สุขเปี่ยมเภสัช : Sookpiam Bhaesaj Pharmacy&Care

สุขเปี่ยมเภสัช : Sookpiam Bhaesaj Pharmacy&Care ร้านขายยา โดยเภสัชกรใกล้ราชภัฏเลย

ร้านสุขเปี่ยมเภสัชเข้าโครงการคนละครึ่งนะคะเริ่ม 29 ตุลาคม 2568แล้วพบกันนะคะ😊
28/10/2025

ร้านสุขเปี่ยมเภสัช
เข้าโครงการคนละครึ่งนะคะ
เริ่ม 29 ตุลาคม 2568
แล้วพบกันนะคะ😊

น้อมส่งเสด็จ ขอพระองค์สู่สวรรค์คาลัย🕊️ทรงงดงามในใจชาวไทยเสมอ🤍 24/10/68
25/10/2025

น้อมส่งเสด็จ ขอพระองค์สู่สวรรค์คาลัย🕊️
ทรงงดงามในใจชาวไทยเสมอ🤍
24/10/68

25/10/2025

🖤🤍 หลังเหตุการณ์เสด็จสวรรคต “สมเด็จฯพระพันปีหลวง”
คนไทยควรเตรียมตัวอย่างไร?
ถอดบทเรียนจาก “ในหลวงรัชกาลที่ 9”
— เมื่อครั้งทั้งแผ่นดินร่วมไว้อาลัย แต่ยังใช้ชีวิตด้วยความสำรวม
หลังสำนักพระราชวังมีประกาศการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

คนไทยทั้งประเทศต่างอยู่ในความโศกเศร้าและไว้อาลัยต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน แต่ขณะเดียวกัน หลายคนก็เริ่มตั้งคำถามว่า “แล้วเราควรปฏิบัติตัวอย่างไร?”
“ช่วงไว้อาลัย 1 ปี” จะเหมือนเมื่อครั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือไม่ ?
เมื่อย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2559 ช่วงที่ทั้งแผ่นดินโศกเศร้าต่อการเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ ……
รัฐบาลและสำนักพระราชวังไม่ได้สั่ง “หยุดทุกอย่าง” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ขอให้ประชาชนแสดงความอาลัยอย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ
ในช่วงเดือนแรก มีการขอความร่วมมือให้งดงานรื่นเริงในที่สาธารณะ เช่น คอนเสิร์ตใหญ่ หรืองานเลี้ยงที่มีวงดนตรีเต็มรูปแบบ หลายงานเลือกปรับให้เรียบง่ายลง หรือเลื่อนไปจัดภายหลัง
แต่กิจกรรมในครอบครัว เช่น งานบวชหรืองานแต่ง ยังคงจัดได้ตามปกติ เพียงลดรูปแบบการเฉลิมฉลอง ไม่จุดพลุ ไม่ดื่มฉลองเสียงดัง และปรับให้บรรยากาศสำรวมมากขึ้น
ขณะเดียวกัน หลายพื้นที่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะชุมชนและวัดท้องถิ่น ยังคงดำเนินกิจกรรมตามวิถีชีวิตประจำวันต่อไป เช่น งานบุญ งานทอดกฐิน หรืองานเทศกาลท้องถิ่น
เพียงแต่อาจลดเสียงเครื่องเสียง หรือเปลี่ยนเป็นกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศลแทน
ทำให้ภาพของ “ความไว้อาลัย” ในปีนั้น ไม่ได้เหมือนกันทุกพื้นที่ บางจังหวัดมีบรรยากาศสงบเงียบทั้งเมือง ขณะที่บางแห่งยังมีงานตามฤดูกาลดำเนินอยู่ตามปกติ แต่ทุกคนล้วนมีจิตสำนึกเดียวกันคือ “ความเคารพและสำรวม”
ส่วนการไว้ทุกข์ครบ 1 ปีเต็มนั้น เป็นแนวปฏิบัติหลักสำหรับ ข้าราชการในพระราชสำนักและหน่วยงานราชการ ที่ต้องแต่งกายไว้ทุกข์ตลอดระยะเวลา
ส่วนประชาชนทั่วไป รัฐบาลขณะนั้นย้ำว่า “ไม่จำเป็นต้องทำตามทั้งหมด” เพียงให้แต่งกายสุภาพ แสดงความอาลัยตามความเหมาะสม และดำรงชีวิตตามปกติ
รัฐบาลในปี 2559 ยังออกแถลงการณ์ชัดเจนว่า “ไม่มีนโยบายหยุดเศรษฐกิจหรือกิจกรรมของประชาชน”
เพราะต้องการให้ประเทศเดินหน้าต่อไปในขณะที่ประชาชนร่วมแสดงความอาลัยอย่างสงบและมีสติ
ซึ่งต่างจากช่วงโควิด-19 ที่มีข้อจำกัดทางกฎหมายและมาตรการควบคุมกิจกรรมเข้มงวดกว่ามาก
สำหรับครั้งนี้ แนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการยังต้องรอประกาศจาก สำนักพระราชวัง และ รัฐบาล เพื่อให้หน่วยงานราชการและประชาชนทั่วประเทศถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน
โดยตามธรรมเนียม มักจะมีหนังสือราชการส่งถึงทุกกระทรวงภายในไม่กี่วันหลังประกาศ เพื่อกำหนดระยะเวลาและแนวทางการไว้ทุกข์ รวมถึงรูปแบบการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
ในห้วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์นี้
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เพียงการแต่งดำหรือการงดกิจกรรม

แต่คือ “การมีสติ สำรวม และเคารพต่อเหตุการณ์”
ดำรงชีวิตด้วยความสงบและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
—นั่นคือหัวใจของการไว้อาลัยอย่างแท้จริงของคนไทยทุกคน 🖤

วัชระ สงค์จันทร์ : เขียน
เรียบเรียงโดย NowPlay.in.th
“ถอดบทเรียนจากอดีต เพื่อเข้าใจความสงบในวันนี้”

#สมเด็จพระพันปีหลวง #ถวายความอาลัย #รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

อ้างอิง:
ข้อมูลจากแนวปฏิบัติราชการปี พ.ศ. 2559
สำนักข่าวและเอกสารราชการสำนักพระราชวัง

19/10/2025

หมอเตือน! “ไข้รากสาดใหญ่”
ระบาดหนักช่วงปลายฝนต้นหนาว ⚠️ 🤒
กรมควบคุมโรคเผย ปีนี้พบผู้ป่วยกว่า 6,600 ราย เสียชีวิตแล้ว 5 ราย
โดยเฉพาะจังหวัดทางเหนือและอีสาน เช่น แม่ฮ่องสอน น่าน ร้อยเอ็ด เชียงใหม่ และเชียงราย

🦠 “ไข้รากสาดใหญ่” เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มาพร้อมไรอ่อน ซึ่งชอบอยู่ตามกอหญ้าและทุ่งนา
หากถูกกัด อาจมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อย ตาแดง หรือมีแผลคล้าย “รอยบุหรี่จี้”

สิ่งที่ควรทำ
✅ ใส่เสื้อแขนยาว–กางเกงขายาว ป้องกันไรอ่อนกัด
✅ ใช้ยากันแมลง และอย่านั่งหรือนอนบนพื้นหญ้า
✅ หลังกลับจากพื้นที่เสี่ยง รีบอาบน้ำ–ซักเสื้อผ้าให้สะอาด
หากมีไข้สูงหรือพบแผลแปลก ๆ รีบไปหาหมอทันที ห้ามซื้อยากินเอง!

ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็น เข้าฤดูเสี่ยงระบาด พกสติกันแมลงไว้เถอะ ปลอดภัยกว่าแน่นอน 💚
🙏🏻ขอบคุณข้อมูลจาก อีจัน
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ejan.co/health/ejan-healthy/5mzrggmvlzp?fbclid=IwY2xjawNexnhleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFxMjVBeEJzQnlNanNOYlBrAR4w8fKaz131zf66Lzmau79d40qUJxzIFrYb_rc-7mUwrL_UNUe_FaiCFKh6CQ_aem_6AKT2EzV5Eslr_WPYeuA6A
#ชีวิตติดรีวิว #ชีวิตติดโปร

13/10/2025

🖐🏻 เล็บลูกลอกแบบนี้ พ่อแม่หลายคนตกใจ คิดว่าขาดวิตามินหรือเปล่า?

คำถามนี้ พบได้อยู่เรื่อยๆ

สิ่งที่หมอเด็กทุกคนมักจะถามกลับคุณพ่อคุณแม่คือ…
“ก่อนหน้านี้ ลูกเคยเป็นมือเท้าปากไหม?” 🤔

ในเคสนี้คุณแม่เล่าว่า
ลูกเป็นมือเท้าปากเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อน
แล้วเล็บก็ค่อยๆ ลอกทุกนิ้วแบบในรูปนี้

แล้วมันเกี่ยวกันยังไง?
โรคมือเท้าปากทำให้เล็บลอกได้ยังไง?

วันนี้ผมจะเล่าให้ฟังครับ 💬



📌 เล็บแบบที่เห็นในรูปนี้
ชื่อทางการแพทย์เขาเรียกว่า Onychomadesis
อ่านว่า ออน-นิ-โค่-มา-เด-ซิส (ชื่อไม่ต้องจำก็ได้ครับ แต่อาการน่ารู้ไว้ 😉)

มันคือภาวะที่
👉 เล็บ “ลอก” หรือ “หลุด” ออกมาจากโคนเล็บ
โดยที่ไม่ได้มีการชน บาดเจ็บ หรือมีเชื้อราอะไรทั้งนั้น

ลักษณะเฉพาะของมันคือ
เล็บจะลอกเฉพาะช่วงกลางๆ หรือโคนเล็บ แล้วค่อยๆ งอกใหม่ขึ้นมาเอง 🪴

บางรายอาจเห็นเป็น “รอยขีดลึกขวาง ๆ” บนหน้าเล็บ
ที่เรียกว่า Beau’s line ด้วยครับ 👀
(ในภาพด้านขวาล่าง)



🔍 สาเหตุของ Onychomadesis

📌 ภาวะนี้มักเกิดจาก
“การหยุดทำงานชั่วคราวของรากเล็บ (nail matrix)”
ซึ่งเกิดจากปัจจัยบางอย่างที่ไปรบกวนการงอกของเล็บ

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ…
• 🦠 เคยเป็นโรคมือเท้าปาก โดยเฉพาะช่วง 4–8 สัปดาห์ก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่พบได้น้อยกว่า แต่ก็เป็นไปได้ เช่น…
• 🤧 การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น อะดีโนไวรัส, อีสุกอีใส
• 💊 การได้รับยาบางกลุ่ม เช่น ยาเคมีบำบัด, ยาปฏิชีวนะบางตัว
• 🩺 การเจ็บป่วยรุนแรงบางอย่าง เช่น โรคคาวาซากิ
• 🥦 ภาวะขาดสารอาหารบางชนิด เช่น สังกะสี (Zinc)



❓ แล้วทำไมโรคมือเท้าปากถึงทำให้เล็บลอกได้ล่ะ?

แม้ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน 100%
แต่มีการพบว่าไวรัสบางสายพันธุ์ โดยเฉพาะ Coxsackie A6
อาจรบกวนการทำงานของ “รากเล็บ” (nail matrix) โดยตรง

ปกติแล้ว… รากเล็บจะค่อยๆ สร้างเล็บใหม่ต่อเนื่องจากโคนเล็บทุกวัน
→ เล็บจึงงอกออกมาเป็นแผ่นเดียวกัน เรียบเนียน เหมือนสายพานที่ไม่มีรอยต่อ

แต่เมื่อรากเล็บหยุดทำงานชั่วคราว
📌 ความต่อเนื่องนั้นก็หายไป

พอรากเล็บกลับมาทำงานอีกครั้ง
เล็บใหม่ที่งอกขึ้นมาจะ “ไม่สามารถต่อกับเล็บเดิมได้เนียนสนิท”
→ แล้วมันจะค่อยๆ “ดันเล็บเก่า” ที่หยุดนิ่งอยู่ให้หลุดร่อนออกมาทีละนิด



🩹 แล้วต้องรักษายังไง?

💬 โดยทั่วไปแล้ว… อาการนี้มักจะ ค่อยๆ ดีขึ้นเองใน 1–3 เดือน
เล็บจะงอกใหม่ขึ้นมาแทนที่เล็บเดิม และกลับมาปกติได้เองครับ

📌 ไม่จำเป็นต้องทายา ไม่ต้องหยอดอะไร
แค่ดูแลให้เล็บสะอาด ตัดให้สั้น เพื่อไม่ให้ไปเกี่ยวหรือฉีกขาดเพิ่ม

❗️แต่ถ้าสังเกตว่า…
• เล็บเริ่มมีหนอง
• ปลายนิ้ว บวม แดง
• หรือเด็กบอกว่า เจ็บมากผิดปกติ
👉 ควรพาไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีการติดเชื้อร่วมด้วยครับ

09/10/2025

💔 วิเคราะห์กรณีเด็ก 7 ขวบ เสียชีวิตจาก “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A”

ก่อนอื่น…
ผมขอแสดงความเสียใจอย่างมากกับคุณพ่อคุณแม่ของน้องที่จากไปนะครับ 🕊️
ไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไหร่ การสูญเสียลูกย่อมเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อแม่เสมอ

เคสนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจและทำให้พ่อแม่หลายคนรู้สึกตกใจและหวาดกลัว
เพราะขณะนี้ ไข้หวัดใหญ่กำลังระบาดหนักทั่วประเทศ
และในกรณีนี้ น้องเป็นเด็กที่ปกติแข็งแรงดี
แต่กลับเสียชีวิตภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

วันนี้จึงขอใช้โอกาสนี้มาให้ความรู้ว่า…
👉 ไข้หวัดใหญ่สามารถทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหันได้จากสาเหตุอะไรบ้าง?
และ
👉 พ่อแม่จะสังเกต “สัญญาณอันตราย” อะไรได้บ้าง ที่ควรรีบพาลูกไปโรงพยาบาลโดยไม่ลังเล



📌 จากข้อมูลในข่าว
• เด็กชายอายุ 7 ขวบ ไม่มีโรคประจำตัว เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
• เริ่มมี ไข้สูง 1 วัน ก่อนเกิดอาการ ถ่ายเหลว + ชัก
• ไปโรงพยาบาลเอกชนช่วง 1 ทุ่ม
• ขอย้ายไปโรงพยาบาลไปรพ.รัฐบาล → และเกิดหัวใจหยุดเต้นในเวลาประมาณ 4 ทุ่มและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
• เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น



🧠 สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ คือ…

1️⃣ ตั้งสติ และอย่าเพิ่งตื่นตกใจจนเกินไปนะครับ

เคสแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อย
แต่เพราะช่วงนี้ประเทศไทยกำลังมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงมาก
เราจึงเห็นข่าวของเด็กที่อาการทรุดเร็วหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้บ้าง
💡 สิ่งสำคัญคือ เราไม่ควรตื่นตระหนก แต่ควร “ตระหนักรู้” และเตรียมรับมือให้ทัน



2️⃣ หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เกิดขึ้นได้จากไข้หวัดใหญ่จริงไหม?

คำตอบคือ…ได้ครับ แม้บางครั้งเด็กจะยังดูรู้เรื่อง พูดคุยกับพ่อแม่ได้อยู่ที่บ้าน
แต่โรคสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรงได้ “ภายในไม่กี่ชั่วโมง”

สาเหตุที่เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น
❶ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ (Influenza-associated Myocarditis) ❤️‍🔥
❷ สมองอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ (Encephalitis) 🧠

📌 ทั้งสองภาวะนี้แม้จะพบไม่บ่อย แต่สามารถเกิดได้จริง โดยเฉพาะในช่วงระบาดหนักแบบตอนนี้



3️⃣ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไข้หวัดใหญ่
(Influenza-associated Myocarditis)

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถเข้าไปทำลายเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง
→ ทำให้หัวใจบีบตัวอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
→ เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ไม่เพียงพอ

📈 ช่วงแรก ร่างกายจะพยายาม “ปรับตัว” โดยการเร่งอัตราการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้น แต่เมื่อหัวใจทำงานหนักเกินไปเรื่อยๆ จนถึง “จุดที่ทนไม่ไหว”
🫀 หัวใจก็จะหมดแรงและหยุดเต้นในที่สุด

ลองนึกภาพว่า…
เหมือนเราถูกบังคับให้ “วิ่งรอบสนามเร็ว ๆ แบบไม่หยุด”
ตอนแรกอาจยังไหว แต่สุดท้ายร่างกายก็จะล้มลงเพราะหมดแรง



🚨 สัญญาณเตือน “กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ” ที่ควรรีบไปโรงพยาบาล
• 🤢 อาเจียนไม่หยุด / ปวดท้องบริเวณด้านขวาบน (บริเวณตับ)
→ เพราะเลือดไปเลี้ยงตับไม่พอ → ตับเริ่มขาดเลือด

• 🧠 ชักเกร็งกระตุก
→ อาจเกิดจากสมองขาดเลือด

• 😵‍💫 ซึมมาก แม้ไข้เริ่มลด
→ เด็กมักจะซึมเวลาไข้และพอกินยา ไข้ลงก็มักจะกลับมาร่าเริง
แต่ถ้าไข้เริ่มลงแล้ว ยังซึมตลอดเวลา ปลุกตื่นยาก = สัญญาณไม่ดี

• 💧 ปัสสาวะออกน้อยกว่าปกติ
→ แม้อาจเกิดจากกินน้ำน้อย
แต่ถ้าร่วมกับอาการข้างต้น ต้องระวังว่าอาจเกิดจาก ไตขาดเลือดจากหัวใจอ่อนแรง



4️⃣ สมองอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ (Encephalitis)

หากการอักเสบของสมอง ลามไปโดนก้านสมอง
ก็อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหันได้เช่นกัน

เพราะก้านสมองเป็นศูนย์ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติของร่างกาย
เช่น…
• จังหวะการเต้นของหัวใจ ❤️
• การหายใจเข้าออกตามธรรมชาติ 🌬️

หากร่างกายของเด็กมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่รุนแรงเกินไป
จนเกิดภาวะอักเสบลุกลามจากระบบภูมิคุ้มกัน (immune-mediated inflammation) อาจทำให้ก้านสมองเกิดอาการบวมและอักเสบได้
→ หัวใจอาจจะหยุดเต้นทันที โดยแทบไม่มีเวลาเตือนล่วงหน้า

⚠️ สัญญาณเตือน “ก้านสมองอักเสบ” ที่ควรเฝ้าระวัง
• 🤒 ซึมผิดปกติ ไม่ค่อยตอบสนอง
• ⚡️ ชักร่วมกับอาการกระตุกเป็นระยะ (myoclonic jerk)
• 🫥 เหม่อลอย พูดช้าแปลกๆ ดูเหมือนสับสน



5️⃣ ความรุนแรงแบบนี้… “ป้องกันได้” ด้วยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 💉

หลายคนอาจเคยได้ยินว่า…
“วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดแล้วก็ยังติดอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”

แต่ความจริงคือ…
✅ วัคซีนนี้ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมาก
แม้จะติดเชื้อ แต่โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายจะลดลงอย่างชัดเจน เช่น…
– 🧠 สมองอักเสบ
– ❤️ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
– 🫁 ปอดอักเสบรุนแรงที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ

แม้ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะพบไม่บ่อย…
แต่ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้เกิดขึ้นกับลูกของตัวเอง

ดังนั้น…
📆 การพาลูกไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี
ถือเป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงร้ายแรงเหล่านี้ได้จริงครับ 💉✨

06/10/2025

** ของทอดกรอบ กับ อาการไอ ***

! ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ ควรทราบ !

>> เหตุผลที่อาหารทอดกรอบกระตุ้นอาการไอ > เสมหะเหนียวมาก ไอหนักขึ้นอีก

*** 5 ข้อ นี้ คือกลไกหลัก ที่อธิบาย อาการไอ และ อาการเจ็บป่วย***

ที่อาจรุนแรงขึ้น เมื่อกินของทอด หรือ UPFs ในช่วงป่วย

จริงๆ การกินของแบบนี้เป็นประจำ ยังส่งเสริมให้เกิดการ
อักเสบแบบต่ำๆ ในช่องปาก อันนำมาสู่ การติดเชื้อง่าย
การเปลี่ยนแปลงของ แบคทีเรียเจ้าถิ่นในช่องปาก และ
ทางเดินอาหาร

คนไข้ที่มาหาผมที่คลินิก หรือ รอดกลับไป(แบบดีๆ) จาก ICU
ที่ผมดูแล ผู้ปกครองจะได้รับการ "อบรม" หนักๆ มากเรื่องนี้
ชนิดที่ว่า "ถ้าไม่อยากเจอกันที่นี่ ก็โปรดนำไปปรับใช้กับน้อง"

ก่อนที่จะไม่มีโอกาส ได้กลับบ้านแบบดีๆ ในครั้งนี้อีกครับ

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ กับทุกท่าน ไม่เฉพาะเด็กๆนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี

#หมอจิรรุจน์

ลุงหมอที่มักโดนผู้ปกครองหลายท่าน แซะ
ว่า "หัวโบราณ" "ขี้กลัว" แต่ผมไม่โกรธนะครับ
ผมถึงว่า ผมได้ทำหน้าที่ ของผมแล้ว
ที่เหลือ "บุญทำ กรรมแต่ง" แล้วล่ะครับ

แชร์ได้เลยนะครับ เผื่อมีคนกำลังทุกข์เพราะเรื่องนี้
จะได้ หาทางพ้นทุกข์ จากกรณีดังกล่าวเสียที ครับ

05/10/2025

🌬️ "หลอดลมไว"หลังการติดเชื้อ RSV มีจริงไหม?

⚠️ คำเตือน: โพสต์นี้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
(ฉบับประชาชนให้อ่านอีกโพสต์ในคอมเมนต์ครับ)

หลายคนสงสัยว่า… “หลอดลมไว” ที่เห็นพูดถึงบ่อยๆ
มันมี evidence บ้างไหม? แล้วต่างจาก “Asthma” ยังไง?
วันนี้จะมาเล่าสิ่งที่ได้จากการรีวิวงานวิจัยให้ฟังครับ 🩺

=======================
1️⃣ “หลอดลมไว” คืออะไร? ต่างจากหอบหืดยังไงกันแน่? 🤔
2️⃣ เราจะรู้ได้ไงว่าเด็กเป็น “หลอดลมไว” จริง ไม่ใช่คิดไปเอง? 🧪
3️⃣ งานวิจัยพูดอะไร? “หลอดลมไวหลังติดเชื้อไวรัส” อยู่กับเรานานแค่ไหนกันแน่?
4️⃣ สรุป Practical point ในการนำไปประยุกต์ใช้ 🩺
=======================

1️⃣ “หลอดลมไว” คืออะไร? ต่างจากหอบหืดยังไงกันแน่? 🤔

ในทางการแพทย์ คำว่า “หลอดลมไว” ก็คือ Airway Hyperresponsiveness (AHR)
บาง paper ใช้คำว่า Bronchial Hyperresponsiveness (BHR) หรือ Bronchial Hyperreactivity Syndrome (BHS)

👉 เพื่อความง่าย ในโพสต์นี้ผมจะใช้คำว่า “หลอดลมไว”



📌 มันคืออะไร?

หลอดลมไว = ภาวะที่ "หลอดลมตอบสนองมากกว่าปกติ" เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นเล็กน้อย

อาการที่พบได้
• ถ้าหลอดลมตีบ ไม่มาก → มักจะมีอาการ ไอเยอะเป็นหลัก แต่ยังไม่มี wheezing
• ถ้าหลอดลมตีบ มากขึ้นจนเกิด turbulent flow → จะได้ยินเสียง wheezing ร่วมกับหายใจหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก



📌 ตัวกระตุ้นที่เจอบ่อย
❄️ อากาศเย็น
🚬 ควันบุหรี่
🌫️ ฝุ่นละออง/PM2.5
🌸 กลิ่นน้ำหอม
🏃‍♂️ การออกกำลังกาย
😰 อารมณ์–ความเครียด
🤧 การติดเชื้อไวรัส (เช่น common cold, RSV)

👶 ตัวอย่างที่เจอในเด็ก
• เด็กบางคนเป็นหวัดธรรมดา 2–3 วันก็หาย อาการไม่มาก
• แต่เด็กอีกคน…เป็นหวัดทีไร ไอหนักทุกครั้ง
• บางรายถึงขั้น หอบ มีเสียง wheeze ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอาการมาก่อน
• ไม่มี family history ของ asthma ด้วยซ้ำ
• และอาการมักเพิ่งเริ่ม หลังจากเคยติด RSV ไปไม่นาน
👉 กลุ่มนี้แหละครับ ที่เราต้องนึกถึงว่าอาจมี “ภาวะหลอดลมไว” (post-viral AHR)



แล้วมันไม่ใช่หอบหืดเหรอ?

บางคนอาจสงสัยว่า…
“อาการคล้ายกันขนาดนี้ ทำไมไม่เรียกว่าหอบหืดไปเลย จะได้จบ ๆ?”

คำตอบคือ 👉 มันต่างกันตรงธรรมชาติของโรคครับ
• Asthma = โรคเรื้อรัง (chronic disease)
>> คุมอาการได้ (remission) แต่ ไม่หายขาด
• Post-viral AHR = ภาวะชั่วคราวหลังไวรัส
>> มักหายเองใน 1–3 เดือน

ดังนั้น การมี “หลอดลมไว” ไม่เท่ากับ การเป็น “asthma” เสมอไป



📝 เรื่องเล่าจากงานวิจัย

จริงๆ เรื่องนี้ถูกพูดถึงในวงการแพทย์มานานแล้วครับ

ย้อนกลับไปปี 1991 ที่ Texas มีงานชื่อว่า
“Postviral Bronchial Hyperreactivity Syndrome (PVBHS): Recognizing asthma’s great mimic”

ผู้วิจัยเล่าว่า PVBHS มีอาการ เหมือน asthma แทบทุกประการ
จนถึงกับเรียกว่า “asthma’s great mimic”

แต่เขาอธิบายชัดเจนว่ามันต่างจาก asthma เพราะว่า…
1. เป็นภาวะ self-limited → อยู่ได้เพียง 3 สัปดาห์ – 3 เดือน แล้วหาย
2. มี สาเหตุแน่ชัด คือเกิด หลังการติดเชื้อไวรัส

เขายังเสนอ criteria ของ PVBHS ได้แก่
• มีประวัติ viral infection นำมาก่อน
• มีอาการไอหรือ wheeze เป็น ๆ หาย ๆ
• Methacholine หรือ cold-air challenge test positive
• ตรวจร่างกาย/เลือด/X-ray → ไม่พบโรคอื่น
• และอาการสามารถ หายได้เอง โดยไม่ต้องเป็น asthma



🔑 Key point
• Asthma = chronic disease [hallmark หนึ่งคือ AHR]
• Post-viral AHR = transient phenomenon → เจอได้หลัง viral infection
• ติดเชื้อไวรัสอะไรก็เป็น Post-viral AHR ได้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะ RSV เท่านั้นนะ

=======================

2️⃣ เราจะรู้ได้ไงว่าเด็กเป็น “หลอดลมไว” จริง ไม่ใช่คิดไปเอง? 🧪

👉 คำถามต่อมาก็คือ
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กที่เราสงสัยเป็น “หลอดลมไว” จริง ไม่ใช่แค่ perception ของเรา?

🔬 คำตอบคือ ตรวจด้วย “Bronchial Provocation Test”

เป็นการทดสอบที่ตั้งใจกระตุ้นหลอดลมโดยตรง เพื่อดูว่า airway ของผู้ป่วย “ไวกว่าปกติ” หรือไม่
• Gold standard = Methacholine Challenge Test (MCT)

หลักการคือ
1.เป่า spirometry วัด FEV1 baseline ก่อน
2.ให้ผู้ป่วยสูด methacholine ที่เพิ่มความเข้มข้นขึ้นทีละ step
3.วัด FEV1 ทุกครั้งที่เพิ่ม dose methacholine
4.ถ้า FEV1 ลดลงจาก baseline ≥20% → ถือว่า positive ให้หยุดทำ test ได้
• คนปกติ: ต้องใช้ methacholine เข้มข้นมากพอสมควร ถึงจะทำให้ FEV1 ลดลงถึง 20%
• Airway hyperresponsiveness(AHR): ใช้ความเข้มข้นต่ำ (≤8 mg/mL) ก็ทำให้ FEV1 ลดลง ≥20% แล้ว

📌 ค่าที่เราใช้ เรียกว่า PC20 (Provocative Concentration causing 20% fall in FEV1)
• PC20 ≤8 mg/mL → บ่งบอกว่ามี AHR



🧪 วิธีอื่นๆ ที่มีใช้
• Histamine Challenge Test → หลักการเดียวกันกับ methacholine
• Indirect challenge เช่น Mannitol challenge, Hypertonic saline challenge, Exercise challenge



🩺 แปลให้เข้าใจง่าย ๆ
• ถ้าหลอดลม “ไวมาก” → เจอ methacholine ปริมาณนิดเดียว FEV1 ก็ลดลง 20% แล้ว
• ถ้าหลอดลม “ไม่ไว” → ต้องใช้ความเข้มข้นสูงมากกว่าหลอดลมจะเปลี่ยนแปลง



ในประเทศไทยการตรวจ Methacholine Challenge Test (MCT) ในเด็กทำได้ยาก
👉 ใน practice บ้านเรา ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ส่งตรวจ
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญมากคือ
- การซักประวัติ + ตรวจร่างกาย
- และนัดติดตามอาการต่อเนื่อง

=======================

3️⃣ งานวิจัยพูดอะไร? “หลอดลมไวหลังติดเชื้อไวรัส” อยู่กับเรานานแค่ไหนกันแน่?

🔬 งานคลาสสิกปี 1976 (Empey et al.)
ตีพิมพ์ใน ATS journal ถือว่าเป็นงานที่ปูพื้นฐานให้เราเข้าใจ post-viral AHR มาจนทุกวันนี้

ย้อนกลับไปเกือบ 50 ปีก่อน นักวิจัยตั้งคำถามว่า
👉 “ทำไมบางคนแค่เป็นหวัด แต่ไอหนัก หอบเหนื่อย wheezing เหมือนหอบหืด?”

เขาจึงทำการทดลองกับ อาสาสมัคร 16 คนที่เป็น common cold เทียบกับ 11 คนสุขภาพดี
• ขั้นแรก ให้สูด histamine challenge
→ กลุ่ม common cold มี airway resistance พุ่งขึ้นเฉลี่ย 218%
→ กลุ่มปกติขึ้นเพียง 30% 😮
✦ แปลว่าแค่หวัดธรรมดาก็ทำให้เกิด AHR จริงๆ

• ขั้นต่อมา ทำซ้ำๆ ตั้งแต่ 2–3 วันหลังเริ่มหวัด → พบว่าหลอดลมยังไวผิดปกติต่อเนื่องไปอีกหลายสัปดาห์
แต่ทุกคนกลับสู่ปกติได้ภายใน ~7 สัปดาห์

• นักวิจัยสงสัยว่า airway resistance ที่เพิ่มขึ้นเกิดจาก 1. กล้ามเนื้อหดตัว หรือเป็นเพราะ 2. airway บวม/เสมหะ?
เลยให้ผู้ป่วยลองพ่น isoproterenol (β2 agonist)
→ ผลคือ ค่า resistance ที่สูงขึ้นกลับสู่ปกติทันที
✦ หมายความว่าหลัก ๆ มาจาก smooth muscle contraction ไม่ใช่ airway บวม หรือ เสมหะ

📌 สรุปแบบเข้าใจง่าย:
การติดเชื้อไวรัสทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจเสียหาย → ปลายประสาทรับความรู้สึกถูก “เปิดโปง”
เวลาเจอสิ่งกระตุ้นเล็กน้อย → หลอดลมหดแรงกว่าปกติ
และนี่คือ หลักฐานชิ้นแรก ๆ ที่ยืนยันว่า Post-viral AHR มีอยู่จริง ✅

--------------------
🔹 งานวิจัยในสัตว์
หลังจากปี 1976 ที่มีหลักฐานในคนแล้วว่า post-viral AHR มีจริง
นักวิจัยก็ยังมีคำถามค้างคาหลายประเด็นเลยไปลองทำวิจัยในหนูทดลอง เพื่อควบคุมตัวแปรและหาคำตอบ

1. J Clin Invest, 1997
• เอาหนูทดลองที่ติดเชื้อ RSV เทียบกับหนูไม่ติดเชื้อ RSV
• เอามาทำ metacholine challenge test
• พบว่าหนูที่ติดเชื้อ RSV มีภาวะหลอดลมไวเกิน(AHR) มากกว่ากลุ่มที่ไม่ติดเชื้ออย่างมีนัยสำคัญ
• โดยหลอดลมไวเริ่มขึ้นตั้งแต่ day4 หลังการติดเชื้อ >> peak day6 >> ค่อยๆกลับสู่ปกติ day21

2. Eur Respir J, 1997
• คราวนี้ทีมวิจัยอยากรู้ว่า หลอดลมไวเกิดอยู่นานแค่ไหน?
• เอาหนูทดลอง 2 กลุ่มเหมือนกัน (ติดเชื้อ RSV vs control)
• มาลองทำ metacholine challenge test q 1 week x5 weeks
• พบว่ากลุ่มที่ติดเชื้อ RSV มีภาวะหลอดลมไวอยู่ตลอดการศึกษา 5 สัปดาห์เลย
• ที่สำคัญ: แม้ airway inflammation จะหายแล้วแต่ความไวของหลอดลมยังไม่หาย

3. Virology, 2005
• นักวิจัยถามเพิ่มอีกว่าแล้ว พื้นฐานพันธุกรรมของ host มีผลต่อ duration ของ AHR ไหม?
• ใช้หนู 2 สายพันธุ์: สายพันธุ์ที่โน้มเอียงไปทาง Th2 response (แนว allergic) กับ สายพันธุ์ที่โน้มเอียงไปทาง Th1 response (แนว non-allergic)
• ผลคือทั้งสองสายพันธุ์มี AHR หลังติด RSV เหมือนกัน
• แต่สายพันธุ์ Th2-prone → AHR อยู่นานกว่า (42 วัน vs 28 วัน)
** สรุป การติด RSV สามารถทำให้เกิด AHR ได้ในหมด แต่พันธุกรรมของ host เป็นตัวกำหนดว่าความไวนั้นจะอยู่สั้นหรือยาว

--------------------
🔹 งานวิจัยในเด็กจริง (Pediatr Allergy Immunol, 2021)
สุดท้ายลองกลับมาที่ “คนจริง” เพื่อดูว่าผลในคลินิกเป็นอย่างไร

ทีมวิจัยทำ prospective cohort study
ติดตามเด็กที่เคยป่วย Severe RSV bronchiolitis (ต้องนอน รพ. ในปีแรกของชีวิต)
• เริ่มต้น N = 206 คน
• เหลือข้อมูลสมบูรณ์ 122 คน ตอนอายุ 12 ปี
• ใช้ Methacholine Challenge Test (MCT) เพื่อตรวจ AHR

📊 ผลลัพธ์:
• ตอนอายุ 7 ปี → AHR พบสูงถึง 96% (122/127)
• ตอนอายุ 12 ปี → AHR ลดลงเหลือ 78% (95/122) แต่ก็ยังสูงมาก
• เด็ก 72/122 คน (59%) ได้รับการวินิจฉัย asthma
** นั่นหมายความ่วา 50/122 คน ตรวจเจอ AHR โดยที่ไม่ได้เป็น Asthma **

⚠️ Limitation:
• อัตรา dropouts สูงมาก (206 → 122 คน) อาจเกิด selection bias ได้ (เด็กที่มีอาการมากอาจ follow-up ต่อเนื่องมากกว่า)
• ผมได้ลองคิด worst-case scenario (สมมติให้เด็กที่หายไปทั้งหมดไม่มี AHR เลย)
→ จะคำนวณ AHR ตอน 7 ปี ได้ ~59% (122/206)
→ ตอน 12 ปี ได้ ~46% (95/206)
➡️ ต่อให้เป็นแบบนี้ก็ยัง “สูงผิดปกติ” เมื่อเทียบกับเด็กทั่วไปอยู่ดี

📌 สิ่งที่เราเรียนรู้จากงานนี้
เด็กที่เคยมี severe RSV bronchiolitis ในปีแรกของชีวิต มีโอกาสสูงมากที่จะมี
หลอดลมไว นานกว่าปกติและในกลุ่มนี้ “บางส่วน” ก็พัฒนาไปเป็น asthma จริงๆ

--------------------
🔹 งานวิจัยในเด็กที่เป็นหอบหืดเล็กน้อย (JACI, 2005)
นักวิจัยอยากรู้ว่า
"ในเด็กหอบหืดที่เป็นภูมิแพ้ (Atopic) จะมีหลอดลมไวหลังติดหวัดได้นานกว่ากลุ่มไม่เป็นภูมิแพ้หรือเปล่า?"

• กลุ่มศึกษา: เด็กอายุ 7–12 ปี ที่เป็น intermittent virus-induced asthma 25 คน
• Atopic = 13 คน
• Non-atopic = 12 คน

• ทุกครั้งที่เด็กเป็นหวัด → ทำ Methacholine Challenge Test ที่ 10 วัน, 5, 7, 9, 11 สัปดาห์

📊 ผลลัพธ์สำคัญ
• หลังเป็นหวัดในแต่ละครั้ง → AHR อยู่ได้นาน 5–11 สัปดาห์ (ทั้งกลุ่ม Atopic และ Non-atopic ไม่ต่างกัน)
• แต่เมื่อติดตามตลอด 9 เดือน → พบว่าเด็กกลุ่ม atopy ป่วยซ้ำบ่อยกว่าและมีหอบกำเริบบ่อยกว่าชัดเจน
• ผลคือ เด็ก Atopic หลายคนมี AHR ยืดเยื้อเกิน 6 เดือน เพราะโดนหวัดกระตุ้นซ้ำ ๆ

📌 สรุปสั้น ๆ
• การติดเชื้อไวรัสแต่ละครั้งทำให้เกิด AHR อยู่ได้ 1–3 เดือน
• แต่ถ้าเด็กมี ภูมิแพ้ → มีโอกาสป่วยบ่อย → สะสมจนกลายเป็น หลอดลมไวเรื้อรัง ได้ง่ายกว่า

=======================

4️⃣ สรุป Practical point ในการนำไปประยุกต์ใช้ 🩺

1. หลอดลมไว ≠ Asthma
• Post-viral AHR มีอยู่จริง อยู่ได้นาน 1-3 เดือนหลังการติดเชื้อ
👉 ไม่ใช่เฉพาะ RSV เท่านั้น แต่ไวรัสทางเดินหายใจหลายชนิดก็ทำให้เกิด AHR ได้
• Post-viral AHR ไม่จำเป็นต้องพัฒนาไปเป็น asthma ทุกคน
• แต่สิ่งสำคัญคือ ต้อง follow-up ต่อเนื่อง เพื่อดูว่าอาการจะหายสนิท หรือกลายเป็น asthma ในอนาคต

2. Severity ของการติดเชื้อมีผล
• เด็กที่เป็น severe RSV bronchiolitis → มีโอกาสสูงที่จะ develop AHR ยาวนานกว่าปกติ

3. การติดเชื้อซ้ำ = AHR ยืดเยื้อ
• เด็กที่เป็น atopy → มักติดเชื้อไวรัสซ้ำบ่อยกว่า → ทำให้ช่วงเวลาที่หลอดลมไวสะสมยาวนานกว่า (อาจ >6 เดือน)
• ดังนั้นการ control ภูมิแพ้ให้ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อป้องกัน AHR ที่ยืดเยื้อ

4. การรักษาหลอดลมไว
• คล้ายกับการรักษา asthma เช่น การใช้ bronchodilator, ICS ตามความรุนแรง
• แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องประเมินซ้ำ ว่าคนไข้เข้าสู่ asthma หรือยัง เพื่อไม่ over/under treatment

5. คำถามที่พ่อแม่มักถาม: “หลอดลมไวมันหายได้ไหม?” 👨‍👩‍👧
คำตอบตามหลักฐานคือ
• บางคนหายได้ (self-limited)
• บางคนกลายเป็น asthma
เรายัง predict ไม่ได้ 100% → สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ ติดตามอาการระยะยาว

6. สิ่งที่ผู้ปกครองทำได้ระหว่างที่ลูกเป็นหลอดลมไว คือ
✅ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ของเย็น อากาศเย็น ฝุ่น PM2.5 ควันบุหรี่
✅ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อซ้ำๆ สอนให้เด็กรุ้จักการล้างมือ ไม่จับหน้า ไม่เอามือเข้าปาก และใส่หน้ากากอนามัย
✅ พาลูกไปฉีดวัคซีนตามที่แพทย์แนะนำเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
✅ ถ้าอาการมากให้ปรึกษาแพทย์ในแง่ของการใช้ยา

📌 Take-home message
Post-viral AHR = asthma’s great mimic
สิ่งสำคัญคือ “นัด Follow up อาการต่อเนื่อง”
อย่ารีบแปะ label asthma แต่ก็อย่ามองข้าม เพราะบางส่วนจะ evolve เป็น asthma จริงๆ

04/10/2025

❌ สิ่งที่พ่อแม่เข้าใจผิดที่พบบ่อย
คือเข้าใจว่า “น้ำมูกเหลือง/เขียว = ต้องกินยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ)”

จริงๆ แล้ว… ความเข้าใจนี้ ยังไม่ถูกต้องครับ
น้ำมูกเขียวไม่ได้แปลว่าลูกติดเชื้อแบคทีเรียเสมอไป



🧬 ทำไมน้ำมูกถึงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว?
• เวลาเป็นหวัดหรือติดเชื้อ (ไม่ว่าจะไวรัสหรือแบคทีเรีย)
• ร่างกายจะส่ง “เม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล” มาสู้กับเชื้อเหมือนๆกัน
• ในเม็ดเลือดขาวนี้มีเอนไซม์ชื่อ Myeloperoxidase (MPO) ซึ่งมี"สีเขียว"ตามธรรมชาติ
• เมื่อมีเม็ดเลือดขาวรวมตัวกันมากๆ น้ำมูกเลยกลายเป็นสีเหลืองหรือเขียวนั่นเอง

➡️ ดังนั้น สีเหลือง/เขียวของน้ำมูก = แปลว่าเม็ดเลือดขาวเรากำลังทำงาน
อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสก็ได้หรือเชื้อแบคทีเรียก็ได้
ไม่ใช่หลักฐานชี้ชัดว่าเป็นเชื้อแบคทีเรียเสมอไป



🩺 แล้วเมื่อไหร่ถึงจะสงสัยว่าเป็นเชื้อแบคทีเรียจริงๆ?

ไม่ได้ดูแค่สีครับ แต่ต้องดู “อาการร่วม” อื่นๆด้วย เช่น 👇

🔹 อาการยืดเยื้อ เป็นนาน (Persistent symptoms)
• น้ำมูกเขียวเกิน 10 วัน โดยไม่ดีขึ้นเลย

🔹 อาการรุนแรง (Severe symptoms)
• มีไข้สูง ≥ 39°C (102.2°F)
• ร่วมกับน้ำมูกเขียวต่อเนื่อง ≥ 3 วัน
** เน้นนะครับ ว่าอย่างน้อย 3 วัน **

🔹 อาการแย่ลงใหม่ หลังดีขึ้น (Worsening symptoms)
• เดิมเหมือนจะดีขึ้นแล้ว แต่น้ำมูกกลับเขียวและแย่ลง
• หรือมีไข้กลับมาใหม่/ ปวดหัวรุนแรง

ถ้าลูกมีอาการเข้าเกณฑ์เหล่านี้
→ ถึงจะเริ่มคิดถึงการติดเชื้อแบคทีเรียและอาจพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อครับ 💊



👩‍⚕️ จะเห็นว่าการวินิจฉัยว่าเป็นเชื้อแบคทีเรียจริงๆ ต้อง “อาศัยเวลา” ครับ
(เพราะการติดเชื้อไวรัสมักจะดีขึ้นเอง เมื่อเวลาผ่านไป)
หลายครั้งที่หมอหลายคนไม่จ่ายยาฆ่าเชื้อทันที
แล้วนัดมาติดตามอาการ 3 วัน 5 วัน
ไม่ได้แปลว่า “หมอเลี้ยงไข้” ❌

แต่แปลว่า…
ต้องมั่นใจก่อนว่าลูกติดเชื้อแบคทีเรียจริงๆ ถึงจะจ่ายยาฆ่าเชื้อให้กิน
เพราะยาฆ่าเชื้อ มันฆ่าได้แค่แบคทีเรีย ไม่ได้ฆ่าเชื้อไวรัส

และยาฆ่าเชื้อเองก็มีข้อเสีย เช่น
• ทำลายสมดุลของ “เพื่อนจิ๋วในลำไส้” (ไมโครไบโอม) ซึ่งสำคัญต่อสุขภาพในระยะยาว (ใครยังไม่รู้จักไปอ่าน link ในคอมเมนท์เลยครับ)
• เพิ่มโอกาสเกิด “เชื้อดื้อยา” ส่งต่อไปในสังคม
• อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสียหรือแพ้ยา

เพราะฉะนั้นการใช้ยาฆ่าเชื้อจึงเป็นเรื่องที่หมอต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ



💡 สรุปจำกันใหม่นะครับ
น้ำมูกเหลืองหรือเขียว = สัญญาณว่าเม็ดเลือดขาวกำลังต่อสู้
ไม่ใช่ตัวชี้ขาดว่าต้องกินยาฆ่าเชื้อเสมอไป
และส่วนใหญ่ก็เป็นจากการติดเชื้อไวรัส ที่มักจะหายเองได้ ❤️

👉 ใครยังไม่ได้อ่านข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจให้ลูกกินยาฆ่าเชื้อ
ตามไปอ่านต่อได้จาก link ในคอมเมนท์เลยครับ

04/10/2025

อยากให้ลูก"ไม่เป็นภูมิแพ้"และ"มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง"
พ่อแม่ต้องรู้จัก “เพื่อนจิ๋วในลำไส้ลูก” 🦠👶

หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า…
ในร่างกายลูกเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตจิ๋วๆ อย่าง แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราที่นิสัยดีๆ
พวกเขาอยู่รวมกันในชื่อว่า "ไมโครไบโอม (Microbiome)" ✨
และที่สำคัญที่สุดไมโครไบโอมจำนวนมหาศาลอยู่ที่ลำไส้
ซึ่งถือเป็น “ศูนย์กลางใหญ่” ของพวกมัน

👉 ไมโครไบโอมไม่ได้เป็นศัตรู แต่คือ "ผู้จัดการสมดุล"
ที่คอยดูแลภูมิคุ้มกันของลูกให้ทำงานในแบบที่ “กำลังพอดีๆ”
• ไม่ทำงานมากเกินไปจนกลายเป็นภูมิแพ้ 🤧
• และไม่อ่อนแอจนเกินไปจนฆ่าเชื้อโรคไม่ได้ 🤒



🔑 3 ขวบปีแรก = ช่วงเวลาทองที่ปั้นภูมิให้ลูก

จุลินทรีย์ในลำไส้ของลูกเริ่มสร้างตั้งแต่แรกเกิด
และจะค่อยๆ พัฒนาไปจน “ลงตัว” ช่วงอายุประมาณ 3 ขวบปีแรก
นักวิจัยเรียกช่วงนี้ว่า “ช่วงเวลาทอง!” 🍼

ถ้าในช่วงเวลานี้ ไมโครไบโอมได้รับการดูแลดี → ภูมิของลูกก็จะแข็งแรง ยั่งยืนไปจนโต
แต่ถ้าสมดุลเสีย (dysbiosis) → จะเพิ่มความเสี่ยงโรคภูมิแพ้ หอบหืด และโรคเรื้อรังอื่นๆ



🫁 ลำไส้กับปอด สามารถคุยกันได้จริง!

มีสิ่งที่เรียกว่า Gut–Lung Axis
ถ้าไมโครไบโอมในลำไส้แข็งแรง → ปอดก็ได้รับสัญญาณดีๆ ลดการอักเสบ เสี่ยงภูมิแพ้น้อยลง
แต่ถ้าเสียสมดุล → ปอดก็อักเสบง่ายขึ้น เสี่ยงโรคหอบหืด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก



🧠 ลำไส้กับสมอง ก็คุยกันได้จริง!

เรียกว่า Gut-Brain Axis
หลายคนอาจคิดว่า “ลำไส้ก็เอาไว้ย่อยอาหาร สมองก็เอาไว้คิด” แยกกันชัดๆ
แต่ความจริงคือ… ทั้งสองส่วนนี้มี “สายตรง” เชื่อมถึงกันครับ ✨

👉 ไมโครไบโอมในลำไส้สามารถผลิตสารสื่อประสาทที่เดินทางไปถึงสมองได้
• บางตัวช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น 😄
• บางตัวช่วยลดความเครียดและความกังวล 😌
• บางตัวยังมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาสมองและการเรียนรู้ของเด็กด้วย 📖👶

งานวิจัยหลายชิ้นถึงกับเรียกลำไส้ว่า “สมองที่สอง” ของมนุษย์
เพราะสุขภาพลำไส้สามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตใจและพัฒนาการทางอารมณ์โดยตรง

พูดง่ายๆ คือ…
ลำไส้ที่แข็งแรง = สมองที่สดใส อารมณ์ที่สมดุลและลูกที่เรียนรู้ได้ดีขึ้น 🌈💚



💊 ยาปฏิชีวนะ = ตัวทำลายเพื่อนจิ๋วของลูก

เวลาลูกไม่สบาย พ่อแม่บางคนอยากให้หมอสั่งยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย)
แต่จริงๆ แล้ว หวัดกว่า 80–90% เกิดจากไวรัส 👉 ยาปฏิชีวนะจึงไม่ช่วยครับ

และยิ่งแย่ไปกว่านั้น…
• ยาปฏิชีวนะฆ่า “เหมา” แบบไม่เลือก ทั้งแบคทีเรียตัวร้ายและเพื่อนจิ๋วที่ดีในลำไส้
• ทำให้เกิด dysbiosis หรือความไม่สมดุล
• โดยเฉพาะใน 3 ขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ลำไส้ลูกกำลังช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน

การถูกทำลายบ่อยๆ อาจทำให้ภูมิอ่อนแอ เสี่ยงภูมิแพ้ หอบหืด และโรคอื่นๆ ได้ในอนาคต

พูดง่ายๆ คือ…
การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ = ทำร้ายทีมผู้ช่วยลับของลูกโดยไม่รู้ตัว 🦠💔

หมายเหตุ; แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียจริงๆ ก็ต้องกินยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งให้ครบนะครับ



🔬 เพราะยาปฏิชีวนะทำลายเพื่อนตัวจิ๋ว
นักวิจัยทั่วโลกจึงกำลังหาทางช่วย “ปกป้องเพื่อนจิ๋ว”
เวลาที่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะจริงๆ

👉 แนวทางที่กำลังศึกษา เช่น

จุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม 🧪
มีการพัฒนาเชื้อยีสต์ชนิดพิเศษที่สร้างเอนไซม์ไปสลายยาปฏิชีวนะเฉพาะในลำไส้ ทำให้ยาปฏิชีวนะยังทำงานฆ่าเชื้อในร่างกายได้ แต่ไม่ทำลายเพื่อนจิ๋วในลำไส้

ถ่านกัมมันต์ (activated charcoal)
เคยมีการทดลองใช้เพื่อดักจับยาปฏิชีวนะในลำไส้ใหญ่ ป้องกันไม่ให้ทำลายจุลินทรีย์ดี (แม้ตอนนี้ยังไม่สำเร็จ แต่เป็นไอเดียที่น่าสนใจมาก)

ยาปฏิชีวนะเฉพาะทาง
ใช้ AI ช่วยค้นหายาที่ฆ่าเฉพาะเชื้อก่อโรค โดยไม่กระทบเพื่อนจิ๋วที่ดี

แม้จะยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ…
วงการแพทย์เริ่ม “เห็นคุณค่า” ของเพื่อนจิ๋วในลำไส้มากขึ้นเรื่อยๆ 🌱🦠



🌈 วิธีดูแลไมโครไบโอมของลูก
• 🍼 การกินนมแม่และการคลอดทางช่องคลอด → ส่งต่อจุลชีพดีๆให้ลูก
• 🥦 อาหารที่หลากหลาย เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลา นม โยเกิร์ต → เพิ่มจุลชีพดีๆ
• 🚫 เลี่ยงอาหารแปรรูป(UPF) ขนมหวาน น้ำอัดลม → ลดความเสี่ยง dysbiosis
• 💊 ใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อ “จำเป็นจริงๆ” เท่านั้น ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ



⚠️ ถ้าเพื่อนจิ๋วเสียสมดุล ลูกเสี่ยงโรคอะไรอีกบ้าง?

นอกจากภูมิแพ้และหอบหืดแล้ว งานวิจัยยังพบว่า dysbiosis ในวัยเด็กสัมพันธ์กับ
• 🤧 โรคผิวหนังภูมิแพ้ (eczema)
• 🍎 แพ้อาหาร
• 🧩 โรคพัฒนาการ เช่น ออทิซึม (ASD) และสมาธิสั้น (ADHD)
• ⚖️ โรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 1 → เพราะไมโครไบโอมผิดปกติส่งผลต่อการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน



✅ สรุป

ไมโครไบโอมในลำไส้ คือ “ผู้ช่วยลับ” ที่คอยดูแลภูมิคุ้มกัน เชื่อมโยงลำไส้กับปอดและสมอง

สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ง่ายๆ คือ ดูแลเรื่องอาหารและใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง
เพราะการปกป้องไมโครไบโอม = การปกป้องสุขภาพลูกในระยะยาวนั่นเอง 🌱💚

ที่อยู่

เลย เชียงคาน
Loei
42000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 22:00
อังคาร 08:00 - 22:00
พุธ 08:00 - 22:00
พฤหัสบดี 08:00 - 22:00
ศุกร์ 08:00 - 22:00
เสาร์ 08:00 - 22:00
อาทิตย์ 08:00 - 22:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สุขเปี่ยมเภสัช : Sookpiam Bhaesaj Pharmacy&Careผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง สุขเปี่ยมเภสัช : Sookpiam Bhaesaj Pharmacy&Care:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram