02/12/2025
ทำไมคนบางคนไปหาหมอ-หลายหมอแล้วไม่หายสักที(ยกเว้นNCD)
บางคนเป็น-หายหลายปี หลายหมอ ทั้งๆที่ได้บอกหมอแล้วว่าเป็นโรคอะไร หมอยังซื่อบื้อ ตรวจร่างกาย สืบค้นทางห้องปฏิบัติการแทบทุกอย่างแล้ว แถมบอกว่าปกติ ทั้งๆที่ ‘ข้าเจ้า‘ บอกหลายเตื้อ แล้วว่า ไม่ปกติ มีอาการจริงๆ ไม่ได้คิดไปเองนะ!
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผมเจอบ่อยขึ้น จึงสืบค้นดู พบว่า ทั่วโลกก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่คนไทยอาจจะมากกว่า เนื่องจากระบบสาธารณสุข(ร่วมกับข้อมูลทางอินเทอเน็ต และการซื้อยาเอง) เมื่อพบหมอ มักจะบอกชื่อโรค (Self-diagnosis ) เช่น ผมเป็น ไมเกรน ไซนัส เกิร์ด หรือ ภูมิแพ้ ฯ คุณหมอบางท่านก็จะเกิดอาการ
“Anchoring Bias”. มุ่งเน้นยืนยันไปตามโรคนั้น พอคุณหมอถามต่อ คนไข้ก็จะพรั่งพรู บอกเล่าประวัติการไปพบหมอมาแล้วกี่คน กี่โรงพยาบาล มีการตรวจสืบค้นแทบจะทุกอย่าง กินยาดีหมดยาเป็น ถึงตอนนี้ถ้าคุณหมอบางท่าน ปิ๊ง( Satori )ทางลัดในการคิด (Heuristic thinking) โดยไม่ได้เก็บข้อมูลอาการทั้งหมดอย่างละเอียด ซึ่งอาจทำให้การวินิจฉัยผิดพลาดหรือมองข้ามโรคที่ร้ายแรงกว่าได้ คนไข้ก็เข้าวัฏจักรเดิม-เปลี่ยนหมอ-เปลี่ยนโรงพยาบาล - ยังไม่หายสักที เฮ้อ (!)
# คำพูดที่คุณหมอแก่ๆรุ่นเก๋ามักจะนินทาคนไข้ “คนไทยไปหาหมอจะกินยาอยู่แค่ 3 วัน ดีขึ้น-เลิกกิน-หายแล้ว ไม่ดีขึ้น-เลิกกิน-ยาไม่ถูกโรค #
ท่านจะเป็นคนที่ดูดี มีวุฒิภาวะทันที เวลาไปหาหมอ เพียงแค่บอก “อาการ”ที่ท่านเป็น โดยไม่ต้องบอก “ชื่อโรค“เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องและแม่นยำ
ขอให้ท่านเริ่มต้นด้วย การเล่าอาการ เช่น เริ่มเป็นเมื่อไร เป็นแบบไหน มีอะไรที่ทำให้ดีขึ้นและมีอะไรที่ทำให้แย่ลง
ตัวอย่าง *** ผมเจ็บคอ มีไข้ ไอด้วย เป็นมา 3วัน กินยาแก้ปวดดีขึ้น หมดฤทธิ์ยาเป็นอีก*** หมอก็จะช่วยหาสาเหตุ
แต่ถ้าบอกว่า ผมทอนซิลอักเสบ ก็จบ หมอดูคอ สั่งยาปฏิชีวนะ และยาลดไข้ให้เท่านั้น
ผลหรือครับ ท่านก็เป็นๆ หายๆ ไปตลอดชีวิต
#ทุกครั้งที่ไปหาหมอ ต้องถามให้ได้ ผมเป็นโรคอะไร ผมต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จะหายไหม ถ้าไม่ดีขึ้นผมต้องทำอย่างไรครับ #
ด้วยความปรารถนาดี นพ. สุรชัย ว่องวัฒนโรจน์
2 ธันวาคม 2568