หมอพรทิพย์

หมอพรทิพย์ DrPornthip0612

️💥 ความก้าวหน้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ️💥เม็ดฟู่ SATTOCHI สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ 100%☑️น้ำตาลในเลือดจะกลับมาคงที่ทันที 5...
30/06/2022

️💥 ความก้าวหน้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ️💥
เม็ดฟู่ SATTOCHI สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ 100%
☑️น้ำตาลในเลือดจะกลับมาคงที่ทันที 5-6 MMOL
☑️ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดให้เปลี่ยนเป็นพลังงาน
☑️ป้องกันและปรับปรุงภาวะแทรกซ้อนของเส้นประสาทส่วนปลายเบาหวาน
☑️สนับสนุนการลดและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
️ ☑️ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนให้กลับมาทำงานตามปกติอีกครั้ง
-----------------------------------------------------------------------------------
สิทธิพิเศษเฉพาะวันนี้
🎁ซื้อ 3 หลอด แถม 1 SATTOCHI GOLD
🎁ซื้อ 5 หลอด แถม 2 SATTOCHI GOLD
🎁ซื้อ 6 หลอด แถม 2 + เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด 1 เครื่อง
👉อย่าให้เบาหวาน ส่งผลต่อครอบครัวและคนที่คุณรัก
📞📞กรุณาทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ทางเราจะติดต่อกลับเพื่อให้คำแนะนำฟรี

ุ6 ผักต้องกินสุก
01/06/2022

ุ6 ผักต้องกินสุก

ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลใ...
28/05/2022

ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลในเลือด หากผลการตรวจหลังงดอาหารและเครื่องดื่มมีน้ำตาลอยู่กระแสเลือดไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติ ทั้งนี้ระดับน้ำตาลในเลือดยังบ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ด้วย (Prediabetes) ซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเป็นเบาหวานสามารถพัฒนาการเกิด โรคเบาหวานประเภทที่ 2 (เบาหวานที่เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้) โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองในอนาคตได้ง่ายขึ้น

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565  เวลา 11:30 น-สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ- ผู้ป่วยรายใหม่ 5,238 ราย ผู้ป่วยยืนยั...
18/05/2022

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565 เวลา 11:30 น
-สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ
- ผู้ป่วยรายใหม่ 5,238 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 4,379,084 ราย
-หายป่วยแล้ว 4,282,767 ราย
-เสียชีวิตสะสม 29,512 ราย

โรคเบาหวาน อาจเป็นโรคที่ขึ้นชื่อว่าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ โ...
11/05/2022

โรคเบาหวาน อาจเป็นโรคที่ขึ้นชื่อว่าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ โดยวันนี้เราก็ได้รวบรวมเคล็ดลับการลดน้ำตาลในเลือดอย่างได้ผลมาฝากกัน ซึ่งก็รับรองเลยว่าจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมเบาหวานได้อย่างอยู่หมัดแน่นอน

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายเป็นที่สุดของการมีสุขภาพดีจริงๆ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง พร้อมการมีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวานได้อีกด้วย นั่นก็เพราะในขณะที่มีการออกกำลังกาย ร่างกายจะนำเอาน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดน้อยลงจากปกติ ดังนั้นหากออกกำลังกายบ่อยๆ ก็จะสามารถควบคุมเบาหวานได้

เน้นกินผักเป็นหลัก

การเน้นกินผักเยอะๆ เป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง นั่นก็เพราะในผักมีไฟเบอร์ที่จะชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดให้เป็นไปอย่างช้าๆ จึงไม่ทำให้น้ำตาลพุ่งปรี๊ดจนเป็นอันตราย ทั้งยังช่วยลดระดับไขมันเลวในร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะผักใบเขียว เมล็ดฟักทอง มะเขือเทศ และผักบุ้ง เป็นต้น เพราะฉะนั้นมาเน้นกินผักเพื่อสุขภาพกันดีกว่า

เลือกกินอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ

เพราะน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้ว จึงไม่ควรกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงอย่างเด็ดขาด โดยให้เลือกกินเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลต่ำเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูปหรือปรุงเองก็ตาม ซึ่งก็ยกตัวอย่างอาหารน้ำตาลต่ำที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถกินได้ คือ ถั่วข้าวโพด ไข่ ข้าวโอ๊ต มันเทศและส้ม เป็นต้น

ดื่มน้ำขิงเป็นประจำ

น้ำขิง มีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลที่อยู่ในเลือดได้ดี ดังนั้นหากต้องการควบคุมเบาหวาน จึงควรดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวัน โดยให้นำเหง้าขิงสด 1 เหง้ามาฝานแล้วต้มกับน้ำเปล่า จากนั้นนำมาดื่มอย่างต่อเนื่อง เพียงเท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว ทั้งยังทำให้อาการป่วยเบาหวานทุเลาลงไปจนอยู่ในระดับที่ไม่อันตรายอีกด้วย

ดื่มน้ำบ่อยๆ

ผู้ป่วยเบาหวานมักจะขาดน้ำได้ง่าย ซึ่งก็เป็นผลให้อาการแย่ลงกว่าเดิม ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน โดยทั้งนี้เมื่อร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ก็จะทำให้ตับสามารถขับน้ำตาลส่วนเกินในเลือดออกไปพร้อมกับปัสสาวะได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงไปด้วยนั่นเอง เพราะฉะนั้นอย่าได้ละเลยการดื่มน้ำเลยเชียว

เพียงแค่ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ ก็จะช่วยลดน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างง่ายดาย แถมยังช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นมาเริ่มลดระดับน้ำตาลในเลือดของคุณด้วยวิธีเหล่านี้กันเถอะ

ขอขอบคุณ

โรคเบาหวานกำลังเป็นภัยเงียบของคนไทยและทั่วโลก สหพันธ์เบาหวานนานาชาติรายงานล่าสุด พบทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานมากกว่า 371 ล้...
09/05/2022

โรคเบาหวานกำลังเป็นภัยเงียบของคนไทยและทั่วโลก สหพันธ์เบาหวานนานาชาติรายงานล่าสุด พบทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานมากกว่า 371 ล้านคน จำนวนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดในปี พ.ศ.2573 จะมีมากถึง 552 ล้านคน โดยร้อยละ 80 อยู่ในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา

ในส่วนของไทย ผลการสำรวจสุขภาพคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศครั้งล่าสุด เมื่อปี 2552 พบคนไทยป่วยโรคเบาหวานกว่า 3.5 ล้านคน เสียชีวิตจากเบาหวานเฉลี่ยปีละเกือบ 8,000 ราย แนวโน้มพบในเด็กมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้เด็กไทยเผชิญความอ้วนและกินหวานมากขึ้น หากไม่มีการป้องกันควบคุมโรคที่ดีพอ คาดว่าในอีก8ปีข้างหน้า ไทยจะพบผู้ป่วยถึง 4.7 ล้านราย

ทั้งนี้ ที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน 1 ใน 3 หรือประมาณ 1.2 ล้านคน ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากไม่เคยได้รับการตรวจวินิจฉัยมาก่อน และผู้ป่วยบางส่วนรู้ตัวแล้ว แต่ไม่รักษา มีผู้ป่วยเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพียงร้อยละ 29 อีกประมาณร้อยละ 70 คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ เกิดโรคแทรกซ้อน ทั้งโรคหัวใจ เท้าเน่า ไตวาย แต่ละปีมีค่าดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานสูงถึง 47,596 ล้านบาท จึงต้องเร่งควบคุมป้องกัน ลดจำนวนคนป่วย
ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณีนิธิยานันท์ ภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและนายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้ร่วมรณรงค์ให้สังคมไทยตระหนักถึงภัยคุกคามจากโรคเบาหวาน เพื่อให้คนไทยทุกคนรู้จักโรคนี้ และตระหนักถึงปัญหาและภัยของโรค มีความตื่นตัวการดูแลสุขภาพ รู้วิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรค และในกรณีที่เป็นโรคเบาหวานแล้วหากดูแลรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และควบคุมให้ได้ตามแผนการรักษาของแพทย์ จะช่วยลดอัตราความพิการ การเสียชีวิต สามารถใช้ชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติทั่วไป

ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า สาเหตุหลักๆ ของเบาหวานเกิดจากการเสื่อมของเซลล์หรืออวัยวะที่ผลิตอินซูลิน เรามีอินซูลินไว้ควบคุมน้ำตาลไม่ให้สูงเกินกว่าระดับปกติ ดังนั้น เมื่อมีการเสื่อมของเซลล์หรืออวัยวะตัวนี้ ไม่ว่าจะจากสาเหตุใดก็ตามที่มีการทำลาย หรือว่าเสื่อมตามอายุ หรือว่าเสื่อมเพราะปัจจัยอื่น เช่น อ้วน ก็จะทำให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น เพราะฉะนั้น พันธุกรรมจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ แต่ต้องเป็นเพราะพันธุกรรม

แต่ด้วยวิถีชีวิตคนปัจจุบันที่มักจะเคร่งเครียดกับเรื่องราวต่างๆ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ชี้ว่าความเครียดนั้นไม่เพียงทำให้เกิดผลกระทบต่อส่วนต่างๆ หากแต่ยังมีส่วนในการทำให้เป็นโรคเบาหวานและเพิ่มระดับการเป็นโรคให้มากขึ้นด้วย

"ความเครียดกระทบหลายส่วน และเบาหวานก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะว่าเวลาเราเครียดจะมีฮอร์โมนหลายอย่างเพิ่มขึ้น และฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นนี้ก็เป็นฮอร์โมนที่ทำงานตรงกันข้ามกับอินซูลิน คือเป็นฮอร์โมนเพิ่มน้ำตาล ถ้าฮอร์โมนเพิ่มน้ำตาลมีมากขึ้น ระดับน้ำตาลก็จะสูงตามไปด้วยเป็นปกติ ทำให้เกิดเบาหวาน หรือสำหรับคนที่เป็นแล้วก็อาจจะทำให้ควบคุมได้ไม่ดีนัก" ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี กล่าว

📍ทุกคนมีความเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 ได้ทุกคน แต่รู้หรือไม่ ? หากเป็นโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงติดเชื้อที่รุนแรงกว่า😱✔️โดยจะ...
04/05/2022

📍ทุกคนมีความเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 ได้ทุกคน แต่รู้หรือไม่ ? หากเป็นโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงติดเชื้อที่รุนแรงกว่า😱
✔️โดยจะมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน เช่นเดียวกับผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน
✔️เนื่องจากผู้เป็นเบาหวาน หากควบคุมน้ำตาลไม่ดี จะมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าคนปกติและเชื้อไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง

โรคเบาหวานหมายถึง สภาพที่ระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าต่างจากระดับปกติมีผลต่อสภาพร่างกาย เพราะตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซ...
03/05/2022

โรคเบาหวานหมายถึง สภาพที่ระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าต่างจากระดับปกติมีผลต่อสภาพร่างกาย เพราะตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้หรือเกิดความผิดปกติขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็ได้ ความผิดปกติส่งผลทำให้การสร้างอินซูลินไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะอินซูลินนั้นถือว่าเป็นฮอร์โมนที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของร่างกาย อินซูลินสร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน ทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิตโดยเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปแล้วร่างกายจะมีการเปลี่ยนแป้ง , โปรตีนต่างๆ ให้เป็นน้ำตาล แต่หากไม่มีอินซูลิน ร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ และยังทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปนั่นเอง

ฮอร์โมนอินซูลินหลั่งจากตับอ่อน เพื่อช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่เนื่องจากปริมาณการหลั่งของอินซูลินลดลงด้วยเหตุผลข้างต้น จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ลดลง และร่างกายไม่สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้

แม้ว่าโรคเบาหวานสามารถควบคุมหรือทำการรักษาด้วยยาต่างๆ ตามแพทย์สั่ง แต่สิ่งสำคัญเพื่อรักษาเสถียรภาพความสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดนั้น มีข้อแนะนำจากผู้ป่วยหลายรายในญี่ปุ่น คือการทบทวนแก้ไขวิถีชีวิตของตัวเอง แต่ก็คิดว่าบางคนมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ดังนั้นวันนี้จึงมีวิธีการมาแนะนำ

◇ความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อพูดถึงการรับประทานอาหาร ต้องใส่ใจและพยายามที่จะทำให้มันมีความสมดุล ควรจะมีอาหารหลัก บางคนงดแป้งขาว เปลี่ยนเป็นทานข้าวซ้อมมือแทน , อาหารหลักๆ (เนื้อ, ปลา, ไข่, พืชตระกูลถั่ว, ฯลฯ), และอาหารเสริม (ผัก, เห็ด, สาหร่ายทะเล, ฯลฯ) ในมื้อนั้นๆ

◇อาหารต่างๆ ที่คุณจะรับประทาน ขอให้ระวังเรื่องอาหารที่ต้องสั่งซื้อจากร้านนอกบ้าน เกี่ยวกับเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ และเครื่องปรุงรสอาหาร การรับประทานผักที่อุดมไปด้วยใยอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นสามารถช่วยป้องกันการเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของระดับน้ำตาลในเลือด

◇อย่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์มากเกินไป และถ้าคุณสามารถเลิกมันได้ควรงดมันตลอดไป เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีผลต่อการหลั่งและการทำงานของอินซูลินและส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการดื่มที่มากเกินไป และต้องจำไว้ว่าเสมอว่าสิ่งต้องห้ามอย่างเคร่งครัดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานคือ เรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ ที่จะส่งผลลบต่อร่างกายนั่นเอง

◇และอีกสิ่งที่สำคัญอย่างมากคือ อย่าขาดการออกกำลังกาย! ต้องมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหมจนเกินไป นอกจากสาเหตุทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต แล้วสาเหตุของโรคเบาหวานยังเกี่ยวข้องกับโรคอ้วนและขาดการออกกำลังกายด้วย หากคุณมีน้ำหนักเกินกว่าน้ำหนักมาตรฐาน ต้องคิดเรื่องการควบคุมน้ำหนักให้ได้ตามเกณฑ์ หลักการง่ายๆ โดยถ้าคุณพยายามที่จะสร้างสมดุลทางอาหารที่รับประทานนั้นๆ แค่รับประทานแบบพอดี ครบหลักโภชนาการ ไม่ดื่มสุรา, และดูแลร่างกายของคุณโดยนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ทำจิตใจให้สงบสบาย ออกกำลังกายด้วย แค่นี้น้ำหนักของคุณจะลดลงตามธรรมชาติ

หรืออาจจะเปลี่ยนรูปแบบในชีวิตประจำวันที่พอจะทำให้เราได้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นได้ ก็จะยิ่งดียิ่งขึ้น เช่น การเดินขึ้นลงบันไดแทนที่จะได้ใช้บันไดเลื่อน การเดินไปนู้นนี่บ้าง ไม่นั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์เท่านั้น

◇หลีกเลี่ยงความเครียดทุกรูปแบบ จงอย่าเครียด และหยุดการสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันโรคเบาหวาน! เพราะการสูบบุหรี่สามารถเพิ่มความเร็วในการลุกลามของโรคเบาหวาน เพราะมันมีผลลบต่อการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน

นอกจากนี้,อย่าห้ามและบังคับตัวเองมากเกินไป เช่นไม่ต้องวางข้อจำกัดด้านอาหารและการออกกำลังกายมากเกินไป เพราะแทนที่จะดีแต่กลับทำให้เกิดความเครียดขึ้นมาแทน เพราะยิ่งเครียดจะยิ่งกระตุ้นทำให้อยากสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอร์ และจะยิ่งฉุดให้สุขภาพแย่ลง

◇การปรับปรุงไลฟ์สไตล์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่มีสิ่งตายตัวว่าแบบใดจึงจะดีที่สุด เพราะลักษณะรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อีกคนทำแล้วดีก็อาจจะไม่เหมาะกับตัวคุณก็เป็นได้ แค่คุณสามารถใช้ชีวิตในขอบเขตที่คุณไม่หักโหมมัน และเพื่อปรับปรุงวิถีชีวิตของคุณให้สมดุลก็เพียงพอ

โภชนบัญัติ 9 ประการสำหรับผู้สูงอายุกินอาหารให้หลากหลายในสัดส่วนที่เหมาะสม และหมั่นดูแลน้ำหนักตัวกินข้าวเป็นหลัก เน้นข้าว...
02/05/2022

โภชนบัญัติ 9 ประการสำหรับผู้สูงอายุ

กินอาหารให้หลากหลายในสัดส่วนที่เหมาะสม และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
กินข้าวเป็นหลัก เน้นข้าวกล้อง ข้าวขัดสีน้อย
กินพืชผักและผลไม้ตามฤดูกาลให้มากเป็นประจำ
กินปลา ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วเป็นประจำ
ดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงอาหาร ไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด
ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสหวาน
กินอาหารสะอาด ปลอดภัย
งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
กินเพลิน เจริญตา พาจำดี มีพลัง

กินเพลิน

สร้างบรรยากาศการรับประทานอาหารให้อร่อย ด้วยการรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว มีกิจกรรมทำร่วมกัน เช่น ร่วมกันปรุงประกอบอาหาร เปลี่ยนบรรยากาศรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือไปเที่ยวทั้งครอบครัวเป็นบางโอกาส

เจริญตา

เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน เอ บี1 บี12 ซี อี ลูทีน ซีแซนทีน ซิลิเนียม และสังกะสี ซึ่งช่วยในการทำงานของจอประสาทตา ชะลอการเกิดต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งพบใน ตำลึง ฟักทอง กะหล่ำดอก ผักบุ้ง บร็อคโคลี แครอท ข้าวโพด ฝรั่ง ส้ม มะละกอ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ตับ ไข่ หอยนางรม ปลา นม และน้ำมันพืช เป็นต้น



พาจำดี

บำรุงสมองและระบบประสาท ป้องกันการชาตามปลายมือปลายเท้า ด้วยการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า3 สารสื่อประสาทโคลิน เลซิตินและวิตามินบีต่างๆ ได้แก่ บี1 บี6 และบี12 เป็นต้น ซึ่งพบใน ปลาทะเลน้ำลึก ใบแปะก๊วย ไข่แดง กล้วย ถั่วเหลืองและข้าวกล้อง เป็นต้น

มีพลัง
ผู้สูงอายุ ต้องการพลังงาน 1,400 ถึง 1,800 กิโลแคลอรีต่อวัน ขึ้นอยู่กับอายุ น้ำหนัก ส่วนสูง และการใช้พลังงานในแต่ละวัน ซึ่งควรเสริมสร้างกล้ามเนื้อและชะลอความเสื่อมของกระดูก ด้วยการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน แคลเซียม วิตามินดี เค และแมกนีเซียม ซึ่งพบใน นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียวเข้ม เต้าหู้แข็ง ปลาเล็กปลาน้อย และงาดำ เป็นต้น เลือกรับประทานโปรตีนที่ดี เช่น ปลา ไข่ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำย่อยง่าย ถั่วและธัญพืชต่างๆ

รับประทานให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ไม่รับประทานของซ้ำๆเดิมๆ มีปริมาณที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันตามตารางแนวทางการรับประทานอาหารของผู้สูงอายุ เพียงเท่านี้ผู้สูงอายุก็จะมีภาวะโภชนาการที่ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง ต่อสู้กับการเสื่อมถอยของร่างกายได้เป็นอย่างดี

โทษของน้ำตาล1. การรับประทานน้ำตาลทรายมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษได้ เช่น ทำให้อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ระบ...
27/04/2022

โทษของน้ำตาล
1. การรับประทานน้ำตาลทรายมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษได้ เช่น ทำให้อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ระบบการย่อยอาหารไม่ดี มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป ทำให้ฟันผุ ฯลฯ[1]
2. น้ำตาลมีผลเพิ่มปริมาณของไขมันร้าย หรือ ไขมันเลว (LDL) และไปลดปริมาณของไขมันดี (HDL)
3. การรับประทานน้ำตาลทรายมากจนเกินไปจะทำให้ต้องใช้อินซูลินมากเกินไป ถ้ารับประทานเป็นระยะเวลานานก็สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ และในคนที่บริโภคน้ำตาลมากจนเกินไปในช่วง 40 ปีแรกของชีวิต จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะน้ำตาลจะไปทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินเสื่อมสมรรถภาพ เมื่อรับประทานเข้าไปมาก ๆ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น[1]
4. นอกจากน้ำตาลจะเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานแล้วน้ำตาลยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงอีกด้วย[3]
5. การรับประทานน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้การขับออกของโครเมียมทางไตมีมากขึ้น ซึ่งโครเมียมนั้นเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเพิ่มการทำงานของอินซูลินในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้น การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก จะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินได้
6. สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารหวานบ่อย ๆ สมดุลของแร่ธาตุในร่างกายจะไม่ค่อยสมดุล ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยมีรายงานว่าการรับประทานหวานมากจะทำให้เลือดมีแคลเซียมมากขึ้น ฟอสฟอรัสลดลง ซึ่งอาจไปตกตะกอนทำให้เกิดนิ่วในไตได้ นอกจากนี้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อย ๆ ยังเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นระยะเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น[3]
7. น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากจนเกินไป ตับจะส่งไปยังกระแสเลือดแล้วเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น หน้าท้อง ขาอ่อน เป็นต้น และการรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ซึ่งอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มไปด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายก็เริ่มมีความผิดปกติ ความดันเลือดก็จะสูงขึ้น สรุปก็คือถ้าเราไม่ได้ใช้พลังงานมากเพียงพอ น้ำตาลที่ได้ก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย[3]
8. เมื่อเรารับประทานน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลทราบ น้ำผึ้ง น้ำตาลในนม น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลเหล่านี้จะเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดความไม่สมดุล ทำให้มีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่าง ๆ มาแก้ไขความไม่สมดุล[3]
9. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง ไมเกรน เป็นสิว ผื่น ตกกระ เป็นตะคริวช่วงมีรอบเดือน แผลพุพอง แผลริดสีดวงทวาร มะเร็งตับ เบาหวาน โรคหัวใจ วัณโรค เหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อการรับประทานน้ำตาลที่มากเกินไป[3]
10. ผลการวิจัยพบว่า โรคฟันผุมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับประทานน้ำตาล เมื่อรับประทานน้ำตาลจะทำให้สภาพของกรดในปากเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่มีอายุมากจะรู้สึกว่ามีรสเปรี้ยว Bacillus acidi lactici คือแบคทีเรียที่ชอบอาศัยและเจริญเติบโตอยู่ตามร่องฟัน ซอกฟัน หรือแอ่งฟันที่มีสภาพเป็นกรด ทำให้แคลเซียมในฟันหลุดและเกิดโรคฟันผุ (แมงกินฟัน)[1]

11. การรับประทานน้ำตาลซูโครสมากจะทำให้กรดอะมิโน "ทริปโตเฟน" ถูกเร่งให้ผ่านเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้สมดุลของฮอร์โมนในสมองเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อย เซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง[3]
12. การรับประทานน้ำตาลทรายก็ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารได้เช่นกัน เพราะถ้ารับประทานน้ำตาลทรายในปริมาณมากจะทำให้วิตามินบีในร่างกายถูกใช้ไปมาก เมื่อวิตามินบีในร่างกายน้อยลง จะส่งผลทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง น้ำย่อยและน้ำลายก็ลดน้อยลง ทำให้เบื่ออาหารมากขึ้น[1]
13. การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากเกินไป จะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงนอน[3]
14. น้ำตาลทรายเมื่ออยู่ในกระเพาะอาหารมากจนเกินไป จะทำให้สภาพกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) ในลำไส้ ทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง[1]
15. มีผู้เชื่อว่าการรับประทานมากเกินไป จะส่งผลต่อการเผาผลาญแคลเซียม ถ้าปริมาณน้ำตาลสูง 16-18% ของอาหารที่กิน จะทำให้การเผาผลาญของแคลเซียมในร่างกายเกิดความสับสนได้[1]
16. สำหรับคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ฯลฯ เพราะจะทำให้อวัยวะภายในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันสูง อ้วน กระดูกพรุน เนื้องอก และมะเร็ง ที่สำคัญน้ำตาลยังทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น หากดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ อาการของโรคภูมิแพ้จะมีความรุนแรงเป็น 2 เท่า หรือทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคทุกชนิดจะใช้น้ำตาลเป็นอาหาร และน้ำตาลยังเป็นแหล่งอาหารของเซลล์มะเร็ง เป็นอาหารของยีสต์ในลำไส้ ทำให้ยีสต์เพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำให้เกิดภาวะไส้รั่ว[3]
17. น้ำตาลนอกจากจะส่งผลร้ายต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าเด็กรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ฟันผุ เป็นโรคกระดูกเปราะ อาจทำให้เด็กเป็นคนโกรธง่ายและไม่มีสมาธิได้[3]
18. น้ำตาลจะไปจับตัวกับคอลลาเจน (ไกลเคชั่น) ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ลดความยืดหยุ่น และยังไปลดปริมาณของฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์ (Growth Hormone) ซึ่งจะทำให้ผิวหนังแห้ง เหี่ยวย่น และอ้วนได้
19. จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก แนะนำให้คนรับประทานน้ำตาลเพียงวันละ 6 ช้อนชาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงโรคเบาหวาน (โรคเบาหวานถูกยกระดับให้เป็นโรคอันตรายเทียบเท่ากับโรคเอดส์) แต่จากการสำรวจของ สสส. กลับพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ 3 เท่าตัว หรือประมาณ 20 ช้อนชา โดยเฉพาะเด็กที่ชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนทำให้สถิติอ้วนลงพุงของเด็กไทยพุ่งสูงขึ้นที่สุดในโลก และในรอบห้าปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กไทยที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า และยังพบว่าคนไทยจำนวนมากถึง 17 ล้านคน ที่ดื่มน้ำอัดลมทุกวัน โดยน้ำอัดลมน้ำดำ น้ำอัดลมสี และน้ำอัดลมน้ำใส (เพียงกระป๋องเดียว) จะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมอยู่มากถึง 34-46 กรัม หรือคิดเป็น 8.5-11.5 ช้อนชาเลยทีเดียว (แค่เฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวัน ร่างกายของเราก็ได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็นแล้ว)

Tập thể dục để tăng cường thể lực, bệnh nhân đái tháo đườngNgoài việc kiểm soát lượng thức ăn ở những người mắc bệnh tiể...
26/04/2022

Tập thể dục để tăng cường thể lực, bệnh nhân đái tháo đường
Ngoài việc kiểm soát lượng thức ăn ở những người mắc bệnh tiểu đường Nên chú ý tập thể dục. đó là một phần của việc giúp kiểm soát bệnh tiểu đường cùng với

Kiểm soát lượng thức ăn và thuốc uống Bởi vì khi chúng ta tập thể dục, các tế bào của cơ thể trở nên nhạy cảm hơn với insulin. làm cho đường trong máu được sử dụng hiệu quả

Vì vậy, tập thể dục thường xuyên sẽ giúp giảm lượng đường trong máu. bao gồm cả mức đường tích lũy
Khuyến nghị tập thể dục cho những người mắc bệnh tiểu đường
Bạn nên tập thể dục thường xuyên, 10 phút mỗi lần, 30 phút mỗi ngày, ít nhất 150 phút mỗi tuần. Các hoạt động được đề xuất như đi bộ, đạp xe, tập thể dục mạnh mẽ
Huấn luyện sức đề kháng hoặc thăng bằng Nói chung, tập thể dục đi bộ ít nhất 10.000 bước mỗi ngày có thể được thực hiện mà không có chống chỉ định ở hầu hết bệnh nhân. bao gồm cả mức độ hoạt động thể chất
nhẹ đến trung bình Nếu bạn chưa bao giờ tập thể dục trước đây hoặc cảm thấy không an toàn Bạn nên hỏi ý kiến ​​bác sĩ trước khi bắt đầu.
Lời khuyên về việc tập thể dục
1 Bạn nên tập thể dục ít nhất 1-2 giờ sau bữa ăn.
1 mặc quần áo và giày phù hợp Tránh mặc quần áo chật.
1 Hula N2 5-10 phút trước khi tập thể dục và 000 | 50P3 5-10 phút sau khi tập thể dục
1 Tránh tập thể dục trong điều kiện quá nóng hoặc quá lạnh.
1 đầu tiên nên được tưới nước tốt trong và sau khi tập thể dục để tránh mất nước
1 Tránh gắng sức quá sức.
1 Nếu có các triệu chứng bất thường trong khi tập luyện như chóng mặt, mệt mỏi, hãy dừng lại và hỏi ý kiến ​​bác sĩ.

ที่อยู่

อาคารอินเตอร์เชนจ์ 21/399 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา , Bangkok, Thailand, Bangkok
Klong Toey

เบอร์โทรศัพท์

+66992920074

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอพรทิพย์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอพรทิพย์:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท