Green-L D-Tide ดูแลตับและไต

Green-L D-Tide ดูแลตับและไต ดีไทด์ เหมาะสำหรับไตวาย ไตเสื่อม ฟอ?

กรีนแอล Green-L อาหารเสริมบำรุงตับ

เหมาะสำหรับ
-ผู้ที่ทานยาบ่อย
-ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ
-ผู้ที่มีอาการตาเหลือง
-ผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับ
-ผู้ที่ผิวหมองคล้ำ
-ผู้ที่เคยทานกลูต้าไธโอน

ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 แคปซูล

- สารสกัดจากโรสฮิป (Rosehip Extract) 240 มก.
- อาร์ติโชค (Artichoke Powder) 200 มก.
- สารสกัดจากอัลฟาฟ่า (Alfalfa Extract) 125 มก.
- แอล-ซีสเตอีน (L-Cysteine HCL anhydrois) 95 มก. Inactive Ingredient
- Microcrystalline Cellulose (USP/FCCV) 159.987 มก.
- Titanium Dioxide (USP/FCC) 0.004 มก.
- Magnesium Stearate (USP/EU/FCC) 0.004 มก.
- Silicon Dioxide (USP/EU/FCC) 0.005 มก.

ขนาดบรรจุ : 1 กล่อง 3 แผง แผงละ 10 แคปซูล รวม 30 แคปซูล ราคา 1,765 บาท
เลขสารบบ อย. : 10-1-15456-1-0018
วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด ก่อนนอน

คำเตือน : อ่านคำเตือนในฉลากก่อนบริโภค ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค
-----------------------------------------------------------

กรีนแอล Green-L อาหารเสริมบำรุงตับ

เหมาะสำหรับ
-ผู้ที่ทานยาบ่อย
-ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ
-ผู้ที่มีอาการตาเหลือง
-ผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับ
-ผู้ที่ผิวหมองคล้ำ
-ผู้ที่เคยทานกลูต้าไธโอน

ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 แคปซูล

- สารสกัดจากโรสฮิป (Rosehip Extract) 240 มก.
- อาร์ติโชค (Artichoke Powder) 200 มก.
- สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) 180 มก.
- สารสกัดจากอัลฟาฟ่า (Alfalfa Extract) 125 มก.
- แอล-ซีสเตอีน (L-Cysteine HCL anhydrois) 95 มก. Inactive Ingredient
- Microcrystalline Cellulose (USP/FCCV) 159.987 มก.
- Titanium Dioxide (USP/FCC) 0.004 มก.
- Magnesium Stearate (USP/EU/FCC) 0.004 มก.
- Silicon Dioxide (USP/EU/FCC) 0.005 มก.

ขนาดบรรจุ : 1 กล่อง 3 แผง แผงละ 10 แคปซูล รวม 30 แคปซูล ราคา 1,765 บาท
เลขสารบบ อย. : 10-1-15456-1-0018
วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด ก่อนนอน

คำเตือน : อ่านคำเตือนในฉลากก่อนบริโภค ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรคื

🔰10 สัญญาณฟ้อง ร่างกายกำลังป่วยโดยปกติแล้ว ถ้ามีความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นจากภายใน ร่ายกายก็จะแสดงอาการบางอย่างออกมา...
10/01/2021

🔰10 สัญญาณฟ้อง ร่างกายกำลังป่วย

โดยปกติแล้ว ถ้ามีความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นจากภายใน ร่ายกายก็จะแสดงอาการบางอย่างออกมาเพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ตัวก่อนเสมอ ถึงแม้จะเป็นอาการที่ดูเหมือนจะไม่แปลกอะไรที่จะเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเกิดอาการเช่นนี้ซ้ำๆ ย่อมหมายถึงผลร้ายที่จะตามมาในไม่ช้า หากเรารู้ทันร่างกายและสามารถดูแลรักษาได้แต่เนิ่นๆ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องโรคร้ายที่จะถามหาอีกต่อไป กับ 10 สัญญาณ ที่กำลังฟ้องว่า ร่างกายกำลังป่วย เป็นอะไรอยู่กันนะ?

⭐สัญญาณฟ้อง ร่างกายกำลังป่วย

⚡️1. ไม่หิวเมื่อถึงเวลาอาหาร
โดยปกติแล้วคนเราจะเกิดอาการหิวเนื่องจากกระเพาะลำไส้จะหลั่งน้ำย่อยออกมาตามเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานอาหาร แต่หากในวันหนึ่งเราทานอาหารแค่ 1-2 มื้อก็อยู่ได้ หรือไม่รู้สึกหิวเลยทั้งวัน นั่นเป็นสัญญาณเตือนที่แสดงให้เห็นว่าระบบย่อยและดูดซึมอาหารของร่างกายกำลังมีปัญหา จึงไม่ผลิตน้ำย่อยออกมา ดังนั้นไม่ว่าเราจะทานอาหารดีๆเข้าไปแค่ไหน ร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้เลย เป็นเหตุทำให้ร่ายกายจะค่อยๆขาดสารอาหาร เสื่อมสภาพ ป่วยง่าย จนลุกลามไปถึงโรคร้ายอื่นๆในที่สุด

⚡️2. ไม่ว่าจะดื่มน้ำเท่าไหร่ก็ยังคอแห้ง
ต้นเหตุของอาการหิวน้ำตลอดเวลา เกิดจาก 2 ปัจจัยใหญ่ๆ อย่างแรกคือภายในร่างกายมีอาการร้อนใน จึงทำให้ในร่ายกายมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ไม่ว่าเราจะดื่มน้ำเข้าไปมากขนาดไหน ก็ยังรู้สึกคอแห้งเหมือนเดิมอยู่ดี กับสาเหตุที่ 2 คือ เลือดหมุนเวียนไม่ดี ทำให้การหมุนเวียนของน้ำในร่างกายมีปัญหาไปด้วย จึงทำให้เรารู้สึกหิวน้ำเวลาที่เลือดไปหล่อเลี้ยงบริเวณลำคอไม่เพียงพอนั่นเอง หากใครพบปัญหานี้ ควรงดน้ำเย็น น้ำแข็ง หรือไอศกรีม เลี่ยงการทานเนื้อไก่และเนื้อวัว ให้ทานเนื้อหมูแทน เพราะว่าถ้าอาการของเรามีสาเหตุมาจากอาการร้อนใน ของเหล่านี้จะยิ่งทำให้ร่างกายเกิดอาการร้อนในเพิ่มมากขึ้น

⚡️3. นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ
ไม่ว่าตอนกลางคืนจะนอนไปมากมายแค่ไหน แต่ก็มักจะง่วงตอนกลางวันด้วยตลอด อาการแบบนี้เกิดขึ้นจาก “พลังงานในร่างกายไม่เพียงพอ” มีสาเหตุอันเนื่องมาจากนิสัยการใช้ชิวิตแบบผิดๆ ทั้งเรื่องอาหารการกินและการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นเวลานาน หากปล่อยไว้ไม่รีบแก้ไข อาหารนี้จะส่งผลให้อวัยวะอื่นๆภายในร่างกายเสื่อมสภาพเร็วไปตามๆกัน ซึ่งวิธีแก้ไขก็ง่ายๆ เพียงแค่ทานเนื้อหมูและปลามากๆ เพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย นอนพักผ่อนให้ครบ 8 ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงอาหารเย็น เพราะจะทำลายพลังงานที่ร่างกายสะสมไว้

⚡️4. ลุกเข้าห้องน้ำกลางดึกเป็นประจำ
เพราะว่าร่างกายไม่สามารถดูดน้ำส่วนเกินกลับเข้าสู่ร่างกายได้มาก ทำให้ระหว่างตอนกลางคืนจะเกิดอาหารปวดปัสสาวะบ่อย ซึ่งอาการดังต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่าไตของเราเริ่มมีอาการไม่ค่อยแข็งแรง เพราะไตมีความเชื่อมโยงกับกระดูกภายในร่างกาย เมื่อไตไม่แข็งแรงแคลเซียมที่ควรจะถูกดูดกลบไปใชงานในร่างกายก็จะรั่วออกมาทางน้ำปัสสาวะมากเกินไป หากไม่ทำการรักษาจะส่งผลให้เป็นโรคกระดูกพรุน เข่าเสื่อม และหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมทับเส้นประสาท วิธีการบรรเทาคือการพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อมหเร่างกายมีโอกาสซ่อมแซมอวัยวะภายในไดอย่างมีประสิทธิภาพ

⚡️5.ปวดเมื่อตัวแบบเป็นๆหายๆ
อาการปวดเนื้อปวดตัวที่เกิดขึ้น เกิดจากระบบไหลเวียนโลหิตที่ทำงานผิดปกติ อาจจะเกิดจากสาเหตุเพราะเม็ดเลือดหรือน้ำเลือดน้อยเกินไป เลือดข้นหนืดมากเกินไป หรือมีสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย หากปล่อยไว้นาน จะส่งผลให้หลอดเลือดทั่วร่างกายเกิดอาการตีบตัน เป็นเหตุที่ทำให้เกิดโรคร่ายอื่นๆตามมา อย่างเช่นโรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน และมะเร็งตับตามมาได้ วิธีบรรเทาอาการเบื้องต้น สามารถทำได้โดยการทานเนื้อสัตว์ที่เป็นโปรตีนสะอาด เช่นเนื้อปลาและหมู ใช้เครื่องเทศที่มีฤทธิ์ร้อนเป็นเครื่องปรุง เพื่อให้เลือดหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น

⚡️6. ท้องผูก
เกิดจากลำไส้ไม่มีแรงบีบตัว เนื่องจากเลือดมาเลี้ยงลำไส้ใหญ่ได้ไม่เพียงพอ เวลาที่ท้องผูกบ่อยๆจะมีผลทำให้น้ำเหลืองและเลือดมีสารพิษตกคางเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาทางร่างกายตั้งแต่เรื่องเล็กๆอย่างสิว ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ หรือมะเร็งเต้านม ดังนั้นเราจึงควรขับถ่ายทุกวัน เพื่อขับสารพิษและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง

⚡️7. ชาตามปลายมือและปลายเท้า
ที่จริงแล้วอาการชาตามปลายมือและปลายเท้าไม่ได้เกิดขึ้นเพราะร่างกายขาดวิตามินบี อย่างที่เราเคยเข้าใจกัน แต่เพราะระบบไหลเวียนโลหิตที่มีปัญหา ถ้าเกิดอาการเช่นนี้บ่อยมากขึ้นโดยไม่ดูแลรักษาร่างกาย เมื่อเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองไม่พอเพียงพอ นานวันเข้าอาจจะทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ โดยไม่ทันตั้งตัว

⚡️8. มือสั่น
หลายๆคนเข้าใจว่าอาการมือสั่นน่าจะเกิดจากอายุที่มากขึ้น แต่ที่จริงแล้วอาการมือสั่นอาจจะมีสาเหตุมาจากไทรอยด์ที่เป็นพิษ จนเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระบบประสาทและสมองมีปัญหา จนเกิดอาการมือสั่น หากอาการเกิดจากทางระบบประสาท สามารถฟื้นคืนสภาพด้วยสมุนไพร ก็อาจจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดจากอาการของไทรอยด์เป็นพิษ หากรักษาด้วยสมุนไพรทางธรรมชาติควบคุมกับยาแผนปัจจุบันจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

⚡️9. แน่นหน้าอก
เกิดขึ้นจากเลือดไหลเวียนบริเวณหลอดเลือดหัวใจผิดปกติ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับไขมันที่อุดตันบริเวณแถวหลอดเลือดหัวใจ หากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน มีโอกาสทำให้เกิดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน และเกิดภาวะหัวใจวายกระทันหันในที่สุด แต่ว่าสามารถดูแลรักษาได้ ด้วยการลดอาหารมัน และกินยาสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง เพื่อล้างไขมันที่เกาะบริเวณหลอดเลือดออกให้หมด

⚡️10. หายใจไม่เต็มปอด
หลายคนที่เวลาหายใจแล้ว รู้สึกหายใจได้ไม่เต็มอิ่ม อาการนี้เกิดจากเลือดมาเลี้ยงหัวใจและปอดไม่เพียงพอ จึงทำให้อวัยวะทั้งสองทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ หากเข้าใจและดูแลปัญหาเรื่องเลือดได้อย่างถูกต้อง ก็ยังสามารถหายเป็นปกติได้ แต่หากปล่อยอาการทิ้งไว้ อาจจะทำให้เกิดปัญหาหัวใจโต อันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลันในที่สุด

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://mthai.com/

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

ลองฟังดูครับ เข้ากับยุคโควิด-19 เลยน้องคนนี้ได้อธิบายเรื่องของภูมิต้านทาน จากในเชิงวิชาการมาให้เข้าใจได้ง่าย ๆ... คงเป็น...
12/12/2020

ลองฟังดูครับ เข้ากับยุคโควิด-19 เลย

น้องคนนี้ได้อธิบายเรื่องของภูมิต้านทาน จากในเชิงวิชาการมาให้เข้าใจได้ง่าย ๆ... คงเป็นประโยชน์กับทุกท่านครับ กดลิงค์ด้านล่างจ้า

https://www.youtube.com/watch?v=clxTkVpeEjc&feature=youtu.be

🔰ไขมันเกาะตับ ลางบอกเหตุตับเป็นอวัยวะหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยในเรื่องของการควบคุมสมดุลพลังงานและสารพิษในร่างกาย ต้องคอบควบคุ...
05/12/2020

