TTIM ศูนย์แพทย์บูรณาการ ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โรงพยาบาลขอนแก่น

TTIM ศูนย์แพทย์บูรณาการ ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โรงพยาบาลขอนแก่น Thai Traditional Integrative Medicine (TTIM)

🌿ขอเชิญร่วมงาน มหากรรมแพทย์แผนไทย ประจำปี 2567 นะคะ💗
06/08/2024

🌿ขอเชิญร่วมงาน มหากรรมแพทย์แผนไทย ประจำปี 2567 นะคะ💗

ขอเชิญร่วมงาน มหกรรมแพทย์แผนไทย ประจำปี 2567

11/07/2024
09/07/2024

สมุนไพรสู้เบาหวาน | "ว่านหางจระเข้"

วุ้นของว่านหางจระเข้ มีเส้นใยอาหารมาก ช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ทำให้ไม่รู้สึกหิว อีกทั้งยังช่วยลดอาการท้องผูกได้ กากใยที่กินเข้าไปจะไปช่วยชะล้างไขมันที่สะสมอยู่ในลำไส้ ทำให้ลำไส้ใหญ่สะอาดขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัย พบว่า วุ้นสดจากว่านหางจระเข้ ช่วยลดการใช้ยาเบาหวานได้ โดยในว่านหางจระเข้มีสารโพลีแซคคาไรด์ ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

กลไกที่อาจมีส่วนช่วยในโรคเบาหวาน ได้แก่…
▪️เนื้อเยื่อไขมัน
กระตุ้นให้เซลล์ไขมัน นำน้ำตาลไปใช้มากขึ้น

▪️ตับอ่อน
ฟื้นฟูตับอ่อน เพิ่มการหลั่งอินซูลิน

▪️ตับ
เร่งการดึงน้ำตาลในเลือดไปใช้

▪️ต้านอนุมูลอิสระ

ขนาดการทาน แนะนำรับประทานเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ วันละ 15 กรัม ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด (สามารถปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ดื่มได้)

📔ข้อมูลจาก E-book รับมือกับเบาหวานด้วยสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย โดย กลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร สนใจสามารถดาวโหลดได้ที่ >> https://drive.google.com/file/d/1z6Ml9NroqLOjbRM4qNXxjOuOJ_2k5obL/view?usp=sharing

#สมุนไพรสู้เบาหวาน #ว่านหางจระเข้ #เบาหวาน #น้ำตาลในเลือดสูง #สมุนไพรอภัยภูเบศร #อภัยภูเบศร

สวัสดีปีใหม่ไทยค่า ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรงนะคะ💦
11/04/2024

สวัสดีปีใหม่ไทยค่า ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรงนะคะ💦

27/03/2024

มณีเวชศาสตร์แห่งการปรับสมดุลโครงสร้างร่างกายคลายอาการออฟฟิศซินโดรม
ข้อมูลโดย : กลุ่มงานวิชาการการนวดไทย สถาบันการแพทย์แผนไทย

20/03/2024

บอกกล่าวเล่าเรื่องสมุนไพร: “เพชรสังฆาต...เพชรฆาตปราบริดสีดวงทวาร”
ตาม Link นี้ไปเลยค่ะ https://medplant.mahidol.ac.th/document/hotnews.asp?id=144
ภาพโดยคุณพิชานันท์ ลีแก้ว เจ้าหน้าที่ของทางสำนักงานฯ ค่ะ
นอกจากนี้ ท่านยังสามารถอ่านบทความเกี่ยวกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ได้ตาม Link นี้ค่ะ
https://medplant.mahidol.ac.th/document/inews.asp
คำแนะนำ:
สำหรับท่านที่ไม่สามารถเปิดบทความทั้งหมดด้วยมือถือได้ คาดว่าเกิดจากระบบปฏิบัติการที่ไม่รองรับกับ pdf แนะนำให้ทำการ download แล้วเปิดด้วยแอพฯ สำหรับอ่าน pdf หรือเปิดด้วย PC นะคะ ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ

16/01/2024

วันนี้ว่าด้วยเรื่องของ “กระเทียมบ่มสกัดช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด”
ค้นหาภาพ infographic อื่น ๆ จากทางสำนักงานฯ ได้ตาม Link ด้านล่างค่ะ
http://www.medplant.mahidol.ac.th/infographics/
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ "กระเทียมบ่มสกัด" ได้ในจุลสารข้อมูลสมุนไพร ปีที่ 40(1)
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-354-4327
สนใจเป็นสมาชิกสามารถสมัครทาง online กันได้ตาม Link นี้เลยค่ะ
http://www.medplant.mahidol.ac.th/members/NewsletterForm.asp

15/01/2024

อาหารแก้ท้องผูก

กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้คนไทย
อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป รับประทานอาหารที่มีกากใย (fiber) อย่างน้อยวันละ 25 กรัม เนื่องจากอาหารที่มีกากใยสูง จะช่วยให้เกิดมวลอุจจาระ และ กระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวทำให้ขับถ่ายอุจจาระได้ดี

ร่วมกับดื่มน้ำให้เพียงพอ ( 2 ลิตรต่อวัน )

กากใยอาหารที่ละลายน้ำได้ (soluble fiber)
พบในผักและผลไม้เกือบทุกชนิด และพืชตระกูลถั่ว
ช่วยให้การถ่ายอุจจาระถี่ขึ้น จาก 2.9 ครั้ง เป็น 3.8 ครั้งต่อสัปดาห์ และยังช่วยให้อาการโดยรวม การเบ่งถ่าย อาการปวดจากการถ่ายดีขึ้น และอุจจาระนุ่มขึ้นด้วย

การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของลำาไส้ด้วยจุลินทรีย์บางชนิดพบว่าสามารถเพิ่มการบีบตัวและการเคลื่อนไหวของลำาไส้ได้

โพรไบโอติกส์สามารถลดระยะเวลาที่อาหารผ่านลำไส้ (gut transit time) ได้ประมาณ 12.4 ถึง 15 ชั่วโมง เพิ่มความถี่ในการขับถ่ายได้ประมาณ 0.83-1.3 ครั้งต่อสัปดาห์ในผู้ป่วยที่มีภาวะท้องผูกเรื้อรัง ทั้งนี้การศึกษาเกี่ยวกับโพรไบโอติกส์แต่ละการศึกษามีรายละเอียดปลีกย่อยที่มีผลต่อการศึกษาที่แตกต่างกัน หรือมีความต่างแบบ ค่อนข้างสูง

อาการท้องผูกมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเนือยนิ่ง ที่มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน และการออกกำลังกายที่น้อยกว่า 60 นาทีต่อวัน

การออกกำลังกายระดับปานกลางถึงมาก (moderate to vigorous exercise) แบบแอโรบิค ช่วยลดอาการท้องผูกได้

การศึกษาไปข้างหน้าแบบสุ่มในผู้ป่วยท้องผูกเรื้อรังเปรียบเทียบระหว่างการออกกาลังกายโดยการเดิน 60 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์นาน 12 สัปดาห์ ร่วมกับการปรับอาหาร เทียบกับการปรับอาหารอย่างเดียว พบว่าการออกกำลังกายควบคู่กับการปรับอาหารนั้นทำให้ความรุนแรงของอาการท้องผูก น้อยกว่ากลุ่มที่ปรับอาหารอย่างเดียว

การถ่ายอุจจาระเป็นกิจวัตร (toileting routine) อาจช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เช่น ช่วงเวลาหลังตื่นนอน / หลังออกกำลังกาย/ หลังรับประทานอาหารที่มีกากใย หรือกาแฟ และทุกครั้งที่มีความรู้สึกปวดท้องอยากถ่ายอุจจาระ (urge) โดยพบว่าการถ่ายอุจจาระเป็นกิจวัตรและการใส่ใจ (awareness) ต่อความรู้สึกปวดท้องอยากถ่ายอุจจาระเป็นปัจจัยเสริมร่วมกับ gastro-colic reflex และการบีบตัวอย่างแรงของลำไส้ใหญ่ที่นำไปสู่การถ่ายอุจจาระ มักเกิดขึ้นหลังอาหารและหลังตื่นนอน

ที่มา : แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยท้องผูกเรื้อรังในประเทศไทย พ.ศ. 2564 (Thailand Chronic Constipation Guideline 2021)

นอกจากนี้ควรลดการบริโภคอาหารที่อาจทำให้ท้องผูก ซึ่งต้องสังเกตเฉพาะบุคคล หรือขึ้นกับปริมาณที่กิน
เช่น ชา เนื้อสัตว์ ไข่ อาหารแปรรูป อาหารแช่แข็ง อาหารที่ให้เส้นใยต่ำ เช่น ขนมกรุบกรอบ น้ำหวาน ช็อคโกแลต ขนมปังขัดขาว แอลกอฮอล์ ของทอด

ยาบางชนิดอาจทำให้ท้องผูก ควรปรึกษา เพื่อปรับยา หากสงสัย หรือบางชนิดใช้ตามความจำเป็น
เช่น
ยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเซด ยาแก้ปวดทรามาดอล ยามอร์ฟีน ยาลดกรด เช่น โอเมพราโซล แคลเซียม ธาตุเหล็ก

09/01/2024

“มะขามป้อม” กับการลดผลกระทบ pm 2.5 ที่มีต่อระบบทางเดินหายใจ

PM2.5 หรือ Particulate matter with diameter of less than 2.5 micron เป็นฝุ่นขนาดเล็กที่ประกอบด้วยก๊าซพิษและโลหะหนักที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน เกิดจากการเผาไหม้จากยานพาหนะ โรงงานไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงควันพิษจากการสูบบุหรี่ เนื่องจากฝุ่นเหล่านี้มีอนุภาคที่เล็กมาก ดังนั้นจึงสามารถหลุดจากการกรองของขนจมูกเข้าสู่ถุงลมปอด และจะถูกดูดซึมจากเส้นเลือดฝอยรอบถุงลมปอดเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งทําให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน และสามารถทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะต่างๆ และภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) อันนำไปสู่การเกิดอาการแสบตา แสบจมูก เจ็บคอ ไม่สบาย ไอและมีเสมหะ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ภูมิแพ้ มีอาการเลวลง [1]

¬จากรายงานข้อมูลสถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) พบว่าในปี 2566 ค่าฝุ่น PM2.5 สูงกว่าปีที่ผ่านมา [2] ในขณะที่ผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาว ทำให้ภูมิคุ้มกันไม่ดีอาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้ ดังนั้นอาหารที่เรากินทุกวันเพื่อมุ่งหวังให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ดี ลดการอักเสบ ลดการเกิดอนุมูลอิสระน่าจะมีประโยชน์

มะขามป้อมมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus emblica L. และมีชื่อพ้อง Emblica officinalis อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae มีชื่อสามัญ ได้แก่ Indian gooseberry และ Amla หมอยาพื้นบ้านเชื่อว่ามะขามป้อมเป็นยาละลายเสมหะและบำรุงเสียงได้ดีที่สุดในด้านอายุระเวทใช้แก้ไอ แก้หอบ รักษาหลอดลมอักเสบ [3]

มะขามป้อมมีองค์ประกอบทางเคมีในพืชที่มีประโยชน์หลายประการ ได้แก่ สารประกอบแทนนิน (tannins), อัลคาลอยด์ (alkaloids), สารประกอบฟีนอล (phenolic compounds), กรดอะมิโน (amino acids), วิตามิน (vitamin) และแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งสารประกอบแทนนินที่มีนั้นเป็นส่วนทำให้มะขามป้อมมีรสชาติฝาด ส่วนสารประกอบฟีนอลก็ทำให้มีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ นอกจากนี้มะขามป้อมยังอุดมไปด้วยวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก โดยมีมากกว่าผลไม้จำพวกส้มและมะนาวอีกด้วย [4,5] มะขามป้อมจึงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ฤทธิ์ต้านอักเสบ ลดไขมันในเลือด และต้านมะเร็งปอด โดยมีการศึกษาในหนูที่ได้รับก๊าซ SO2 เป็นเวลา 30 วัน และ 60 วัน เมื่อได้รับสารสกัดของมะขามป้อมขนาด 200 mg/kg จะช่วยปรับแร่ธาตุในร่างกายให้สมดุลหลังได้รับผลกระทบจากก๊าซพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ กลุ่มที่ได้รับสารสกัดมะขามป้อมมีระดับโพแทสเซียม คลอไรด์ ไบคาร์บอเนต และโซเดียมในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม การรับประทานมะขามป้อมจึงช่วยลดผลกระทบจากก๊าซพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์อันเป็นแหล่งกำเนิดของ PM 2.5 ได้ [6]

จากการศึกษาสารสกัดจากมะขามป้อมในเซลล์ไขกระดูกของหนู เมื่อเปรียบเทียบกับกรดแอสคอร์บิกสังเคราะห์ในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน โดยให้หนูรับประทานสารสกัดของมะขามป้อมหรือกรดแอสคอร์บิกสังเคราะห์ เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันก่อนที่จะให้หนูได้รับการฉีดตะกั่ว (Pb) และอะลูมิเนียม (Al) เข้าช่องท้องพบว่า การได้รับสารสกัดของมะขามป้อมหรือกรดแอสคอร์บิกสังเคราะห์สามารถลดความถี่ของการเกิด sister chromatid exchanges (SCEs) ที่เกิดจากโลหะทั้งสองได้ ซึ่งสารสกัดของมะขามป้อมให้ผลการป้องกันที่ดีกว่ากรดแอสคอร์บิกสังเคราะห์ในการลดความเป็นพิษต่อพันธุกรรมที่เกิดจากโลหะหนักทั้งสอง โดยเฉพาะกับตะกั่ว***ที่สารสกัดของมะขามป้อมให้ผลการป้องกันดีกว่ากรดแอสคอร์บิกสังเคราะห์อย่างมีนัยสำคัญ อาจเกิดจากการเสริมฤทธิ์กันของกรดแอสคอร์บิกกับส่วนประกอบจากธรรมชาติอื่น ๆ ที่มีอยู่ในสารสกัดของมะขามป้อม [7] ดังนั้นสารสกัดของมะขามป้อมจึงสามารถช่วยลดผลกระทบจากพิษในสิ่งแวดล้อมได้

สารต้านอนุมูลอิสระของมะขามป้อมยังเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงสารต้านอนุมูลอิสระในมนุษย์ โดยมีการศึกษาทางคลินิกในผู้สูบบุหรี่พบว่าระดับ peroxidation ลดลงอย่างมีนัยสําคัญและสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดของมะขามป้อม 250 มก. วันละสองครั้ง เป็นเวลา 60 วัน [8] และยังมีการศึกษาในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็น metabolic syndrome พบว่าการรับประทานสารสกัดของมะขามป้อม 250 หรือ 500 มก. วันละสองครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยลดระดับไขมัน และ peroxidation และกระตุ้นระดับ GSH แสดงถึงการปรับปรุงการทำงานของเซลล์บุผนังหลอดเลือด ความเครียดจากปฏิกิริยา oxidation การอักเสบทั่วร่างกาย และระดับไขมันอย่างมีนัยสำคัญ [9] ในขณะเดียวกันมีการศึกษาการรับประทานสารสกัดของมะขามป้อม 125 มก. ในคนที่มีสุขภาพดีพบว่ามีผลต่อสารต้านอนุมูลอิสระอย่างไม่มีนัยสำคัญ [10]

การศึกษาข้างต้นบ่งชี้ว่าสารพฤกษเคมีในมะขามป้อมสามารถออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยการจํากัดการสร้างผลิตภัณฑ์ oxidation เพิ่มสถานะของสารต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นระบบป้องกันสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย โดยเฉพาะในการศึกษาทางคลินิกที่มีแนวโน้มว่าสามารถป้องกันการเกิด oxidation ที่เกิดจากวิถีชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ หรือการจัดการโรค เช่น metabolic syndrome

นอกจากนี้ สาร polyphenols ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในมะขามป้อมยังสามารถออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ ได้นอกเหนือจากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น มีฤทธิ์ป้องกันโรคหัวใจ ลดการอักเสบ ลดระดับน้ำตาลในเลือด และต้านมะเร็ง โดยมีการศึกษาฤทธิ์ต้านมะเร็งของมะขามป้อมพบว่าสามารถเพิ่มการทำงานของ natural killer cell และ antibody dependent cellular cytotoxicity (ADCC) ทำให้หนูมีอายุยาวขึ้น 35% [11] ช่วยต้านฤทธิ์การทำลายเซลล์จาก chromium (VI) ทำให้อนุมูลอิสระลดลง และเพิ่มการรอดชีวิตของเซลล์ ยับยั้งฤทธิ์การกดภูมิคุ้มกันของ chromium (VI) ทำให้การเกิด phagocytosis และการสร้าง gamma-IFN กลับสู่ภาวะปกติ [12]

และมีการศึกษาที่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติต้านมะเร็งของมะขามป้อมพบว่า Pyrogallol ซึ่งเป็นส่วนประกอบของสารสกัดของมะขามป้อม ทำให้เกิดการหยุดวัฏจักรของเซลล์ในระยะ G2/M ยับยั้งการแพร่กระจาย และทำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง lung adenocarcinoma (H441) และ squamous cell (H520) ของมนุษย์ (H441) [13] รวมถึงสารกัดมะขามป้อมยังป้องกันรอยโรคในปอดก่อนมะเร็ง โดยวิถีการส่งสัญญาณ IL-1β /miR-101/Lin28B [14] ดังนั้นจึงสามารถนำสารกัดมะขามป้อมมาใช้ในการควบคุมรอยโรคจากการอักเสบในปอดที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้

การรับประทานมะขามป้อมที่เป็นผลแก่จัดจะมีรสขม อมเปรี้ยว อมฝาด เมื่อกินแล้วจะรู้สึกชุ่มคอ ใช้สำหรับช่วยละลายเสมหะ กระตุ้นให้เกิดน้ำลาย จึงช่วยแก้การกระหายน้ำได้ดีและสามารถใช้ผลแห้งประมาณ 6-10 กรัม หรือผลสดประมาณ 10 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม หรือคั้นเอาน้ำสำหรับดื่ม [3]

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มะขามป้อมชนิดชาชงที่สามารถใช้ครั้งละ 1 ซอง ชงกับน้ำร้อนประมาณ 120 - 200 มิลลิลิตร ดื่มหลังอาหาร วันละ 3 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการไอ เสียงแหบ แสบคอ และใช้สำหรับบำรุงสุขภาพ เพื่อต้านอนุมูลอิสระจากมลภาวะ ละลายเสมหะ และแก้การกระหายน้ำด้วย [15]

บทความโดย
นักศึกษาเภสัชศาสตร์ ชั้นปี 6
วลัยภรณ์ จันทร์ทรัพย์กา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

เอกสารอ้างอิง
1. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. ผลกระทบของวิกฤตฝุ่น “PM2.5” และแนวทางการมีกิจกรรม
ทางกายที่ปลอดภัย [อินเทอร์เน็ต]. 2566 [สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2566]. เข้าถึงจาก https://tpak.or.th/en/article/669
2. กรมควบคุมมลพิษ. ข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศ [อินเทอร์เน็ต]. 2566 [สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2566]. เข้าถึงจาก
http://air4thai.pcd.go.th/webV2/aqi_info.php.
3. สุภาภรณ์ ปิติพร. สมุนไพรอภัยภูเบศรสืบสานภูมิปัญญาไทย. กรุงเทพมหานคร: ปรมัตถ์การพิมพ์; 2547:64-5.
4. Khan K. H. Roles of Emblica officinalis in Medicine - A Review. Bot. Res. Intl. 2009;2(4):218-28.
5. Dasaroju S., Gottumukkala K. M. Current Trends in the Research of Emblica officinalis (Amla): A
Pharmacological Perspective. Int. J. Pharm. Sci. Rev. Res. 2014;24(2):150-9.
6. Yadav M. Role of Emblica officinalis in mitigating the sulphur dioxide induced toxicity in rattus
norvegicus (berkenhout). Int J Pharm Sci Res 2017; 8(9): 3899-03.
7. Dhir H, Roy AK, Sharma A. Relative efficiency of Phyllanthus emblica fruit extract and ascorbic
acid in modifying lead and aluminium-induced sister-chromatid exchanges in mouse bone marrow. Environ Mol Mutagen. 1993;21(3):229-36.
8. Biswas TK, Chakrabarti S, Pandit S, Jana U, Dey SK. Pilot study evaluating the use of Emblica
officinalis standardized fruit extract in cardio-respiratory improvement and antioxidant status of volunteers with smoking history. J Herb Med. 2014;4(4):188–94.
9. Usharani P, Merugu PL, Nutalapati C. Evaluation of the effects of a standardized aqueous extract
of Phyllanthus emblica fruits on endothelial dysfunction, oxidative stress, systemic inflammation and lipid profile in subjects with metabolic syndrome: a randomised, double blind, placebo controlled clinical study. BMC Complement Altern Med. 2019;19(1):97.
10. Kapoor MP, Suzuki K, Derek T, Ozeki M, Okubo T. Clinical evaluation of Emblica Officinalis Gatertn
(Amla) in healthy human subjects: Health benefits and safety results from a randomized, double-blind, crossover placebo-controlled study. Contemp Clin Trials Commun. 2019;17:100499.
11. Suresh K, Vasudevan DM. Augmentation of murine natural killer cell and antibody dependent
cellular cytotoxicity activities by Phyllanthus emblica, a new immunomodulator. J Ethnopharmacol 1994;44(1):55-60.
12. Sai Ram M, Neetu D, Deepti P, Vandana M, Ilavazhagan G, Kumar D, Selvamurthy W.
Cytoprotective activity of Amla (Emblica officinalis) against chromium (VI) induced oxidative injury in murine macrophages. Phytother Res. 2003 ; 17(4): 430-3.
13. Yang CJ, Wang CS, Hung JY, et al. Pyrogallol induces G2-M arrest in human lung cancer cells and
inhibits tumor growth in an animal model. Lung Cancer. 2009 Nov;66(2):162-8.

14. Wang CC, Yuan JR, Wang CF, et al. Anti-inflammatory Effects of Phyllanthus emblica L on
Benzopyrene-Induced Precancerous Lung Lesion by Regulating the IL-1β/miR-101/Lin28B Signaling Pathway. Integr Cancer Ther. 2017;16(4):505-515.
15. อภัยภูเบศร สมุนไพรไทย. ชาชงมะขามป้อม [อินเทอร์เน็ต]. 2566 [สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2566]. เข้าถึงจาก
https://www.abhaithaiherbs.com

01/12/2023

สมุนไพรน่ารู้ | “ดอกสะเดา” ลดความกังวล ต้านซึมเศร้า

"สะเดา" เป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ที่มีรสชาติขม แต่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีทั้งโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในเรื่องชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ และยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย เช่น ช่วยย่อย ช่วยล้างพิษในเลือด กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดี ขึ้น บำรุงหัวใจ รักษาโรคผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราตามเท้า เล็บมือ เล็บเท้า กลาก-เกลื้อน หิด เริม แผลจากโรคสะเก็ดเงิน หัด ลมพิษ ผดผื่นคัน หูด อีสุกอีใส แก้ไข้มาเลเรีย รักษาโรคไขข้อ ลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

🔬มีการศึกษาฤทธิ์ลดความกังวลและต้านอาการซึมเศร้าของสารสกัดน้ำจากดอกสะเดาในหนูแรท โดยป้อนสารสกัด ขนาด 250, 500 และ 1,000 มก./กก. เป็นเวลา 30 นาที ก่อนถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความเครียด ด้วยการจำกัดการเคลื่อนไหวของหนู เป็นเวลา 3 ชั่วโมงต่อวัน ทำการทดลองติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยา diazepam ขนาด 2 มก./กก. (ตัวควบคุมบวกของการทดสอบฤทธิ์ลดความกังวล), กลุ่มที่ได้รับยา fluoxetine HCl ขนาด 5 มก./กก. (ตัวควบคุมบวกของการทดสอบฤทธิ์ต้านอาการซึมเศร้า), และกลุ่มควบคุม โดยทดสอบด้วยวิธี elevated plus maze, forced swimming test และ open field test

ซึ่งพบว่า สารสกัดจากดอกสะเดา มีฤทธิ์ลดความกังวลได้เช่นเดียวกับยา diazepam และต้านอาการซึมเศร้าได้เช่นเดียวกับยา fluoxetine HCl เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ ยังพบว่าสารสกัดไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของหนู แต่มีผลเพิ่มระดับของ dopamine และ serotonin ในสมอง และลดระดับของ cortisol ในเลือดของหนูได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

สำหรับการทดสอบความเป็นพิษ พบว่า สารสกัดขนาด 250-4,000 มก./กก. ไม่ทำให้หนูตาย และไม่มีผลต่อตับ แต่สารสกัดที่ขนาด 4,000 มก./กก. มีผลทำให้หนูสงบ และมีการเคลื่อนไหวที่ช้ากว่าปกติ

สรุปได้ว่า สารสกัดจากดอกสะเดามีฤทธิ์ลดความกังวลและต้านอาการซึมเศร้าของหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีความเครียดสะสมได้

🔖ข้อมูล
https://medplant.mahidol.ac.th/active/shownews.asp?id=1776&fbclid=IwAR3DR6GhuYLPxa5n9ajr5ifkCW6eMaonwDXEkTzAt98ADOCbK0S57OZpoJc

Cr. ภาพ istockphoto

#สมุนไพรน่ารู้ #สะเดา #ดอกสะเดา #ต้านซึมเศร้า #คลายกังวล #สมุนไพรอภัยภูเบศร #อภัยภูเบศร

14/11/2023

สมุนไพรน่ารู้ | “บัวบก” บำรุงสมอง 🤯

จากงานวิจัยพบว่า การป้องกันภาวะสมองเสื่อม เป็นเรื่องที่มีความคุ้มค่า ทั้งในด้านการลดค่าใช้จ่ายจากการรักษาโรค และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะในผู้ป่วยภาวะรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment หรือ MCI ) แต่ถึงแม้จะยังมีไม่มีภาวะดังกล่าว การป้องกันก็ยังเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น ทั้งนี้สมุนไพรจะมีบทบาทมากในด้านการส่งเสริมสุขภาพ เพราะสมุนไพรแต่ละชนิดมีสารสำคัญหลากหลายชนิด ที่ช่วยเสริมฤทธิ์ในการดูแลสุขภาพ

ในเรื่องสมองเสื่อมนั้น มีงานวิจัยจำนวนมากของบัวบก ที่พบว่ามีส่วนช่วยในการทำงานของด้วยกลไกที่หลากหลาย ทั้งเพิ่มการไหลเวียนของเลือด กระตุ้นการสร้างโปรตีนที่ชื่อว่า Brain-derived neurotrophic factor หรือ (BDNF) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นอาหารของเซลล์ประสาทสมอง ช่วยชะลอการสลายของสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่จดจำ และยังมีฤทธิ์ปกป้องสมองจากสารพิษ หรือหากสมองถูกทำร้ายจากสารพิษแล้ว ก็จะช่วยลดการอักเสบฟื้นฟูและเยียวยาสมองให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ในต่างประเทศมีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยช่วยเสริมความจำ และปรับอารมณ์ให้สดชื่น ซึ่งความรู้เหล่านี้ไม่ได้ใหม่เลยสำหรับสังคมไทยที่ใช้สมุนไพรมานาน

“บัวบก” ซึ่งมีรูปร่างเหมือนสมอง เป็นสมุนไพรรับรู้กันว่าช่วยในการบำรุงสมอง เสมือนรหัสธรรมชาติที่ส่งมอบมาให้มนุษย์ คนสมัยก่อนนำบัวบกมาคั้นน้ำกินก่อนนอน ช่วยให้นอนหลับตื่นมาสดชื่น ทำให้อารมณ์ไม่หงุดหงิด ในบางพื้นที่ก็จะใส่พริกไทยนิดหน่อย เพื่อลดความเย็นของบัวบก โดยงานวิจัยภายหลังพบว่า สารพิเพอรีนในพริกไทยช่วยดูดซึมสมุนไพรหลายชนิดเข้าสู่ร่างกาย เป็นความชาญฉลาดของคนในยุคก่อน

ดังนั้น เราจึงสามารถนำบัวบกมาใช้เป็น อาหารบำรุงสมองได้ แต่อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของเรา พบว่า บัวบก เป็นสมุนไพรที่ดูดโลหะหนักในดินขึ้นมาสะสมที่ต้นได้มาก ดังนั้น การปลูกบัวบกจึงต้องดำเนินการในพื้นที่ปลอดสารพิษ และมีการดูแลด้วยกระบวนการเกษตรอินทรีย์ เมื่อปลูกแล้วต้องเก็บเกี่ยวด้วยเวลาที่เหมาะสมด้วย

♥️พบกันในงานเสวนา “รับมือสังคมสูงวัย ด้วยสมุนไพรชะลอสมองเสื่อม” วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2566 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การค้า เกทเวย์ แอท บางซื่อ ชั้น 1 (Gateway at Bangsue) ตรงข้ามโรงพยาบาลบางโพ กรุงเทพมหานคร

📌 ติดตามอภัยภูเบศรได้ที่
FB : https://www.facebook.com/abhaiherb
IG : https://www.instagram.com/abhaiherb.official/
เว็บหลัก : http://www.abhaiherb.com
Line shop : https://lin.ee/Z9aG01W
Line คลินิก : https://lin.ee/HGT0wkz
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCtYAMPNpxrb62S3h3agetOQ
TikTok : https://www.tiktok.com/

Cr. ภาพ istockphoto

#สมุนไพรน่ารู้ #บัวบก #บำรุงสมอง #อัลไซเมอร์ #สมุนไพรอภัยภูเบศร #อภัยภูเบศร #เกษตรอินทรีย์

ก่อนใช้ยาสมุนไพร ปรึกษาแพทย์แผนไทยทุกครั้งนะคะ🧡
30/10/2023

ก่อนใช้ยาสมุนไพร ปรึกษาแพทย์แผนไทยทุกครั้งนะคะ🧡

“ขมิ้นชัน” บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุก เสียดอย่างไร?

ขมิ้นชัน ช่วย…
▪️เพิ่มการสร้างและหลั่งน้ำดี
▪️เพิ่มการบีบตัวของถุงน้ำดี
▪️กลุ่มน้ำมันหอมระเหยทำหน้าที่ขับลม ช่วยย่อยอาหาร ลดการเกร็งในกระเพาะอาหาร
และลำไส้เล็ก เช่น สาร cineole พบในน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำดี

🔻สารสำคัญ :
1.Curcuminoids(สารประกอบ phenolic)
- Curcumin (dif eruloylmethane)
- Demethoxycurcumin
- Bisdemethoxycurcumin

2.น้ำมันหอมระเหย
- Tumerone
- Atlantone
- Zingiberone
- Cineole

🔻วิธีใช้
รูปแเบบแคปชูล/ยาเม็ด : รับประทานครั้งละ 500 - 1 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน

🚫ข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง
- ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่ท่อน้ำดีอุดตัน
- ระวังการใช้กับหญิงตั้งครรภ์ ยกเว้นภายใต้การดูแลของเเพทย์
- ควรระวังการใช้กับเด็กเนื่องจากไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผลและความปลอดภัย

🔬การศึกษาทางคลินิก
จากการศึกษาของ ThamlikitkuI V และคณะ ทำการศึกษาประสิทธิผลของขมิ้นชันแคปซูล (ผงขมิ้น 250 มิลลิกรัม/แคปซูล) เทียบกับยาเก้ท้องอืด (Anti-Flatulence) และยาหลอก โดยให้รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง นาน 7 วัน ในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ ได้แก่ ปวดแสบทองเวลาหิว จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากมีลมในกระเพาะอาหารโดยเรอแล้วอาการดีขึ้น จุกเสียดท้องทั่วๆ ไปเนื่องจากมีลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ จำนวน 116 ราย (41 รายได้รับยาหลอก : 36 รายได้รับยาแก้ท้องอืด : 39 ราย ได้รับขมิ้นชัน) พบว่า ขมิ้นชันแคปซูลและยาแก้ท้องอืด
มีประสิทธิผลไม่แตกต่างกันในการบรรเทาอาการดังกล่าว และดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกอยางมีนัยสำคัญทางสถิติ

▪️จัดทำโดย นศภ.ณหทัย ชัชวาลวงษ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

#ขมิ้นชัน #อภัยภูเบศร #สมุนไพรอภัยภูเบศร

ที่อยู่

54 ถ. ศรีจันทร์ ต. ในเมือง อ. เมือง จ. ขอนแก่น OPD แผนไทย หน้าอาคารผู้ป่วยในตึก 5-6
Khon Kaen
40000

เบอร์โทรศัพท์

+66966539447

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ TTIM ศูนย์แพทย์บูรณาการ ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โรงพยาบาลขอนแก่นผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง TTIM ศูนย์แพทย์บูรณาการ ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โรงพยาบาลขอนแก่น:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท