ครูนาวา พาเพลินจำเริญใจ

ครูนาวา พาเพลินจำเริญใจ ครูการศึกษาพิเศษ ให้คำปรึกษาด้านพัฒนาการของเด็กรูปแบบการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษ

👨‍🏫ทำไงเมื่อลูกมีพฤติกรรม กระตุ้นตัวเอง ทำร้ายตัวเอง ทุบตีตัวเอง ก่อนอื่นต้องเข้าใจ ในพฤติกรรม กระตุ้นตนเอง (self-stimul...
04/08/2025

👨‍🏫ทำไงเมื่อลูกมีพฤติกรรม กระตุ้นตัวเอง ทำร้ายตัวเอง ทุบตีตัวเอง

ก่อนอื่นต้องเข้าใจ ในพฤติกรรม กระตุ้นตนเอง (self-stimulation หรือ stimming) เช่น การ ทุบตีร่างกายตัวเอง (self-injurious behavior) ในเด็กออทิสติก เป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อย และต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เพราะอาจทำให้เด็กบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ



🔍 ทำความเข้าใจก่อน: ทำไมเด็กถึงทุบตีตัวเอง?

สาเหตุที่เด็กออทิสติกอาจทุบตัวเอง มีหลายปัจจัย เช่น:
•ความเครียด/ความวิตกกังวล ไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกได้
•ต้องการกระตุ้นความรู้สึกทางร่างกาย (เช่น ความรู้สึกเจ็บ = รู้สึกว่ามีตัวตน)
•เพื่อดึงดูดความสนใจ
•พฤติกรรมที่เคยได้ผล (ทุบแล้วได้ของเล่น ได้รับการปลอบ เป็นต้น)



✅ วิธีการแก้ไขและดูแลพฤติกรรมทุบตัวเอง

1. ประเมินสาเหตุพฤติกรรม (Functional Behavior Assessment - FBA)
•จดบันทึกว่าเกิดพฤติกรรมนี้ เมื่อไหร่, ที่ไหน, ก่อนหน้าเกิดอะไร, หลังจากนั้นมีอะไรเกิดขึ้น
•จะช่วยระบุ “หน้าที่ของพฤติกรรม” ได้ว่าทำไปเพื่ออะไร



2. ใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรม (Behavior Modification)

เทคนิค วิธีใช้
Ignore / ไม่ให้การตอบสนอง ถ้าทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ ไม่ควรให้ความสนใจเมื่อลูกทุบตัวเอง
Positive Reinforcement / เสริมแรงทางบวก เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมดี เช่น ใช้คำพูดขอของ แสดงอารมณ์ได้ ให้รางวัลทันที
Differential Reinforcement (DRA, DRO) เช่น หาก 5 นาทีไม่มีการทุบตัวเอง ให้รางวัล เพื่อสอนพฤติกรรมทางเลือกแทนการทุบ



3. สอนวิธีสื่อสารและแสดงอารมณ์
•สอนให้ใช้ ภาพ (PECS), คำพูดง่ายๆ, หรือ ภาษาท่าทาง แทนพฤติกรรมทุบ
•ฝึกให้รู้จักแสดงอารมณ์ เช่น โกรธ = พูดว่า “หนูโกรธแล้วนะ”



4. หากิจกรรมทดแทนที่ปลอดภัย
•ให้ ของเล่นประคบผิว (เช่น ลูกบอลบีบ นวดตัว) เพื่อระบายความรู้สึก
•กิจกรรมประสาทสัมผัส (sensory play) เช่น เล่นทราย น้ำ ลูกปัด เพื่อให้ระบายความรู้สึกโดยไม่ทำร้ายตัวเอง



5. สร้างสภาพแวดล้อมที่สงบ ปลอดภัย
•ลดสิ่งเร้ารบกวน (เช่น แสง เสียง กลิ่น ที่กระตุ้นมากเกินไป)
•จัดมุมสงบให้เด็กเมื่อเริ่มแสดงพฤติกรรม



6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
•นักจิตวิทยา / นักกิจกรรมบำบัด / นักแก้ไขพฤติกรรม
•หากพฤติกรรมรุนแรง ควรมีแผนการจัดการพฤติกรรมอย่างมืออาชีพ



🛑 หมายเหตุสำคัญ:
•อย่าลงโทษทางร่างกาย เพราะอาจทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า “การทุบ = วิธีสื่อสาร”
•เน้นป้องกันมากกว่ารอให้เกิดก่อนค่อยแก้

คำพูดพลังบวกวันนี้❤️
07/07/2025

คำพูดพลังบวกวันนี้❤️

👨‍🏫พัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็กนั่นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ทารกแรกเกิดและพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามช่...
15/06/2025

👨‍🏫พัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็กนั่นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ทารกแรกเกิดและพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามช่วงวัยและประสบการณ์ที่เด็กแต่ละคนได้พบเจอ โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อพัฒนาการ เช่น พันธุกรรม สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู และการกระตุ้น

ในวันนี้ครูนาวาจะได้สรุปข้อมูลภาพรวมของพัฒนาการทางภาษาและการพูดตามช่วงวัยต่างๆ:

🎂 แรกเกิด - 3 เดือน:
ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางเพื่อสื่อสาร เช่น ร้องไห้เพื่อบอกความต้องการ
เริ่มทำเสียงต่างๆ เช่น เสียงคราง เสียงอ้อแอ้
ตอบสนองต่อเสียง เช่น หันหาเสียง หยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
จ้องมองใบหน้าของผู้พูด
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
ส่งเสียงเล็กๆ น้อยๆ เช่น เสียงอ้อแอ้
เลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้า

ในช่วง 4 - 6 เดือน:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เริ่มส่งเสียงเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน เช่น "บา" "มา"
หันหาแหล่งกำเนิดเสียง
ตอบสนองต่อชื่อของตัวเอง
แสดงความสนใจเมื่อได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงเล่านิทาน
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
เริ่มเปล่งเสียงพยัญชนะและสระผสมกัน (babbling)
หัวเราะและส่งเสียงครางเพื่อแสดงความรู้สึก

ช่วง 7 - 12 เดือน:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจคำสั่งง่ายๆ เช่น "มานี่" "ไม่เอา"
เข้าใจชื่อของสิ่งของที่คุ้นเคย เช่น ขวดนม ของเล่น
ชี้บอกความต้องการหรือสิ่งของ
โบกมือบ๊ายบาย
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
เริ่มเลียนแบบเสียงและพยางค์ที่ได้ยิน
พูดคำแรกที่มีความหมาย เช่น "แม่" "พ่อ" "หม่ำ"
ใช้ท่าทางประกอบการพูด

ช่วง 1 - 2 ปี:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจคำศัพท์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
สามารถทำตามคำสั่ง 2-3 ขั้นตอนได้
สามารถชี้บอกรูปภาพในหนังสือได้
เริ่มใช้คำถามง่ายๆ เช่น "อะไร" "ที่ไหน"
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
มีคลังคำศัพท์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 50-200 คำเมื่ออายุ 2 ปี)
พูดเป็นประโยคสั้นๆ 2-3 คำ เช่น "แม่ไป" "กินนม"
เลียนแบบคำพูดและวลีที่ได้ยินจากผู้ใหญ่
เริ่มใช้สรรพนามแทนตัวเอง เช่น "หนู" "ผม"

ช่วง 2 - 3 ปี:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจคำถามที่ซับซ้อนขึ้น
สามารถทำตามคำสั่งที่มีความหมายซับซ้อนได้
เข้าใจเรื่องราวสั้นๆ
สามารถระบุสีและรูปทรงง่ายๆ ได้
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
พูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์มากขึ้น 3-4 คำขึ้นไป
ใช้คำบุพบท (เช่น ใน บน ใต้) และคำเชื่อม (เช่น และ หรือ)
เล่าเรื่องราวสั้นๆ ได้
พูดคุยโต้ตอบกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
คำศัพท์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ประมาณ 900-1000 คำเมื่ออายุ 3 ปี)

ช่วง 3 - 4 ปี:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจเรื่องราวที่ยาวขึ้นและซับซ้อนขึ้น
สามารถเปรียบเทียบสิ่งของได้
เข้าใจความหมายของคำตรงข้าม
สามารถทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทางสังคมง่ายๆ ได้
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
พูดเป็นประโยคที่ซับซ้อนขึ้น ใช้ไวยากรณ์ได้ถูกต้องมากขึ้น
ใช้คำกริยาแสดงอดีตและอนาคตได้
เล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาได้
สามารถสนทนาโต้ตอบกับผู้อื่นได้อย่างต่อเนื่อง
ออกเสียงคำส่วนใหญ่ได้ชัดเจนขึ้น

ช่วง 4 - 5 ปี:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจมุขตลกและปริศนา
สามารถบอกเหตุผลและแก้ไขปัญหาได้
เข้าใจความหมายของคำนามและคำคุณศัพท์ได้มากขึ้น
สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้

ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
สามารถพูดได้เกือบเหมือนผู้ใหญ่ ใช้ไวยากรณ์ที่ซับซ้อนขึ้น
เล่าเรื่องราวที่มีรายละเอียดมากขึ้น
สามารถแสดงความคิดเห็นและอธิบายสิ่งต่างๆ ได้
สามารถปรับการพูดให้เข้ากับสถานการณ์และผู้ฟังได้
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการทางภาษาและการพูด:

👉 พันธุกรรม: มีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ภาษา

👉สภาพแวดล้อม: การได้รับสิ่งกระตุ้นทางภาษาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ

👉การเลี้ยงดู: การพูดคุย อ่านหนังสือ และเล่นกับเด็กช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา

👉สุขภาพ: ปัญหาการได้ยิน ปัญหาทางระบบประสาท หรือความผิดปกติอื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางภาษา

👨‍⚕️ การกระตุ้น: การส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสสื่อสารและแสดงออกทางภาษา

🙅‍♂️สัญญาณที่ควรระวังและปรึกษาแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญ:

12 เดือน: ไม่ตอบสนองต่อเสียง ไม่เปล่งเสียงอ้อแอ้ ไม่ชี้บอกความต้องการ
18 เดือน: ไม่มีคำศัพท์ที่มีความหมาย ไม่ทำตามคำสั่งง่ายๆ
2 ปี: ไม่มีคำศัพท์ถึง 50 คำ ไม่พูดเป็นวลีหรือประโยค ไม่เลียนแบบคำพูด
3 ปี: พูดไม่ชัดเจนจนคนอื่นไม่เข้าใจ ไม่สามารถสนทนาโต้ตอบได้ ไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้

👨‍🏫 การเข้าใจพัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็กจะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาการของลูกได้อย่างเหมาะสม และสามารถสังเกตสัญญาณผิดปกติเพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ทันท่วงที

“การเริ่มต้นที่ดีสุด...คือการเริ่มต้นทำ”ในระยะเวลา 3 ปีที่ผมได้เดินทางสายนี้ผมไม่เคยคิดจะไปแข่งขันกับใคร...ไม่อยากเปรียบ...
12/05/2025

“การเริ่มต้นที่ดีสุด...คือการเริ่มต้นทำ”
ในระยะเวลา 3 ปีที่ผมได้เดินทางสายนี้
ผมไม่เคยคิดจะไปแข่งขันกับใคร...
ไม่อยากเปรียบเทียบใครนอกจากตัวเอง
ในแต่ล่ะวันผมจะกลับมาทบทวนตัวเองเสมอ
ว่าวันนี้เราทำอะไรบ้าง มีข้อผิดพลาดตรงไหน
อะไรที่เสร็จแล้ว และมีอะไรที่ยังไม่ทำบ้าง
เพราะผมอยากที่จะเป็น ตัวของผม
ในVersionที่ดีที่สุด มันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ถ้าหากไม่เริ่มลงมือทำ...ในวันนี้
สิ่งที่ผมไฝ่ฝัน มันก็คงถอยห่างออกไปในทุกๆวัน
ดั่งนั่นการเริ่มต้นที่ดี ที่สุดคือ การเริ่มต้นลงมือทำ

การช่วยเยียวยาความรู้สึกของผู้ปกครองที่มีลูกเป็นคนพิการเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพวกเขาต้องเผชิญกับทั้งความกังวล ความกลัว และ...
07/04/2025

การช่วยเยียวยาความรู้สึกของผู้ปกครองที่มีลูกเป็นคนพิการเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพวกเขาต้องเผชิญกับทั้งความกังวล ความกลัว และความท้าทายในชีวิตประจำวัน คำถามเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ปกครองได้ทบทวนตัวเอง เปิดใจยอมรับ และมองเห็นคุณค่าในตัวลูก รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาลูกต่อไป

ศิลปะด้านใน
07/04/2025

ศิลปะด้านใน

ขั้นตอนการเรียนรู้ในบทเรียนศิลปะด้านใน

เริ่มต้นด้วยกิจกรรมวงกลม กล่าวบทกวีประจำฤดูกาล แล้วชวนทุกคนมาร้องเพลงและเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ปลุกเสียงผ่านหัว ใจ และให้ร่างกายตื่นรู้ขึ้น จากนั้นทำงานผ่านใจและกาย การสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ อย่างเช่นการจัดดอกไม้

ปลดปล่อยความคิด สู่การรู้สึกตัว ผ่านการทำงานศิลปะ ระบายสีน้ำอิสระ

ช่วงบ่ายเริ่มปรับจังหวะชีพจรกลุ่มด้วยกิจกรรมจังหวะ ก่อนเข้าสู่บทเรียนต่อไปด้วยการเล่านิทานสร้างแรงบันดาลใจ เข้าใจพัฒนาการเด็ก และกิจกรรมงานเย็บปักถักร้อยที่กลับมาเชื่อมโยงกับความรักจากหัวใจแม่

อำลาวันที่งดงามด้วยการนั่งล้อมวงแลกเปลี่ยนสะท้อนแบ่งปันความรู้สึก แผ่เมตตา และกล่าวบทกลอนกล่อมขวัญ

การเรียนรู้ที่ออกแบบมาให้ผู้เข้าร่วมได้มีประสบการณ์ตรงผ่านทุก ๆ กิจกรรมที่สัมผัสตรงที่ใจ หัวใจที่ได้รับจึงส่งต่อได้อย่างลึกซึ้งมีพลัง

#ศิลปะด้านใน

#สสส.

07/04/2025

Send a message to learn more

👨‍🏫กระบวนการฝึกพูดสำหรับเด็กออทิสติก👉🏻เด็กออทิสติกแต่ละคนมีระดับพัฒนาการทางภาษาที่แตกต่างกัน บางคนอาจพูดได้น้อยหรือไม่พู...
29/03/2025

👨‍🏫กระบวนการฝึกพูดสำหรับเด็กออทิสติก

👉🏻เด็กออทิสติกแต่ละคนมีระดับพัฒนาการทางภาษาที่แตกต่างกัน บางคนอาจพูดได้น้อยหรือไม่พูดเลย ในขณะที่บางคนสามารถพูดได้แต่มีปัญหาด้านการใช้ภาษา กระบวนการฝึกพูดต้องอาศัยความอดทนและการปรับให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน

กระบวนการฝึกพูดสำหรับเด็กออทิสติก ควรเริ่มจาก

👉🏻 1. ประเมินความสามารถของเด็กก่อนเริ่มฝึก
การประเมินเด็กก่อนเพื่อให้เรา ทราบถึงระดับความสามารถเพื่อไปเปรียบเทียบกับตารางพัฒนาการทางภาษาเพื่อง่ายต่อการออกแบบรูปแบบการกระตุ้นโดยจะมีรูปแบบดังนี้ 

✅ สังเกตว่าเด็กสามารถออกเสียงได้หรือไม่ และมีคำศัพท์ที่ใช้บ้างหรือยัง
✅ ดูว่ามีปัญหาด้านการออกเสียง หรือการเข้าใจภาษาไหม
✅ สังเกตว่าสื่อสารด้วยวิธีใด เช่น ใช้ภาษากาย ชี้นิ้ว หรือออกเสียงแบบไม่มีความหมาย

👉🏻2. กระตุ้นให้เด็กสนใจการสื่อสาร
ในการกระตุ้นเด็กแต่ละคนจะต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็กว่ามีความพร้อมที่จะเรียนรู้หรือฝึก มากน้อยเพียงใดดังนั้นก่อนที่จะฝึกพัฒนาการทางด้านภาษาที่ใช้ในการสื่อสารต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งใจและกายเพื่อให้เด็กเกิดความสนใจ

✅ เริ่มจากสิ่งที่เด็กสนใจ เช่น ถ้าเด็กชอบรถ ให้ใช้รถของเล่นมาพูดคุย เช่น “รถ…วิ่ง!”
✅ ใช้การสบตาและสีหน้า เพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจและจดจ่อกับการสื่อสาร
✅ พูดช้าและชัดเจน ใช้คำสั้น ๆ ง่าย ๆ เช่น “กินข้าว” แทน “มากินข้าวกันเถอะ”

👉🏻3. ฝึกให้เด็กเลียนแบบเสียงและคำพูด
เด็กออทิสติกสามารถเรียนรู้ได้ และสามารถลอกเรียนแบบ พฤติกรรม ต่างๆจากสภาพแวดล้อม ดังนั่นผู้ฝึกต้องออกแบบท่าทางที่ชัดเจน เพื่อให้เด็กเกิด กระบวนการเรียนรู้และจดจำ 
✅ เลียนแบบเสียงของเด็กก่อน เช่น ถ้าเด็กทำเสียง “อา” ก็ทำเสียง “อา” ตาม เพื่อให้เด็กเห็นว่าการออกเสียงมีผลต่อปฏิสัมพันธ์
✅ ใช้การออกเสียงร่วมกับการกระทำ เช่น ตบมือแล้วพูด “ตบมือ!” ให้เด็กทำตาม
✅ เล่นเกมเลียนแบบเสียง เช่น ทำเสียงสัตว์ “เมี้ยว เมี้ยว” แล้วให้เด็กลองทำตาม

👉🏻4. ใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรือท่าทางช่วยสื่อสาร

✅ ใช้ Picture Exchange Communication System (PECS) เช่น แสดงภาพ “น้ำ” เมื่อเด็กอยากดื่มน้ำ และกระตุ้นให้เด็กพูดคำว่า “น้ำ”
✅ ใช้ ภาษามือประกอบ เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจ เช่น ชี้ไปที่ปากเมื่อพูด หรือทำมือแสดงคำว่า “ขอบคุณ”
✅ ใช้ของจริงประกอบ เช่น ชี้ไปที่แอปเปิ้ลแล้วพูด “แอปเปิ้ล”

👉🏻5. กระตุ้นให้เด็กพูดออกเสียงเอง

✅ ถ้าเด็กต้องการบางสิ่ง อย่ายื่นให้ทันที แต่ให้กระตุ้นให้เด็กออกเสียง เช่น ถ้าเด็กชี้ขอน้ำ ให้พูด “น้ำ” แล้วรอให้เด็กพยายามพูด
✅ ถ้าเด็กออกเสียงคล้าย ๆ ได้ เช่น “อะ” แทน “น้ำ” ให้ชมและค่อย ๆ กระตุ้นให้ออกเสียงถูกต้อง
✅ ใช้ของเล่นที่เด็กต้องร้องขอ เช่น ลูกโป่ง รอให้เด็กพูดว่า “เป่า” ก่อนจะเป่าลมเข้าไป

👉🏻6. ใช้เพลงและจังหวะช่วยฝึกพูด

✅ ใช้เพลงเด็กง่าย ๆ ที่มีคำซ้ำ ๆ เช่น “ลิงเจี๊ยก ๆ” หรือ “จ๊ะเอ๋” เพื่อให้เด็กฝึกพูดตาม
✅ ใช้คำที่มีจังหวะสนุก ๆ เช่น “บูม บูม” “ตึง ตึง” เพื่อดึงดูดความสนใจ
✅ ใช้เสียงดนตรีช่วย เช่น เคาะจังหวะขณะพูด “ตบมือ!”

👉🏻7. ใช้รางวัลและคำชมเชย

✅ ทุกครั้งที่เด็กพยายามพูด แม้จะยังไม่ชัด ควร ชมเชยทันที เช่น “เก่งมาก!”
✅ ให้รางวัล เช่น ของเล่น ขนม (ถ้าเหมาะสม) หรือการกอด เพื่อกระตุ้นให้เด็กพูดอีก
✅ ทำให้การฝึกพูดเป็นเรื่องสนุก ไม่ควรกดดันเด็กมากเกินไป

👉🏻8. ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป

✅ ฝึกวันละ 5-10 นาที และค่อย ๆ เพิ่มเวลาเมื่อเด็กเริ่มตอบสนอง
✅ พยายามใช้คำพูดเดิมซ้ำ ๆ จนเด็กเริ่มเข้าใจและพูดได้
✅ ใช้คำพูดในชีวิตประจำวัน เช่น “เปิดไฟ” “ปิดประตู” เพื่อให้เด็กเรียนรู้จากสถานการณ์จริง

ข้อควรระวัง
❌ อย่าบังคับหรือดุว่าเด็กหากยังไม่พูด เพราะอาจทำให้เด็กต่อต้าน
❌ อย่าพูดเร็วหรือซับซ้อนเกินไป
❌ อย่าพูดแทนเด็กทุกครั้ง ควรให้โอกาสเด็กพยายามพูดเอง

กระบวนการฝึกพูดอาจใช้เวลานานและต้องอาศัยความอดทน หากท่านดูแลเด็กออทิสติกอยู่และต้องการวิธีที่เหมาะกับเด็กเฉพาะคน สามารถ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอรับคำแนะนำในรูปแบบการฝึก ซึ่งการพัฒนาเด็กออทิสติก ต้องอาศัยแรงกายแรงใจและความต่อเนื่องในการฝึกจึงจะเห็นผล ครูนาวาก็ขอเป็นกำลังใจ ให้กับทุกๆคนนะครับ 

#ครูนาวาพาเพลินจำเริญใจ
#ให้คำปรึกษาปัญหาด้านเด็กพิเศษ
#กระบวนการส่งเสริมพัฒนาการทางการเรียนรู้สำหรับเด็กพิเศษ
#นักบำบัดฟื้นฟูสภาวะจิตใจและเยียวยา
#ฝึกพูดโดยครูการศึกษาพิเศษ
#วิทยากรห้องเรียนพ่อแม่ 

26/03/2025

การศึกษาแนวจิตปัญญา เป็นแนวทางที่มุ่งเน้น การพัฒนาผู้เรียนให้มีสติ ปัญญา และจิตวิญญาณที่สมดุล โดยไม่จำกัดอยู่แค่การเรียนวิชาการ แต่รวมถึงการเข้าใจตนเอง ความสัมพันธ์กับผู้อื่น และความหมายของชีวิต

👨‍🏫ผู้ปกครอง คุณครู หลายๆ คนมักได้เห็นพฤติกรรมของเด็กออทิสติกมักมีพฤติกรรม กระตุ้นตนเอง (self-stimulatory behavior หรือ ...
26/03/2025

👨‍🏫ผู้ปกครอง คุณครู หลายๆ คนมักได้เห็นพฤติกรรมของเด็กออทิสติกมักมีพฤติกรรม กระตุ้นตนเอง (self-stimulatory behavior หรือ stimming) บ่อยๆ เนื่องจากเหตุผลทางประสาทวิทยาและจิตใจ โดยพฤติกรรมเหล่านี้อาจรวมถึงการแกว่งตัว โบกมือ เคาะนิ้ว ส่งเสียง หรือมองสิ่งของหมุนไปมา วันนี้ครูนาวาจะมาเล่าให้ฟังถึง สาเหตุ เห็นผลที่เขาแสดงพฤติกรรมเหล่านั้น

เหตุผลที่เด็กออทิสติกกระตุ้นตนเองบ่อยๆ
1. ช่วยควบคุมความรู้สึก (Self-regulation)

👉🏻เด็กออทิสติกอาจรู้สึกไวต่อสิ่งเร้ามากเกินไป (hypersensitivity) หรือรับรู้ได้น้อยกว่าปกติ (hyposensitivity) พฤติกรรมกระตุ้นตนเองช่วยให้พวกเขาจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ เช่น การแกว่งตัวช่วยให้สงบลง หรือการเคาะสิ่งของช่วยเพิ่มการรับรู้ทางประสาทสัมผัส

2. ลดความเครียดและความวิตกกังวล (Stress & Anxiety Relief)
👉🏻เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กดดัน ไม่คุ้นเคย หรือมีสิ่งเร้าสูง เด็กออทิสติกมักใช้พฤติกรรมเหล่านี้เพื่อลดความเครียดและสร้างความสบายใจให้ตนเอง

3. เป็นการแสดงออกของความตื่นเต้นหรือความสุข (Expression of Excitement or Happiness)
👉🏻ไม่ใช่ทุกพฤติกรรมกระตุ้นตนเองเกิดจากความเครียด เด็กบางคนแสดงพฤติกรรมนี้เมื่อรู้สึกตื่นเต้น สนุก หรือพอใจ เช่น การกระโดดขึ้นลงหรือปรบมือเมื่อดีใจ

4. ช่วยให้มีสมาธิและโฟกัส (Enhancing Focus & Attention)
👉🏻สำหรับเด็กบางคน การกระตุ้นตัวเองช่วยให้พวกเขามีสมาธิและสามารถทำงานบางอย่างได้ดีขึ้น เช่น การเคาะนิ้วขณะฟังข้อมูลอาจช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น

5.เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทที่แตกต่างกัน (Neurological Differences)
👉🏻สมองของเด็กออทิสติกประมวลผลข้อมูลและจัดการสิ่งเร้าแตกต่างจากคนทั่วไป การกระตุ้นตัวเองอาจเป็นกลไกอัตโนมัติที่ช่วยให้พวกเขาปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม

6.การขาดทักษะทางสังคมและการสื่อสาร (Lack of Alternative Communication)
👉🏻เด็กที่มีปัญหาด้านการพูดหรือการสื่อสารอาจใช้พฤติกรรมกระตุ้นตนเองเพื่อแสดงอารมณ์หรือความต้องการ เพราะพวกเขาอาจไม่สามารถบอกความรู้สึกของตนเองได้ด้วยคำพูด

👨‍🏫สรุป

พฤติกรรมกระตุ้นตัวเองในเด็กออทิสติกไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือจำเป็นต้องหยุดเสมอไป แต่เป็นกลไกธรรมชาติของพวกเขาในการจัดการกับโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้า หากพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายหรือรบกวนการใช้ชีวิต ก็ควรให้การยอมรับและเข้าใจ แต่หากเป็นอุปสรรคหรือส่งผลกระทบ ควรหาวิธีช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น เทคนิคทางประสาทสัมผัส (sensory integration therapy) หรือการสอนทักษะการสื่อสารเพิ่มเติม

ที่อยู่

999/195 ศูนย์บริการคนพิการ
Khon Kaen
44000

เบอร์โทรศัพท์

+66654799597

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ครูนาวา พาเพลินจำเริญใจผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ครูนาวา พาเพลินจำเริญใจ:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram