สนามเด็กเล่น พ่อแม่หลายคนอาจมองว่า "เด็กมันก็เป็นเช่นนี้" จะเอาอะไรกับเด็กนักหนา มันก็ทะเลาะกันแบบนี้แหละ ผู้ใหญ่บางคนถึงกลับยิ้มเยาะหรือไม่พอใจพ่อแม่ที่ 'เยอะ' กับการเอาจริงเอาจังกับลูกในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ว่า ดัดจริต คนเดี๋ยวนี้มันเยอะ ว่าเข้านั่น

บางคนบอกว่าก็ลูกฉันเป็นเด็ก Strong-willed เป็นตัวของตัวเองเว้ย ไม่ได้ดื้อ แค่เจ้าอารมณ์ ว่าซั่น ... มุมหนึ่งอาจจริง อีกมุมหนึ่งอาจจะไม่จริงก็ได้นะ เอ ... หรือเป็นเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอนนะ ... ก็น่าครุ่นคิด

จากเด็กเล็กที่หลายพฤติกรรมฟังดูเข้าใจได้ ... แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน

วัยรุ่นเข้ามาไวจนเราตั้งตัวไม่ทัน ... เด็ก Strong willed ที่ว่าอาจกลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างหนัก อยากได้อะไรต้องได้ ปิดประตูกระแทกใส่หน้าแม่อย่างไร้มารยาท กรี๊ดใส่พ่อแม่แล้วสบทว่า "หนูเกลียดแม่" เดินลงส้น ขว้างปาทำลายข้าวของเมื่อไม่พอใจ ต่อยผนังห้อง มีเรื่องกับเพื่อนที่ รร. ไปตีต่อยกับคนอื่น บุลลี่ชาวบ้าน ติดเกม ติดหน้าจอเพราะดูมาตลอด จากการ์ตูนที่ดูน่ารัก กลายเป็นโซเชียลมีเดีย อินเตอร์เน็ตและอื่น ๆ ที่สุ่มเสี่ยงในวันที่พ่อแม่อาจคุมไม่ได้อีกแล้ว (ก็ให้ดูมาตลอด)

ลูกไม่น่ารักอีกต่อไปแล้ว
คำว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน ชัดขึ้นมากแล้วหรือยัง

เมล็ดพันธุ์ที่พ่อแม่ได้หว่านไว้กับการไม่มีกฎกติกาในชีวิต การไม่มีระเบียบวินัย การยอมตามใจอย่างไร้ของเขต เอาแน่เอานอนไม่ได้ การใช้ความรุนแรงที่พ่อแม่ปล่อยผ่านด้วยเหตุผลว่า "เขายังเด็ก" การไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่รู้จักกาละเทศะ ... มันอาจออกดอกออกผลให้คุณแล้วตอนวัยรุ่น

สิ่งที่น่ากังวลก็คือ พ่อแม่หลายคนเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นคือ การเลี้ยงลูกเชิงบวก พ่อแม่ต้องใจดีสิ ลูกจะได้มีความสุข เลี้ยงแบบอ่อนโยนออก ทั้งที่ความจริงหากมองลึกลงไป พูดตรง ๆ เลยนะว่า ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวลูกไม่รัก ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่รู้ว่าต้องดีลกับพฤติกรรมของลูกอย่างไร อันไหนต้องจัดการ อันไหนปล่อยผ่านได้ และอีกส่วนก็คือ ขี้เกียจ ... ไม่ใช่ขี้เกียจแบบที่เข้าใจ คือ ขี้เกียจจะจัดการกับลูก ขี้เกียจที่จะเผชิญปัญหาเลยใส่เกียร์ว่างไปเลย ชิล ...

ไหน ๆ โพสต์นี้ก็ขมมากแล้ว เอาให้เข้มไปเลยครับว่า ... พ่อแม่ต้องมีความกล้าที่จะขัดใจลูกให้ได้ กล้าพอที่จะเป็นคนในลูกไม่ชอบขี้หน้าในบางเวลาได้ 5555 ด้วยเหตุและผลที่ดี กฎกติกาที่ชัด คนเป็นพ่อแม่ มันก็ต้องขัดใจลูกได้สิน่าในสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกไม่ควร ไม่ใช่เอะอะบังคับเนาะ ฟังและเข้าใจลูกด้วย แต่ต้องทำความเข้าใจกับลูกได้ว่าทำไมจึงต้องเป็นเช่นนี้ ...

ทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้นภายใต้การเป็นพ่อแม่ที่ดีที่ใช้เวลาที่ดีด้วยกันกับลูก มีเวลาเล่น เวลาทำอะไรด้วยกัน สนุกสนานไปด้วยกัน เป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริงสำหรับลูก เชื่อเถอะว่า ลูกจะฟังเราแล้วเราก็ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะไม่รักเลย ไม่ใช่ อยู่ก็ไม่อยู่ มา ๆ หาย ๆ ไม่เคยมาคุยหรือเล่นกับลูก แต่มาทีก็ระเบิดลงทีเหมือนตำรวจตรวจผับ 555 ลงโทษฉ่ำ ใช้ความรุนแรงฉ่ำ แบบนี้หายนะหนักกว่าเดิม เขาไม่ฟังคุณหรอก

นี่ยังไม่นับสิ่งที่ไม่ดีที่อยู่นอกบ้านที่ลูกต้องเจอนะ เด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนจริง ๆ ที่มาอยู่ห้องเดียวกันกับลูก (ถ้ามีคือ เราจะเหนื่อยขึ้นอีกไม่น้อย คำหยาบ พฤติกรรมรุนแรง ค่านิยมแปลก ๆ มันจะติดตัวมาให้ลูกได้เห็นและอาจเลียนแบบได้อีก น่าปวดหัวไม่น้อย) สื่อสังคมออนไลน์ สิ่งล่อตาล่อใจ อีกเพียบ จึงต้องย้ำเตือนให้สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีตั้งแต่ในบ้านจึงจะดีที่สุด

ขมพอไหมกับความจริงเหล่านี้

#หมอวินเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ

หนังสือ "เลี้ยงลูกให้กินง่าย แก้ไขเด็กกินยาก" ฉบับปรับปรุงใหม่สั่งซื้อที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/79401750

หนังสือเลี้ยงลูกเชิงบวก "อย่าปล่อยให้พ่อแม่รังแกฉัน" สั่งได้ที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/71368488

หนังสือ The Parent's Guide to The First Year เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับพ่อแม่มือใหม่ สั่งได้ที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/79401740

สั่งหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพเด็กและการเลี้ยงลูกของหมอวินทั้ง 5 เล่ม
รวมถึง นิทานชุด ‘เด็กชายช่างสงสัย’ ได้ที่

อินบอกซ์ http://m.me/tamjaimorbooks
และ https://tamjaimorbooks.page365.net/

A. เลี้ยงลูกให้กินง่าย แก้ไขเด็กกินยาก * NEW ฉบับปรับปรุง 2568
(ปลูกฝังพฤติกรรมการกินที่ดี แก้ปัญหากินยาก)
B. อย่าปล่อยให้พ่อแม่รังแกฉัน (การเลี้ยงลูกเชิงบวก)
C. The Parent's Guide to The First Year
เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับพ่อแม่มือใหม่ * NEW
D. สู่วิถีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ฉบับชีวิตจริง * NEW
Survival Guide to Breastfeeding
E. เลี้ยงลูกให้ไกลโรค (ความรู้เรื่องสุขภาพ อาการ โรคและยาในเด็ก)
F. นิทานชุด มิน เด็กชายช่างสงสัย (3 เล่ม - เสียงอะไรน่ะ, แปรงฟัน แปรงฟัน, ก็ผมไม่อยากนอนนี่นา)

https://www.facebook.com/share/19a7ysJCE6/
22/08/2025

https://www.facebook.com/share/19a7ysJCE6/

"ชั้นก็เลี้ยงแกมาแบบนี้ ก็ไม่เห็นตายห่านี่ ยังยืนเถียงคอเป็นเอ็นอยู่นี่"

55555555555 สลดใจ ...

ประโยคไม้ตาย ... จากปู่ย่าตายายหลายบ้านใช้ในวันที่วิธีการเลี้ยงหลานของท่านนั้นต่างจากวิธีที่เรายึดถืออยู่ ... นั่นเพราะสมัยท่านไม่เคยมีชุดข้อมูลอย่างในปัจจุบันนี้ เขาก็เลี้ยงเรามาเช่นนี้จริง ๆ และเราก็ยัง 'รอด' จนถึงวันนี้ แล้วมันจะอะไรกันนักหนาล่ะจ๊ะ ที่รัก ... ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดื่มน้ำในเด็กแบเบาะก่อนอายุ 6 เดือน การป้อนกล้วย การดัดขา การตีเด็ก การเลี้ยงลูกให้อ้วน ๆ ความเชื่อว่านมผงดีกว่านมแม่ และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง

นั่นก็ "พ่อแม่"​
นี่ก็ "ลูก"
เอาไงดี

จงเชื่อใช้สนิทใจว่า "ทุกอย่างที่ท่านบอกเรา ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความหวังดีต่อหลาน" ท่านก็อยากให้หลานแข็งแรง เก่ง เป็นเจ้าคนนายคนแหละ ดังนั้นก่อนจะเข้าไปพุ่งชนประหนึ่งผีพุ่งไต้ แนะนำให้เริ่มต้นจาก การทำความเข้าใจเขาก่อนนะครับ แล้วเราจะดีลกับท่านได้ด้วยใจที่ไม่ปิดจนเกินไป ... ที่สำคัญ คือ เราจะได้ไม่หงุดหงิดท่านจนเกินไป เดี๋ยวนรกกินกบาลไปเสียก่อน 555

จากนั้นเอา "สุขภาพลูก" ยึดเป็นที่ตั้ง อะไรที่อันตราย เราต้องชัดและสู้ตายให้ได้มา

ชัดเจนว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เอาให้ชัด อย่าป้อนน้ำเด็กแรกเกิด ตายได้ อย่าป้อนกล้วยก่อนอายุ 17 สัปดาห์ (เอาให้ดีคือเริ่ม 6 เดือน) ไส้อุดตัน ไส้เน่าได้ นั่งรถต้องนั่งคาร์ซีต เพราะถ้าอุบัติเหตุมา ลูกไม่มีอะไหล่นะครับ เด็กเล็กคือคนที่จะหลุดไปนอกรถคนแรกและตายก่อน

เลี้ยงเองให้ได้มากที่สุด ให้ท่านเป็นกำลังเสริมก็พอ

อะไรที่หย่อนได้ก็หย่อน ถ้ามันไม่ได้อันตรายกับลูก แต่เราเองต้องกระชับการเลี้ยงให้แม่มีอยู่จริง และมีอิทธิพลต่อการเติบโตลูกให้มากผ่านหลัก เลี้ยงดี มีเวลาให้ เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็น

แม่ต้องเป็นเสาหลัก ถ้าอยากให้ลูกได้ดั่งใจเรา เราต้องเลี้ยงครับ ถ้าไม่ได้เลี้ยงเอง ก็อย่าไปบ่นมากครับ แต่ให้ใช้วิธีคุยกันดี ๆ ให้คนเลี้ยงหลักเขาเห็นว่าแบบนี้น่าจะดีกว่า แต่ถ้าเขายืนยันจะไม่ทำ นั่นเป็นเรื่องที่แม่ต้องคิดแล้วครับ ว่าโอเคไหม ถ้าโอก็ต้องยอมรับและ move on ว่าลูกจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคาดหวังนะ แล้วใช้ช่วงเวลาที่เราอยู่กับลูกให้ดีที่สุด เลี้ยงเขาให้ดีที่สุด เท่าที่เวลา โอกาส และทรัพยากรจะอำนวย ... ถ้าไม่โอ ก็ต้องเลี้ยงเองแล้วล่ะ แล้วก็อาจจะต้องให้ท่านไปใช้ชีวิตแบบผู้สูงอายุอย่างมีความสุข เพราะเอาจริง ๆ คนแก่ก็ควรได้พักแล้ว ไม่ใช่มากะเตง ๆ เลี้ยงหลานแล้วเนาะ (ซึ่งเราก็รู้แหละว่าหลายคนท่านเต็มใจจะเลี้ยงหลานมาก ๆ)

แต่เชื่อไหมครับ หากเราเปิดใจคุยกับท่านดี ๆ อย่างน้อยท่านก็ต้องฟังเราบ้างแหละ ... ไม่มากก็น้อย ... แต่ถ้าไม่ได้เลี้ยงเองก็อาจต้องทำใจ เพราะหากไปวุ่นวายเยอะ ดุแม่ ขัดแกเยอะ สักพักจะเจอประโยคไม้ตายอีกประโยค นั่นก็คือ

"งั้นมึงเอาไปเลี้ยงเอง"
55555555555555

หงอยนะเธอ... เคยเขียนเรื่องวิธีการคุยกับปู่ย่าตายายในหนังสือ "อย่าปล่อยให้พ่อแม่รังแกฉัน" ไปแล้ว หากใครมีแล้วก็พลิกไปอ่านได้เลยจ้ะ

#หมอวินเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ

หนังสือเลี้ยงลูกเชิงบวก "อย่าปล่อยให้พ่อแม่รังแกฉัน" สั่งได้ที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/71368488

หนังสือ The Parent's Guide to The First Year เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับพ่อแม่มือใหม่ สั่งได้ที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/79401740

หนังสือ "เลี้ยงลูกให้กินง่าย แก้ไขเด็กกินยาก" ฉบับปรับปรุงใหม่สั่งซื้อที่
https://tamjaimorbooks.page365.net/products/79401750

สั่งหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพเด็กและการเลี้ยงลูกของหมอวินทั้ง 5 เล่ม
รวมถึง นิทานชุด ‘เด็กชายช่างสงสัย’ ได้ที่

อินบอกซ์ http://m.me/tamjaimorbooks
และ https://tamjaimorbooks.page365.net/

A. เลี้ยงลูกให้กินง่าย แก้ไขเด็กกินยาก * NEW ฉบับปรับปรุง 2568
(ปลูกฝังพฤติกรรมการกินที่ดี แก้ปัญหากินยาก)
B. อย่าปล่อยให้พ่อแม่รังแกฉัน (การเลี้ยงลูกเชิงบวก)
C. The Parent's Guide to The First Year
เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับพ่อแม่มือใหม่ * NEW
D. สู่วิถีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ฉบับชีวิตจริง * NEW
Survival Guide to Breastfeeding
E. เลี้ยงลูกให้ไกลโรค (ความรู้เรื่องสุขภาพ อาการ โรคและยาในเด็ก)
F. นิทานชุด มิน เด็กชายช่างสงสัย (3 เล่ม - เสียงอะไรน่ะ, แปรงฟัน แปรงฟัน, ก็ผมไม่อยากนอนนี่นา)

https://www.facebook.com/share/p/15JyTCKsAA/
21/08/2025

https://www.facebook.com/share/p/15JyTCKsAA/

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ และผู้ดูแลเด็กที่มีภาวะออทิซึม การเข้าใจและมีเครื่องมือที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เด็กๆ ได้รับการดูแลที่เหมาะสม และพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสแกน QR Code นี้ เพื่อดาวน์โหลดคู่มือได้เลยค่ะ

เพราะ การดูแลที่ถูกวิธีตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนเพื่ออนาคตของลูก 💖

#คู่มือดูแลเด็กออทิซึม #พัฒนาการเด็ก

ที่อยู่

หมู่บ้านสินธานี3 ซอย 8/2
Chiang Rai
57000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 18:30
อังคาร 09:00 - 18:30
พุธ 09:00 - 18:30
ศุกร์ 09:00 - 18:30
เสาร์ 09:00 - 18:30
อาทิตย์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66846479812

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Kids Can Do Chiang Raiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Kids Can Do Chiang Rai:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram