05/10/2025
🌬️ "หลอดลมไว"หลังการติดเชื้อ RSV มีจริงไหม?
⚠️ คำเตือน: โพสต์นี้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
(ฉบับประชาชนให้อ่านอีกโพสต์ในคอมเมนต์ครับ)
หลายคนสงสัยว่า… “หลอดลมไว” ที่เห็นพูดถึงบ่อยๆ
มันมี evidence บ้างไหม? แล้วต่างจาก “Asthma” ยังไง?
วันนี้จะมาเล่าสิ่งที่ได้จากการรีวิวงานวิจัยให้ฟังครับ 🩺
=======================
1️⃣ “หลอดลมไว” คืออะไร? ต่างจากหอบหืดยังไงกันแน่? 🤔
2️⃣ เราจะรู้ได้ไงว่าเด็กเป็น “หลอดลมไว” จริง ไม่ใช่คิดไปเอง? 🧪
3️⃣ งานวิจัยพูดอะไร? “หลอดลมไวหลังติดเชื้อไวรัส” อยู่กับเรานานแค่ไหนกันแน่?
4️⃣ สรุป Practical point ในการนำไปประยุกต์ใช้ 🩺
=======================
1️⃣ “หลอดลมไว” คืออะไร? ต่างจากหอบหืดยังไงกันแน่? 🤔
ในทางการแพทย์ คำว่า “หลอดลมไว” ก็คือ Airway Hyperresponsiveness (AHR)
บาง paper ใช้คำว่า Bronchial Hyperresponsiveness (BHR) หรือ Bronchial Hyperreactivity Syndrome (BHS)
👉 เพื่อความง่าย ในโพสต์นี้ผมจะใช้คำว่า “หลอดลมไว”
⸻
📌 มันคืออะไร?
หลอดลมไว = ภาวะที่ "หลอดลมตอบสนองมากกว่าปกติ" เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นเล็กน้อย
อาการที่พบได้
• ถ้าหลอดลมตีบ ไม่มาก → มักจะมีอาการ ไอเยอะเป็นหลัก แต่ยังไม่มี wheezing
• ถ้าหลอดลมตีบ มากขึ้นจนเกิด turbulent flow → จะได้ยินเสียง wheezing ร่วมกับหายใจหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก
⸻
📌 ตัวกระตุ้นที่เจอบ่อย
❄️ อากาศเย็น
🚬 ควันบุหรี่
🌫️ ฝุ่นละออง/PM2.5
🌸 กลิ่นน้ำหอม
🏃♂️ การออกกำลังกาย
😰 อารมณ์–ความเครียด
🤧 การติดเชื้อไวรัส (เช่น common cold, RSV)
👶 ตัวอย่างที่เจอในเด็ก
• เด็กบางคนเป็นหวัดธรรมดา 2–3 วันก็หาย อาการไม่มาก
• แต่เด็กอีกคน…เป็นหวัดทีไร ไอหนักทุกครั้ง
• บางรายถึงขั้น หอบ มีเสียง wheeze ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอาการมาก่อน
• ไม่มี family history ของ asthma ด้วยซ้ำ
• และอาการมักเพิ่งเริ่ม หลังจากเคยติด RSV ไปไม่นาน
👉 กลุ่มนี้แหละครับ ที่เราต้องนึกถึงว่าอาจมี “ภาวะหลอดลมไว” (post-viral AHR)
⸻
แล้วมันไม่ใช่หอบหืดเหรอ?
บางคนอาจสงสัยว่า…
“อาการคล้ายกันขนาดนี้ ทำไมไม่เรียกว่าหอบหืดไปเลย จะได้จบ ๆ?”
คำตอบคือ 👉 มันต่างกันตรงธรรมชาติของโรคครับ
• Asthma = โรคเรื้อรัง (chronic disease)
>> คุมอาการได้ (remission) แต่ ไม่หายขาด
• Post-viral AHR = ภาวะชั่วคราวหลังไวรัส
>> มักหายเองใน 1–3 เดือน
ดังนั้น การมี “หลอดลมไว” ไม่เท่ากับ การเป็น “asthma” เสมอไป
⸻
📝 เรื่องเล่าจากงานวิจัย
จริงๆ เรื่องนี้ถูกพูดถึงในวงการแพทย์มานานแล้วครับ
ย้อนกลับไปปี 1991 ที่ Texas มีงานชื่อว่า
“Postviral Bronchial Hyperreactivity Syndrome (PVBHS): Recognizing asthma’s great mimic”
ผู้วิจัยเล่าว่า PVBHS มีอาการ เหมือน asthma แทบทุกประการ
จนถึงกับเรียกว่า “asthma’s great mimic”
แต่เขาอธิบายชัดเจนว่ามันต่างจาก asthma เพราะว่า…
1. เป็นภาวะ self-limited → อยู่ได้เพียง 3 สัปดาห์ – 3 เดือน แล้วหาย
2. มี สาเหตุแน่ชัด คือเกิด หลังการติดเชื้อไวรัส
เขายังเสนอ criteria ของ PVBHS ได้แก่
• มีประวัติ viral infection นำมาก่อน
• มีอาการไอหรือ wheeze เป็น ๆ หาย ๆ
• Methacholine หรือ cold-air challenge test positive
• ตรวจร่างกาย/เลือด/X-ray → ไม่พบโรคอื่น
• และอาการสามารถ หายได้เอง โดยไม่ต้องเป็น asthma
⸻
🔑 Key point
• Asthma = chronic disease [hallmark หนึ่งคือ AHR]
• Post-viral AHR = transient phenomenon → เจอได้หลัง viral infection
• ติดเชื้อไวรัสอะไรก็เป็น Post-viral AHR ได้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะ RSV เท่านั้นนะ
=======================
2️⃣ เราจะรู้ได้ไงว่าเด็กเป็น “หลอดลมไว” จริง ไม่ใช่คิดไปเอง? 🧪
👉 คำถามต่อมาก็คือ
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กที่เราสงสัยเป็น “หลอดลมไว” จริง ไม่ใช่แค่ perception ของเรา?
🔬 คำตอบคือ ตรวจด้วย “Bronchial Provocation Test”
เป็นการทดสอบที่ตั้งใจกระตุ้นหลอดลมโดยตรง เพื่อดูว่า airway ของผู้ป่วย “ไวกว่าปกติ” หรือไม่
• Gold standard = Methacholine Challenge Test (MCT)
หลักการคือ
1.เป่า spirometry วัด FEV1 baseline ก่อน
2.ให้ผู้ป่วยสูด methacholine ที่เพิ่มความเข้มข้นขึ้นทีละ step
3.วัด FEV1 ทุกครั้งที่เพิ่ม dose methacholine
4.ถ้า FEV1 ลดลงจาก baseline ≥20% → ถือว่า positive ให้หยุดทำ test ได้
• คนปกติ: ต้องใช้ methacholine เข้มข้นมากพอสมควร ถึงจะทำให้ FEV1 ลดลงถึง 20%
• Airway hyperresponsiveness(AHR): ใช้ความเข้มข้นต่ำ (≤8 mg/mL) ก็ทำให้ FEV1 ลดลง ≥20% แล้ว
📌 ค่าที่เราใช้ เรียกว่า PC20 (Provocative Concentration causing 20% fall in FEV1)
• PC20 ≤8 mg/mL → บ่งบอกว่ามี AHR
⸻
🧪 วิธีอื่นๆ ที่มีใช้
• Histamine Challenge Test → หลักการเดียวกันกับ methacholine
• Indirect challenge เช่น Mannitol challenge, Hypertonic saline challenge, Exercise challenge
⸻
🩺 แปลให้เข้าใจง่าย ๆ
• ถ้าหลอดลม “ไวมาก” → เจอ methacholine ปริมาณนิดเดียว FEV1 ก็ลดลง 20% แล้ว
• ถ้าหลอดลม “ไม่ไว” → ต้องใช้ความเข้มข้นสูงมากกว่าหลอดลมจะเปลี่ยนแปลง
⸻
ในประเทศไทยการตรวจ Methacholine Challenge Test (MCT) ในเด็กทำได้ยาก
👉 ใน practice บ้านเรา ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ส่งตรวจ
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญมากคือ
- การซักประวัติ + ตรวจร่างกาย
- และนัดติดตามอาการต่อเนื่อง
=======================
3️⃣ งานวิจัยพูดอะไร? “หลอดลมไวหลังติดเชื้อไวรัส” อยู่กับเรานานแค่ไหนกันแน่?
🔬 งานคลาสสิกปี 1976 (Empey et al.)
ตีพิมพ์ใน ATS journal ถือว่าเป็นงานที่ปูพื้นฐานให้เราเข้าใจ post-viral AHR มาจนทุกวันนี้
ย้อนกลับไปเกือบ 50 ปีก่อน นักวิจัยตั้งคำถามว่า
👉 “ทำไมบางคนแค่เป็นหวัด แต่ไอหนัก หอบเหนื่อย wheezing เหมือนหอบหืด?”
เขาจึงทำการทดลองกับ อาสาสมัคร 16 คนที่เป็น common cold เทียบกับ 11 คนสุขภาพดี
• ขั้นแรก ให้สูด histamine challenge
→ กลุ่ม common cold มี airway resistance พุ่งขึ้นเฉลี่ย 218%
→ กลุ่มปกติขึ้นเพียง 30% 😮
✦ แปลว่าแค่หวัดธรรมดาก็ทำให้เกิด AHR จริงๆ
• ขั้นต่อมา ทำซ้ำๆ ตั้งแต่ 2–3 วันหลังเริ่มหวัด → พบว่าหลอดลมยังไวผิดปกติต่อเนื่องไปอีกหลายสัปดาห์
แต่ทุกคนกลับสู่ปกติได้ภายใน ~7 สัปดาห์
• นักวิจัยสงสัยว่า airway resistance ที่เพิ่มขึ้นเกิดจาก 1. กล้ามเนื้อหดตัว หรือเป็นเพราะ 2. airway บวม/เสมหะ?
เลยให้ผู้ป่วยลองพ่น isoproterenol (β2 agonist)
→ ผลคือ ค่า resistance ที่สูงขึ้นกลับสู่ปกติทันที
✦ หมายความว่าหลัก ๆ มาจาก smooth muscle contraction ไม่ใช่ airway บวม หรือ เสมหะ
📌 สรุปแบบเข้าใจง่าย:
การติดเชื้อไวรัสทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจเสียหาย → ปลายประสาทรับความรู้สึกถูก “เปิดโปง”
เวลาเจอสิ่งกระตุ้นเล็กน้อย → หลอดลมหดแรงกว่าปกติ
และนี่คือ หลักฐานชิ้นแรก ๆ ที่ยืนยันว่า Post-viral AHR มีอยู่จริง ✅
--------------------
🔹 งานวิจัยในสัตว์
หลังจากปี 1976 ที่มีหลักฐานในคนแล้วว่า post-viral AHR มีจริง
นักวิจัยก็ยังมีคำถามค้างคาหลายประเด็นเลยไปลองทำวิจัยในหนูทดลอง เพื่อควบคุมตัวแปรและหาคำตอบ
1. J Clin Invest, 1997
• เอาหนูทดลองที่ติดเชื้อ RSV เทียบกับหนูไม่ติดเชื้อ RSV
• เอามาทำ metacholine challenge test
• พบว่าหนูที่ติดเชื้อ RSV มีภาวะหลอดลมไวเกิน(AHR) มากกว่ากลุ่มที่ไม่ติดเชื้ออย่างมีนัยสำคัญ
• โดยหลอดลมไวเริ่มขึ้นตั้งแต่ day4 หลังการติดเชื้อ >> peak day6 >> ค่อยๆกลับสู่ปกติ day21
2. Eur Respir J, 1997
• คราวนี้ทีมวิจัยอยากรู้ว่า หลอดลมไวเกิดอยู่นานแค่ไหน?
• เอาหนูทดลอง 2 กลุ่มเหมือนกัน (ติดเชื้อ RSV vs control)
• มาลองทำ metacholine challenge test q 1 week x5 weeks
• พบว่ากลุ่มที่ติดเชื้อ RSV มีภาวะหลอดลมไวอยู่ตลอดการศึกษา 5 สัปดาห์เลย
• ที่สำคัญ: แม้ airway inflammation จะหายแล้วแต่ความไวของหลอดลมยังไม่หาย
3. Virology, 2005
• นักวิจัยถามเพิ่มอีกว่าแล้ว พื้นฐานพันธุกรรมของ host มีผลต่อ duration ของ AHR ไหม?
• ใช้หนู 2 สายพันธุ์: สายพันธุ์ที่โน้มเอียงไปทาง Th2 response (แนว allergic) กับ สายพันธุ์ที่โน้มเอียงไปทาง Th1 response (แนว non-allergic)
• ผลคือทั้งสองสายพันธุ์มี AHR หลังติด RSV เหมือนกัน
• แต่สายพันธุ์ Th2-prone → AHR อยู่นานกว่า (42 วัน vs 28 วัน)
** สรุป การติด RSV สามารถทำให้เกิด AHR ได้ในหมด แต่พันธุกรรมของ host เป็นตัวกำหนดว่าความไวนั้นจะอยู่สั้นหรือยาว
--------------------
🔹 งานวิจัยในเด็กจริง (Pediatr Allergy Immunol, 2021)
สุดท้ายลองกลับมาที่ “คนจริง” เพื่อดูว่าผลในคลินิกเป็นอย่างไร
ทีมวิจัยทำ prospective cohort study
ติดตามเด็กที่เคยป่วย Severe RSV bronchiolitis (ต้องนอน รพ. ในปีแรกของชีวิต)
• เริ่มต้น N = 206 คน
• เหลือข้อมูลสมบูรณ์ 122 คน ตอนอายุ 12 ปี
• ใช้ Methacholine Challenge Test (MCT) เพื่อตรวจ AHR
📊 ผลลัพธ์:
• ตอนอายุ 7 ปี → AHR พบสูงถึง 96% (122/127)
• ตอนอายุ 12 ปี → AHR ลดลงเหลือ 78% (95/122) แต่ก็ยังสูงมาก
• เด็ก 72/122 คน (59%) ได้รับการวินิจฉัย asthma
** นั่นหมายความ่วา 50/122 คน ตรวจเจอ AHR โดยที่ไม่ได้เป็น Asthma **
⚠️ Limitation:
• อัตรา dropouts สูงมาก (206 → 122 คน) อาจเกิด selection bias ได้ (เด็กที่มีอาการมากอาจ follow-up ต่อเนื่องมากกว่า)
• ผมได้ลองคิด worst-case scenario (สมมติให้เด็กที่หายไปทั้งหมดไม่มี AHR เลย)
→ จะคำนวณ AHR ตอน 7 ปี ได้ ~59% (122/206)
→ ตอน 12 ปี ได้ ~46% (95/206)
➡️ ต่อให้เป็นแบบนี้ก็ยัง “สูงผิดปกติ” เมื่อเทียบกับเด็กทั่วไปอยู่ดี
📌 สิ่งที่เราเรียนรู้จากงานนี้
เด็กที่เคยมี severe RSV bronchiolitis ในปีแรกของชีวิต มีโอกาสสูงมากที่จะมี
หลอดลมไว นานกว่าปกติและในกลุ่มนี้ “บางส่วน” ก็พัฒนาไปเป็น asthma จริงๆ
--------------------
🔹 งานวิจัยในเด็กที่เป็นหอบหืดเล็กน้อย (JACI, 2005)
นักวิจัยอยากรู้ว่า
"ในเด็กหอบหืดที่เป็นภูมิแพ้ (Atopic) จะมีหลอดลมไวหลังติดหวัดได้นานกว่ากลุ่มไม่เป็นภูมิแพ้หรือเปล่า?"
• กลุ่มศึกษา: เด็กอายุ 7–12 ปี ที่เป็น intermittent virus-induced asthma 25 คน
• Atopic = 13 คน
• Non-atopic = 12 คน
• ทุกครั้งที่เด็กเป็นหวัด → ทำ Methacholine Challenge Test ที่ 10 วัน, 5, 7, 9, 11 สัปดาห์
📊 ผลลัพธ์สำคัญ
• หลังเป็นหวัดในแต่ละครั้ง → AHR อยู่ได้นาน 5–11 สัปดาห์ (ทั้งกลุ่ม Atopic และ Non-atopic ไม่ต่างกัน)
• แต่เมื่อติดตามตลอด 9 เดือน → พบว่าเด็กกลุ่ม atopy ป่วยซ้ำบ่อยกว่าและมีหอบกำเริบบ่อยกว่าชัดเจน
• ผลคือ เด็ก Atopic หลายคนมี AHR ยืดเยื้อเกิน 6 เดือน เพราะโดนหวัดกระตุ้นซ้ำ ๆ
📌 สรุปสั้น ๆ
• การติดเชื้อไวรัสแต่ละครั้งทำให้เกิด AHR อยู่ได้ 1–3 เดือน
• แต่ถ้าเด็กมี ภูมิแพ้ → มีโอกาสป่วยบ่อย → สะสมจนกลายเป็น หลอดลมไวเรื้อรัง ได้ง่ายกว่า
=======================
4️⃣ สรุป Practical point ในการนำไปประยุกต์ใช้ 🩺
1. หลอดลมไว ≠ Asthma
• Post-viral AHR มีอยู่จริง อยู่ได้นาน 1-3 เดือนหลังการติดเชื้อ
👉 ไม่ใช่เฉพาะ RSV เท่านั้น แต่ไวรัสทางเดินหายใจหลายชนิดก็ทำให้เกิด AHR ได้
• Post-viral AHR ไม่จำเป็นต้องพัฒนาไปเป็น asthma ทุกคน
• แต่สิ่งสำคัญคือ ต้อง follow-up ต่อเนื่อง เพื่อดูว่าอาการจะหายสนิท หรือกลายเป็น asthma ในอนาคต
2. Severity ของการติดเชื้อมีผล
• เด็กที่เป็น severe RSV bronchiolitis → มีโอกาสสูงที่จะ develop AHR ยาวนานกว่าปกติ
3. การติดเชื้อซ้ำ = AHR ยืดเยื้อ
• เด็กที่เป็น atopy → มักติดเชื้อไวรัสซ้ำบ่อยกว่า → ทำให้ช่วงเวลาที่หลอดลมไวสะสมยาวนานกว่า (อาจ >6 เดือน)
• ดังนั้นการ control ภูมิแพ้ให้ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อป้องกัน AHR ที่ยืดเยื้อ
4. การรักษาหลอดลมไว
• คล้ายกับการรักษา asthma เช่น การใช้ bronchodilator, ICS ตามความรุนแรง
• แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องประเมินซ้ำ ว่าคนไข้เข้าสู่ asthma หรือยัง เพื่อไม่ over/under treatment
5. คำถามที่พ่อแม่มักถาม: “หลอดลมไวมันหายได้ไหม?” 👨👩👧
คำตอบตามหลักฐานคือ
• บางคนหายได้ (self-limited)
• บางคนกลายเป็น asthma
เรายัง predict ไม่ได้ 100% → สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ ติดตามอาการระยะยาว
6. สิ่งที่ผู้ปกครองทำได้ระหว่างที่ลูกเป็นหลอดลมไว คือ
✅ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ของเย็น อากาศเย็น ฝุ่น PM2.5 ควันบุหรี่
✅ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อซ้ำๆ สอนให้เด็กรุ้จักการล้างมือ ไม่จับหน้า ไม่เอามือเข้าปาก และใส่หน้ากากอนามัย
✅ พาลูกไปฉีดวัคซีนตามที่แพทย์แนะนำเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
✅ ถ้าอาการมากให้ปรึกษาแพทย์ในแง่ของการใช้ยา
📌 Take-home message
Post-viral AHR = asthma’s great mimic
สิ่งสำคัญคือ “นัด Follow up อาการต่อเนื่อง”
อย่ารีบแปะ label asthma แต่ก็อย่ามองข้าม เพราะบางส่วนจะ evolve เป็น asthma จริงๆ