🔰ไขมันเกาะตับ ลางบอกเหตุ

ตับเป็นอวัยวะหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยในเรื่องของการควบคุมสมดุลพลังงานและสารพิษในร่างกาย ต้องคอบควบคุม น้ำตาล ไขมัน สารพิษ ตลอดเวลา กระบวนการเมตอบอลิซึ่มที่เกิดในนี้ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้ตลอด ดังนั้นมันจึงเป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีโอกาส "พัง" ได้ง่ายที่สุด

ไขมันพอกตับ เป็นอีก 1 โรคที่เรียกได้ว่า ฮอตฮิตติดลมบนขึ้นมาอย่างมากมายในช่วง 4-5 ปีให้หลังมานี้ (สังเกตดูสิคะ 10 ปีที่แล้ว โรคนี้ แทบไม่ปรากฎตามสื่อ นิตยสารอะไรใดๆ เลย) อันเนื่องมาจากการโต ของธุรกิจอาหาร ชาบู ปิ้งย่างเพิ่มเป็นดอกเห็ด ทำให้อายุขัยเฉลี่ยของคนเป็นโรคนี้ลดลงมาก เดี๋ยวนี้ 30 นิดๆ ก็เป็นโรคนี้ได้แล้ว ไม่ต้องรอแก่ตัว ดังนั้น เราจึงควรรู้จักโรคนี้ไว้ เป็นอย่างไรลองอ่านกัน

❤️1. โรคไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการมีไขมันสะสมเป็นจำนวนมาก แทรกซึมอยู่ในเซลของตับ

❤️2. ลักษณะของไขมันพอกตับเกิดได้จาก 2 กรณีคือ

2.1 ภาวะไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol-related Fatty Liver Disease) เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปจนทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และเกิดการสะสมของไขมันที่ตับ

2.2 ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease) เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง มีการเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเป็นไขมัน จนทำให้เกิดไขมันจำนวนมากสะสมอยู่ที่ตับ

❤️3. ลักษณะอาการบ่งชี้ในเบื้องต้น
- เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- รู้สึกไม่สบายท้อง
- น้ำหนักลดผิดปกติ ความอยากอาหารลดลง
- คลื่นไส้
- มึนงง ความสามารถในการตัดสินใจและสมาธิลดลง

นอกจากนี้ โรคไขมันพอกตับอาจทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น ตับโต เกิดอาการปวดที่บริเวณท้องด้านบนขวา หรือกลางท้อง และอาจพบรอยปื้นคล้ำที่ผิวหนังบริเวณ คอ หรือใต้รักแร้ อีกทั้งหากมีไขมันแทรกอยู่ในเซลล์ของตับมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดพิษในเซลล์ตับทำให้ตับอักเสบและเกิดพังผืดได้อีกด้วย

❤️4. ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น

การควบคุมภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ดี จะทำให้ตับอักเสบ โดยการอักเสบนี้จะทำให้เกิดพังผืดในตับ หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีและทันท่วงที ก็จะทำให้พังผืดขยายตัวมากขึ้นและลุกลามจนตับเสื่อมสภาพ กลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด นอกจากนี้ อาจมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้อีกเช่น

- มีของเหลวจำนวนมากในช่องท้อง หรือที่เรียกว่า อาการท้องมาน

- เส้นเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพอง (Esophageal Varices) จนอาจทำให้เกิดการแตกของเส้นเลือด และมีเลือดออกได้

- มีอาการมึนงง ง่วงเหงาหาวนอน พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง เนื่องจากโรคสมองจากตับ (Hepatic Encephalopathy) ซึ่งเป็นภาวะตับวาย และไม่สามารถกำจัดของเสียในร่างกาย เกิดการคั่งของของเสีย ส่งผลให้สมองทำงานไม่ปกติ

- ภาวะตับวายระยะสุดท้าย ส่งผลให้ตับหยุดการทำงานโดยสิ้นเชิง

- มะเร็งตับ เป็นอาการที่มักพบในผู้ป่วยโรคตับแข็ง

❤️5. การป้องกันภาวะไขมันพอกตับ

- พยายามรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ ไม่อ้วนมากจนเกินไป

- ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที เพื่อเพิ่มระดับการเผาผลาญการใช้พลังงาน

- รับประทานอาหารที่มีคุณภาพสูงเช่น อาหารไขมันต่ำ กากใยสูงๆ ผักผลไม้ ถั่ว ปลา ควบคุมแป้ง น้ำตาลและไขมัน

- ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่รับประทานยานอกจากที่แพทย์สั่ง เพื่อลดการทำงานของตับที่มากจนเกินไป

จะเห็นได้ว่า ภาวะไขมันพอกตับ เป็น 1 ในอาการของการที่เรามีระดับพลังงานมากเกินไปในร่างกายจนทำให้ พลังงานเหล่านั้นสะสมเป็นไขมันในตับ ซึ่งการที่ร่างกายของเรามาถึงในสภาวะเหล่านี้ได้ ลองนึกสิคะว่า ปริมาณไขมัน หรือน้ำตาลในกระแสเลือดของเราจะมีเยอะมากมายแค่ไหน

ซึ่งมันอาจจะเป็นลางบอกเหตุของการที่เราจะเป็นโรคหัวใจได้จริงไหม

ตรวจเลือดครั้งหน้า อย่าลืมให้หมอตรวจค่าตับ เพิ่มขึ้นด้วย เพื่อที่เราจะได้รู้ระดับความเสี่ยงว่า เรามีโอกาสที่จะเป็นไขมันพอกตับด้วยไหม จะได้รีบดูแลพฤติกรรมของตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ตับมีความสามารถในการฟื้นตัวได้ค่อนข้างสูง หากเราตรวจพบแต่แรกๆ แต่อย่าปล่อยให้ภาวะนี้ เป็นยาวนานไปจนถึงขั้น "ตับแข็ง" ขั้นนี้ "ทำใจ" อย่างเดียวค่ะ ทำอะไรไม่ได้แล้ว

ใส่ใจหัวใจ ใส่ใจตับ ดูแลร่างกายแบบองค์รวมจะทำให้ร่างกายของท่านแข็งแรงได้อย่างยาวนาน

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

🔰“เบาหวาน” อันตรายที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด!ทุกคนคงจะเคยได้ยินเรื่องโรคเบาหวานกันมาบ้าง หรือมีคนรู้จักที่เป็น แต่ทราบไหมคะ...
04/12/2020

🔰“เบาหวาน” อันตรายที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด!

ทุกคนคงจะเคยได้ยินเรื่องโรคเบาหวานกันมาบ้าง หรือมีคนรู้จักที่เป็น แต่ทราบไหมคะว่าโรคเบาหวานไม่จำเป็นต้องเกิดกับคนที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “อ้วน” เท่านั้น! คนที่มีรูปร่างผอมก็มีสิทธิ์เป็นโรคเบาหวานได้ ปัจจุบัน คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานมากถึง 4 ล้านคน และที่สำคัญคือ ครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นเบาหวาน ไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นเป็น!

⭐️ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน?

หลายคนเชื่อว่าโรคเบาหวานเป็นพันธุกรรม อันที่จริงก็มีความเป็นไปได้ส่วนหนึ่ง การที่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคเบาหวานถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน แต่ปัจจัยอื่นๆ ที่นำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ได้แก่ ภาวะน้ำหนักเกิน การรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ หรือขาดการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่หลายๆ คนก็ทำอยู่เป็นประจำ เรียกได้ว่าใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด...เรามาทำความรู้จักกับโรคเบาหวานมากขึ้นดีกว่า

⭐️เบาหวาน...เป็นอย่างไร

โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงผิดปกติ โดยมีสาเหตุจากการที่ตับอ่อนสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงผิดปกติ ซึ่งถ้าเป็นระยะเวลานานจะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

⭐️เบาหวานที่พบบ่อย มี 3 ชนิดหลัก คือ

❤️-เบาหวานชนิดที่ 1 หรือเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน เกิดจากเซลล์ของตับอ่อนที่ทำหน้าที่สร้างอินซูลิน ถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้มีปริมาณอินซูลินไม่เพียงพอ มักพบในเด็กทุกช่วงอายุ แต่ส่วนใหญ่มักพบในเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินทุกวัน
❤️-เบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน ซึ่งพบมากที่สุดถึง 90% ของผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากเซลล์ของร่างกายตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินลดลง เรียกว่าเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้อินซูลินนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้น้อยลง มักพบได้ในผู้ใหญ่ คนอ้วน และในปัจจุบันพบเบาหวานชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นในเด็ก
❤️-เบาหวานขณะตั้งครรภ์ นั่นคือเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขณะตั้งครรภ์โดยไม่เคยมีประวัติป่วยเป็นเบาหวานมาก่อน มักเกิดขึ้น 2-5% ของจำนวนหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่พบหลังการคลอดบุตรแล้ว ผู้หญิงที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีโอกาสเสี่ยงต่อการพัฒนาที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2

⭐️รู้ไหม? เบาหวานเป็นปัจจัยให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ตามมาอีกเพียบ!

โรคเบาหวาน ถือเป็นโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งยังเป็นปัจจัยของโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งมีผลร้ายแรงต่อชีวิต ไม่ว่าจะเป็นไตวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ เส้นประสาทเสื่อม ตาบอด หรือสูญเสียอวัยวะ

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://www.sanook.com/

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

🔰อย่าเฉย...เมื่อชา ภัยเงียบที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องระวัง"โรคชาปลายประสาทอักเสบ" เป็นอาการแทรกซ้อนที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องระ...
04/12/2020

🔰อย่าเฉย...เมื่อชา ภัยเงียบที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องระวัง

"โรคชาปลายประสาทอักเสบ" เป็นอาการแทรกซ้อนที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องระวัง มักจะพบในผู้สูงอายุ บุคคลทั่วไปที่ไม่เป็นเบาหวานก็พบได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสาเหตุจากการติดเชื้อ

ทั้งนี้ อาการที่เรียกว่า "ปลายประสาทอักเสบ" นั้น มีลักษณะเป็นระบบประสาทส่วนปลายทำงานผิดปกติ โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทส่วนปลาย เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นซึ่งรูปแบบการอักเสบที่ไม่เหมือนกับการอักเสบติดเชื้อ แต่เรามักเรียกรวมๆ ว่าปลายประสาทอักเสบ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักพบภาวะแทรกซ้อนตามระบบและอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย การตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาและวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรก ก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนเป็นเหตุให้การทำงานผิดปกติหรือสูญเสียอวัยวะไป

ที่น่าตกใจคือ ร้อยละ 15 ของผู้ป่วยเบาหวานมีประสบการณ์การเกิดแผลที่เท้า จำนวนนี้ร้อยละ 14-24 ต้องถูกตัดขา!

ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรสังเกตความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะ "เท้า" เพราะเมื่อเป็นเบาหวานมานาน จะทำให้หลอดเลือดส่วนปลายที่มาเลี้ยงขาและเท้าตีบ ร่วมกับมีการเสื่อมของเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้มีโอกาสเกิดแผลที่เท้าได้ง่าย เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณแผล และแผลอาจลุกลามและเรื้อรัง นำไปสู่การตัดขาในที่สุด

แม้ว่าโรคเบาหวานเป็นที่รู้จักและมีการพัฒนาการรักษามานานกว่า 90 ปี แต่ปัญหาผู้ป่วยเบาหวานกลับยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนขณะนี้ถือว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจุบันพบคนไทยป่วยเป็นเบาหวานสูงถึง 4 ล้านคน โดยมากอยู่ในช่วงอายุ 40-60 ปี

โรคเบาหวานที่พบบ่อยมี 2 กลุ่มคือ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเบต้าเซลล์ในส่วนของตับอ่อนซึ่งสร้างอินซูลิน ทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือสร้างได้น้อยมาก ดังที่เรียกว่า "โรคภูมิต้านทานตัวเอง" หรือ "ออโตอิมมูน" (autoimmune) จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตลอดไป

ชนิดที่ 2 เป็นเบาหวานที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงประกอบด้วยหลายปัจจัยมีส่วนที่เกี่ยวกับพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย อีกทั้งอายุที่เพิ่มขึ้น

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เบต้าเซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลิน แต่อินซูลินทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ต่อมาเซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆ ถูกทำลายไป อินซูลินลดน้อยลงจนอาจต้องฉีดอินซูลินเพื่อการรักษา

สำหรับอาการปลายประสาทอักเสบ มีทั้งที่เกิดจากการติดเชื้อที่กระทบถึงระบบปลายประสาท ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแรง ชา แต่ยังสามารถไปไหนมาไหนได้ ทำงานได้ หรือในผู้ป่วยที่เป็นรุนแรงจนถึงกล้ามเนื้อสำคัญๆ บริเวณแขน ขา อาจมีอาการอ่อนแรง บางรายอาจถึงขั้นต้องทำกายภาพบำบัด

กลุ่มที่ขาดวิตามิน เช่น วิตามินบี 1 บี 6 บี 12 และกลุ่มที่ 3 เป็นผลมาจากสารพิษต่างๆ เช่น พิษจากตะกั่ว โลหะหนัก สุรา ฯลฯ

❤️ถ้าโรคชาปลายประสาทอักเสบซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยต้องควบคุมระดับน้ำตาล และอาจต้องให้การรักษาอื่นร่วมด้วย

วิธีการรักษาวิธีแรกคือ การรักษาด้วยกลุ่มวิตามินบี ที่มีความจำเป็นต่อการบำรุงระบบประสาท ได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างสื่อประสาท และช่วยซ่อมแซมเส้นประสาท จึงส่งผลต่อการลดอาการชาปลายมือปลายเท้าได้

จากเอกสารตีพิมพ์เกี่ยวกับการศึกษาที่ทำในประเทศแถบเอเชีย ในปี 2556 มีการวิจัยในผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคชาปลายประสาทอักเสบร่วมด้วยจำนวน 310 คน ผู้ป่วยรับประทานวิตามินบี 1 บี 6 บี 12 พบว่า 87.4% มีการตอบสนองดีต่อการรักษา และยังมีงานตีพิมพ์ของการศึกษาอื่นในผู้ป่วย พบว่าการที่ร่างกายได้รับวิตามินบี 12 วันละ 1,500 ไมโครกรัม ต่อเนื่อง 24 สัปดาห์ สามารถช่วยรักษาอาการระบบประสาทอักเสบได้ เพราะวิตามินบี 12 มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเยื่อหุ้มประสาทและป้องกันการเสื่อมของเส้นประสาท

วิธีที่สอง การรักษาด้วยกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากในผู้ป่วยเบาหวาน พบการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายปริมาณสูงมาก (oxidative stress) ทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เร็วขึ้น จากการศึกษาพบว่าแม้ผู้ป่วยเบาหวานจะพยายามควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติแล้วก็ตาม แต่มากกว่า 20% ของผู้ป่วยก็ยังเกิดปัญหา ต่อมาจะทำให้ระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ ไต การย่อยอาหารผิดปกติ

การรับประทานผักผลไม้หลายหลากสีอย่างพอเพียงทุกวันสามารถป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเซลล์ และงดการสูบบุหรี่ถ้าสูบอยู่ การใช้สารต้านอนุมูลอิสระได้ผลไม่แน่นอนอาจช่วยป้องกันหรือลดภาวะอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://www.sanook.com/

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

🔰รางจืด ปลอดภัยใช้เป็นยาแก้พิษ ล้างพิษข้อมูลข่าวสารในโลก "ไลน์" แชร์กันให้ว่อน มีทั้ง "ชัวร์และมั่ว" และยังมีแบบแชร์เตือ...
04/12/2020

🔰รางจืด ปลอดภัยใช้เป็นยาแก้พิษ ล้างพิษ

ข้อมูลข่าวสารในโลก "ไลน์" แชร์กันให้ว่อน มีทั้ง "ชัวร์และมั่ว" และยังมีแบบแชร์เตือนภัยแต่ส่งอ่านแล้วเกิดอาการ "งงๆ" ทำให้คนสับสนก็มาก

มีคนแชร์จดหมายเวียนจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เรื่องไม่อนุญาตให้ใช้รางจืดเป็นอาหารหรือส่วนประกอบของอาหาร เนื่องจากมีผู้ประกอบการมีหนังสือหารือเกี่ยวกับการใช้ รางจืด (Thumbergia laurifolia Lindl.) เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิท

ทาง อย. ท่านก็ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค พิจารณาแล้วออกหนังสือแจ้งทุกจังหวัดว่า "รางจืดไม่มีประวัติการบริโภคเป็นอาหาร และจากข้อมูลงานวิจัยพบว่า การบริโภครางจืดต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความผิดปกติต่อระบบเลือด และทำให้ตับและไตทำงานผิดปกติ... ทั้งนี้ ปัจจุบันยังต้องการข้อมูลสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมเพื่อยืนยันความปลอดภัยของรางจืดในผลิตภัณฑ์อาหาร ดังนั้น จึงเห็นควรไม่อนุญาตให้ใช้รางจืดเป็นอาหารหรือส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหาร รวมทั้งเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร"

พอแพร่กระจายใน "ไลน์" ก็เกิดประเด็น "ตกใจ" และ "ไม่พอใจ" ผสมปนเปกัน

ขอเริ่มจากการไม่พอใจกันก่อน คือ บรรดาผู้ที่ส่งเสริมการใช้สมุนไพร และนักวิชาการที่เก็บข้อมูลในชุมชนพบว่า ชาวบ้านมีภูมิปัญญาในการกินรางจืดพร้อมอาหารมานานแล้ว เช่น ชาวภูไทจะนำดอกรางจืดมาใส่ในอาหารกิน และยังแนะนำว่าให้กินเพื่อช่วยดับพิษที่อาจเกิดจากพืชผักในอาหารหรือในสารปรุงอาหารอื่นๆ ที่ทำให้เกิดพิษ

ชาวบ้านในอีกหลายพื้นที่ก็นำรางจืดทั้งใบและดอกมา ผัด ทอด ยำ กินกันเอร็ดอร่อย พอทาง อย. แจ้งมาว่าไม่ให้ใช้รางจืดเป็นอาหารก็เกิดอาการ "ตกใจ"

มีนายแพทย์ที่สนับสนุนการใช้สมุนไพรเห็นข้อมูลในไลน์ ยังโทรศัพท์มาถามพรรคพวกที่ทำงานด้านสมุนไพร และคิดไปถึงจะงดจ่ายยารางจืดที่ปัจจุบันขึ้นทะเบียนในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติกันเลย จึงต้องแจกแจงไขข้อสงสัยให้กระจ่าง

ประมาณนี้

❤️1)คำว่า "อาหาร" ในความหมายชาวบ้านกับทาง อย. น่าจะไม่ตรงกัน ชาวบ้านเข้ากินเป็นอาหารก็มักกินกันตามฤดูกาล เช่น ตอนที่เก็บดอกได้ก็นำมากิน หรือไม่เช่นนั้นก็กินกันเป็นครั้งคราว ไม่ได้กินทุกมื้อทุกวัน แต่พอมีผู้ประกอบการคิดจะทำการตลาดขายสินค้าในสังคมอุตสาหกรรม ก็หวังยอดขายกินดื่มกันมากๆ บ่อยๆ และคงเพราะสรรพคุณ "โดนใจ" คนยุคที่เราต้องกินอาหารปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอยู่เสมอๆ หากมีเครื่องดื่มรางจืดสำเร็จรูปแบบชาเขียวก็อาจทำโฆษณาว่า ช่วยลดพิษ ล้างพิษ เป็นการกระตุ้นยอดขายได้นั่นเอง

สิ่งที่ทาง อย. เป็นห่วงและไม่อนุญาตให้ใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่จะกินกันตามแรงโฆษณานั้น น่าจะมาจากการศึกษาทางเภสัชวิทยา ในมุมพิษวิทยาพบว่าใบรางจืดมีการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน โดยป้อนให้หนูทดลองครั้งเดียว ทั้งขนาดปกติและขนาดสูง ไม่พบความผิดปกติใดๆ และทดลองป้อนติดต่อกัน 28 วันในขนาด 500 ม.ก.ต่อน้ำหนักตัว 1 ก.ก. ก็ไม่พบอาการผิดปกติเช่นกัน

แต่อาจทำให้น้ำหนัก ตับ ไต สูงกว่ากลุ่มควบคุม และมีค่าชีวเคมีที่เกี่ยวกับไตสูงขึ้น และผลกระทบกับตับบ้าง

จึงมีข้อแนะนำให้ใช้อย่างระมัดระวัง และไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ในเอกสารทางการหลายแห่ง แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องไม่เกิน 1 เดือน

การทดสอบพิษข้างต้นแสดงให้เห็นว่ารางจืดปลอดภัย กินขนาดมากๆ ก็ปลอดภัย แต่จะเริ่มเสี่ยงถ้ากินต่อเนื่องนาน ดังนั้น ถ้าผลิตเป็นอาหารและเครื่องดื่มในยุคส่งเสริมการขายกันเสรีเช่นนี้น่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีตามสรรพคุณแต่ดั้งเดิม

❤️2)รางจืดในมิติของยาสมุนไพร สรรพคุณเด่นเป็นที่ประจักษ์ชัดตั้งแต่การใช้ในภูมิปัญญาดั้งเดิมและการศึกษาวิจัยร่วมสมัย ทั้งวิจัยในสัตว์ทดลองและตรวจเลือดในมนุษย์ เช่น มีการศึกษาการใช้สารสกัดแห้งใบรางจืด แล้วป้อนให้หนูทดลองที่ได้รับยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์แกนโนฟอสเฟต พบว่าช่วยชีวิตหนูได้ถึง ร้อยละ 30 แต่กลุ่มหนูที่ไม่ได้รางจืดตายเรียบ และมีการศึกษาให้กินชาชงรางจืด ขนาด 4 กรัม วันละ 2 เวลา เช้า-เย็น กินต่อเนื่อง 21 วัน ทำให้สารยากำจัดศัตรูพืชที่อยู่ในเลือดกลับมาอยู่ในระดับปกติ

ดังนั้น หากเรายึดแนวทางการใช้รางจืดให้เป็นยา กินตามหลักเกณฑ์นี้มีความปลอดภัยแน่ คือ ถ้าเป็นยาชง รับประทานครั้งละ 2-3 กรัม ชงน้ำร้อนประมาณ 200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้งก่อนอาหารหรือกินแบบบรรจุแคปซูล รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัมถึง 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร แต่ไม่ว่าจะกินยาในรูปแบบไหน ถ้าทำตามภูมิปัญญาดั้งเดิมแนะนำให้กินเพียง 5-7 วัน หรือกินต่อเนื่องสัก 2 สัปดาห์ไม่เกิน 1 เดือน เมื่อพิษที่สะสมในร่างกายเบาบางก็เลิกกิน

ทุกวันนี้เรากินอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมีฆ่าแมลงมากมาย หากหน่วยงานรัฐยังจัดการปัญหานี้ไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งตนเอง ควรต้มชารางจืดกินเป็นยาสมุนไพรเดือนละ 3 วัน 7 วัน รางจืดปลอดภัยใช้เป็นยาแก้พิษล้างพิษได้ดี

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://www.sanook.com/

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

🔰"บอระเพ็ด"สยบความชรา กินมากตับพังจั่วหัวมาเช่นนี้ อย่าเพิ่งรีบไปหาบอระเพ็ดมาอม เพราะของดีทุกอย่าง ย่อมมีข้อยกเว้นบอระเพ...
03/12/2020

🔰"บอระเพ็ด"สยบความชรา กินมากตับพัง

จั่วหัวมาเช่นนี้ อย่าเพิ่งรีบไปหาบอระเพ็ดมาอม เพราะของดีทุกอย่าง ย่อมมีข้อยกเว้น

บอระเพ็ดมีรสขมเย็น ใช้แก้ไข้ทุกชนิด แก้ร้อนใน แก้พิษฝีดาษ ช่วยเจริญอาหาร บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคกระเพาะ บำรุงร่างกาย ลดน้ำตาลในเลือด และเป็นยาอายุวัฒนะ

นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ต้าน AChE ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อม ดังนั้น บอระเพ็ดจึงช่วยป้องกันความชราของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้

สรรพคุณที่น่าทึ่งอีกประการคือ การควบคุมเบาหวาน เช่นเดียวกับของ "ขม" หลายๆ ชนิดที่สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากบอระเพ็ดจะไปดูแลตับให้ทำหน้าที่ตามปกติ

ทั้งจากการทดลองในหนู พบว่าช่วยกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน

ในบรรดาสมุนไพรที่มีรสขมจัด อย่าง บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี ย่านาง หากรับประทานในปริมาณมาก ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความผิดปกติของตับได้

ที่สำคัญ หากใช้แล้วเกิดอาการมือเท้าเย็น แขนขาหมดเรี่ยวแรง ตาเหลือง ให้หยุดรับประทานทันที รวมทั้งผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับและไตผิดปกติ หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ไม่ควรใช้

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://www.sanook.com/

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

🔰หยุดกินอาหารเจเหล่านี้ ถ้าไม่อยากไตวาย-ความดันเลือดสูงช่วงเทศกาลกินเจเขาว่าเป็นช่วงล้างท้อง ดีท็อกซ์ร่างกายให้คลีน ให้ส...
03/12/2020

🔰หยุดกินอาหารเจเหล่านี้ ถ้าไม่อยากไตวาย-ความดันเลือดสูง

ช่วงเทศกาลกินเจเขาว่าเป็นช่วงล้างท้อง ดีท็อกซ์ร่างกายให้คลีน ให้สะอาดเอี่ยมจากการทานเนื้อสัตว์มานาน เหมือนใช้ผักล้างความคาวของเนื้อสัตว์อะไรแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเลือกกินอาหารเจที่มีนคลีน มันสะอาด และดีต่อสุขภาพจริงๆ ขอออกตัวเตือนสาวๆ หนุ่มๆ หรือคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเลยว่า ถ้ายังกินอาหารเจเหล่านี้ต่อไปอีกนานๆ ล่ะก็ มีหวังโรคภัยถามหาแน่นอน

อาหารทำร้ายร่างกายที่ว่า ก็คือ อาหารที่มีไขมัน และโซเดียมสูงนั่นเอง มันจะทำอะไรเราได้บ้างงั้นเหรอ? ไล่อ่านชื่อโรคแต่ละชื่อดูสิ
- กระดูกพรุน
- ไตวายเรื้อรัง
- โรคหัวใจ
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูง
- มะเร็งกระเพาะอาหาร
- หอบหืด
- นิ่วในถุงน้ำดี
- ฯลฯ

⭐️อาหารเจที่ควรหลีกเลี่ยง หรือลดการบริโภคให้ได้มากที่สุด มีอะไรบ้าง

- ผักกาดดอง และผักอื่นๆ ดอง ไม่ว่าจะดองเค็ม หรือดองหวาน
- กาน่าฉ่าย
- เต้าหู้ยี้
- ผงชูรส
- อาหารเจกระป๋องทั้งหลายแหล่
- ซาลาเปา ขนมปังปรุงรสต่าง และอาหารอื่นๆ ที่ใส่ผงฟู
- อาหารแปรรูปทุกอย่าง เช่น ไส้กรอกเจ แฮมเจ (ไม่เจก็มีโซเดียมเยอะ) ผลไม้อบแห้ง
- เครื่องปรุง และผงปรุงรสต่างๆ เช่น ซอสหอยนางรมเจ ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ซีอิ้ว
- มันฝรั่งทอดกรอบ และขนมกรุบกรอบบางชนิด
- บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
- สุดท้าย เกลือ

บางอย่างเลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่หากบางอย่างจำเป็นต้องทาน หรือต้องใส่ เพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหาร อย่างเช่น เครื่องปรุงรสต่างๆ ควรบริโภคแต่น้อย อย่าปรุงรสจัดเกินไป หรือเลือกเครื่องปรุงที่ระบุไว้ว่า “โซเดียมต่ำ” แทน

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://www.sanook.com/

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

🔰ชู"มะระขี้นก-มะขามป้อม" ปรับธาตุผู้ป่วยเบาหวานมะระขี้นก ซึ่งภูมิปัญญาไทยพบว่ามีสรรพคุณลดน้ำตาลได้ ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลสูง...
03/12/2020

🔰ชู"มะระขี้นก-มะขามป้อม" ปรับธาตุผู้ป่วยเบาหวาน

มะระขี้นก ซึ่งภูมิปัญญาไทยพบว่ามีสรรพคุณลดน้ำตาลได้ ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลสูงแต่ยังไม่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งในภาวะคนปกติก็สามารถกินได้ก่อนจะเป็นเบาหวาน

โดยกินไม่เกินวันละ 7-10 ผล คั้นน้ำกินหรือจะปรุงเป็นอาหารก็ได้ ขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานการกินอาจต้องระมัดระวัง และต้องเน้นกินเพื่อปรับธาตุ แต่หลักๆ ต้องไม่ขาดยาแพทย์แผนปัจจุบัน

โดยในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อกินสมุนไพรตัวนี้ไป จำเป็นต้องมีการตรวจค่าตับและไตในช่วง 3 เดือนแรก เพื่อประเมินค่าว่าลดลงหรือไม่อย่างไร

⭐️การกินมะระขี้นกมากๆ จะมีผลเสียต่อร่างกายหรือไม่
ในกลุ่มคนทั่วไปกินได้เรื่อยๆ ถ้าไม่เบื่อ แต่ถ้าจะกินเพื่อลดน้ำตาล หรือควบคุมน้ำตาลนั้น ต้องมีการตรวจค่าตับและค่าไตด้วย ซึ่งทางที่ดีการกินพวกนี้ต้องปรึกษาแพทย์ที่รักษา หรือหมอยาที่มีความรู้

⭐️นอกจากเมนูมะระขี้นก ยังมีเมนูอื่นๆ หรือไม่

ยังมีกาแฟผสมหญ้าหวาน เนื่องจากหญ้าหวานมักใช้แทนน้ำตาล แต่ความหวานไม่เทียบเท่าน้ำตาล จึงเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากนี้ ยังมีพวกลูกอมที่เป็นของกินเล่นสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน โดยได้นำขมิ้นชันและมะขามป้อมมากวนทำเป็นลูกอมและใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาล ซึ่งในทางการแพทย์แผนไทย ทั้งขมิ้นชัน มะขามป้อม และน้ำผึ้ง เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากโรคนี้ แพทย์แผนไทยบอกว่าเกิดจากร่างกายมีความร้อนมากเกินไป ทำให้ลมเพิ่ม ร่างกายขาดความสมดุล เมื่อร่างกายมีภาวะของธาตุลมมากเกิน ย่อมส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ดังนั้น ต้องกินสมุนไพรที่ปรับธาตุลมให้สมดุล โดยขมิ้นชัน มะขามป้อม จะช่วยปรับสภาพร่างกายได้ เพราะบำรุงสุขภาพ และลดภาวะลมเกิน

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://www.sanook.com/

🍀การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

🔰แจ้งเตือน!! ยาเสี่ยงทำให้เกิดท้องเสียรุนแรงและมีพิษต่อตับ พอดีช่วงนี้เกิดอาการปวดขา ปวดเข่าแต่ไม่มีเวลาไปหาหมอสักที เลย...
02/12/2020

🔰แจ้งเตือน!! ยาเสี่ยงทำให้เกิดท้องเสียรุนแรงและมีพิษต่อตับ

พอดีช่วงนี้เกิดอาการปวดขา ปวดเข่าแต่ไม่มีเวลาไปหาหมอสักที เลยนั่งหาข้อมูลเรื่องยาไปเรื่อยๆ แล้วก็มาเจอการแจ้งเตือนจากทาง อ.ย. เกี่ยวกับยา Diacerein หลังจากพบความเสี่ยงท้องเสียอย่างรุนแรงและความเป็นพิษต่อตับว่า ไม่ควรใช้ยาในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ไม่ควรใช้ยาในผู้ป่วยโรคตับหรือเคยมีประวัติเป็นโรคตับ และไม่แนะนำให้รักษาโรคข้อสะโพกเสื่อมที่มีการทำลายข้ออย่างรวดเร็ว ควรลดขนาดยาลงในผู้ที่มีภาวะไตบกพร่องอย่างรุนแรง และหากเกิดอาการท้องเสีย ให้หยุดยาและรีบไปพบแพทย์

ใครที่กำลังใช้ยาตัวนี้อยู่ หรือมีคนในครอบครัวใช้ควรระวังนะคะ ยิ่งถ้าใช้ในปริมาณมาก หรือใช้ติดต่อเป็นเวลานานอาจทำให้มีผลข้างเคียงได้ แนะนำให้ไปพบแพทย์และให้แพทย์จัดยาให้จะดีกว่า

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://www.sanook.com/

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

ความรู้เกี่ยวกับโรคไตครับ เป็น animation น่าสนใจมาก ลองคลิกศึกษาดูครับ
02/12/2020

ความรู้เกี่ยวกับโรคไตครับ เป็น animation น่าสนใจมาก ลองคลิกศึกษาดูครับ

รู้ทันโรคไตกับคิดดีStory of Kidney by "Sammaditthi"

🔰ผู้สูงอายุดื่มน้ำน้อย หวั่นเกิดภาวะขาดน้ำ อันตรายถึงขั้นหัวใจล้มเหลวผู้สูงอายุดื่มน้ำน้อยกว่า 8 แก้วต่อวัน หวั่นเกิดภาว...
02/12/2020

🔰ผู้สูงอายุดื่มน้ำน้อย หวั่นเกิดภาวะขาดน้ำ อันตรายถึงขั้นหัวใจล้มเหลว

ผู้สูงอายุดื่มน้ำน้อยกว่า 8 แก้วต่อวัน หวั่นเกิดภาวะขาดน้ำในช่วงหน้าร้อน อันตรายถึงขั้นหัวใจล้มเหลวและไตวาย วอนลูกหลานผู้ดูแลใส่ใจกระตุ้นให้ดื่มน้ำทุกชั่วโมง

จากการศึกษาโครงการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545-2564) ระยะที่ 2 (พ.ศ.2550-2554) พบว่า ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมดื่มน้ำสะอาดไม่น้อยกว่า 8 แก้วต่อวัน ทำเป็นประจำ ร้อยละ 51.6 ทำเป็นบางครั้ง ร้อยละ 40.4 และไม่ทำ ร้อยละ 8.0 ตามลำดับ

และจากรายงานการสำรวจสุขภาวะผู้สูงอายุไทย ปี 2556 ภายใต้แผนงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุและผู้พิการ พบว่า ผู้สูงอายุดื่มน้ำเป็นประจำ ร้อยละ 65 ดื่มเป็นบางครั้ง ร้อยละ 27 และไม่ดื่ม ร้อยละ 8 โดยเพศชายดื่มน้ำเป็นประจำ ร้อยละ 67 มากกว่าเพศหญิงที่ดื่มน้ำเป็นประจำ ร้อยละ 62 และในปีเดียวกันการสำรวจในเขตบริการสุขภาพที่ 5 จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสมุทรสงคราม พบว่า ผู้สูงอายุดื่มน้ำสะอาด ไม่น้อยกว่า 8 แก้วต่อวัน เป็นประจำ ร้อยละ 60.1 เป็นบางครั้ง ร้อยละ 32.6 และไม่ทำ ร้อยละ 7.3

โดยเพศหญิง ดื่มน้ำเป็นประจำ ร้อยละ 54.2 มากกว่าเพศชายที่ดื่มน้ำเป็นประจำ ร้อยละ45.8 แสดงให้เห็นว่า ผู้สูงอายุของไทยในภาพรวมของประเทศและส่วนภูมิภาคมีพฤติกรรมการดื่มน้ำในประมาณที่ถูกต้องเหมาะสมจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุทั้งหมดเท่านั้น

ในส่วนที่เหลือดื่มน้ำในประมาณที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะมีผลเสียหรืออันตรายต่อสุขภาพ อาจนำมาสู่ภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนนี้ที่อุณหภูมิสูงขึ้นจนบางครั้งมีอุณหภูมิใกล้เคียงหรือมากกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำเป็นอย่างมาก

อาการแสดงภาวะขาดน้ำในผู้สูงอายุคือ ชีพจรเร็วกว่า 120 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทำให้วิงเวียนศีรษะ เป็นลมง่าย หมดสติ มีภาวะสับสน เยื่อบุปากแห้ง ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลงมาก แต่มีปริมาณปัสสาวะปกติ เพราะไตไม่สามารถเก็บกักน้ำได้ในภาวะขาดน้ำ ทำให้ปริมาณปัสสาวะในระยะแรกของภาวะขาดน้ำไม่ลดลง จนกระทั่งเข้าสู่ระยะสุดท้ายทำให้หัวใจล้มเหลวและไตวาย ภาวะขาดน้ำในผู้สูงอายุจะมีอาการแสดงที่ไม่ชัดเจน แต่จะแสดงอาการชัดเจนเมื่อมีความรุนแรงแล้ว

ภาวะขาดน้ำในผู้สูงอายุมักพบได้ง่าย เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อที่ลดลงทำให้น้ำในร่างกายผู้สูงอายุลดลง การตอบสนองต่อความกระหายน้ำลดลงทำให้ไม่ ดื่มน้ำ ร่างกายจึงไม่ได้น้ำชดเชย ประกอบกับความเสื่อมของร่างกาย เช่น กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หกล้มง่าย ข้อเข่าเสื่อม ซึมเศร้า สมองเสื่อม ทำให้ไม่อยากดื่มน้ำ เนื่องจากสภาพจิตใจหรือมีความยากลำบากในการเข้าห้องน้ำ อาจต้องพึ่งพาผู้ดูแล หรือไม่มีผู้ดูแลคอยช่วยเหลือ หรือผู้ดูแลอาจจะไม่ได้จัดหาน้ำดื่มให้ จึงได้รับน้ำไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 40 เป็นโรคเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ซึ่งต้องได้รับยาขับปัสสาวะทำให้น้ำในร่างกายน้อยลง และปัญหาช่องปากทำให้ไม่อยากรับประทานอาหาร ปัญหาตาทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนจึงไม่อยากไปจัดหาน้ำดื่ม และที่สำคัญคือ ผู้สูงอายุที่มือสั่นหยิบจับหรือกำไม่ได้จะไม่สามารถดื่มน้ำได้ด้วยตนเอง ผู้ดูแลจึงควรจัดหาน้ำให้ท่านดื่มวันละ 8 แก้ว และกระตุ้นให้ดื่มทุกชั่วโมง โดยให้ดื่มเครื่องดื่มที่ชอบ จัดหาแก้วมีหูจับหรือสะดวกในการใช้ หรือให้ดูดจากหลอดโดยวางแก้วไว้บนโต๊ะข้างเตียง การกินยาและอาหารให้ดื่มน้ำ อย่างน้อย 1 แก้ว นอกจากนี้ผู้สูงอายุควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากพบโรคควรรับการรักษา อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ

❤️ขอขอบคุณเวบไซต์ https://www.sanook.com/

🌿การได้รับสารอาหารสำหรับร่างกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายคืนสมดุลได้อย่างง่ายดาย แล้วที่เหลือร่างกายจะปรับสภาพด้วยตัวของมันเอง

📞สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพ ที่ V-Shop โทร. 087-5882580

-Tide #กรีนแอล #ดีไทด์ #ไต #ปัสสาวะ #อนุมูลอิสระ #เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ปวดเอว #ปวดหลัง #ตับ #ล้างสารพิษ #ถุงน้ำดี #ไขมัน #ตาเหลือง #แอลกอฮอล์

ที่อยู่

Khlong Sam
12120

เบอร์โทรศัพท์

+66875882580

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Green-L D-Tide ดูแลตับและไตผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Green-L D-Tide ดูแลตับและไต:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram