หมอสมองแพทย์นิพนธ์ neurologist/脑科医生

29/01/2025

30/08/2022

โทษจากการใช้กัญชา ตอน ระบบหัวใจ
เดือนก่อน เพื่อนแพทย์ระบบหัวใจเล่ากรณีคนไข้หนึ่งให้ฟังว่า
คนไข้เป็นผู้ชายอายุ33ปี ไม่มีโรคประจำตัวใดใด ไม่สูบบุหรี่ แต่ใช้กัญชามา 1 เดือนทั้งกินทั้งสูบ
3 วันก่อนดื่มเหล้ากับเพื่อน พร้อมสูบกัญชามากกว่าทุกครั้ง ทั้งดื่มน้ำผสมใบกัญชายี่ห้อ รพ. หนึ่ง และทานคุกกี้กัญชาด้วย หลังจากนั้นมีอาการแน่นหน้าอกตลอดมาสามวัน ในที่สุดมีอาการใจสั่นแน่นหน้าอกเหมือนจะวูบ ทนไม่ไหวจึงมาห้องฉุกเฉิน แพทย์ตรวจคลื่นหัวใจและเลือด ผลบ่งบอกหัวใจขาดเลือดฉับพลัน จึงทำการสวนหลอดเลือดหัวใจด่วน ขณะกำลังสวนหัวใจ หัวใจคนไข้หยุดเต้น จำต้องปั๊มด้วยการช็อคไฟฟ้าหัวใจ พอหัวใจกลับมาเต้นเองได้แล้ว ยังคงมีความดันโลหิตตก ต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ และหยดยากระตุ้นหัวใจต่อ และสวนหัวใจต่อเพื่อหยดยาขยายหลอดเลือดหัวใจ...ในที่สุดพอกู้ชีวิดกลับมาได้
โทษของกัญชาต่อระบบหัวใจ วงการแพทย์มีข้อสรุปดั่งนี้
สารกัญชาทำให้ร่างกายตกอยู่ในสภาพตื่นตัว สารเคมีเกี่ยวข้องกับความเครียดหลั่งมากขึ้น ร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น ใช้ใหม่ๆหัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น แต่แล้ว นานเข้า...
สารกัญชาทำให้เกิดพยาธิสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจ แรงเต้นหัวใจเบาลง และบล็อกกระแสไฟฟ้าหัวใจ หัวใจเต้นชาลง
สารกัญชาทำให้เกิดพยาธิสภาพของหลอดเลือด เกิดการหดตัวของหลอดเลือดอย่างรุนแรง
สารกัญชาทำให้ระบบการแข็งตัวของเลือดรวมทั้งเกร็ดเลือดทำงานมากขึ้น ในที่สุดเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดง่ายขึ้น
ส่วนสารเคมีเกี่ยวกับความเครียดยังคงหลั่งอยู่ ร่างกายยังคงต้องการออกซิเจนมาก
เหล่านี้ ในที่สุด เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวาย
การใช้กัญชา60นาทีแรก อัตราการเกิดหัวใจขาดเลือดฉับพลันเพิ่มขึ้น4.8เท่า
กลุ่มผู้ใช้กัญชาประจำ อัตราการเกิดหัวใจขาดเลือดฉับพลันเพิ่มขึ้น30% อัตราการตายเพิ่มขึ้น60% เทียบกับคนทั่วไป

05/05/2022

สายพันธุ์ โอไมครอนน่าจะเป็นจุดจบของโรคระบาดโควิด
สายพันธุ์โอไมครอนเริ่มระบาดจากแอฟริกาใต้เมื่อพฤษจิกายน พ.ศ. 2564 ไม่นานก็เป็นสายพันธุ์หลักโควิดที่ระบาดไปทั่วโลก ลักษณะเด่นของสายพันธุ์นี้คือแพร่เร็วติดง่าย แต่อาการป่วยไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนนี้ งานศึกษาจากโรงพยาบาลที่แอฟริกาใต้ พบอัตราการตายในโรงพยาบาลจากโอไมครอน1% เทียบกับสายพันธุ์อื่นที่ 4.5% อัตราการเข้ารักษาตัวในไอซียูที่4% เทียบกับสายพันธุ์อื่นที่ 21% ระยะเวลาที่รักษาตัวในโรงพยาบาล4วัน เทียบกับสายพันธุ์อื่นที่8.8วัน งานศึกษาจากประเทศอังกฤษก็ได้ผลในทำนองเดียวกัน เพิ่มเติมคือพบว่าติดแล้วติดใหม่ได้ เยอะมากด้วย แต่อาการน้อย
ในแง่วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิด โควิดเป็นเชื้ออุบัดใหม่ จะมีที่ของตัวในระบบนิเวศนี้ คือจะไม่สูญพันธุ์ ต้องกลายพันธ์เป็นผู้ดี เป็นพันธุ์ที่อยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติสุข คือต่างคนต่างอยู่ อยู่ด้วยกันให้ได้
เป็นโรคประจำถิ่น คืออาการไม่รุนแรง วัดจากอัตราการตายที่ลดลงตามเกณฑ์ และประชาชนมีภูมิคุ้มกัน รัฐบาลดูแลและชะลอการระบาดได้
ทว่า อย่าประมาท ผู้ที่เสี่ยงจะมีอาการรุนแรงก็คือคนอ้วนน้ำหนักเกิน คนที่มีโรคประจำตัว เช่นเป็นไตวายเรื้อรัง และเหล่าผู้สูงวัย

01/02/2022

สุขสันต์ตรุษจีน๒๕๖๕ครับ

30/01/2022

“ลองโควิด”คืออะไร
“ลองโควิด”เป็นทับศัพท์ภาษาอังกฤษ “long COVID”
ว่ากันว่า หลายคนหลังหายป่วยจากโควิดแล้ว คือแพทย์ให้เข้าสังคมได้แล้ว ยังมีอาการผิดปกดิ คือมีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ทำงานไม่ไหว หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ไอ นี้เหละคือ”ลองโควิด” หรือ อาการระยะยาวของโควิด
เมื่อวันที่6 ตุลาคม พ.ศ. 2564 องค์การอนามัยโลกให้นิยามว่า “ลองโควิด”คือกลุ่มอาการสืบต่อเนื่องจากโรคโควิด เกิดภายในสามเดือนหลังติดเชื้อ และมีอาการนานเกินสองเดือน โดยไม่สามารถอธิบายด้วยสาเหตุอื่นๆ
นอกจากอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว บางรายยังมีอาการปวดศีรษะ ผิดปกดิในการรับรู้กลิ่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย อาการทางสมองก็มีสมาธิแย่ลง ความจำไม่ดี นอนไม่หลับ กังวล ซึมเศร้า
องค์การอนามัยโลกประมาณการว่า อาการ”ลองโควิด”เกิดขึ้น10-20%ในคนไข้โควิดทั้งหมด ไม่เกิดเฉพาะกับคนไข้อาการหนัก คนไข้อาการน้อยก็เกิดได้
อาการ”ลองโควิด”เกิดได้อย่างไร คำตอบคือไม่ทราบ สันนิษฐานว่า อาจเป็นได้ว่า เชื้อโควิดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา จนนำไปสู่อาการต่างๆ
“ลองโควิด”นานแค่ไหนจึงหาย? ไม่ทราบ เพราะว่าโรคระบาดนี้เพิ่งมาได้สองปีเอง
ถ้ามีอาการผิดปกดิแล้ว ควรพบแพทย์ เพื่อวิเคราะห์ตรวจหาสาเหตุอื่นๆ ด้วยว่าอาการ”ลองโควิด”เป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง จึงควรหาเหตุอื่นๆ ถ้าไม่พบสาเหตุอื่นใดแล้ว จึงลงเอยที่”ลองโควิด” และทำการรักษา ซึ่งผมคาดว่ารักษาไม่ยาก

03/12/2021

CRP เป็นสารบ่งชี้การอักเสบของร่างกาย
หลายปีก่อน มีงานวิจัยพบว่า คนที่ไขมันคอเลสเตอรอลสูง พร้อมทั้งค่าCRPสูงด้วย มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตันฉับพลันหรือโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน นี่คือที่มาของการที่แพทย์พยายามให้เราลดไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด
ด้วยเหตุผลว่า ไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง จะไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบ ค่าCRPสูง บ่งบอกว่าการอักเสบนั้นดำเนินมานานและเยอะมากแล้ว จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดหลอดเลือดสมองอุดดัน ทำให้เป็นอัมพาด หรือ หัวใจวายฉับพลันด้วยหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
และแล้วก็พบว่าในกลุ่มประชากรที่นอนไม่พอประจำ จะด้วยปัญหานอนหลับยาก หรือ นอนหลับๆตื่นๆ หรือตื่นเร็วเกินไป มีภาวะค่าCRPสูงกว่ากลุ่มประชากรทั่วไป
และพบว่าการนอนไม่พอเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ป่วยเป็นโรคความดันสูง เบาหวาน ซึมเศร้า ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน และ/หรือ หัวใจขาดเลือด งานวิจัยพบว่าการนอนน้อยกว่าหกชั่วโมงต่อคืนเป็นประจำ โดยนัยสำคัญทางสถิติ เกี่ยวข้องกับอายุขัยสั้นลง
สันนิษฐานว่าการนอนหลับไม่พอประจำ ทำให้ระบบภูมิต้านทานร่างกายทำงานไม่ดี ไม่สามรถขจัดสารพิษของเสียออกจากร่างกาย รวมทั้งสมอง เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งสำแดงออกด้วยสารบ่งชี้การอักเสบ CRP สูงขึ้น ขบวนการอักเสบเรื้อรั้งนี้ ในที่สุดทำให้เกิดโรคต่างๆ รวมทั้งการเสื่อมสภาพทางสมองที่เร็วขึ้น
การนอนไม่พอประจำจึงมีความสำคัญฉะนี้
เท่าไรเรียกว่านอนไม่พอ น้อยกว่า6-7ชั่วโมงต่อคืนคือไม่พอ

22/11/2021

สมัยเด็กๆ เวลาเราไม่สบาย แม่จะบอกให้ไปนอน
ทำไมไม่สบายแล้วต้องไปนอน เหตุผลมีอยู่ว่า
หนึ่ง เวลาไม่สบาย คือเกิดขบวนการอักแสบ ร่างกายจะหลั่งสารเคมีต่างๆที่เกี่ยวกับการอักแสบ ซึ่งหลายตัวมีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน หรือ ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น และนานขึ้น (ฉะนั้นยาแก้ปวดประเภทแก้อักเสบมีฤทธิ์ทำให้นอนหลับยากขึ้น ไม่มากก็น้อย)
สอง การนอนหลับทำให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายทำงานดีขึ้น ทำให้หายป่วยไวขึ้น กลไกคือ การนอนหลับสนิทเกื้อกูลการรวมตัวกัน การประสานงานกันในการตอบสนองต่อเชื้อโรคของเหล่าเม็ดเลือดขาวดีขึ้น ตัวอย่างเข่น ในชีวิดประจำวัน ถ้าเราอดหลับอดนอน เราจะเป็นหวัดง่ายขึ้น งานวิจัยทางการแพทย์พบว่า คนทีนอนน้อยกว่าห้าชั่วโมงต่อวันเป็นประจำมีโอกาสป่วยเป็นโรคปอดบวมสูงกว่าคนที่นอนวันละ7-8ชั่วโมง
เหตุนี้ การนอนหลับที่ดีหลังฉีดวัดซีน ทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนดีกว่า ดั่งมีงานวิจัยพบว่า
ระดับภูมิต้านทานต่อเชื้อหวัด10วันหลังฉีดวัคซีนไข้หวัดเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในคนที่นอนวันละ7-8ชั่วโมง เมื่อเทียบกับคนที่อดหลับอดนอนหลังฉีดวัดซีนไข้หวัด
ระดับภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหลังฉีดวัดซีนไวรัสตับอักเสบบี สูงกว่าเท่าตัวสำหรับคนที่นอนเกินวันละ6-7ชั่วโมงเมื่อเทียบกับคนที่นอนน้อยกว่าหกชั่วโมงต่อวัน ทั้งหลังฉีดใหม่ๆและหกเดือนหลังฉีดวัดซีน
ทำนองนี้ การนอนหลับที่ดี คงช่วยประสิทธิผลของวัคซีนโควิดดีกว่า คือระดับภูมิต้านทานขึ้นสูงกว่า

28/08/2021

ทำไมต้องฉีดวัดซีนเข็มสอง และเข็มสามจำเป็นมั้ย
จะตอบคำถามนี้ ต้องรู้ระบบภูมิต้านทานร่างกายตอบสนองอย่างไรกับวัดซีน

เมื่อวัดซีนเข้าร่างกายแล้ว จะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของเม็ดเลือดขาวซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพของร่างกาย เม็ดเลือดขาวที่ตอบสนองมีสองพวก พวกแรกคือBเซลล์ ซึ่งจะสร้างอนุภาคที่เรียกว่าแอนติบอดีไปจับกับตัวเชื้อมาให้Bเซลล์ย่อยสลาย หลังจากนั้นBเซลล์จะแบ่งตัวขยายพันธ์ตัวเองเพื่อผลิดแอนติบอดีชนิดนี้มากขึ้น (ที่พวกหมอตรวจหาภูมิหลังฉีดวัดซีน ก็คือหาระดับแอนติบอดีนี้) พวกที่สองคือTเซลล์ ซึ่งมีสองกลุ่มย่อย เรียกว่าTเซลล์ผู้ฆ่า และTเซลล์ผู้ช่วย Tเซลล์ผู้ฆ่าจะจับฆ่าเซลล์ที่เชื้อเกาะอยู่ ซึ่งทำให้เชื้อไม่สามารถแพร่พันธ์ต่อไป Tเซลล์ผู้ช่วยไม่ได้ฆ่าเชื้อ แต่พอมันเจอเซลล์ที่มีเชื้อเกาะอยู่ก็จะส่งสัญญาให้Bเซลล์และTเซลล์ผู้ฆ่า มีผลทำให้ทั้งคู่นี้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะฉะนั้นBเซลล์และแอนติบอดีที่ผลิต เสมือนทัพหน้าที่เผชิญข้าศึก Tเซลล์เสมือทัพหลวงที่คุมสงคราม ถ้าไม่มีB(ทัพหน้า) แต่มีT(ทัพหลวง) ร่างกายจะติดเชื้อง่ายมาก แต่ในที่สุดก็หายป่วยเหมือนคนทั่วไป เช่นในคนไข้ที่ไม่มีม้าม อันเป็นเหล่งเพาะเลี้ยงBเซลล์ คนไข้จะติดเชื้อง่ายมาก แต่ที่สุดก็หาย ถ้ามีB(ทัพหน้า) แต่ไม่มีT(ทัพหลวง) ร่างกายไม่ได้ติดเชื้อง่ายนัก แต่พอติดเชื้อแล้วจะป่วยหนัก และไม่หายง่ายๆ เช่นในคนไข้โรคเอดส์ ทัพหลวงเสียหายมาก
ประเด็นอยู่ตรงนี้ วัดซีนเข็มแรกแค่กระตุ้นให้ทัพหน้ามา ทัพหลวงมาบ้างแต่ไม่มาก ต่อเมื่อเจอเข็มสอง คือเจอเชื้ออีกครั้ง ทัพหลวงมาเต็มขบวน ร่างกายจะมีภูมิต้านทานเต็มที่ นี้คือสาเหตุทำไมต้องมีเข็มสอง

เมื่อสงครามจบลงแล้ว คือเชื้อถูกขจัดหมดแล้ว เซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะลดจำนวนลงเรื่อย ในกรณีของโควิด จะเห็นว่าคนที่ฉีดวัดซีนแล้ว หรือ คนที่มีภูมิต้านทานโดยติดเชื้อจริงๆ ภูมิต้านทานจะลดลงเรื่อยๆ ประมาณหกเดือนภูมิก็จะน้อยมากจนทางการแพทย์อาจตรวจไม่เจอแล้ว
ทั้งBเซลล์และTเซลล์จะมีความจำ คือรุ่นลูกรุ่นหลานของพวกมันจะจำเชื้อที่เคยสู้ศึกกันได้ สามารถจับฆ่าเชื้อได้แม่นยำกว่า และแบ่งตัวผลิตตัวเองออกมาสู้ศึกได้เร็วกว่า จะมีส่วนน้อยมีอายุขัยนาน ไปพักอยู่ในไขกระดูก ต่อเมื่อพบเจอเชื้อเดิมบุกรุกอีก เซลล์ที่มีความจำเหล่านี้จะออกมา ครั้งนี้จะสามารถตอบสนองได้รวดเร็วกว่า ทำให้เราไม่มีอาการป่วย หรือ มีอาการป่วยน้อย
การจะต้องมีเข็มสามหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า เซลล์ที่มีความจำเหล่านี้จะออกมาจากการพักตัวในไขกระดูกได้เร็วแค่ไหน เทียบกับระยะฟักตัวของเชื้อ คือช่วงเวลาที่เชื้อเข้าร่างกายจนมีอาการป่วย ใครทำได้เร็วกว่า ถ้าภูมิเราเร็วกว่า เราจะไม่มีหรือมีอาการป่วยน้อย ถ้าเชื้อเร็วกว่า เราป่วยก่อน
ฉะนั้นในความเห็นผม เข็มสามควรห่างจากเข็มสองอย่างน้อยหกเดือน และถ้าตอนเวลานั้น โควิดยังระบาดหนักอยู่ ก็พิจารณาเข็มสาม ถ้าโรคระบาดสงบแล้ว ไม่ต้องก็ได้น่ะ

04/08/2021

วันนี้มารีวิวต่อวัคซีนอีกสองตัว คือซิโนเวค(Sinovac)กับซิโนฟาร์ม(Sinopharm)

สองตัวนี้คือวัคซีนเชื้อตาย ผลิตขึ้นมาด้วยการเอาเชื้อโควิดไปเพาะเลี้ยง หลังจากนั้นฆ่าตายเพื่อให้หมดฤทธิ์เดช แล้วเอามาฉีดให้คน เนื่องจากตัววัคซีนคือเชี้อไวรัสทั้งตัว เพราะฉะนั้น ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจะมีได้กับหลายส่วนประกอบของโควิด ไม่ได้แค่เกิดกับส่วนเดือยของไวรัสอย่างเดียว

ประสิทธิภาพของซิโนเวคในการป้องกันโรคโควิดอยู่ที่70-80% หมายความว่า100คนที่ติดเชื้อโควิด จะมี70-80คนไม่มีอาการ และในพวกที่มีอาการแล้ว ป้องกันอาการหนักถึงขั้นต้องนอนรพ.ได้86-88% ป้องกันอาการขั้นรักษาตัวในICUได้90.3% ป้องกันการตายจากโควิดได้86.3%
ประสิทธิภาพของซิโนฟาร์มในการป้องกันโรคโควิดได้73-78%

ขณะนี้โควิดสายพันธุ์เดลต้าเพิ่งระบาดที่จีน นักการแพทย์ระบาดวิทยาของจีนกล่าวว่า ด้วยสถิติจากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้ากลุ่มย่อยที่เมืองกวางโจวเมื่อเดือนพฤษภาคมนี้ ป้องกันมีอาการได้63.2% ป้องกันอาการหนักได้100%

ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนมีปวดบริเวณที่ฉีด ปวดหัว อ่อนเพลีย พบใด้ประมาณ10-20% ทานยาแก้ปวดก็หายครับ

ภาวะไม่พึงประสงค์ ไม่มี
จากการรวบรวมข้อมูลระบบติดตามอาการหลังฉีดวัคซีนซิโนเวคที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จำนวน 14,954 ครั้ง พบว่ามี 49 รายที่รายงานอาการผิดปกติทางระบบประสาท คิดเป็น0.33% ผู้ป่วย 90%เป็นเพศหญิง อาการที่พบบ่อยที่สุดคืออาการชาซีกใดซีกหนึ่ง รองลงมาคืออาการปวดศีรษะ ส่วนอาการอ่อนแรงพบ5รายคิดเป็น0.03% อาการทั้งหมดดีขึ้นภายใน24ชั่วโมง บางรายมีอาการต่อเนื่องที่ไม่รุนแรงได้นานเกินหนึ่งสัปดาห์ กลไกยังไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าอาจเนื่องจากหลอดเลือดในสมองมีการหดเกร็ง ทำให้มีอาการคล้ายอัมพฤกษ์ ต่อมาหลอดเลือดคลายตัว อาการดีขึ้นเอง

ถ้าเน้นปลอดภัยไว้ก่อน ก็ฉีดวัคซีนสองตัวนี้ครับ

02/08/2021

วันนี้ริวิววัคซีนสองตัว คือ ไฟเซอร์(Pfizer-BioNTech)กับ โมเดิร์นนา(Moderna)
สองตัวนี้คือนวัตกรรมใหม่ในการผลิตวัคซีน ด้วยการจับเอาพันธุกรรมส่วนที่สร้างเดือยของไวรัสโควิดห่อเข้าไปในอนุภาคไขมันเล็กๆแล้วมาฉีดให้พวกเรา(เดือยของโควิดก็คือส่วนมือเท้าของโควิดที่จะไปจู่โจมเข้าเซลล์คน) พอเข้าไปในเซลล์ร่างกายมนุษย์แล้ว พันธุกรรมนี้จะถูกแปลรหัส แล้วโปรตีนเดือยไวรัสโควิดก็จะถูกสร้างขึ้นมาในเชลล์คน ซึ่งเหนี่ยวนำให้ ร่างกายคนสร้างภูมิต้านทานไวรัสโควิดขึ้นมา เคยกังวลว่านวัตกรรมนี้จะทำให้มนุษย์กลายพันธุ์มั้ย เช่นกลายพันธุ์เกิดเนื้องอก หรือกลายพันธุ์เป็นพวกซุปเปอร์แมน? ฮาๆ เท็จจริงนั้นผลระยะยาวยังไม่ทราบ เพราะเป็นของใหม่ แต่พันธุกรรมเดือยไวรัสโควิดนี้แค่เข้าไปในเซลล์มนุษย์ ไม่ได้เข้าไปนิวเคลียสของเซลล์ ไม่ได้ทำปฏิกิริยาหรือไปผสมกับพันธุกรรมของคน จึงน่าสบายใจได้

ประสิทธิภาพไฟเซอร์ในการป้องกันโรคโควิดคือ95-97% หมายความว่า100คนที่ฉีดวัคซีนนี้แล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมา 95-97คนจะไม่มีอาการ ในพวกที่มีอาการแล้ว 97%ไม่ถึงขั้นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ในพวกทที่ต้องเข้ารักษาในรพ.แล้ว97%ไม่ตายด้วยโรคนี้ ความสามารถในการป้องกันสายพันธุ์เดลต้าลดลง ที่อิสราเอล ซึ่งฉีดวัดซีนนี้เป็นหลัก ป้องกันได้64% แต่ความสามาถในการป้องกันอาการหนักถึงขั้นต้องนอนรพ.ยังสูงมากอยู่

ประสิทธิภาพโมเดิร์นนาในการป้องกันโรคโควิดต่ำกว่า อยู่ที่86-94% ในพวกที่มีอาการแล้ว เกิน90%ไม่ถึงขั้นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล

ผลข้างเคียงจากการฉีดวัดซีน เทียบกับวัดซีนอื่นแล้วเกิดบ่อยกว่า เกิดอาการปวดบวมแดงคันบริเวณฉีด 65%สำหรับไฟเซอร์ 70-80%สำหรับโมเดิร์นนา อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว 20-30%สำหรับไฟเซอร์ 50%สำหรับโมเดิร์นนา ไข้หนาวสั่น ปวดตามข้อเกิดขึ้นหลังเข็มสอง 20%สำหรับไฟเซอร์ 40%สำหรับโมเดิร์นนา คือโมเดิร์นนาเกิดอาการข้างเคียงเยอะกว่าแต่อาการข้างเคียงเหล่านี้ไม่เกินสองวันหายครับ

ภาวะไม่พึงประสงค์ คือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ มักเกิดในชายวัย24-30ปี อัตราการเกิดภาวะนี้พบประมาณ41คนต่อหนึ่งล้านคนที่ฉีดในชายวัย12-29ปี 2.4คนในชายวัยเกิน29ปี และหญิง4.2คนในวัย12-29ปี อาการเกิดภายในอาทิตย์แรกหลังฉีด อาการน้อย มักมาด้วยอาการเจ็บหน้าอก หายใจถี่ ใจสั่น รักษาแล้วหายไว กลับบ้านได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ สาเหตุยังไม่ทราบ มีตั้งข้อสมมุติฐานว่าสืบเนื่องจากตัวไขมันที่ห่อไวรัสไปตกค้างอยู่ที่กล้ามเนื้อหัวใจ
WHO ประเมินส่วนได้ส่วนเสี่ยงแล้วแนะนำให้ฉีดครับ

01/08/2021

ผมจะค่อยๆรีวิววัดซีนโควิดไปทีละตัว ตามแต่ข้อมูลทางการแพทย์เท่าทีผมหาได้ครับ
วัดซีนแอสตร้า (AstraZeneca) อาศัยไวรัสจากลิงชิมแปนซีเป็นพาหะพาเอาส่วนเดือยของโควิดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ทำให้ร่างกายมนุษย์เกิดภูมิต้านทานต่อโปรตีนเดือยนี้ เดือยของโควิดก็คือส่วนมือเท้าของโควิดที่จะไปจู่โจมเข้าเซลล์คน ส่วนพาหะไวรัสจากลิงชิมแปนซีถูกทำให้เป็นหมัน คือไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ในร่างกายมนุษย์

ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิดคือ70-80% หมายความว่า100คนทีฉีดวัดซีนนี้แล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมา 70-80จะไม่มีอาการ ประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันเดลต้าต่ำนิดหน่อย คือ67% ประสิทธิภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหรือการตายจากโควิดยังไม่สรุป แต่ดูจากประเทศอังกฤษซึ่งฉีดแอสต้ราเป็นหลัก อัตราการตายคือต่ำมาก คือติดเชื้อเป็นหลักหมื่นต่อวัน แต่อัตราการตายต่อวันคือร้อยกว่า อันนี้ประเมินจากสถิติที่รวบรวมมา

ผลข้างเคียงจากการฉีดวัดซีนนี้ คือ ไข้ขึ้น หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย ปวดหัว ประมาณ8% ทานยาพารา นอนพักวันสองวันหายครับ ส่วนใครที่ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ไม่ต้องกังวลว่าภูมิไม่เกิดครับ ภูมิต้านทานเกิดขึ้น90-100% (ภูมิต้านทานกับประสิทธิภาพในการป้องกันโรคคนละอย่างกัน เกิดภูมิไม่ได้แปลว่าจะป้องกันโรคได้)

ภาวะไม่พึงประสงค์ คือเกิดลิ่มเลือดครับ พร้อมปริมาณเกล็ดเลือดลดต่ำ ลิ่มเลือดอุดตันได้ทั้งหลอดเลือดแดงหลอดเลือดดำในสมอง เกิดอาการอัมพฤกษ์ หรือ ลิ่มเลือดอุดตันปอด หรือ ลิ่มเลือดอุดตันม้าม มันเป็นภาวะภูมิแพ้ตัวเอง คือร่างกายสร้างภูมิมาโจมตีเนื้อเยื้อตนเอง ไม่เกี่ยวกับยาประจำที่กินหรือโรคประจำตัวของเรา เปรียบเหมือนเราไปกินอาหารทะเลแล้วแพ้ปู มันไม่เกี่ยวกับยาประจำที่กินหรือโรคประจำตัวของเรา มักเกิดภายใน14วันแรกหลังจากเข็มแรก มักเกิดกับหญิงวัยต่ำกว่า60ปี ปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะนี้ยังไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม โอกาสเกิดน้อยครับ ประมาณ5-7คนต่อประชากรล้านคนที่ฉีด WHO ประเมินส่วนได้ส่วนเสี่ยงแล้วแนะนำให้ฉีดครับ

28/07/2021

โพสต์ก่อนบอกไว้ว่าไม่ต้องกลัว ถ้าติดเชื้อโควิดขึ้นมา เรามีโอกาสรอดสูงอยู่ แต่อย่าประมาท มาดูกันว่าใครมีโอกาสป่วยหนัก
แน่นอน หนึ่งคือ อายุยิ่งมากยิ่งเสี่ยงครับ
วัยรุ่นอายุ18-34 โอกาสหนักถึงขั้นต้องเข้ารพ. มีแค่5% อัตราการตายในวัยนี้2.7% มักเกิดกับคนอ้วนมากๆ มีความดันสูง และเป็นผู้ช่าย!
สอง คนที่เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน หอบหืด มะเร็ง ไตวายเรื้อรัง คนที่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะแล้ว คนอ้วนจัด และพวกสูบบุหรี่ครับ

ที่นี้รู้ได้อย่างไง ว่าเราติดหรือยัง
คุณมีโอกาสหนึ่งในสาม ติดแล้วไม่มีอาการอะไรเลย แต่จะเป็นคนทีแพร่เชื้อให้คนอื่น
อาการแรกๆ ก็ไอ ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดหัว เจ็บคอ ประมาณ5-7วันเริ่มหายใจเหนื่อย หอบ คือลงปอดแล้ว อันนี้น่าจะติดโควิดแล้ว
มีบางพวกมาด้วยท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน มีโอกาสติดแล้ว หนึ่งในห้า
อาการน้ำมูกไหลเยอะ ไม่น่าใช่ครับ โอกาสน้อย
ที่ฮีทมากว่า จมูกไม่ได้กลิ่น หรือ ไม่ได้รส โอกาสติดน้อยครับ ต่ำกว่า10%
ภาวะแทรกซ้อน ถ้ามีแล้วก็หนักครับ หายใจวาย หัวใจวาย เกิดลิ่มเลือด เชื้อโควิดขึ้นสมอง

ขออำนาจแห่งพระพุทธเจ้า บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สากลโลก จงปกป้องคุ้มครอง ไม่เจ็บไม่ไข้ครับ