ป้าข้างบ้าน

ป้าข้างบ้าน หมอแฟมเมดข้างบ้าน เติมความกลมกล่อมในเวชปฏิบัติปฐมภูมิ

ป้าท่านหนึ่งฝากมาค่ะ มารู้จักกัน มาเทรนด้วยกันนะคะ 15 กันยายน 2568 เวลา 9.00-13.00 น. ที่ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพท...
13/08/2025

ป้าท่านหนึ่งฝากมาค่ะ มารู้จักกัน มาเทรนด้วยกันนะคะ 15 กันยายน 2568 เวลา 9.00-13.00 น. ที่ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีค่ะ

OPEN HOUSE PALLIATIVE MEDICINE – Family Medicine Rama 2025

เปิดบ้านต้อนรับอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในไทย
ขอเชิญชวนพี่ ๆ น้อง ๆ นักศึกษาแพทย์ แพทย์ใช้ทุน แพทย์ประจำบ้าน และสตาฟที่สนใจการเรียนรู้ผู้ป่วยด้วยโรคที่หมดหวังอย่างมีความหวัง มารู้จักการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านต่อยอด อนุสาขาเวชศาสตร์ประคับประคอง ในบรรยากาศเป็นกันเอง พร้อมข้อมูลครบถ้วนและจริงใจ!

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2568
เวลา 09:00–13:00 น. (Onsite)
สถานที่: ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อาคาร 4 ชั้น 2

สมัครเข้าร่วมได้ที่: https://forms.gle/r56mtiXtmrxogyKZ7
หรือสแกน QR Code ในโปสเตอร์

แล้วพบกันนะคะ ^_^

สารบัญเพจป้าข้างบ้าน (อัปเดต 28 กรกฎาคม 2568)EP.1 คนไข้จำที่หมอบอกได้แค่ไหน (Recall of medical advice)https://www.facebo...
28/07/2025

สารบัญเพจป้าข้างบ้าน (อัปเดต 28 กรกฎาคม 2568)

EP.1 คนไข้จำที่หมอบอกได้แค่ไหน (Recall of medical advice)
https://www.facebook.com/share/p/1FzUXQjDJk/

EP.2 ไม่ฉีดยาเบาหวานนะหมอ คนไข้คิดอะไร (Barriers and facilitators to starting insulin)
https://www.facebook.com/share/p/15y1hX8KHA/

EP.3 Palliative sedation therapy แน่ใจไหม ว่าไม่พลาด
https://www.facebook.com/share/p/1YHzyBSA8T/

EP.4 พักก่อน พี่อยากให้น้องได้พักผ่อน (De-prescribing BDZ)
https://www.facebook.com/share/p/1HBYEpbV3j/

EP.5 Kennedy Terminal Ulcer (KTU): เมื่อคนไข้บอกลาผ่านผิวหนัง
https://www.facebook.com/share/p/152gPYuQPV/

EP.6 Death rattle: รักษาเสียงเพื่อคนข้างหลัง
https://www.facebook.com/share/p/1B846aMLf6/

EP.7 Xerostomia: ดูแลได้มากกว่าน้ำลายเทียม
https://www.facebook.com/share/p/15jU9bsGxs/

EP.8 Catheter leakage: ตกลงเบอร์เล็กหรือใหญ่
https://www.facebook.com/share/p/14yHwBWf9Av/

EP.9 Pill-swallowing difficulties: เรื่องยากที่พอช่วยได้
https://www.facebook.com/share/p/19nAQFiQBq/
EP.10 Palliative care เท่าเทียม: บางแง่มุมสำหรับการดูแลคนไข้ LGBTQ
https://www.facebook.com/share/p/1MiKFicgjd/

EP.11 Palliative per re**um: ทางออกที่เข้าได้ดี
https://www.facebook.com/share/p/12KmTmABnYv/

EP.13 Part 1 Denial: เธอ (ไม่ได้) ทำให้ชั้นดูแย่
https://www.facebook.com/share/p/1BsvixWGKF/

EP.12 Screening opioid misuse and abuse
https://www.facebook.com/share/p/18JKnTUyCm/

EP.13 Part 2 Denial: คุยยังไงให้พอ-ดี
https://www.facebook.com/share/p/14oVJyoXAH/

EP.14 Energy conservation: เทคนิคการสงวนพลังงานสำหรับคนไข้เหนื่อยเรื้อรัง
https://www.facebook.com/share/p/1E7FxtcKV2/

EP.15 Malignant spinal cord compression: 10 ข้อที่น่ารู้
https://www.facebook.com/share/p/1AynR39Asb/

EP.16 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Advance Care Planning
https://www.facebook.com/share/p/1NJeDp4Kz5/

EP.17 Disenfranchised grief: เจ็บแต่ไม่ร้อง
https://www.facebook.com/share/p/1BQUfFKfQU/

EP.18 Corticosteroids for Common Palliative Care Symptoms
https://www.facebook.com/share/p/158wF6oc85/

EP.19 Sublingual administration
https://www.facebook.com/share/p/146y2V4y97/

EP.20 Hiccups in palliative care เลือกยายังไงให้โดน
https://www.facebook.com/share/p/1GfSoscEto/

EP.21 (Part1) Bereavement care: จะเล่าความเศร้า (ขอ) ให้คุณฟัง
https://www.facebook.com/share/p/1A8riP7Ccs/

EP.21 (Part2) Bereavement care: จะเล่าความเศร้า (ขอ) ให้คุณฟัง ตอนจบ
https://www.facebook.com/share/p/1AvnyTZ936/

EP. 22 Deprescribing in End-of-Life Care
https://www.facebook.com/share/p/1Axkuk7RRH/

EP.23 Malignant Pleural Effusion ส่งต่อเมื่อไหร่ดี
https://www.facebook.com/share/p/15kiCC8pvF/

EP.24 7Bs in Palliative Care Ward Round
https://www.facebook.com/share/p/18cK23QYNC/

EP.25 Lymphangitis carcinomatosis
https://www.facebook.com/share/p/15tWdrT6Ws/

EP.26 Withdrawing life-sustaining treatment VS Euthanasia
https://www.facebook.com/share/p/19nh6DFQN5/

EP.27 Addenbrooke’s Cognitive Examination-III: ง่าย ดี มีภาษาไทย
https://www.facebook.com/share/p/15jDn4pqGG/

EP.28 Opioid-Induced Neurotoxicity: มากกว่า myoclonus
https://www.facebook.com/share/p/17cavREUXt/

EP.29 Neuropathic Cancer Pain เลือกยายังไงดี
https://www.facebook.com/share/p/14brL4Yuh7/

EP.30 ผ่าต้อกระจกในคนไข้ระยะท้ายคุ้มค่าจริงหรือ?
https://www.facebook.com/share/p/1YYRdvJAro/

EP.31 Appropriate Use of Antibiotics in Palliative Care: อะไรคือความเหมาะสม?
https://www.facebook.com/share/p/184UsgtvJT/

EP.32 กลืนยาก กินยาก ใส่ NG ดีไหม: comfort feeding คือคำตอบ
https://www.facebook.com/share/p/159vPEQi4j/

EP.33 Tracheostomy: Understanding Patient Suffering
https://www.facebook.com/share/p/18cQn4tmgd/

EP.34 The SILENCE RCT
https://www.facebook.com/share/p/1BSdrVhrNq/

EP.35 Opioids for Dyspnea in End-Stage COPD
https://www.facebook.com/share/p/1Aer7f3178/

EP.36 AGAIN I’VE FALLEN
(Recurrent falling in elderly)
https://www.facebook.com/share/p/19k1FWFnar/

EP.37 Diabetes at the End-of-Life
https://www.facebook.com/share/p/18decHL3Rb/

EP.38 10 Q&A ACP
https://www.facebook.com/share/p/15woMAkPF2/

EP.39 ไอศกรีมจากอาหารทางการแพทย์
https://www.facebook.com/share/p/1GQakPoP1d/

EP.40 Rapid Palliative Care Assessment in ED (Part 1/2)
https://www.facebook.com/share/p/17Zh5WaJ8h/

EP.41 Rapid Palliative Care Assessment in ED (Part 2/2)
https://www.facebook.com/share/p/19nXq5auox/

EP.42 Working with Deaf (Hard to hearing or Hearing-impaired) People
https://www.facebook.com/share/p/18DJWBppm3/

EP.43 Deprescribing Cognitive Enhancers
https://www.facebook.com/share/p/18Goi2EYCh/

EP.44 Pregabalin for primary care setting
https://www.facebook.com/share/p/19zz35TYhZ/

EP.45 เรื่องคัน ๆ
(Pruritus in adult palliative care patients)
https://www.facebook.com/share/p/15p622uQ5F/

EP.46 อย่าล้างกันเลย ถ้า...
(comprehensive conservative management in ESRD)
https://www.facebook.com/share/p/14hecvsDS2/

EP.47 Tips for communication with older patients
คุยอย่างไรให้เข้า (ไปใน) ใจผู้สูงอายุ
https://www.facebook.com/share/p/1XJ9fNPstj/

EP.48 Pain Flare (Bone pain in RT)
https://www.facebook.com/share/v/19oCUR84C2/

EP 49 Update on Palliative Sedation from the EACP Guideline 2024
https://www.facebook.com/share/p/15XxX4uoLz/

EP 50 Fentanyl Patch 101 in Palliative Setting
https://www.facebook.com/share/p/1NGHcuEQ2d/

EP 51 Early vs Stepped vs Timely Palliative Care in Cancer Patients
https://www.facebook.com/share/p/1LS2uZb939/

Credit คุณหมอ Nichakarn Piyawannarat เดนท์ 1 เวชศาสตร์ครอบครัว รามาธิบดี ทำส่งมาให้ตั้งแต่เป็น พชท. ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ

EP.51 Early vs Stepped vs Timely Palliative Care in Cancer Patientsอาทิตย์ที่ผ่านมา ป้ามีโอกาสได้ไปฟังอาจารย์ปู่ในการประ...
28/07/2025

EP.51 Early vs Stepped vs Timely Palliative Care in Cancer Patients
อาทิตย์ที่ผ่านมา ป้ามีโอกาสได้ไปฟังอาจารย์ปู่ในการประชุมวิชาการ 4 สถาบัน จุฬาฯ-ศิริราช-รามา-ธรรมศาสตร์ โดยเป็นเซสชั่นพูดคู่กับหมอมะเร็ง ใจความสำคัญที่ทุกท่านน่าจะทราบดีอยู่แล้วก็คือ การดูแลประคับประคองสามารถทำได้ตั้งแต่การวินิจฉัยว่ารักษาไม่หาย อาจารย์ปู่ได้เน้นว่า “การดูแลประคับประคองเป็นการรักษาที่ไม่มี adverse events ใด ๆ”
แต่ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัด คำถามสำคัญ จึงไม่ใช่ว่า จะทำหรือไม่ แต่คือคำถามว่า “Early ที่ว่าคือตอนไหนที่พอดีกับทุกฝ่าย”
อาจารย์อ้างอิงถึงงานวิจัยสำคัญ ๆ ในผู้ป่วยมะเร็ง 3 เปเปอร์ ที่ป้าคิดว่าน่าสนใจดี ขอหยิบมาเล่า ดังนี้ค่ะ
1️⃣Early Palliative Care for Patients with Metastatic Non–Small-Cell Lung Cancer
(N Engl J Med 2010;363:733-742)
มี citation ไปกว่า 9,000 ครั้ง ! เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คของเรื่องนี้ ใครทำงานสอนพลาดไม่ได้เลย
การศึกษานี้เป็น non-blinded RCT ทำที่ single site ในคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัย metastatic NSCLC ที่เพิ่งวินิจฉัยใหม่ จำนวน 151 คน ใน ambulatory care setting ส่วนมาก ECOG 0-1 เริ่มใน 8 สัปดาห์หลังวินิจฉัย แบ่ง 2 กลุ่ม
.
กลุ่มที่ 1 ได้รับการดูแลของ onco ตามปกติ และจะได้พบ palliative care เมื่อมีข้อบ่งชี้
กลุ่มที่ 2 ได้รับได้รับการดูแลของ onco ร่วมกับ palliative care team ซึ่งหมายถึงแพทย์และพยาบาล ภายใน 3 สัปดาห์หลัง enroll เข้ามา และได้พบเรื่อย ๆ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าจะเสียชีวิต (OPD setting นะคะ ถ้า admit แล้วมีเหตุต้องได้พบทีม IPD ก็ได้พบตามปกติ)

ติดตามไป 12 สัปดาห์
ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มที่ได้รับ palliative care ร่วมด้วย ...
- มีคุณภาพชีวิตดีกว่า
- มีอาการซึมเศร้าน้อยกว่า
- ได้รับ aggressive end-of-life (EoL) care เช่น เคมีบำบัดช่วงท้าย น้อยกว่า
- และทีกรี๊ดกร๊าดกันถึงปัจจุบัน คือ median survival ยาวกว่า (11.6 เดือน vs 8.9 เดือน P=0.02) (ภาพที่ 1)

▶️ASCO guideline 2024 เองก็แนะนำให้ early palliative care (EPC) คือ ส่งปรึกษา interdisciplinary palliative care teams ภายใน 8-12 สัปดาห์หลังวินิจฉัย
EPC ดีแบบนี้ ก็ consult ยับดิ 555 งั้นมาต่อกันที่เปเปอร์ที่ 2 ในปี 2024
2️⃣Stepped Palliative Care for Patients With Advanced Lung Cancer: A Randomized Clinical Trial
(JAMA 2024;332;(6):471-481)
ภาคต่อจากเปเปอร์แรก คือ ทุกคนรู้ล่ะว่า EPC นั้นดี แต่ในทางปฏิบัติทรัพยากรมีจำกัดเลยทำจริงได้ยาก เลยมีคนออกแบบว่า ถ้าเราใช้ทรัพยากรลดลงแต่ผลลัพธ์ไม่ด้อยกว่า (noninferior) จะเป็นไปได้หรือเปล่า
การศึกษานี้เป็น เป็น randomized, non-blinded, multisite clinical trial 3 แห่ง
มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 507 คน เป็น metastasis lung cancer มีทั้ง non-small cell, small cell mesothelioma ที่ไม่มี curative treatment เพิ่งวินิจฉัยมาไม่เกิน 12 สัปดาห์ ECOG 0-2 แบ่งสองกลุ่ม
กลุ่มแรก Stepped palliative care (ทดลอง) จะได้รับการเยี่ยมครั้งแรกภายใน 4 สัปดาห์ จากนั้นจะมีเยี่ยมเพิ่มเติม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของการรักษา หรือ หลังการเข้าโรงพยาบาล, ผู้ป่วยกรอกแบบสอบถาม FACT L เพื่อประเมินคุณภาพชีวิตทุก 6 สัปดาห์ ถ้าคะแนน FACT-L ลดลง ≥ 10 คะแนนจาก baseline ก็จะถูก “step up” ไปพบหมอพาลิทุก 4 สัปดาห์ และมีทีม IPD ระหว่างแอดมิทดูแลต่อเนื่อง
กลุ่ม Early palliative care (ควบคุม) เจอพาลิทุก 4 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มต้น และมีทีม IPD ทุกครั้งเมื่อเข้าโรงพยาบาล ตลอดระยะเวลา 24 สัปดาห์
ผลลัพธ์สำคัญ ที่สัปดาห์ 24 พบว่ากลุ่มทดลอง ...
- คุณภาพชีวิต ไม่ด้อยกว่า
- จำนวนครั้งการเยี่ยม palliative care น้อยกว่าชัด ที่ 24 สัปดาห์ stepped 2.4 vs early 4.7 visits, ที่ 48 สัปดาห์ 3.8 vs 7.7 visits
- EoL preference discussion ไม่ด้อยกว่า
- การใช้บริการ hospice ใกล้เคียงกัน แต่กลุ่ม stepped อยู่สั้นกว่า (19.5 วัน vs 34.6 วัน)
- Depression (PHQ 9) การ coping ความเข้าใจ prognosis ไม่ต่างกัน
- มีภาพ visual abstract และผลการศึกษาที่สำคัญ (ภาพที่ 2 และ 3)
แม้ EPC รูปแบบใด ๆ จะดูดี ถึงอย่างนั้น ยังเป็นการมองที่โรคเป็นหลัก ย้อนกลับไปที่ปี 2022 คุณ David Hui และคณะได้เสนออีกโมเดลในเปเปอร์ที่ 3
3️⃣Timely Palliative Care: Personalizing the Process of Referral
(Cancers (Basel). 2022 Feb 18;14(4):1047.)
**ข้อควรระวังนิดนึงก่อน คือ palliative care มันมีหลายเลเวล ตั้งแต่สิ่งที่หมอทุกคนควรทำได้ (primary palliative care) ไปจนถึงทีมเฉพาะทาง (specialist palliative care) เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับ primary palliative care ยังจำกัด งานนี้เลยโฟกัสบนพื้นฐานของ timely specialist palliative care เป็นหลักค่ะ**
EPC จะคิดตาม disease trajectory เป็นส่วนใหญ่ เช่น คนไข้ ECOG ไม่เกิน 2 หรือเริ่มภายใน 2-3 เดือนหลังวินิจฉัย มักจะเป็นรูทีน แต่ Timely palliative care จะไม่มองที่โรค แต่จะมองที่ needs ของผู้ป่วย ว่าถึงเวลาที่ควรพบทีม palliative หรือยัง — ใน เวลาที่เหมาะสมที่สุด (optimal time) และใน สถานที่ที่เหมาะสมที่สุด (ส่วนใหญ่คือ ambulatory care)
มีหลักฐานสนับสนุนว่า timely referral ทำให้การส่งต่อเหมาะสมกว่า และเกิดขึ้นเร็วกว่า “การส่งตัวตามปกติ”เพราะจริง ๆ แล้ว palliative care เป็นเรื่องของการ “ป้องกัน” suffering เริ่มเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ถ้าเราเข้าไปในเวลาที่ “timely” จะมีเวลาแนะนำตัว แนะนำบริการ จัดการอาการ คุย ACP/serious illness conversation ตั้งแต่คนไข้ยังแข็งแรงพอที่จะร่วมวางแผน แถมมีเวลาสร้าง trust และ explore เรื่องราวในใจคนไข้ด้วย
ถ้างั้นสรุปว่า Timely palliative care คืออะไร
ก็คือ PC ที่เป็น personalized based ตาม needs ของผู้ป่วย และให้การดูแลใน optimal time และ setting โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ (ภาพที่ 4) คือ
1. Routine screening ที่ onco clinic เพื่อตรวจว่าใครเริ่มมี needs แล้ว
2. Establishment of institution-specific consensual criteria for referral ตัวอย่าง เช่น ใช้ international consensus หรือ NCCN referral criteria มาปรับ ผู้เขียนเน้นว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เป็นข้อตกลงภายในหน่วยงานกันเองอีกทีว่าจะใช้ cut-off อะไรดี โดยทั่วไป referral จะเกิดในช่วงประมาณ 6-18 เดือนก่อนเสียชีวิต (ภาพที่ 5)
3. A system to trigger referral เมื่อคนไข้เข้า criteria เช่น ESAS: ถ้าคะแนน ≥7/10 ใน ≥3 อาการ หรือมี severe physical symptom เด่น ๆ ก็ trigger referral
คำถามที่พบบ่อย คือ ถ้ามี AI กับ EMR แล้ว ใช้มันออโต้แทนคนได้เลยไหม?
คำตอบของผู้เขียน คือ “ช่วยได้แต่ห้าม replace” ยังไงก็ต้องใช้ clinician judgement เสมอ
4. Availability of outpatient palliative care resources เพื่อดูแลคนไข้ได้แบบ personalized และ timely จริง ๆ แล้วทำใน IPD ก็ได้แต่อาจจะช้าไป แต่ถ้าเริ่มจาก OPD ได้ก่อน มันจะลดการนอนโรงพยาบาล ลดความทุกข์ทั้งกาย-ใจที่ป้องกันได้ รวมถึงลดการรักษาที่ไม่จำเป็นไปด้วย
และสำหรับผู้อ่านที่ต้องกลับไป “เปลี่ยนระบบ” ในโรงพยาบาล ท้ายบทความนี้ยังมี tips สำหรับเริ่มต้นขายแนวคิดนี้
เขาแนะนำให้เริ่มจาก โครงการพัฒนาคุณภาพ (QI project) เล็ก ๆ เป็น “โครงการนำร่อง” แล้วเชิญให้คนในองค์กร โดยเฉพาะ “palliphilic oncologists” เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่แรก ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เค้าเขียนไว้ดีมาก แนะนำว่าไปอ่านในตัวเปเปอร์เลยค่ะ
Take-home message
Palliative care คือการป้องกันความทุกข์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เริ่มเร็วเท่าไหร่ ชีวิตที่เหลือก็ยิ่งดีเท่านั้น ไม่ว่าจะ Early (เริ่มเร็ว), Stepped (ใช้ทรัพยากรพอดี) หรือ Timely (ดูที่ needs ของผู้ป่วย) สิ่งที่เหมือนกัน คือ เริ่ม “ก่อนจะสายเกินไป” งานวิจัยชี้ว่าควรเริ่ม ภายใน 8–12 สัปดาห์หลังวินิจฉัยมะเร็งรักษาไม่หาย หรืออย่างช้าที่สุด 6–18 เดือนก่อนเสียชีวิต เพื่อให้มีเวลาพอสร้างความสัมพันธ์ ดูแลอาการ และคุยเรื่องสำคัญในชีวิต
#เพจป้าข้างบ้าน

ร่วมกันผลักดันให้เกิดสิทธิ์ลาไปบอกลากันค่ะ
14/06/2025

ร่วมกันผลักดันให้เกิดสิทธิ์ลาไปบอกลากันค่ะ

[ขอเชิญลงชื่อสนับสนุนสิทธิลาเพื่อดูแลในวาระสุดท้าย เสนอต่อคณะกรรมการการประกันสังคม]

ด้วยในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต การดูแลผู้ป่วยให้จากไปอย่างสงบและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยบุคคลใกล้ชิดเข้ามาอยู่และร่วมดูแลกับผู้ป่วยในช่วงเวลาดังกล่าว ร่วมทั้งมีเวลาเพียงพอที่จะ...

🌼ตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วย ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์
🌼บอกรัก กล่าวคำอำลาและอโหสิกรรม
🌼เผชิญหน้าและร่วมกันเยียวยาความเศร้าโศกของครอบครัว
🌼เตรียมการพิธีกรรมทางความเชื่อหรือศาสนาอย่างเหมาะสม

เครือข่ายผู้สนับสนุนการดูแลแบบประคับประคองจึงขอเสนอให้คณะกรรมการประกันสังคม พิจารณารับรองสิทธิลางานเพื่อดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกจ้าง โดยสามารถลาได้ 30–60 วันต่อปี พร้อมได้รับ เงินชดเชยในอัตราเต็มจำนวน เช่นเดียวกับสิทธิลาป่วยหรือลาคลอด ทั้งนี้ โดยไม่กระทบต่อสถานการณ์จ้างงานของลูกจ้าง

หากท่านเห็นด้วยกับข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด เราขอเชิญชวนให้ท่านร่วมลงชื่อสนับสนุนได้ที่ https://forms.gle/3skd8WESsBKQBmph7 หรือแสกน QR Code ในแบบฟอร์ม โดยอาจลงชื่อในนามบุคคลหรือนามองค์กรก็ได้

“สิทธิลาเพื่อดูแลด้วยหัวใจในวาระสุดท้าย” คือ สิทธิที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับ เพื่อให้การจากลาเป็นไปอย่างสงบ และเปิดโอกาสให้ความรักได้ทำหน้าที่ของมันจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต

เชิญชวนมาเรียนเพิ่ม เพื่อดูแลคนไข้ได้ลึกและรอบมากขึ้น สร้างทีมงานและระบบในพื้นที่ตนเองให้แข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ 😊
21/02/2025

เชิญชวนมาเรียนเพิ่ม เพื่อดูแลคนไข้ได้ลึกและรอบมากขึ้น สร้างทีมงานและระบบในพื้นที่ตนเองให้แข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ 😊

โค้งสุดท้าย!!!

ขอเชิญแพทย์ผู้สนใจอบรมต่อด้าน palliative care ในหลักสูตรประกาศนียบัตรฯ เวชศาสตร์ครอบครัวการบริบาลแบบประคับประคองประจำปีการฝึกอบรม 2568-2569 (หลักสูตร 1 ปี)

ปีนี้ เรามีที่ว่างเหลืออีก 2 ตำแหน่ง เชิญนะคะ เชิญมาเป็นทีมพาลิด้วยกัน
สามารถดูรายละเอียดเพื่มเติมได้ที่
https://www.rama.mahidol.ac.th/fammed/th/postgrad/palliative-care

หรือ โทร 02-201-1486

**หมายเหตุ **
คะแนนภาษาอังกฤษสามารถยื่นภายหลังได้

EP.50 Fentanyl Patch 101 in Palliative SettingFentanyl patch เป็นหนึ่งในยายอดนิยมที่ใช้ควบคุมอาการปวด รวมถึงอาการเหนื่อย...
12/02/2025

EP.50 Fentanyl Patch 101 in Palliative Setting
Fentanyl patch เป็นหนึ่งในยายอดนิยมที่ใช้ควบคุมอาการปวด รวมถึงอาการเหนื่อยในบางกรณี ของผู้ป่วยที่มีอาการคงที่ (stable symptom) แล้วเท่านั้น
ข้อดีที่สำคัญ คือ ไม่ต้องกลืนยา ระดับยาสม่ำเสมอ และอาจจะท้องผูกน้อยกว่ามอร์ฟีน
มักเลือกในกรณีที่ผู้ป่วยที่สะดวกกับวิธีนี้ หรือมีปัญหากลืนยาไม่ได้ อาเจียนมาก การดูดซึมยามีปัญหา เช่น malignant bowel obstruction

บทความนี้จะเน้นเรื่องการให้คำแนะนำกับผู้ป่วยและครอบครัว ไม่ครอบคลุมเรื่อง opioid conversion นะคะ ... ไปดูกันเลย

📍ข้อมูลพื้นฐานของยา
▫️Fentanyl แรงกว่ามอร์ฟีน 75-100 เท่าเมือเทียบกันในหน่วยมิลลิกรัม
▫️มีคุณสมบัติ lipophilic เวลาเข้าในพลาสมาแล้ว จะวิ่งไปบริเวณที่มี vascular compartment สูง หลังจากนั้นจะ redistribution ไปที่กล้ามเนื้อและ fat tissue อีกที
▫️Fentanyl patch ทำงานผ่าน passive effusion กระจายยาจากที่เข้มข้นมาก (แผ่นยา) ไปที่เข้มข้นน้อยกว่า (ผิวหนัง) หลังจากนั้นแพร่เข้า systemic circulation อีกที
▫️การดูดซึม: เริ่มมี minimal effect ที่ 12 ชั่วโมง, time to maximum concentration 36 ชั่วโมง, เข้าสู่ steady state 3-6 วัน
ยาประมาณครึ่งหนึ่งดูดซึมใน 24 ชั่วโมง, 88% ใน 48 ชั่วโมง และ 94% ใน 72 ชั่วโมง ดังนั้น ในกรณีทั่วไปเราจึงไม่ค่อย titration ยาแผ่นแปะกันก่อนจะครบ 2 cycles (คือ 6 วัน) ด้วยเหตุผลดังกล่าว
▫️การกำจัดยา: 50% ของยาจะลดลงใน 17 ชั่วโมง
▫️ยามี 5 ขนาด คือ 12, 25, 50, 75, 100 mcg/hr โดยแผ่น 12 จะปลดปล่อยยาจริง 12.5 mcg/hr แต่เขียนฉลากแบบนั้นเพื่อป้องกัน medication error เป็นขนาด 125 mcg/hr
📍 ใครที่ไม่ควรใช้แผ่นแปะ?
▫️มี 2 กรณีที่ทำให้ยามี plasma concentration น้อย คือ 1) ผอมมาก (BMI < 16) และ 2) Low albumin สองกลุ่มนี้คือไม่ควรใช้
▫️ปกติแล้ว 70% ของยาจะจับกับโปรตีน (ซึ่งส่วนมากคืออัลบูมิน)
ในคนที่ cachexia จะมี transcapillary leak ไปที่ subcutaneous และ muscle interstitial space ซึ่งจะเพิ่มสูงถึง 300% ใน cancer cachexia
--> interstitial albumin จับกับตัวยา ทำให้ plasma absorption ของตัวยาลดลง
▫️ดังนั้น สิ่งที่ตำราเน้นก็คือ เราจะไม่พยายามมองหา fat pad เพื่อที่จะพอแปะแผ่นยาได้ในคนไข้ผอม ๆ แต่คือตระหนักว่าเราควรเลี่ยงการใช้แผ่นแปะในคนไข้ที่มี cachectic และ hypoalbumin มากกว่าเพราะมีโอกาสจะไม่ได้ผลค่ะ
📍 การแนะนำผู้ป่วย
▫️หลังจากแปะแล้ว ยาจะออกฤทธิ์ภายใน 8-12 ชั่วโมง
▫️ระหว่างรอยาแผ่นแปะออกฤทธิ์ให้กินใช้ยาเดิมต่อไปก่อน เช่น แปะแผ่นยาเวลา 8:00 น. กว่ายาจะออกฤทธิ์ก็ 16:00 น. ระหว่างนี้ให้กินยาเดิมให้ครอบคลุมช่วงเวลาดังกล่าว เช่น เช่น MSS ที่เวลา 8:00 และ 12:00 น. ต่อไปก่อน
▫️อย่าลืมสั่ง breakthrough dose ตามที่คำนวณได้และยาระบายให้ผู้ป่วยเสมอ
▫️ปิดวัสดุกันน้ำ เขียนวันที่ที่แผ่นยาเสมอ ตัวแผ่นจะมีพื้นที่ให้เขียนอยู่แล้ว
อาจติดวัสดุกันย้ำทับแผ่นยา (ปรับตามบริบท)
▫️การเปลี่ยนแผ่นยาให้ทำทุก 72 ชั่วโมง มีผู้ป่วยราว 20% ที่อาจต้องเปลี่ยนแผ่นยาทุก 48 ชั่วโมง แต่จะไม่มีสั้นกว่านี้
▫️การเปลี่ยนแผ่นยาต้องดึงแผ่นเก่าออกก่อนแปะแผ่นใหม่ และ ไม่ติดซ้ำตำแหน่งเดิม ตำแหน่งเดิมพักอย่างน้อย 3 วัน
▫️หากลืมเปลี่ยนแผ่นยาตามเวลา ให้เปลี่ยนทันทีที่นึกได้

▫️ไม่นำยาออกจากบรรจุภัณฑ์จนกว่าจะใช้จริง
▫️ระวังแผ่นยาขาดตอนแกะ
ห้ามตัดแบ่งแผ่นยา เพราะจะทำให้การดูดซึมยาเปลี่ยนไป (เป็นอันตรายได้) ยกเว้นแพทย์พิจารณาเป็นรายกรณี ขยายความก็คือแผ่นยามี 2 ชนิด คือ 1) Reservior type เป็นแผ่นแปะยุคแรก มีพุงพักยาอยู่ในตัวแผ่น ห้ามตัด 2) Adhesive matrix patch เป็นชั้น ๆ เท่ากันเหมือนขนมชั้น แบบนี้อนุโลมพับ/ตัดได้ (แต่ไม่ทำย่อมดีกว่า) ดูภาพประกอบได้ในคอมเมนต์ค่ะ

▫️ตำแหน่งที่เหมาะสมในการแปะยา คือ หน้าอก ต้นแขน กลางหลัง เอว (flank) สำหรับเด็กน้อยหรือผู้ป่วยที่มี cognitive impairment แนะนำติดที่หลังด้านบนเพื่อป้องกันการเผลอเอาออก
▫️ลักษณะผิวหนังที่เหมาะสม ได้แก่ ผิวเรียบ แห้ง (ไม่มีเหงื่อ ไม่มัน) ไม่มีแผล ไม่เคยฉายแสง non-irritated ไม่มีแผลเป็น
▫️พยายามเลือกบริเวณไม่มีขนหรือขนน้อย แต่จำเป็นต้องใช้บริเวณที่มีขนมากให้ตัดเล็มด้วยกรรไกร ห้ามโกน
▫️การทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่แปะยา ให้ใช้น้ำเปล่า ไม่ต้องใช้สบู่ คลีนเซอร์ โลชั่น หรือสารอื่นมีน้ำมันหรือแอลกอฮอล์
▫️เวลาแปะแผ่นยา ให้กดหลังแปะแผ่นยาอย่างน้อย 30 วินาที และดูให้แน่ใจว่าแผ่นติดสมบูรณ์ โดยเฉพาะบริเวณขอบของแผ่นยา
▫️หากติดแผ่นแปะมากกว่า 1 แผ่น ในคราวเดียวกัน สามารถติดใกล้กันได้โดยต้องเว้นระยะไม่ให้ขอบแผ่นเกยกัน
หลังแปะแผ่นยาแล้ว ให้ล้างมือด้วยน้ำสะอาด ห้ามใช้สบู่หรือคลีนเซอร์
📍 ข้อควรระวัง การเก็บและกำจัดยา
▫️หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อนต่าง ๆ ในบริเวณที่แปะแผ่นยา เช่น การใช้แผ่นความร้อน ผ้าห่มไฟฟ้า การอาบน้ำอุ่น การใช้ลูกประคบ การเข้าซาวน่า การอาบแดด
▫️หากมีไข้สูง ให้ปรึกษาแพทย์หรือสังเกตอาการใกล้ชิด โดยพบว่าอุณหภูมิร่างกายที่มากกว่า 40 C เพิ่มการดูดซึมได้ถึงประมาณ 1/3
▫️ผู้ป่วยสามารถโดนน้ำ เช่น อาบน้ำ ว่ายน้ำ ได้แต่ต้องทำความสะอาดและเช็ดให้แห้งด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการถูตัวอาจทำให้แผ่นลอกหลุด
▫️แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการของยาเกินขนาด เช่น ซึมลง หายใจช้า สับสน
▫️แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น contact dermatitis และวิธีจัดการ
▫️ต้องเก็บยาให้ห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยง เคยมีเคสของต่างประเทศที่เด็กน้อยสัมผัสยาจน overdose ไปเลย ควรเน้นย้ำให้ผู้ป่วย/ผู้ดูแลเก็บยาในพื้นที่ที่มีการล็อคแน่นหนา
▫️ไม่ควรเก็บในที่อุณหภูมิสูง ชื้น/ในตู้เย็น โดนแสง
▫️ระวังแผ่นยาหลุดไปติดคนอื่น/ผู้ดูแลผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การกอด การเช็ดตัว การเปลี่ยนเสื้อผ้า
▫️หากแผ่นยาหลุดไปติดที่คนอื่น ให้รีบเอาออกทันทีและล้างน้ำ (และพบแพทย์)
▫️การทิ้ง: ให้ม้วนเอาด้านที่มียาเข้าด้านในและทิ้งลงถังขยะ/โถส้วม ข้อนี้เขียนไม่ค่อยตรงกันค่ะ บางแห่งบอกให้ลงโถส้วมแล้วกดน้ำทิ้งทันที อีกแห่งบอกไม่ให้ทำแบบนั้นให้ถึงลงถังเฉพาะ
ไม่มี take home message แล้วกันนะคะ จำหมดนี้แหละ อิอิ
#เพจป้าข้างบ้าน
เอกสารอ้างอิง
1. McPherson ML. Demystifying opioid conversion calculations: A guide for effective dosing. 2nd ed.2018.
2. Fentanyl transdermal (skin patch) [Internet]. Mayo Clinic; 2024 Nov 1 [cited 2025 Feb 12]. Available from: https://www.mayoclinic.org/drugs-supplements/fentanyl-transdermal-route/description/drg-20068152

EP.49 Update on Palliative Sedation from the EACP Guideline 2024 เป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้วที่ป้าเขียนเรื่อง palliative seda...
06/01/2025

EP.49 Update on Palliative Sedation from the EACP Guideline 2024
เป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้วที่ป้าเขียนเรื่อง palliative sedation ของเดิมเขียนไว้เมื่อปี พ.ศ.2563 ดูได้ที่นี่ค่ะว่าตัวเราตัดสินใจถูกหรือเปล่า https://tinyurl.com/2j8eawne
ในช่วงที่ผ่านมา The European Association for Palliative Care (EAPC) ก็ได้มีการสังคายนาไกด์ไลน์ครั้งใหญ่เหมือนกัน หลังจากปล่อยแนวทางครั้งแรกในปี 2009 และมีการทบทวนมาเรื่อย ๆ ล่าสุดถึงปี 2022 พบข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ความไม่ชัดเจนของคำจำกัดความของ refractory symptoms ขาดแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการลดระดับความรู้สึกแบบ proportional sedation ไม่ค่อยมีความยืดหยุ่นเรื่องการเลือกใช้ยา มุ่งเน้นเรื่อง continuous sedation มากเกินไป บางฉบับระบุว่าทำตอนท้าย ๆ (terminal stage) เท่านั้นซึ่งทำให้ยิ่งสับสนกับ euthanasia เป็นต้น
ในฉบับ 2024 นี้ระเบียบวิธีวิจัยเข้มงวดขึ้น รวมรวบผู้เชี่ยวชาญหลากหลาย รวมถึงผู้ป่วย นักเทววิทยา (theologist) นักจริยศาสตร์ นักกฎหมาย นักจิตวิทยาด้วย เค้าเคลมว่าถึงจะมาจากชาติในยุโรคเป็นหลักแต่คุณภาพดีพอที่จะใช้กับที่อื่นด้วย ซึ่งป้าอ่านแล้วก็เห็นด้วยตามนั้นค่ะ
ไกด์ไลน์นี้มีคำแนะนำถึง 42 ข้อ กับคำแนะนำเรื่องยาอีก 1 ตาราง วันนี้จะเอาจุดเด่น ๆ ที่จำเป็นมาฝากกัน สำหรับน้อง ๆ เฟลโล่แนะนำอ่านฉบับเต็มเพื่อความซาบซึ้งนะคะ
1. Palliative sedation เป็นการจัดการ refractory suffering โดยใช้ proportional use of medications เพื่อลดระดับในผู้ป่วยที่มีภาวะจำกัดชีวิต เป้าหมายเพื่อลดความทรมาน ไม่ใช่เร่งการเสียชีวิต จึงเป็นคนละเรื่องกับการช่วยยุติชีพโดยความช่วยเหลือของแพทย์ (physician-assisted dying: PAD หรือชื่อเดิม คือ euthanasia)
2. Refractory suffering คือ อาการหรือสภาวะ (จะมาเดี่ยว ๆ หรือมาเป็นชุดก็ได้) ที่ไม่มีวิธีการที่จะช่วยบรรเทาได้ใน “acceptable time frame” โดยปราศจาก “unacceptable adverse effects” ตัวอย่างเช่น ถ้าเหนื่อยมาก ใช้มอร์ฟีนขนาดสูงเหมือนจะตอบสนองแต่ผู้ป่วยมี myoclonus และ agitated delirium จนไม่สุขสบายแบบนี้ก็คือไม่โอเค
ทั้งนี้การจะสรุปว่าเป็น refractory ได้ ต้องเป็นการสรุปร่วมกันของคนที่มีความเชี่ยวชาญในการประเมินและจัดการอาการ ร่วมกับผู้ป่วยหรือผู้แทน อาการที่ refractory ในมุมมองของมือใหม่ เช่น น้องเดนท์ 1 ซึ่งเพิ่งหัดดูแลคนไข้ อาจจะเป็นอาการที่จัดการได้ง่ายสำหรับพี่เดนท์ 3 ก็ได้ ส่วนถ้าเป็น psychological symptoms และ existential distress ควรปรึกษาจิตแพทย์ร่วมประเมินเสมอ (ถ้าเป็นไปได้)
3. Indications มี 4 ข้อ
▫️1. มี refractory suffering
▫️2. มีภาวะฉุกเฉินในช่วงใกล้เสียชีวิต เช่น เลือดออก ชัก
▫️3. มีการถอดถอนการรักษาพยุงชีพซึ่งเล็งเห็นผลได้ว่าจะเกิด refractory suffering เช่น ถอดถอนเครื่องช่วยหายใจแล้วย่อมทราบว่าจะเหนื่อย
▫️4. เพื่อพักกายและใจชั่วคราว (temporary repite) เมื่อการรักษาที่ให้ไป ยังไม่สามารถเห็นผลได้ใน ณ ตอนนั้น ฟีลแบบยังแก้ปัญหาให้ไม่ได้งั้นปิดสวิตช์การรับรู้ก่อนแป๊บนึง
4. ใช้กับอาการ/ภาวะอะไรบ้าง ลิสต์ต่อไปนี้จะนำหน้าด้วยคำว่า "refractory…"
▫️ พบบ่อย: agitated delirium, dyspnea, seizuring
▫️ พบไม่บ่อย: pain
▫️ Very rare (controversy indication) ได้แก่ psychological symptoms และ existential distress เนื่องจาก อาการมัก dynamic มากและมีความเฉพาะตัวสูง และมีโอกาสที่จะเกิดการปรับตัว (adaptation) และ coping ได้ นอกจากนี้ การรักษาต่าง ๆ ทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยามีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อย (จึงเข้านิยาม unacceptable adverse effects ได้ยาก) และการปรากฏอาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวสะท้อนว่าสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีก ไม่เหมือนอาการทางกาย เช่น เหนื่อย ที่เราเห็นชัดว่าจะเหนื่อยขึ้นเรื่อย ๆ ชักต่อไปเรื่อย ๆ เลือดออกไปเรื่อย ๆ ดังนั้น ในกลุ่มนี้ถ้าจะทำ แนะนำ (light) respite sedation 24-48 ชั่วโมงเพื่อ break the cycle และต้องมีแผนว่าจะถอยลงให้ชัดเจน หลังจากนั้นคนไข้ตื่นมาว่ากันใหม่
5. คุณหมอต้องมีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษในการสื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัวว่า การทำสิ่งนี้ ผู้ป่วยจะเสียความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ไป เช่น การทำ legacy การสื่อสารกับคนสำคัญ การขอโทษ การรับรู้ถึงการให้อภัย การบอกรัก การบอกลา ถ้าไมใช่กรณีฉุกเฉิน แนะนำให้ตรวจสอบและทำสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วนก่อนเสมอ **โดยเฉพาะ final goodbye** เพื่อไม่ให้มีใครพลาดโอกาสอะไรไปและติดอยู่ในใจของคนที่ยังอยู่
6. ควรมีการพูดถึงเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของการคุย advance care planning และบันทึกใน advance directives / living will
7. ในการทำ sedation: ให้ทำแบบ "สั้น ๆ ตื้น ๆ" ก่อน และใช้ขนาดยาน้อยที่สุดที่สามารถบรรเทาอาการได้ดีที่สุด
Palliative sedation ในเชิงความลึก (depth of sedation) มีแบบตื้น (light) กลาง (intermediate) ลึก (deep)
▫️ตื้น คือ ตื่นเกือบตลอดแต่รู้สึกง่วง หรืออาจจะหลับตื้น ๆ ปลุกแล้วตื่นง่ายมาก ๆ
▫️กลาง คือ หลับแต่เรียกชื่อหรือสัมผัสเบา ๆ หรือเขย่าไหล่เบา ๆ แล้วตื่น
▫️ลึก คือ ไม่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น

ในเชิงเวลา มีชั่วคราว (temporary หรือ intermittent) กับทำยาวไปเลย (indefinite หรือ continuous)

จุดเน้นสำคัญ คือ ถ้าไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน แนะนำให้ใช้แบบตื้นก่อนเสมอ
ระดับที่ลึกกว่านั้น ใช้เมื่อ light sedation ไม่ได้ผล หรือ เห็นแน่ ๆ ว่าแบบตื้นไม่สามารถบรรเทาอาการได้ทันเวลา หรือ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น คนไข้ head and neck cancer ที่เลือดออกจาก carotid blowout หรือมี upper airway obstruction เกิด asphyxia ซึ่งมีเวลาสั้นมากแค่ไม่กี่นาที
ส่วนในแง่ระยะเวลา ให้ทำ continuous deep sedation เฉพาะเมื่อ intermittent sedation หรือ continuous light sedation ไม่ได้ผล

ส่วนการตัดสินใจเรื่อง hydration ขึ้นปัจจัยข้างต้นเป็นราย ๆ ไป ถ้าเป็นช่วงท้าย ชัดเจนว่าไม่ต้องให้เนื่องจากเป็น dying process อยู่แล้ว
8. การมอนิเตอร์
▫️การดูแลรูทีนอื่น ๆ ที่เคยได้ เช่น mouth care การประเมินและจัดการอาการอื่น ๆ ให้ทำตามปกติ ไม่ใช่รู้ตัวลดลงแล้วหย่อนมาตรฐานลง
▫️การมอนิเตอร์มากน้อยขึ้นกับระดับความลึก โดยอย่างน้อย ควรจะดูเรื่อง 1) level of sedation โดยใช้เครื่องมือ เช่น RASS-PAL 2) level of comfort/discomfort 3) airway patency
▫️การติดตามสัญญาณชีพและ SpO2 ทำตามปกติ (ถ้าช่วงท้ายก็ห่าง ๆ last hours ก็ห่าง ๆ ได้) โดยถ้า SpO2 อาจจะมีถอยลดบ้างแต่จะไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เราปรับระดับ sedation ให้ดูที่ความ comfort ของคนไข้เป็นสำคัญ
▫️กรณี light หรือ intermittent sedation ควรจะ preserve physiological stability ตามเหมาะสม
▫️กรณีที่ sedation ในช่วง final stage แล้วเป้าหมาย คือ เน้นความสุขสบาย ไม่ต้องมอนิเตอร์มาก เน้นเฉพาะที่สำคัญ (ส่วนตัวคิดว่าคล้ายเวลา last hours)
9. ยาที่ใช้
🔸Step 1 Midazolam
▫️Initial bolus: Light PS 2.5 mg SC หรือ 1.25 mg IV (ส่วนตัวว่าปัดกลม ๆ ก็ได้), Deep PS 5-10 mg SC หรือ 2.5-5 mg IV
▫️หลังจากนั้นให้ซ้ำได้ด้วยขนาดครึ่งหนึ่งทุก 20 นาที (SC) หรือ 5 นาที (IV)
อาจใช้ 2-3 โดสในชั่วโมงแรกที่ทำ
▫️Maintenance dose: 1 mg/hr (SC/IV) ปรับได้ทุก 1-2 ชั่วโมง ระหว่างนั้นมี bolus dose แทรกได้เรื่อย ๆ
▫️เนื่องจากยาย่อยผ่านตับ CYP3A4 ระวัง drug interaction
กลุ่มต่อไปนี้ให้ระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ อายุ > 60 ปี, severe CKD (ไม่ได้บอก eGFR ไว้), liver function disorder, serum albumin น้อยมาก ๆ, มีการใช้ยาอื่น ๆ ให้ใช้ initial dose เพียงครึ่งเดียว และถ่าง interval ออกเป็น 6-8 ชั่วโมงก่อนปรับเพิ่ม maintenance dose
▫️กรณีใช้ขนาดสูงกว่า 10 mg/hr แนะนำเพิ่มยาตัวที่ 2 หรือเปลี่ยนยา
▫️กรณีไม่มี Midazolam ยาทางเลือก คือ Lorazepam SC/IV แต่ประเทศเราไม่มี
▫️ใช้ Lorazepam SL หรือ Diazepam IV ได้ไหม ?
ถ้าเลือกได้ ทำเรื่องเอา Midazolam เข้าโรงพยาบาลเถอะค่ะ ยืมยาโรงพยาบาลจังหวัดไว้ก็ได้ แต่ก็มีบางคนให้อยู่เหมือนกันเพียงแต่ไม่อยู่ในไกด์ไลน์นี้ค่ะ
🔸Step 2 ใช้ร่วมกับ Midazolam
Levomepromazine หรือ Cholrpromazine
ถ้าใช้ร่วมแล้วยังไม่ได้ผลให้ off ทั้งสองตัว แล้วเปลี่ยนไปใช้ยาในขั้นต่อไป
🔸Step 3 Propofol (rare) อัญเชิญหมอดมยามาช่วยค่ะ
ขนาดเริ่มต้น 1 mg/kg/hr IV (แนะนำ central line หรือเส้นเลือดใหญ่ ๆ) เพิ่มครั้งละ 0.5 mg/kg/hr ทุก 30 นาที รายละเอียดการดูแลสายเยอะมากค่ะ ควรใช้ภายใต้คำแนะนำผู้เชี่ยวชาญ
❎ไม่ใช้ opioid ในการทำ sedation
10. ดูแลครอบครัวและทีมงานด้วยเสมอ
ต้องสื่อสารให้เคลียร์ถึงสถานการณ์ ข้อบ่งชี้ กระบวนการทำ และเน้นว่าการใช้ sedation เป็นไปเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น โดยไม่มีจุดประสงค์ที่จะเร่งการเสียชีวิต
มี bereavement support และเฝ้าระวัง staff distress ซึ่งทำได้ด้วยการคุยกับทั้งก่อนและหลังทำ
Take home message
Palliative sedation ทำได้ในภาวะ refractory suffering ทุกมิติสุขภาพ โดยต้องประเมินอย่างรอบคอบโดยคนที่มีประสบการณ์เสมอ และน้อยมากที่จะทำด้วยข้อบ่งชี้ทางจิตใจหรือจิตวิญญาณ ในการทำเลือกใช้ Midazolam และเน้นการ sedation ตื้น ใช้ยาน้อยที่สุดเท่าที่คุม suffering ได้เพียงพอ และอย่าลืมว่า การหลับครั้งนี้อาจจะไม่ตื่นอีกเลยจึงต้องสื่อสารให้ชัดเจนและให้ผู้ป่วยได้กล่าวอำลาให้เรียบร้อยนะคะ

ปีนี้ป้าย้ายหมู่บ้านแล้ว มีเด็ก ๆ เยอะขึ้น มีเด็กโข่งด้วย น่าจะได้เขียนบ่อยขึ้นแล้วค่ะ 😊
แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปนะคะ
#เพจป้าข้างบ้าน
เอกสารอ้างอิง
1. (หลัก) Surges SM, Brunsch H, Jaspers B, et al. Revised European Association for Palliative Care (EAPC) recommended framework on palliative sedation: An international Delphi study. Palliative Medicine. 2024;38(2):213-228. doi:10.1177/02692163231220225
2. (เสริม) Pallium Canada. The Pallium Palliative Pocketbook: a peer-reviewed, referenced resource. 2 ed. Ottawa2016.

Rerun อีกครั้ง ขณะนี้เพิ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามกลับมาเพียง 84 คนเท่านั้นเชิญชวนนะคะ ทำได้ทั้งคุณหมอคุณพยาบาลเลยค่ะขอบคุณค่า
25/11/2024

Rerun อีกครั้ง ขณะนี้เพิ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามกลับมาเพียง 84 คนเท่านั้น
เชิญชวนนะคะ ทำได้ทั้งคุณหมอคุณพยาบาลเลยค่ะ
ขอบคุณค่า

ป้ายังมีชีวิตอยู่นะคะ อีกไม่นานนี้จะกลับมาทำคอนเทนต์แล้วค่ะ แต่วันนี้ขอช่วยเด็กข้างบ้านก่อนนะคะ เชิญชวนทุกคนมาช่วยกันทำน...
22/08/2024

ป้ายังมีชีวิตอยู่นะคะ อีกไม่นานนี้จะกลับมาทำคอนเทนต์แล้วค่ะ
แต่วันนี้ขอช่วยเด็กข้างบ้านก่อนนะคะ เชิญชวนทุกคนมาช่วยกันทำนะคะ
ประชาสัมพันธ์งานวิจัยของ ทพญ.ญาสุมินทร์ วงศ์พันธุเศรษฐ์
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาทันตกรรมผู้สูงอายุ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขอเรียนเชิญ "แพทย์ หรือ พยาบาล" ผู้ที่มีส่วนร่วมในงานด้านการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care)
เข้าร่วมโครงการวิจัย เรื่อง “ประสบการณ์ของแพทย์และพยาบาลต่อปัญหาสุขภาพช่องปากในผู้ที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองและวิธีการจัดการปัญหาสุขภาพช่องปาก”โดยการทำแบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์
ผู้เข้าร่วมทำแบบสอบถามจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการสุ่มรับรางวัล ได้แก่ บัตรของขวัญโลตัส มูลค่า 300 บาท จำนวน 35 รางวัล
https://forms.office.com/r/cVhDcs3hP7
คลิกเลยค่ะ ! แป๊บเดียวเสร็จ นอกจากได้ช่วยกันสร้างองค์ความรู้แล้ว
ยังได้เห็นประเด็นการประเมินคนไข้ที่เราอาจจะละเลยไปแถม ๆ ด้วยนะคะ

ที่อยู่

Dusit

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ป้าข้างบ้านผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram