บ้านอโรคยาสารคาม

บ้านอโรคยาสารคาม ศูนย์บริการล้างพิษตับ และลำไส้ สูต?

14/11/2017
22/03/2017

ปัจจุบันนี้ โรคข้อเข่าเสื่อมส่วนใหญ่มักพบได้ในวัยผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันนี้โรคนี้ยังสามารถพบและเกิดได้กับวัยรุ่น ในช่วงอายุประมาณ 25 ปี ขึ้นไปอีกด้วย ถึงจะเป็นส

04/10/2016

ว่าด้วยเรื่องต่อมลูกหมาก

รู้ไว้ใช่ว่าใส่ใจเรื่อง"ต่อมลูกหมาก"
จากหนังสือ ประสบการณ์ จากภูมิปัญญาชาวบ้าน ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
โดย นายศุภกิจ นิมมานนรเทพ
อดีตรองอธิบดีกรมทะเบียนการค้าและอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ...
“เมื่อประมาณเกือบ 10 ปีมาแล้ว ผู้เขียนมีอาการปวดในท่อปัสสาวะมาก ถ่ายปัสสาวะไม่ค่อยออก นอกจาก จะถ่ายออกมาเป็นหยด ๆ แล้ว ภายในท่อปัสสาวะก็ปวดมาก
จึงต้องไปพึ่งหมออีก ก็เป็นหมอเจ้าเก่า คือคุณหมอสุดชาย ปันยารชุน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ (ในขณะ นั้น) ซึ่งเป็นผู้มีเมตตาต่อผู้เขียนเป็นอย่างดี มาช้านาน
คุณหมอได้ตรวจแล้วบอกว่า เป็นโรคต่อมลูกหมากโต แต่เป็นในระยะเริ่มต้น ควร จะผ่าตัดเอาออกเสียเลย ผู้เขียนก็ต่อรองว่าตอนนั้นอีกสองวันจะเข้าพรรษา รอให้เข้าพรรษาแล้ว
จะนัดมา ผ่าตัด ซึ่งทางหมอบอกว่าโรคนี้ยังไม่มียารักษา มีแต่การผ่าตัดอย่างเดียวเท่านั้น
ก่อนที่จะกลับสำนักที่ราชบุรี ก็ได้โทรศัพท์ไปคุยกับท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้เขียน ทุกครั้งที่โทร.ไป ท่านก็มักจะถามถึง สุขภาพอยู่เสมอ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอโทร.ถึงท่าน ท่านก็ถามถึงสุขภาพก่อนอื่นเหมือนจะรู้ใจ ก็ได้กราบเรียนท่านว่า ได้มาโรงพยาบาลเพื่อ จะผ่าตัดต่อมลูกหมากโต ท่านก็ได้พูดขึ้นทันทีว่า
"เมื่อสองวันมานี้ คุณโยมยุพนา ธรรมโกวิท ได้บอกวิธีรักษาต่อมลูกหมากโตให้(โดยไม่ต้องผ่าตัดฯ) โดยใช้ผักบุ้งจีนกับน้ำผึ้งแท้ ท่านถามว่าจะลองดูไหม ? " ผู้เขียนก็ได้ตอบท่านไปโดยไม่ลังเลว่าเต็มใจที่จะลองดู!! เพราะมั่นใจว่า ถึงโรคต่อมลูกหมากโตจะไม่หาย ก็คงจะไม่เป็นอะไร เพราะทั้งผักบุ้งจีนและน้ำผึ้งก็เคยฉัน (กิน) อยู่แล้ว
ผักบุ้งแท้ น้ำผึ้งแท้
ก่อนกลับที่พักจึงได้ซื้อผักบุ้งจีนมาด้วย 1 กิโล โดยแบ่งกินเป็น 3 วัน กินวันละ 1 มื้อก็หมดพอดี พอมาถึงกุฎิก็เริ่มทำ โดยเอาผักบุ้งจีนไปล้างให้สะอาด แล้วตัดเอารากออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่กาน้ำต้ม โดยใส่น้ำเพียงเล็กน้อย พอสุกแล้วยกลง ตักออก เอาน้ำผึ้งแท้ใส่ ลงไป 2 ช้อนแกง คนให้เข้ากันดีแล้วก็ฉัน(กิน) จนหมดทั้งเนื้อทั้งน้ำ เหลืออีกสองส่วนก็เอาไว้ฉัน(กิน) ในวันต่อไป
พอตอนเช้ามืดตื่นขึ้นมาปัสสาวะ เอ๊ะ ! รู้สึก ว่าถ่ายปัสสาวะได้คล่องขึ้นอาการปวดแสบในลำกล้องก็น้อยลง ดูน่าจะเข้าท่า!!! ก็เลยทำฉัน(กิน) อีกสองวันก็หายเป็นปกติ เลยสั่งให้เขาซื้อมาอีก 1 กิโล ทำฉัน(กิน) เช่นเดิมอีก 3 วัน ก็หายมาเป็นเวลา 1 ปี ก็เริ่มมาเป็นอีก ก็ทำฉัน(กิน) อย่างเดิมก็หายอีก จนครั้งที่สามเมื่อ 2 ปีมานี้เริ่มจะเป็นอีก ก็ทำฉัน (กิน) อีกก็หายมาจนบัดนี้ ***
คุณหมอได้กล่าวว่า ชายที่สูงอายุจะต้องเป็นโรคต่อมลูกหมากโตแทบทุกคน และในปัจจุบันยารักษาโรคนี้ก็ยังไม่มี มีแต่ยาระงับปวด ทางหายของโรคนี้จึง มีทางเดียวคือผ่าตัดเอาออกเท่านั่นเอง
ข้อควรอนุสติคือ น้ำผึ้ง จะต้องเป็นน้ำผึ้งแท้ ไม่ใช่น้ำผึ้งมิ้น น้ำผึ้งที่แท้และราคาถูก คือ น้ำผึ้งของโครงการหลวง มีขายตามโกลเด้น เพลส และร้านค้าทั่วไป”
วันเสาร์และอาทิตย์ ผมจึงแปรการกินอาหารคน เป็น “อาหารเต่า” คือกินผักบุ้งต้มใส่น้ำผึ้งตลอด 2 วัน โดยภรรยาของผมไปซื้อผักบุ้งจีนวันละ 1 กิโลกรัม นำมาล้างให้สะอาด ตัดรากทิ้งไป แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ ยาวราว 1 เซนติเมตร ใส่หม้อต้มโดยมีน้ำสัก 40-50 ซี.ซี. ปิดฝาให้เดือด 2-3 นาที แล้วยกลง ไอร้อนจะอบให้ผักบุ้งซึ่งสุกง่ายอยู่แล้วพากันสุกทั่วถึง แล้วใส่น้ำผึ้งแท้ลงไป 2-3 ช้อนโต๊ะ คน ๆ จนเข้ากันดีแล้ว ผมก็แบ่งมากิน 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์
เช้าวันจันทร์ ผมตื่นเช้าเข้าห้องส้วมก็รับรู้อย่างดีใจ ว่า อาการก๊อกอุดตัน และก๊อกรั่วหยด หายไปอย่างน่ามหัศจรรย์
ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ รายงานผลของการกินยา พระบอก ให้ญาติทราบว่า ยาขนานนี้ดีกว่า ยาผีบอกแน่นอน !!!

04/10/2016

เรื่อง การกินน้ำปั่น นี้เป็นการแชทของครูเริญ รร วิเชียรชมกับเพื่อนซึ่งถามมาว่า ตำรา ยาอัยการสุรินทร์ มีใบไม้ ผักสดอะไรบ้าง เขาสนใจ เพราะ เป็นเบาหวาน มานานแล้ว กินยาเบาหวาน จนไตจะเสื่อมแล้ว หาข้อมูลให้ด้วยนะคะ ให้คิดว่า สร้างบุญกุศลก็แล้วกัน
น้ำปั่น ใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อน รักษาโรคร้ายหายขาดทุกโรค
โดย สุรินทร์ วัตตธรรม
เป็นบทความที่ทุกคนตั้งคำถามว่า ใช้ใบไม้อะไร ผักประเภท ไหนกินแล้วหายทุกโรค จริงหรือไม่
จริงครับ โดยเฉพาะโรค NCDS (โรค ที่ไม่แพร่โดยเชื้อโรค) แต่เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกิน กินมากเกินไป ปกติให้กินเพียง 80% ของความหิว “กินน้อยตายยาก กินมากตายไว” เพราะกินมากตับ ไต ทำงานหนัก เสื่อมเร็ว
โรค NCDS ได้แก่โรคมะเร็ง, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ไขมันตัวเลวสูง, ไตเสื่อม, ภูมิแพ้, แพ้ภูมิตัวเอง (โรคพุ่มพวง), เส้นโลหิตสมองตีบ, เส้นโลหิตหัวใจตีบ, เข่าอักเสบ, ซึมเศร้า ก็มีส่วน เลือดข้นผิดปกติ, ตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งโรค NCDS ก่อเกิดจาก การกินน้ำตาลมากเกินไป ปกติคนที่ไม่เป็น เบาหวานกินน้ำตาล ได้วันละไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำตาลในเลือด มีครึ่งช้อนชา
ฉะนั้นควรเลี่ยงการกิน น้ำตาลเกิน แม้กระทั่งผลไม้ หวานก็ไม่ควรกินประจำเพราะอาจเป็นเบาหวานได้เช่นกัน
โรคมะเร็งเป็นโรคร้าย ที่มักเกิดจาก
1) กินโปรตีนสูงประจำ
2) ไม่กินผักและผลไม้
3) เครียดเป็นประจำ
4) นอนดึก (นอนหลัง 02.00 น. บ่อยๆ )
โรคมะเร็ง ไม่มียารักษา การให้ คีโม ก็ดี ฉายแสง ก็ดี เป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งเท่านั้น ไม่ใช่การรักษา ให้หายขาด เมื่อ ฉีดคีโม อีกประมาณ ๒ ปี ก็กลับมา เป็นใหม่ ปกติ อนุมูลอิสระ (Free Radical) ที่ก่อให้เกิดมะเร็งมีอยู่ทุกคน หากร่างกายแข็งแรงและไม่เข้าองค์ประกอบข้างต้น ก็จะไม่ป่วยเป็นมะเร็ง
สำหรับโรคเบาหวาน เกิดจากการกินน้ำตาลมาก เกินไป คนบางคนกินน้ำตาลเกินถึง 10,000% สมัยก่อนโรคเบาหวานกับโรคมะเร็งไม่มีใครรู้จัก เพิ่งแพร่ระบาดจากพฤติกรรมการกิน เมื่อโลกเจริญขึ้นผลิตอาหารที่มากด้วยน้ำตาล โฆษณาชวนกินของอร่อยซึ่งเปี่ยมด้วยน้ำตาลกินหวานสะสมจนต่อม Islet of langer ham ในตับอ่อนผลิอินซูลินมากเกินไปจนเกิดความเสื่อม ผลิตได้น้อยลงหรือผลิตไม่ได้ น้ำตาลที่กินเข้าไปก็นำไปใช้ไม่หมด น้ำตาลส่วนเกินนี้เองที่ก่อให้เกิดโรค NCDS
คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักแถมอีก 3 โรค ได้แก่ความดันโลหิตสูง, ไขมันตัวเลวสูง และโรคไตเสื่อม (ค่าไตปกติ 0-1.25) ยาเบาหวาน ความดันและลดไขมันล้วนทำให้ไตเสื่อม หากรับยาไปนานๆจะทำให้ไตเสื่อมถึงขนาดฟอกไต ซึ่งทรมานมาก
คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานหากคุมน้ำตาลได้ดี ทำให้อวัยวะทุกส่วนเสื่อมช้าลงก็จริงแต่ไตเสื่อม ไม่มีอะไรยับยั้ง ผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่จึงกลัวถูก ฟอกไต เพราะคนที่ฟอกไตจะมีชีวิตอย่างทรมาน ต้องคอยจดจ่อเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อเข้าคิวฟอกไตทุก 3 วัน ภายหลังฟอกไตจะอ่อนเพลียมาก
ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินคำว่า “ดื้อยา” สาเหตุ ของการดื้อยาเพราะร่างกายไม่รับจึงต่อต้านยา ซึ่งเป็นเคมี ที่มนุษย์ทำขึ้นจึงต้องเพิ่มปริมาณยา อยู่เรื่อยๆ ผู้ป่วยทุกคนเรียกหาหมอที่เก่งที่สุด มารักษาตัวเอง
ขอเรียนว่าไม่ต้องเดินทางไปหาให้ไกล
หรอกครับ หมอที่เก่งที่สุดในโลกได้แก่หมอร่างกาย ของท่านเอง
ถึงเวลาแล้วครับที่ต้องให้หมอร่างกายรักษา ตัวเอง ผลดีของหมอร่างกายคือ
1. ไม่มีการดื้อยา
2. หายป่วย (หายขาด) เพราะหมอร่างกายใช้ธรรมชาติช่วยชีวิต ไม่ใช้ยาเคมีที่มนุษย์ทำขึ้น หากแต่เป็นพฤกษะเคมี (Phyto chemical) ในใบไม้และผักสดนั่นเอง
วิธีการรักษาของหมอร่างกาย ด้วยการที่ร่างกาย จะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมาระหว่างเวลา 22.00 น. – 02.00 น. ในขณะที่เราหลับลึก (หลับๆตื่นๆ จะไม่หลั่ง) แล้วโกรทฮอร์โมนจะนำเอ็นไซม์ (Enzyme โปรตีนในพืช) และพฤกษะเคมี (Phyto chemical) จากใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อนไปซ่อมอวัยวะทุกส่วนที่เสื่อมให้เป็นปกติ
ปกติคนเราจะมีเอ็นไซม์ (Enzyme) อยู่ในร่างกายโดยธรรมชาติ แต่เมื่ออายุ 30 ปีล่วงแล้ว เอ็นไซม์ค่อยๆลดน้อยถอยลง ไม่พอที่จะซ่อมแซมอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย จึงจำเป็นต้องกินใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่าน ความร้อนเข้าไปในร่างกาย เป็นเครื่องมือหรือ เป็นยาให้หมอร่างกายทำการรักษา ทำไมต้อง ไม่ผ่านความร้อนเพราะความร้อนไม่ว่าเกิดจาก การลวกหรือโดนแสงแดดทำให้เอ็นไซม์ (Enzyme) หายหมด
อย่างไรก็ตามหากใบไม้สดและผักสดนำไปแช่ ตู้เย็น แม้ต่อมาใบไม้จะช้ำบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ควรแช่ไว้เกิน 1 สัปดาห์ หากท่านนำใบไม้หรือผักสดไปลวกก่อนนำมาปั่นจะเหลือแต่ซากใบไม้และซากผักไม่มีเอ็นไซม์ (Enzyme)ใช้รักษาไม่ได้ครับ
คำถามต่อไปมีว่าใบไม้และผักสดชนิดไหนที่กินได้ คำตอบส่วนใหญ่กินได้ยกเว้นใบไม้พิษ ห้ามนำมาปั่นได้แก่ใบยี่โถ,ใบลั่นทม, ใบชวนชม, ใบลำโพง, ใบรำเพย, ใบตำแย, ใบหมามุ่ย, ใบตีนเป็ดหรือพญาสัตบรรณ ใบสาวน้อยประแป้ง (ประเภทว่าน) และใบรัก (ยังมีอีก แต่คนทั่วไปมักไม่รู้จัก)
กล่าวโดยสรุปใบไม้แปลกๆพิสดารไม่ควรนำมาปั่น
วิธีการทำ
นำใบไม้หลายๆชนิดใส่ในโถปั่นเกือบเต็มโถปั่น
ใส่น้ำ 600 ซีซี (ขนาดขวดน้ำดื่มขนาดกลาง) ปั่นให้ละเอียดใช้เวลาน้อย เพราะปั่นนานความร้อนจากเครื่องออกมาผสมกับน้ำปั่น จะกรองกากทิ้งหรือกินทั้งกากก็แล้วแต่ถนัด แต่การกินทั้งกากจะขับถ่ายได้ดีกว่า (คนที่ท้องผูก ลองกิน เช้า – เย็น 1,200 ซีซี อาจถ่ายวันละ 3 ครั้งครับ
ข้อสังเกตุ ใบไม้ที่มีรสขมจะมีประสิทธิภาพในการลดน้ำตาลได้ดีมากเช่นใบขี้เหล็ก, ใบบัวบก, ใบกระท่อมมาเลย์ (ไม่ผิดกฎหมายเพราะนอกบัญชียาเสพติด) , ใบมะระขี้นก, ใบสะเดา
ตัวอย่าง ใบไม้ที่ควรนำมาปั่น เช่น ใบบัวบก, ใบขี้เหล็ก, ใบสะเดา (ใส่ 2-3 ใบ เพราะรสขมจัด, ใบมะระขี้นก, ใบกระท่อมมาเลย์, ใบชะมวง, ใบมะม่วงหิมพานต์, ใบเตย, ใบข่อย, ใบมะรุม, ใบฝรั่ง, ใบชมพู่, ใบคึ่นฉ่าย, ใบสะระแหน่, ใบมะกรูด, ต้นตะไคร้, ใบมะยม, ใบชะพลู, ใบโหระพา, ใบกระเพรา, ใบเข็ม, ใบแสงจันทร์, ใบมะนาว, ใบมะม่วง, ใบขนุน, ใบหม่อนเบอร์รี่, ใบจิงจูฉ่าย, ใบกำแพงเมืองจีน, ใบขลูนา, ใบว่านฮ็อก, ดอกขจร (ดอกสลิด), ใบป่าโหม เป็นต้น
ใช้ 9-10 อย่างซ้ำๆทุกวันก็ได้ครับ สำหรับใบขี้เหล็กทำให้นอนหลับลึก, ใบบัวบกดีที่สุดครับ ใช้ผลไม้เช่น แอปเปิ้ลเขียว กล้วยน้ำว้าห่ามๆ มะเขือเทศสีดาผสมได้ ทำเสร็จขอให้มีรสขมนำจะดีมากครับ
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันตัวเลวสูงและไตเสื่อม ให้กินยาที่ท่านกินอยู่แล้วร่วมกับน้ำใบไม้ปั่นต่อไป 1 สัปดาห์แล้วจึงหยุดกินยาได้ สำหรับคนที่เส้นโลหิตสมองตีบเส้นโลหิตหัวใจตีบหากกินยาขยายหลอดเลือดอยู่ให้กินไปตลอดชีวิต นอกจากนี้คนที่ไม่มีโรคประจำตัวใดๆก็สามารถกินน้ำใบไม้และผักสดปั่นได้ จะทำให้สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย
กินไปนานๆหากรู้มึกมึน ๆ หรือ หวิว ๆ หรือวูบ แสดงว่าน้ำตาลต่ำ ให้กินน้ำผึ้งรวง 1 ช้อนแกงหรือน้ำตาลปึก 3 ช้อนชาจะหายทันทีเพราะน้ำตาลที่ไปเลี้ยงสมองจะเข้าไปสู่สมองทันทีโดยไม่ต้องให้อินซูลินนำไปครับ (สมองคนเราต้องการ 2 อย่างได้แก่น้ำตาลกับอ๊อกซิเจน) ตามหลักการแพทย์คนที่ไม่เป็นเบาหวาน ค่าน้ำตาลไม่ควรต่ำกว่า 50 ส่วนคนที่เป็นเบาหวานค่าน้ำตาลไม่ควรต่ำกว่า 70 แต่เคยทดลองมาแล้วการกินน้ำปั่นใบไม้สดและผักสดค่าน้ำตาลต่ำถึง 32 ยังปกติทุกอย่าง ถ้าน้ำตาลต่ำมากให้ลดใบไม้และผักสดลง ถ้าน้ำตาลสูงเกินไปให้เพิ่มปริมาณใบไม้และผักสดขึ้น (ทั้งนี้แต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน)
การกินน้ำปั่นใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อนขอสองอย่างคือ
1) หลัง 18.00 น. ห้ามกินของหวาน (หากกินข้าวเสร็จก่อน 18.00 น. จะดีที่สุด)
2) ไม่ควรนอนเกิน 22.00 น.
ไม่ต้องกินอาหารคลีน (Clean food) สามารถกินอาหารได้ตามปกติ แต่ไม่ควรกินรสเค็ม
จัดหวานจัด ไม่ควรกินของทอดที่ใช้น้ำมันพืชเพราะจะ สะสมไขมันทรานส์ (Transfat)ไขมันตัวเลว เป็นตัวก่อโรคด้วย
โปรดคืนชีวิตให้หมอร่างกายรักษาตัวเองนะครับ โรค NCDS หายขาดทุกโรคทั้งนี้ท่านสามารถพิสูจน์ เชิงประจักษ์(Empirical)โดยการเจาะเลือดดูได้ครับ....................
พี่แดง ผ้ก ใบไม้กินได้ ตามบ้านๆ ให้เอามาปั่น แล้วก็ดื่ม พจนาว่าดีมาก น้องเขาให้พี่รงไปคุยด้วย พอบอกพี่รงเขาไม่ยอมทำ
ขอบคุณครับ ขอเรียนว่ากินน้ำปั่นใบไม้สดและผักสด ผมทำให้พจนา กินเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้เองครับ นอกจากคุมมะเร็งได้แล้ว ยังทำให้ต่อมรับรสฟื้นตัวดีขึ้นชิมรสได้เกิน 80 เปอร์เซ็นครับ หลังจาก ฉายแสงต่อมรับรสเสียไปเลยครับ miracle จริงๆครับ
โรคไตเขาไมให้กินผักสดเยอะอีก
น้องพจนา สุขภาพดีขึ้นมากหลังจากกินน้ำใบไม้จ้า
ผักที่ห้ามนำมาปั่นสดๆได้แก่ ถั่วงอก, กะหล่ำปลี, ถั่วฝักยาว, มันฝรั่ง, หน่อไม้, ผักโขม ผักเหล่านี้ควรกินสุกครับ
ผม สุรินทร์ วัตตธรรม ขอเรียนกรณีศึกษารายน้องภรรยาผมป่วยเป็นเบาหวานนานกว่า30 ปี ฉีดอินซูลินมาแล้ว11 ปี ขนาดฉีดอินซูลินสามารถคุมนำ้ตาลได้เพียง 200 เพราะไม่ได้คุมอาหารเนื่องจากฝากท้องไว้กับร้านค้าครับ
ยังมีไขมันตัวเลว(ldl) สูงมากถึงขนาด ทำบายพาสหัวใจแล้ว และไตเสื่อมหนักใกล้จะฟอกไต ตาเขียวเหมือนหมีแพนด้า
ผมห้ามไม่ให้ฟอกและแนะนำให้กินนำ้ปั่นใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อนกินก่อนอาหารเช้าทุกวัน กินมาได้3 เดือนเศษ หยุดฉีดอินซูลิน และหยุดยาทั้งหมดได้ 1 เดือนเศษครับ
เมื่อวันที่ 12 เดือนที่แล้วหมอโรงพยาบาลราชวิถีนัดตรวจใหญ่ เมื่อดูผลแล็ปหมอ งง แล้วถามว่าคุณทำอย่างไรจึงกายหมดทุกโรค เขาบอกว่าพี่เขยเป็นอัยการสงขลา แนะนำให้กินนำ้ปั่นใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อน หมอบอกให้กินต่อไปครับ
หมอประจำบริษัทที่เขาทำงานอยู่ขอให้ช่วยจดรายการใบไม้และผักที่ใช้ปั่น เพื่อแนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวาน มะเร็ง ไขมันสูง ความดันสูง ไตเสื่อม เป็นต้นกินด้วย
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาวัดค่านำ้ตาลได้ 100 วันนี้เวลา 06.30 น. วัดค่านำ้ตาลได้ 100 พอดีครับ ถือว่าหายแล้วนะครับ
ขอเรียนว่าท่านที่กินนำ้ปั่นใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อน ขอสิงอย่างนะครับได้แก่ ควรนอนไม่เกินสี่ทุ่ม เพราะหมอร่างกายมารักษาตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสองครับ และหลังหกโมงเย็นห้ามกินของหวาน เพราะถ้ากินของหวาน อินซูลินจะหลั่งออกมานำนำ้ตาลไปใช้ ครั้นถึงเวลาสี่ทุ่มหมอร่างกายจะไม่มา คำว่าหมอร่างกายหมายถึงโกรท ฮอร์โมน( growth homone) จะไม่หลั่งออกมากระตุ้นให้เอ็นไซม์(enzyme) ทำหน้าที่ซ่อมอวัยวะทุกส่วนที่เสื่อมให้เป็นปกติ ทั้งนี้เพราะโกรท ฮอร์โมน ไม่ถูกกับอินซูลิน
อย่าลืมนะครับถ้าอินซูลินมา โกรทฮอร์โมนไม่มา เท่ากับวันนั้นกินน้ำปั่นพืชสดฟรี
ร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้ทุกท่านมีคุณภาพชีวิตที่ดี และประหยัดงบประมาณค่ายาและการรักษาผู้ป่วยอันเกิดจากกินน้ำตาลเกิน( โรค ncds) ได้โปรดบอกต่อนะครับ ขอบพระคุณครับ

31/07/2016

"โกคิ้ม" หรือ คุณกิตติคม ลิ่มโอภาษมณี เป็นนักธุรกิจชาวเมืองตรัง เรื่องราวของท่านเริ่มเมื่อปีกลาย ในวัยขณะนั้น 61 ปี โกคิ้มเป็นลมหน้ามืดหมดสติถูกหามเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉิน แพทย์ตรวจแล้วพบว่าโกคิ้มเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน จึงทำการสวนหัวใจเป็นการฉุกเฉิน พบว่าเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบสามเส้น และมีความเห็นว่าทำบอลลูนไม่ไหวแล้ว ต้องไปทำผ่าตัดบายพาส ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับโกคิ้ม เพราะเพื่อนสนิทกันก็ทำบอลลูนบ้าง ทำบายพาสบ้าง หลายคน บางคนทำแล้วดี บางคนทำแล้วไม่ดี โกคิ้มเคยต่อรองกับหมอว่าถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หมอพูดต่อหน้าภรรยาของโกคิ้มซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่นด้วยว่า
"ก็จะเกิดการตายแบบกะทันหันไง ซัดเด้น เด๊ด (Sudden Dead)"
โกคิ้มเล่าพร้อมกับกระแทกเสียงคำว่า "ซัดเด้นเด๊ด" แบบเน้นๆ เมื่อเจอคำแนะนำที่หนักแน่นเช่นนี้โกคิ้มก็ตัดสินใจจะทำผ่าตัด แต่พอไปที่โรงพยาบาลมอ. (รพ.มหาลัยสงขลานครินทร์ที่หาดใหญ่) หมอบอกว่าคิวคนรอผ่าตัดยาวมาก ถ้าจะผ่าเร็วให้ไปผ่าที่รพ.ตรัง เพราะที่นั่นเขากำลังจะเริ่มเปิดผ่าตัดหัวใจใหม่ โกคิ้มก็ตั้งใจว่าจะไปผ่าที่เมืองตรังเป็นคนแรกเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย ซึ่งหมอก็ให้คิวนัดไว้
ระหว่างที่รอนัดหมาย โกคิ้มอ่านเน็ทพบบล็อกของหมอสันต์ จึงเขียนอีเมลมาเล่าอาการเจ็บป่วยของตัวเองว่าแบบนี้จะไม่ผ่าได้ไหม หมอสันต์ขอดูผลการตรวจสวนหัวใจ โกคิ้มพยายามส่งภาพไปทางอีเมลแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงต้องลงทุนถือแผ่นซีดี.มาขอพบหมอสันต์ที่กรุงเทพด้วยตัวเอง หมอสันต์เปิดวิดิโอผลการสวนหัวใจฉายดูหลายรอบแล้วบอกโกคิ้มว่างานวิจัยชื่อ OCT trial เอาคนที่เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแล้วรอดชีวิตพ้น 24 ชั่วโมงแรกมาได้โดยที่มีอาการเจ็บหน้าอกไม่เกินเกรด 3 เมื่อฉีดสีดูแล้วก็มีตีบสองเส้นบ้าง สามเส้นบ้าง อย่างโกคิ้มนี้ เอามาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ไปแก้ไขหัวใจตีบด้วยการทำบอลลูนหรือทำผ่าตัดบายพาส อีกกลุ่มหนึ่งแค่ใช้ยาลดไขมันโดยไม่บอลลูนไม่บายพาส พบว่าการรักษาทั้งสองแบบให้ผลการรักษาในระยะยาวไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะวัดด้วยการตายหรือการเกิดจุดจบที่เลวร้ายก็ตาม ดังนัันคุณจะทำบายพาสหรือไม่ทำบายพาสก็ได้ มันเป็นทางสองแพร่ง แล้วแต่คุณ โกคิ้มถามถึงการดูแลตัวเองถ้าไม่ผ่าตัด หมอสันต์แนะนำให้ไปเข้าแค้มป์ RD1 ซึ่งรับเอาแต่คนเป็นโรคหลอดเลือดอย่างโกคิ้มนี้มาเรียนวิธีดูแลตัวเอง โกคิ้มก็ไปเข้าแค้มป์
ตอนที่อยู่ในแค้มป์ มีชั่วโมงทดสอบความฟิตของร่างกายด้วยวิธีเดินเร็วหนึ่งไมล์ ขณะที่คนอื่นเขาเดินฉับๆๆ โกคิ้มก็เดินฉับๆๆเหมือนกันแต่แน่นหน้าอกเหงื่อแตกหายใจดังฟี้ด ฟี้ด แต่ก็ต้องรีบเพราะจะไปเข้าเส้นชัย หมอมาตรวจดู เอาเครื่องช็อกหัวใจมาจ่อดูคลื่น เล่นเอาโกคิ้มใจไม่ดี แต่แล้วก็ไม่มีอะไร หมอสอนว่าการออกกำลังกายสำหรับคนเป็นหัวใจขาดเลือดการไปให้ถึงระดับหนักพอควรคือหอบแฮ่กๆนั้นถูกต้องแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่แน่นหน้าอกจะต้องผ่อนลง และจำระดับความหนักที่ทำให้เราแน่นหน้าอกไว้ เมื่อผ่อนลงจนหายแน่นแล้วจึงค่อยๆออกกำลังกายต่อไป แต่ว่าไม่รีบขึ้นไปท้าทายระดับนั้นอีก ให้ออกกำลังกายระดับต่ำกว่านั้นไปสักหลายๆวันแล้วจึงค่อยกลับขึ้นไปท้าทายระดับนั้นใหม่ ถ้าเจ็บหน้าอกอีก ก็ถอยอีก วันหน้าท้าทายใหม่อีก ทำอย่างนี้จะค่อยๆออกกำลังกายได้มากขึ้น จนออกได้มากเท่าคนปกติ
ออกจากแค้มป์โกคิ้มไม่ยอมกลับบ้าน แต่คว้าจักรยานไปเข้ากลุ่มปั่นไปทั่วเมืองไทยจากใต้จรดเหนือ โกคิ้มประกาศไปทั่วกลุ่มว่าตัวเองเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ ใครอย่ามาเร่ง เวลาปั่นไปแล้วโกคิ้มเริ่มมีอาการแน่นหน้าอกก็จะค่อยๆผ่อนความเร็วลงพร้อมกับโบกมือให้เพื่อนๆที่อยู่ข้างหลังแซงไปก่อน พออาการแน่นหน้าอกทุเลาลง โกคิ้มก็เพิ่มความเร็วใหม่ โกคิ้มชักชวนคนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดด้วยกันมาตั้งก๊วน "สามตีบถีบหนีหมอ" หมายความว่าหลอดเลือดหัวใจตีบสามเส้น แต่ถีบจักรยานหนีไม่ให้หมอทำบอลลูนหรือบายพาส ซึ่งก็ได้เพื่อนร่วมก๊วนมาสองสามคน การได้เข้าแค้มป์ RD ทำให้ได้หมอสันต์เป็นคนให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ โกคิ้มค่อยๆลดยาซึ่งหมอให้มาสี่ห้าตัวลงโดยมีหมอสันต์คอยแนะนำจนเหลือแต่แอสไพรินกับยาความดันอีกตัวเดียว
นอกจากจะขยันออกกำลังกายแล้วโกคิ้มยังเอาจริงเอาจังในเรื่องการปรับอาหาร ลดอาหารเนื้อสัตว์ลง กินพืชมากขึ้น เห็นเขาปั่นผลไม้โดยเอากากทิ้ง โกคิ้มไปขอกากนั้นมากิน จนทุกวันนี้ไขมันในเลือดของโกคิ้มลดลงแล้วโดยไม่ต้องใช้ยาลดไขมัน โกคิ้มไม่ทำด้วยตัวเองเท่านั้น ยังสอนให้เพื่อนนักปั่นจักรยานคนอื่นๆทำตามด้วย โกคิ้มเล่าว่า
"..เดี๋ยวนี้ทุกคนก็จะกินแต่พืช อย่างเวลาพวกเราปั่นไปนอนค้างคืนตามวัด พวกญาติโยมศรัทธาเขาก็จะทำอาหารให้กินโดยเราก็ทำบุญให้วัดไปบ้าง เวลาเขาทำหมูต้มฟักมา ปรากฎว่าคนแย่งกันกินฟักหมด หมูไม่มีคนกิน..."
โกคิ้มกลายเป็นนักปั่นถาวรไม่กลับบ้านกลับช่อง จากกรุงเทพ ไปอุบล จากอุบล ไปสารคาม ปั่นไปแวะทำบุญไปตามบ้านเล็กเมืองน้อย ความสามารถในการปั่นก็เพิ่มขึ้นๆเรื่อยๆ จนสามเดือนให้หลังมานี้สามารถปั่นได้สุดกำลังตัวเองนานเป็นวันๆโดยไม่เจ็บหน้าอกเลย โกคิ้มกลายเป็นนักปั่นระดับแถวหน้าของก๊วนในวัยเดียวกันไปเสียแล้ว จนเพื่อนๆอิจฉาและตั้งขอกังขาว่า
"..ถามจริงๆเหอะ เอ็งจ้างหมอสันต์เท่าไหร่เขาถึงยอมเซ็นให้ว่าเอ็งเป็นโรคหัวใจทั้งๆที่จริงเอ็งไม่ได้เป็นสักหน่อย"
สิ่งที่เราควรเอาเยี่ยงอย่างจากโกคิ้มก็คือวิธีออกกำลังกายสำหรับคนเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ว่านอกจากจะต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร (moderate intensity) ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ แต่ยังพูดได้แล้ว ยังจะต้องมีลูกเล่นที่จะเล่นกับอาการเจ็บหน้าอกด้วย คือถ้าเจ็บหน้าอกที่ระดับไหนให้จำระดับความหนักนั้นไว้ แล้วถอยลงมานิดหนึ่ง ออกกำลังกายระดับต่ำกว่านั้นเล็กน้อยไปหลายๆวันแล้วกลับขึ้นไปท้าทายระดับนั้นใหม่ ทำไปแบบนี้ในที่สุดหัวใจก็จะมีขีดความสามารถในการออกกำลังกายมากขึ้นๆ เพราะกลไกการส่งเลือดผ่านหลอดเลือดฝอยเส้นเล็กเส้นน้อย (collateral) มันจะค่อยๆทำได้มากขึ้นๆอย่างเป็นธรรมชาติ จนในที่สุดก็จะสามารถออกกำลังกายได้มากเท่าภาวะปกติ
ส่วนสิ่งที่เราไม่ควรเสี่ยงเอาเยี่ยงอย่างโกคิ้มก็คือ การไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องคราวละเป็นเดือนๆ เพราะนี่เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัว ไม่อาจลอกเลียนกันได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

10/07/2016

bee􏿿
bee􏿿bee􏿿
bee􏿿bee􏿿bee􏿿
bee􏿿bee􏿿bee􏿿bee􏿿
bee􏿿bee􏿿bee􏿿bee􏿿bee􏿿

sparkling 1􏿿น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิด
เดียวในโลกนี้ที่ไม่เสียหรือ
บูดเน่า จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล sparkling 1􏿿แท้จริงแล้วน้ำผึ้งแท้ก็
คือน้ำผึ้งแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้ใน
ที่มืดนานๆ มันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆ เย็นลง
จนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม X mark􏿿อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟ
เด็ดขาด เพราะจะทำลาย
เอ็นไซม์ในน้ำผึ้ง
sparkling 1􏿿น้ำผึ้งกับอบเชย
กล้ากล่าวได้ว่าบริษัทยา
ทั้งหลายไม่ชอบใจแน่ๆ การค้นพบข้อเท็จจริงของ
sparkling 1􏿿ส่วนผสมน้ำผึ้งกับอบเชย
สามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก
sparkling 1􏿿 น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน
ยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก) ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มี
ผลข้างเคียงใดๆ
sparkling 1􏿿ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่า
แม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่
เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน
sparkling 1􏿿หนังสือ World Weekly
News ของแคนาดา
ประจำวันที่ 17 มกราคม 1995 ได้บอกถึงสรรพคุณของ
น้ำผึ้งกับอบเชยว่ารักษาโรคใด
ได้บ้าง ซึ่งเป็นผลการวิจัยของนัก
วิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกดังนี้ :-

red check mark􏿿01. โรคหัวใจ
(Heart Diseases)
sparkling 1􏿿นำน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชย
แล้วป้ายขนมปังแทนเยลลี่
และแยม ทานเป็นประจำเป็น
อาหารเช้าจะช่วยลดคอเรสเตอรอล
ในเส้นเลือด
และช่วยลดอาการหัวใจวาย
สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้
เป็นประจำก็จะทำให้อาการ
เจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา
ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำ
ดังกล่าวมาก็จะทำให้ระบบหายใจ
ดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา สถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่ง
ใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ได้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า sparkling 1􏿿เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาด
ความยืดหยุ่นและอุดตันได้ง่าย sparkling 1􏿿น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้น
ฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้

red check mark􏿿02. โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis)
ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูก
อาจจะรับประทานเป็นประจำ
sparkling 1􏿿โดยชงน้ำผึ้ง 2 ช้อน
กับผงอบเชย 1 ช้อนชา
ในน้ำร้อนขนาดถ้วยกาแฟทุกเช้า
และเย็นก็จะทำให้อาการปวด
ทรมานหายได้
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย
โคเปนฮาเกนพบว่าหมอให้คนไข้
รับประทาน
sparkling 1􏿿น้ำผึ้งขนาด2ช้อนโต๊ะกับ
ผงอบเชยขนาดครึ่งช้อนชา ก่อนอาหารเช้า
พบว่าในเวลา 1 สัปดาห์
คนไข้จำนวน 73 คนจาก
จำนวนทั้งหมด 200 คน ที่เข้าร่วมโครงการทดลอง
มีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ 1 เดือน
ปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดิน
ไม่ได้สามารถเดินได้
เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด

red check mark􏿿03. โรคกระเพาะปัสสาวะ
ติดเชื้อ (Bladder Infections)
sparkling 1􏿿ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
ชงในน้ำอุ่น 1 แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะ
ปัสสาวะ

red check mark􏿿04. คอเลสเตอรอล
(Cholesterol)
sparkling 1􏿿 ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
กับผงอบเชย 3 ช้อนชา
ในน้ำชา ขนาด 16 ออนซ์ ให้คนไข้ที่มีระดับคอเลส
เตอรอลสูงดื่ม ปรากฏว่าภาย
ในเวลา 2 ชั่วโมง ระดับ
คอเลสเตอ รอลลดลง
10 เปอร์เซ็นต์
ดังที่ได้กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วย
เป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่ม
วันละ 3 เวลา คอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้
ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้
กล่าวว่าการดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิ์
พร้อมอาหารเป็นประจำทุกวัน
ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

red check mark􏿿05. ไข้หวัด (Colds)
สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจาก
ไข้หวัดทั่วไป หรือไข้หนัก
sparkling 1􏿿ควรชงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย ¼ ช้อน
ทุกวัน เป็นเวลา 3 วัน ก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและ
จมูกโล่ง

red check mark􏿿06. อาการท้องอืด
(Upset Stomach)
sparkling 1􏿿ให้รับประทานน้ำผึ้งผสม
ผงอบเชยจะช่วยให้
อาการปวดท้องทุเลา และยังช่วยลดอาการแผล
ในกระเพาะอาหารได้ด้วย

red check mark􏿿07. ลมในกระเพาะ (Gas)
sparkling 1􏿿ผลการศึกษาในอินเดียและ
ญี่ปุ่นพบว่าถ้ารับประทาน
น้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลด
ลมภายในกระเพาะอาหารลงได้

red check mark􏿿08. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immune System)
sparkling 1􏿿การรับประทานน้ำผึ้งผสม
ผงอบเชยประจำวันจะช่วยเพิ่ม
sparkling 1􏿿ภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้ง
sparkling 1􏿿มีวิตามินหลายชนิดและ
ธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก
การรับประทานน้ำผึ้งประจำ
ยังเพิ่มเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้าน
เชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้

red check mark􏿿09. อาหารไม่ย่อย
(Indigestion)
sparkling 1􏿿โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้ง
ขนาด 2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร
จะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
และช่วยให้การย่อยอาหารเมื้อ
หนักได้ดี

red check mark􏿿10. ไข้หวัดใหญ่
(Influenza)
sparkling 1􏿿นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์
น้ำผึ้งประกอบด้วยสารอาหาร
ธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่
และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจาก
ไข้หวัดใหญ่

red check mark􏿿11. ยาอายุวัฒน
อาหารที่มีพลังงานสูง
(Longevity)
sparkling 1􏿿การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับ
ผงอบเชยเป็นประจำ
ช่วยชะลอความชรา
sparkling 1􏿿วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อน น้ำเปล่า 3 ถ้วย แล้วนำไปต้มเหมือนชา ให้ดื่ม ¼ ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง
นุ่มมีน้ำมีนวล
ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปีให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี

red check mark􏿿12. แก้สิว (Pimple)
sparkling 1􏿿 ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 1 ช้อนชา
ให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิว
ก่อนนอนแล้วล้างออกในวันรุ่งขึ้น
ด้วยน้ำอุ่น
ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์
ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้

red check mark􏿿13. ผิวหนังติดเชื้อ
(Skin Infections)
sparkling 1􏿿ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชย
ปริมาณเท่าๆ กันทาบริเวณที่ติดเชื้อ sparkling 1􏿿จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง
(eczema)กลากและโรคผิวหนัง
ชนิดต่างๆ ได้

red check mark􏿿14. ลดน้ำหนัก
(Weight Loss)
sparkling 1􏿿ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชย
ในน้ำร้อน ทุกๆเช้าก่อนอาหาร
ครึ่งชั่วโมงขณะท้องว่าง
และก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนัก แม้คนที่อ้วนมากๆ
sparkling 1􏿿เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้
จะช่วยไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกาย

red check mark􏿿15. โรคมะเร็ง (Cancer)
sparkling 1􏿿 ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและ
ออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้พบว่า sparkling 1􏿿ผู้ที่เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร
และมะเร็งกระดูกในขั้นมากๆ แล้วสามารถรักษาได้สำเร็จ
ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็ง
ดังกล่าว
sparkling 1􏿿ควรดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมผงอบเชย 1 ช้อนชา
เป็นประจำ 3 เวลา ประมาณ 1 เดือน

red check mark􏿿16. แก้อาการอ่อนเพลีย
(Fatigue)
sparkling 1􏿿 ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าน้ำตาล
ในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการ
เพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยที่รับประทานน้าผึ้งกับ
ผงอบเชยในปริมาณเท่าๆ กัน ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าและมี
ร่างกายที่ยืดหยุ่น
sparkling 1􏿿ดร. มิลตัน ที่ศึกษาเรื่องนี้
กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ
ในแก้วหนึ่งแก้ว โรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำ
หลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ
15.00 น.เมื่อร่างกายเริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมี
ชีวิตชีวาใน 1 สัปดาห์

red check mark􏿿17. ขจัดลมหายใจมีกลิ่น
(Bad Breath)
sparkling 1􏿿 ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า
สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ
sparkling 1􏿿กลั้วคอด้วยส่วนผสมของ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
กับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน

red check mark􏿿18. สูญเสียการได้ยินกลับคืนมา (Hearing Loss)
sparkling 1􏿿การรับประทานน้ำผึ้ง และผงอบเชยผสมกันในปริมาณ
เท่าๆ กันเป็นประจำทุกเช้า
และก่อนนอนจะช่วยให้การได้
ยินกลับมาเหมือนเดิม

sparkling 1􏿿วค.15 กันยายน 2557
อาจารย์นิพนธ์อายุ 83 ปีแล้ว
ท่านดื่มเป็นประจำ
สุขภาพแข็งแรงมากค่ะ
วิจัยล่าสุดพบว่า
ลดความดันได้ด้วย
sparkling 1􏿿sparkling 1􏿿sparkling 1􏿿sparkling 1􏿿sparkling 1􏿿sparkling 1􏿿sparkling 1􏿿sparkling 1􏿿

04/07/2016

สาเหตุเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย & สมองเสื่อม
กับวิธีป้องกันสมองเสื่อม

สาเหตุหลักๆที่คนเข้าใจเกี่ยวกับว่าทำไมเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยก็คือ การที่มีอะไรบ้างอย่างไปกดทับเส้นเลือดแต่ยังไม่อีกหลายสาเหตุ ยกตัวอย่าง

-กระดูกคอข้อที่หนึ่งเคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
-กินอาหารที่ผัดน้ำมันบ่อยๆเป็นเวลานานแล้วเกิดไขมันเกาะตัวเหนียวสะสมในลำ ไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงได้น้อยเพราะระบบดูดซึมเสีย และถุงน้ำดีข้น
-มีพยาธิในลำไส้ หรือพยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย
-การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลือดไม่เลี้ยงสมอง
-ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอจะเกิดอาการหลายอย่างจนหน้าตกใจ โดยจะมีอาการต่อไปนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ปวดหัวซีกเดียว ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย วิตกกังวล โดยอาจมีอาการหลายอย่างหรือที่ละอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆกัน

แต่การที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยนั่นสมองจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนการที่เลือดไปเลี้ยงสมองแต่ละส่วนอาการผิดปกติจะแตกต่างกันออกไปโดย
-ส่วนหน้าก็ขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นเหตุให้เป็นต้อ จอประสาทเลือน ฉี่บ่อย
-ส่วนกลางถ้าขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นเหตุให้มีอาการง่วงนอนบ่อยหรือง่วงนอนทั้งวัน เริ่มจำไม่ค่อยได้ประมาณว่าความจำในอดีตจะจำได้ดีแต่เรื่องที่เพิ่งพบมาจะจำ ไม่ค่อยได้
-ส่วนหลังถ้าขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นเหตุให้เดินไม่ค่อยไหว แขนขาไม่มีแรง

สมองเสื่อม

สาเหตุของสมองเสื่อมอาจเกิดมาจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เพราะกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำติดต่อกันหลายปี น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้ทำให้ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองไม่ ได้

วิธีดูแลสมอง
1.พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
2.กินอาหารเช้าระหว่าง 07.00-09.00 น. เพื่อให้เลือด รับสารอาหารไปเลี้ยงสมอง และกินโยเกิร์ต-นมสด-น้ำผึ้ง-มะนาว ระหว่างเวลา 13.00-15.00 น. เพื่อล้างลำไส้เล็ก และเปลี่ยนขยะ ในลำไส้เล็กให้เป็นบี12 แล้วส่งไปบำรุงสมอง
3.ล้างระบบดูดซึมด้วยสูตรมะละกอดิบต้มกับน้ำชงชา
4.ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสด ต้มกับพุทราจีนแห้ง ใช้น้ำดื่มเพื่อล้างไขมัน
5.กินน้ำกระชาย แล้วกินน้ำใบบัวบกตามจะส่งบำรุงสมองได้โดยตรง
6.เป็นวิธีพื้นฐานที่สุดคือ การออกกำลังกาย
สำหรับคนที่ไม่เคยล้างลำไส้ให้ใช้สูตร มะละกอดิบแล้วกินเป็นประจำ

วิธีป้องกันสมองเสื่อม
แบมือใดก็ได้ซ้ายหรือขวาก็ได้
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วชี้ 2 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วกลาง 1 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วนาง 3 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วก้อย 4 ครั้ง
ทำอย่างนี้ไปกลับนับ1ทำ50ครั้ง เมื่อทำครบร่างกายจะสร้างพลังงานแล้วจะหลั่งสาร เอนโดรฟิน
คุณรู้หรือไม่......การฝึกหายใจช้าๆลึกก็จะช่วยกระตุ้นเซลล์สมองนึกถึง เรื่องดีๆที่เคยทำแต่ในทางกลับกันถ้าหายใจเร็วๆถี่สมองจะคิดแต่เรื่องไม่ดี ที่เจอหรือทำลงไป

16/06/2016

ฟอกไต ไปให้ไกลๆเลย
ใบยอ มะตูม รักษาไตได้ดี

มาช่วยกันแชร์เอาบุญกุศลกันนะครับ ได้สูตรยาสมุนไพรแก้โรคไตวายโดยไม่ต้องฟอกไตจากคนเมืองเหนือซึ่งเป็นโรคไตมานานหลายปี ต้องไปฟอกไตอาทิตย์ละ 3 วัน ลำบากทั้งคนป่วย ลำบากทั้งลูกหลาน คนในครอบครัว ทั้งค่ารถค่าเดินทางจากบ้าน ไปโรงพยาบาล

เมื่อ 8 เดือนที่แล้วมีคนแนะนำว่า ให้ลองเอา ใบยอแก่ๆใบใหญ่7-8ใบกับแผ่นมะตูมที่ตากแห้ง หริอร้านยาแผนไทยประมาณ 8-10แว่น แล้วใส่หม้อต้มให้สีออกเป็นสีน้ำชาเอามากินแทนน้ำ ลุงแกกินอยู่ 3 เดือน

วันที่แกบอกสูตรยานี้แกพึ่งกลับจากโรงพยาบาล แกโชว์แขนที่เจาะเลือดมาให้ดู และพูดว่าหมอบอกว่าไม่ต้องมาฟอกไตแล้ว

จึงขอบอกต่อให้คนที่เป็นโรคไตเรื้อรังหรือพึ่งเริ่มเป็น ลองกินสมุนไพรสูตรนี้ดู หาได้ง่ายหรือจะหาซื้อตามร้านขายสมุนไพรราคาก็ไม่แพง กินง่ายเหมือนกินน้ำชาเลย

เมื่อ3 เดือนที่แล้วผมตื่นนอนตอนเช้า ก้าวขาลงจากที่นอนรู้สึกว่าขาชาทั้งสองข้างเมื่อก้มมองดูเห็นขาบวมอูมขึ้นมาแบบหลังเต่า ลูกพาส่งโรงพยาบาล หมอเจาะเลือดตรวจทันที แล้วบอกว่าไตเสื่อม ให้ควบคุมอาหาร อย่ากินรสจัดเปรี้ยวหวานมันเค็ม โดยเฉพาะรสเค็มห้ามเด็ดขาดและให้กินไข่ขาวนึ่งหรือลวก3มื้อ(ไข่ขาวล้วนๆหาซื้อที่ Cp มาร์ทหรือร้าน Golden Pleac) แต่หมอไม่ได้จัดยาโรคไตให้เลย บอกว่าไม่มียารักษาก็เลยงง

พอดีมาพบคุณลุงคนนี้ ก็เลยลองต้มยาสูตรนี้กินดูกินได้ 2 เดือนไปเจาะเลือด 2 ครั้ง ครั้งแรกหมอนัดเจาะเลือด 4 อาทิตย์ต่อ1ครั้ง ตอนนี้หมอนัดเป็น 4 เดือนต่อครั้ง แล้วเพราะว่าไตทำงานได้ดี ผลค่าเสื่อมน้อยมากจนหมองง และถามว่ากินยาอะไรมา

ผมก็เล่าให้ฟังตามนี้ ถ้าใครเชื่อก็ลองเอามาต้มกินดูนะครับ ถ้าหายก็ถือว่าเราเคยร่วมบุญกันมาแต่ชาติปางก่อนมาช่วยเหลือกันในชาตินี้ครับ ดีกว่าไปทดลองโน่นนี่แล้วไม่ได้ผล สุดท้ายต้องฟอกไต ตลอดชีวิตจนไตเสื่อมไตวายและเสียชีวิตในที่สุด สูตรนี้ผมลองกินเองแล้วมีผลดีจริง

จึงขอบอกท่านที่เป็นโรคนี้ให้หายจากการทรมาน ผลแห่งความดีนี้ขอมอบให้คุณลุงที่ได้แนะนำ เราขอให้ความดีนี้จงมีพระคุ้มครองปกปักรักษาให้คุณลุงและผู้ป่วยทุกคน จงหายจากโรคภัยนี้และให้มีอายุมั่นขวัญยืนนานตลอดไป อีกหลายๆปีนะครับขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้เสียสละเวลามาดูโพสต์นี้ครับสวัสดีครับ

ขอขอบคุณข้อมูล ห้องพระชาญชัยมงคล ไพรบูลย์ บุญหล้า
ภาพคัดลอกอินเทอร์เน็ต

#ศูนย์รวมความรู้การเกษตร

01/06/2016

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ผมอายุ 42 ปีครับ น้ำหนัก 72 กก. สูง 165 ซม. มีปัญหาปวดข้อเข่าบ่อยๆ ผลตรวจสุขภาพประจำปีอย่างที่ส่งมาให้คุณหมอนี้ คือทุกปีบริษัทก็ให้ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจแล้วไม่มีอะไร ก็จบกันไปปีต่อปี โดยที่ผมเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากไปกว่าที่หมอบอกว่า โอ.เค. คือผมอยากจะเข้าใจผลการตรวจให้มากกว่านี้ เบื่อที่จะถามหมอแค่ว่าปกติใช่ไหมครับหมอ แล้วหมอก็บอกว่าไม่มีอะไรนอกจากไขมันสูงเล็กน้อย แล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี ผมอยากจะรู้ปัญหาสุขภาพของผมจริงจัง ผมอยากให้คุณหมอสันต์ช่วยสอนวิธีแปลผลการตรวจเลือดนี้ให้ด้วย คือผมอยากรู้ความหมายของแต่ละค่า ว่าผมจะเอาความหมายของมันไปใช้ประโยชน์ในการดูแลตัวเองได้อย่างไรครับ

ขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

Blood Chemistry
FBS 108 (ไม่เกิน 125 mg/dl)
HbA1C 6.1 (ไม่เกิน 6.5%)
BUN 23 (8-24 mg/dL)
Cr 1.5 (0.7-1.2 mg/dL)
eGFR 73 (มากกว่า 90 ml/min/1.73 sqm)
Uric acid 8.4 (3.4 – 7.0)
Triglyceride 218 ( ไม่เกิน 200)
HDL-cholesterol 37 (มากกว่า 40 mg/dl )
LDL-cholesterol 133 (ไม่เกิน 130 mg/dL)
Total Cholesterol 214 (ไม่เกิน 240 mg/dL)
AST (SGOT) 55 (ไม่เกิน 40 IU/L)
ALT (SGPT) 42 (ไม่เกิน 34 IU/L)
Alkaline Phosphatase 57 (ไม่เกิน 128 mg/dL)
GTT 84 (78 U/L)
HBs Ag Negative
Anti HBs Positive

……………………………

ตอบครับ

จดหมายแบบว่าส่งผลการตรวจร่างกายมาให้ช่วยดูเนี่ย มีแยะเลย ผมเคยสอนการแปลผลการตรวจนับเม็ดเลือด (CBC) ไปแล้ว เคยสอนแปลผลการวิเคราะห์ปัสสาวะ (UA) ไปแล้ว วันนี้ผมจะรวบยอดสอนการแปลผลการตรวจเคมีในเลือดให้ฟัง ท่านที่ถามมาคล้ายกันแต่ว่าผมไม่ได้ตอบก็ขอให้เอาวิธีแปลผลที่คุยกันวันนี้ไปแปลผลการตรวจของท่านเอาเองก็แล้วกัน

1.. Blood chemistry แปลตรงๆว่าเคมีของเลือด หมายถึงระดับของสารต่างๆที่อยู่ในเลือดซึ่งก่อปฏิกิริยาเคมีได้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสารเหล่านี้ บ่งบอกไปถึงว่าจะมีโรคอะไรเกิดขึ้นในร่างกายบ้าง

2.. FBS = ย่อมาจาก fasting blood sugar แปลว่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังการอดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เป็นการตรวจสถานะของโรคเบาหวานโดยตรง คือคนปกติค่านี้จะต่ำกว่า 100 mg/dL ของคุณได้ 108 ถือว่าอยู่ในย่านใกล้จะเป็นเบาหวาน ถ้าของใครสูงเกิน 125 ก็ถือว่าเป็นเบาหวานแล้วอย่างบริบูรณ์

3.. HbA1C = ย่อมาจาก hemoglobin A1C แปลว่าระน้ำตาลสะสมเฉลี่ยสามเดือนในเม็ดเลือดแดง มีความหมายคล้ายๆกับค่า FBS คือโดยคำนิยามถ้าน้ำตาลสะสมเฉลี่ยของของใครสูงกว่า 6.5% ก็ถือว่าเป็นโรคเบาหวานไปแล้วอย่างบริบูรณ์ ค่า HbA1C นี้ดีกว่าค่า FBS ในสองประเด็น คือ

3.1 ทำให้เราตรวจคัดกรองเบาหวานได้ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องอดอาหารมาล่วงหน้า
3.2 การที่มันสะท้อนค่าน้ำตาลในเลือดในช่วงเวลาสามเดือนย้อนหลัง จึงตัดปัญหาระดับน้ำตาลวูบวาบในช่วงหนึ่งวันก่อนการตรวจ คือคนไข้บางคนที่จะทำตัวดีเฉพาะสองสามวันก่อนไปหาหมอเพื่อให้น้ำตาลในเลือดดูดี พอคล้อยหลังหมอตรวจเสร็จก็ออกมาสั่งไอติมมากินเป็นกะละมังให้หายอยาก คนไข้แบบนี้การตรวจ HbA1C จะทำให้ทราบสถานะที่แท้จริงของเบาหวานดีกว่า

4.. BUN = ย่อมาจาก blood urea nitrogen แปลว่าไนโตรเจนในรูปของยูเรีย ตัวยูเรียนี้เป็นเศษของเหลือจากการเผาผลาญโปรตีนที่ตับ ซึ่งต้องถูกกำจัดทิ้งโดยไต การวัดระดับค่าของ BUN เป็นตัวบ่งบอกว่าเลือดไหลไปกรองที่ไตมากพอหรือไม่ ในภาวะที่เลือดไหลไป่กรองที่ไตน้อยลง เช่นในภาวะร่างกายขาดน้ำ หรือสูญเสียเลือดไปทางอื่นเช่นเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือในภาวะช็อก ระดับของ BUN จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าปกติของ BUN คือ 8-24 ของคุณวัดได้ 23 ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ อย่างน้อยก็บ่งบอกว่าเลือดยังไหลไปกรองที่ไตดีอยู่ ร่างกายไม่ได้อยู่ในภาวะขาดน้ำ หรือเสียเลือด

5.. Cr = เขียนเต็มว่า Creatinine แปลว่าเศษเหลือจากการสลายตัวของกล้ามเนื้อ คือกล้ามเนื้อของคนเรานี้มันสลายตัวและสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลา คนมีกล้ามมากก็สลายตัวมากสร้างมาก Cr ซึ่งเป็นเศษซากที่สลายตัวออกมาจะถูกไตขับทิ้งไป แต่ในกรณีที่ไตเสียการทำงาน เช่นเป็นโรคไตเรื้อรัง ไตจะขับ Cr ออกทิ้งไม่ทันกับที่กล้ามเนื้อสลายออกมา ทำให้ระดับ Cr ในเลือดสูงผิดปกติ ค่าปกติของมันคือ 0.7-1.2 mg/dL แต่ของคุณได้ตั้ง 1.5 ซึ่งสูงผิดปกติ แสดงว่าไตของคุณเริ่มจะทำงานไม่ดีแล้ว หรือเริ่มเป็นโรคไตเรื้อรังแล้ว ตรงนี้ “เป็นเรื่อง” ที่คุณจะต้องติดตามเจาะลึกต่อไป

6.. eGFR = เรียกสั้นๆว่า จีเอฟอาร์. ย่อมาจาก estimated glomerular filtration rate แปลว่าอัตราการไหลของเลือดผ่านตัวกรองของไตในหนึ่งนาที ค่านี้ได้จากการคำนวณเอาจาก Cr กับอายุ และชาติพันธุ์ของเจ้าตัว ห้องแล็บที่ยังไม่ทันสมัยจะไม่รายงานค่านี้ ถ้าเจ้าตัวอยากทราบค่านี้ต้องเอาค่า Cr ที่ได้ไปอาศัย GFR calculator ตามเว็บในเน็ทคำนวณให้ ค่าจีเอฟอาร์.นี้มีประโยชน์มากในแง่ที่ใช้แบ่งระดับความรุนแรงของคนที่ Cr ผิดปกติอย่างคุณนี้ว่ามีความรุนแรงเป็นโรคไตเรื้อรังระยะไหนของ 5 ระยะ กล่าวคือ

ระยะที่ 1 ตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตแล้ว แต่ไตยังทำงานปกติ (จีเอฟอาร์ 90 มล./นาที ขึ้นไป)
ระยะที่ 2 ตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตแล้ว และไตเริ่มทำงานผิดปกติเล็กน้อย (จีเอฟอาร์ 60-89 มล./นาที)
ระยะที่ 3 ไตทำงานผิดปกติปานกลาง ไม่ว่าจะตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตหรือไม่ก็ตาม (จีเอฟอาร์ 30-59 มล./นาที)
ระยะที่ 4 ไตทำงานผิดปกติมาก (จีเอฟอาร์ 15-29 มล./นาที)
ระยะที่ 5. ระยะสุดท้าย (จีเอฟอาร์ต่ำกว่า 15 หรือต้องล้างไต)

จะเห็นว่าแม้คุณจะยังไม่มีพยาธิสภาพที่ไต (หรือมีแล้วก็ไม่รู้เพราะไม่ได้ตรวจ) แต่จีเอฟอาร์ของคุณคำนวณได้ 57 ซึ่งต่ำกว่า 60 จึงจัดว่าคุณเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 แล้ว ตรงนี้มีนัยสำคัญ ถ้ามีเวลาตอนท้ายค่อยคุยกันว่าควรต้องทำอะไรต่อไป ตอนนี้ขอสอนวิธีแปลผลเคมีของเลือดให้จบก่อนนะ

7.. Uric acid ก็คือกรดยูริกที่เป็นต้นเหตุของโรคเก้าท์นั่นแหละ ค่าปกติของกรดยูริกในเลือดคือ 3.4-7.0 ของคุณได้ 8.4 ก็คือสูงผิดปกติ เนื่องจากคุณไม่เคยมีอาการของเก้าท์ (เจ็บข้อ ข้อบวมแดง) จึงเรียกคนแบบคุณนี้ว่าเป็นคนที่มีกรดยูริกสูงโดยไม่มีอาการ (asymptomatic hyperuricemia) ซึ่งยังไม่ถือเป็นภาวะที่ต้องกินยารักษาเก้าท์แต่อย่างใด

8..Triglyceride คือไขมันไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันก่อโรคชนิดหนึ่งในร่างกายเรา ระดับที่สูงจนต้องใช้ยาคือเกิน 200 mg/dl ของคุณได้ 218 ก็ถือว่าเป็นโรคไขมันในเลือดผิดปกติชนิดไตรกลีเซอไรด์สูง

9.. HDL-cholesterol เรียกสั้นๆว่าเอ็ช.ดี.แอล. เรียกอีกอย่างว่า “ไขมันดี” เพราะมันเป็นไขมันที่ดึงไขมันที่พอกหลอดเลือดออกไปจากหลอดเลือด ดังนั้นยิ่งมีเอ็ช.ดี.แอล.มากก็ยิ่งดี คนปกติควรมีเอ็ขดีแอล.เกิน 40 mg/dl ขึ้นไป ของคุณมี 37 ก็ถือว่าต่ำผิดปกติ หมายความว่าเป็นคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมาก

10.. LDL-cholesterol เรียกสั้นๆว่าแอลดีแอล. หรือเรียกอีกอย่างว่า “ไขมันเลว” เพราะมันเป็นตัวไขมันที่พอกอยู่ที่ผนังหลอดเลือดและเป็นไขมันก่อโรคโดยตรง การจะตัดสินว่าคนไข้คนไหนควรกินยาลดไขมันเมื่อไหร่ก็ตัดสินกันจากระดับแอลดีแอล.นี่แหละ โดยเทียบกับความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือด (cardiac risk stratification) ที่แต่ละคนมีเป็นทุนอยู่แล้ว กล่าวคือ

ถ้ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่ำ (low cardiac risk) เช่นอายุไม่มาก ไขมันไม่สูง ความดันไม่สูง ไม่สูบบุหรี่ ก็จะให้เริ่มทานยาลดไขมันเมื่อ LDL มากกว่า 160
ถ้ามีความเสี่ยงปานกลาง (moderate cardiac risk) เช่นมีปัจจัยเสี่ยงหลักเกินสองอย่างขึ้นไป จะให้เริ่มทานยาลดไขมันเมื่อ LDL มากกว่า 130
ถ้ามีความเสี่ยงสูง (high cardiac risk) หรือเป็นโรคหัวใจ หรือเบาหวาน หรืออัมพาตแล้ว จะให้เริ่มทานยาลดไขมันเมื่อ LDL มากกว่า 100

ในกรณีของคุณนี้ น่าเสียดายที่คุณไม่ได้บอกความดันเลือด สถานะของการสูบบุหรี่ และประวัติการตายของบรรพบุรุษมา ผมจึงประเมินระดับชั้นความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือดให้คุณไม่ได้ แต่หากดูจากดัชนีมวลกายที่สูงเกินปกติ (26) น้ำตาลที่ค่อนไปทางสูง ไตรกลีเซอไรด์ที่สูงผิดปกติ และไขมันดีที่ต่ำมาก ผมเดาว่าระดับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดของคุณต้องเป็นระดับปานกลางขึ้นไปแน่นอน นั่นหมายความว่า ณ จุดนี้ คุณต้องรีบรีดไขมันเลวออกจากตัวให้เหลือต่ำกว่า 130 ให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ต้องทานยาลดไขมัน

11. Total Cholesterol หมายถึงโคเลสเตอรอลรวมในร่างกาย เป็นค่ารวมของไขมันสามอย่าง กล่าวคือ

โคเลสเตอรอลรวม = ไขมันดี (HDL) + ไขมันเลว (LDL) + หนึ่งในห้าของไขมันไตรกลีเซอไรด์

สมัยก่อนเราใช้ค่าโคเลสเตอรอลรวมตัวนี้ตัวเดียวในการประเมินไขมันในเลือด จึงได้กำหนดค่าปกติไว้ว่าถ้าสูงเกิน 240 mg/dl จึงจะถือว่าสูงและเริ่มใช้ยา แต่สมัยนี้เราไม่ค่อยจะดูค่าโคเลสเตอรอลรวมกันเท่าไหร่แล้ว เราดูเจาะลึกลงไปถึงไขมันแต่ละชนิด และตัดสินใจใช้หรือไม่ใช้ยาจากระดับไขมันเลว (LDL) โดยไม่สนใจโคเลสเตอรอลรวมแล้ว เพราะค่านี้มักชักนำให้เข้าใจผิด ยกตัวอย่างเช่นตัวคุณนี้ถ้าดูค่าโคเลสเตอรอลรวมจะเห็นว่าได้ 214 ซึ่งก็แค่สูงเกินพอดีไปบ้างแต่ไม่สูงถึงกับต้องใช้ยา แต่ว่าจริงๆแล้วเป็นความเข้าใจผิด เพราะกรณีชองคุณนี้ค่าโคเลสเตอรอลรวมดูต่ำอยู่ได้เพราะคุณมีไขมันดี (HDL) ต่ำกว่าปกติ เลยพลอยทำให้ค่าโคเลสเตอรอลรวมต่ำไปด้วย ทั้งๆที่คุณเป็นคนมีไขมันเลวอยู่ในระดับสูงถึงขั้นต้องใช้ยาแล้ว

12.. AST(SGOT) = ย่อมาจาก aspartate transaminase หรือชื่อเก่าว่า serum glutamic oxaloacetic transaminase เป็นเอ็นไซม์ที่ปกติอยู่ในเซลของตับ ซึ่งจะไม่ออกมาในเลือด หากมีเอ็นไซม์ตัวนี้ออกมาในเลือดมากก็แสดงว่าเซลตับกำลังได้รับความเสียหาย เช่นอาจจะมีตับอักเสบจากการติดเชื้อหรือจากสารพิษ หรือแม้กระทั้งจากแอลกอฮอล์ และไขมันแทรกเนื้อตับ ค่าปกติของ AST คือไม่เกิน 40 IU/L แต่ของคุณได้ 55 ก็ถือว่าสูงกว่าปกติ อาจมีเหตุอะไรสักอย่างให้เซลตับบาดเจ็บ กรณีของคุณนี้เป็นคนน้ำหนักเกิน ไขมันในเลือดสูง สาเหตุอาจเกิดจากตับอักเสบจากไขมันก็ได้ นอกจากนี้เอ็นไซม์ตัวนี้ยังมีอยู่ในอวัยวะอื่นเช่น หัวใจ ไต สมอง ด้วย จึงไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าถ้าเอ็นไซม์ตัวนี้สูงต้องเป็นเรื่องของตับเท่านั้น

13.. ALT (SGPT) = ย่อมาจาก alamine amintransferase หรือชื่อเก่าว่า serum glutamic pyruvic transaminase เป็นเอ็นไซม์ที่ปกติอยู่ในเซลของตับเช่นเดียวกับ AST แต่ว่ามีความจำเพาะเจาะจงกับตับมากกว่า AST เสียอีก และ ALT นี้จะออกมาในเลือดเมื่อเซลตับได้รับความเสียหายเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีเนื้องอกอุดตันทางเดินน้ำดี ค่าปกติของ ALT คือไม่เกิน 34 IU/L แต่ของคุณได้ 57 ก็ถือว่าสูงกว่าปกติอยู่ดี ผมว่าคุณจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ไม่เป็นมิตรกับเซลตับ ซึ่งต้องค้นหากันต่อไปว่ามันคืออะไร

14.. Alkaline Phosphatase = เป็นเอ็นไซม์ที่อยู่ในเซลของตับ ทางเดินน้ำดี และของกระดูกเป็นส่วนใหญ่ ความหมายของเอ็นไซม์ตัวนี้หากมันสูงขึ้นคืออาจจะมีปัญหาที่ทางเดินน้ำดี ตับ หรือกระดูก ค่าปกติในผู้ชายผู้ใหญ่ไม่เกิน 128 U/L ของคุณได้ 57 ก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ

15.. GTT = ย่อมาจาก gamma glutamyl transpeptidase เป็นเอ็นไซม์ในเซลตับและทางเดินน้ำดีเช่นเดียวกับ ALT มีความไวต่อความเสียหายของเซลตับมากกว่า แต่ขาดความจำเพาะเจาะจง หมายความว่าเมื่อ GTT สูงจะเกิดจากอะไรก็ได้ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องของตับ เช่นอาจมีปัญหาที่ตับอ่อน ที่หัวใจ ที่ปอด หรือแม้กระทั่งเป็นเบาหวาน อ้วน หรือดื่มแอลกอฮอล์ ก็ทำให้ GTT สูงได้ สารตัวนี้จึงไม่มีประโยชน์ในการคัดกรองโรคเลย อย่างของคุณก็สูงนะครับ คือค่าปกติเขาไม่เกิน 78 U/L แต่ของคุณได้ 84 เข้าใจว่าคงเป็นเพราะคุณอ้วนนั่นละมัง

16.. HBs Ag = ย่อมาจาก hepatitis B surface antigen แปลว่าตัวไวรัสตับอักเสบบี.ซึ่งตรวจจากโมเลกุลที่ผิวของมัน ถ้าตรวจได้ผลบวกก็แปลว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี.อยู่ในตัว ของคุณตรวจได้ผลลบ ก็แปลว่าไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี.

17.. Anti HBs = ย่อมาจาก antibody to hepatitis B surface antigen แปลว่าภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบี. คุณตรวจได้ผลบวกก็แปลว่าคุณมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสบี.แล้ว ไม่ต้องไปแสวงหาการฉีดวัคซีนญ

เอาละ ได้เข้าใจความหมายของสารเคมีแค่ละตัวแล้ว คราวนี้ลองมาประเมินภาพรวมสุขภาพของคุณนะ ว่าจากผลการตรวจสุขภาพครั้งนี้ คุณมีปัญหาซึ่งผมไล่เลียงจากเรื่องใหญ่ลงไปหาเรื่องเล็ก ดังนี้

ปัญหาที่ 1. เป็นโรคไตเรื้อรัง ระยะที่ 3
ปัญหาที่ 2. ไขมันในเลือดสูงถึงระดับต้องรักษา
ปัญหาที่ 3. ใกล้จะเป็นเบาหวาน
ปัญหาที่ 4. ดัชนีมวลการสูงเกินพอดี (พูดง่ายๆว่าอ้วน)
ปัญหาที่ 5. มีเอ็นไซม์ของตับสูงโดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุ
ปัญหาที่ 6. กรดยูริกสูงโดยไม่มีอาการ

โอ้.. อายุแค่ 42 ปีเอง ปัญหาแยะเหมือนกันนะเนี่ย แต่คุณไม่ใช่คนพิเศษที่แย่กว่าคนอื่นมากมายหรอกครับ คนไทยวัยคุณนี้ ซึ่งพวกการตลาดเขาเรียกว่า Generation X หรือเรียกสั้นๆว่า Gen X คือมีอายุประมาณสามสิบกว่าไปถึงห้าสิบ คนไทยรุ่นนี้เจาะเลือดมาดูเถอะครับ สิทธิการิยะท่านว่าจะไม่ได้ตายดี อุ๊บ..ขอโทษ ผมปากเสียอีกละ พูดใหม่ เจาะเลือดมาดูเถอะ โครงสร้างของสารเคมีในเลือดแตกต่างจากคนไทยรุ่นก่อนนั้นราวกับเป็นมนุษย์คนละพันธ์ มีงานวิจัยหลายรายการมากที่สนับสนุนคำพูดของผม รวมทั้งงานวิจัยของผมเองที่ศึกษาเคมีของเลือดคนสุขภาพดีอายุ 40+ จำนวนสามพันกว่าคนที่มาตรวจสุขภาพที่รพ.พญาไท 2 พบว่าเกินครึ่งมีไขมันในเลือดผิดปกติถึงระดับที่ต้องใช้ยา ประมาณหนึ่งในสามเป็นความดันเลือดสูง โดยที่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัว และหนึ่งในสามใกล้จะเป็นเบาหวาน และมีดัชนีมวลกายเฉลี่ยสูงเกินพอดี คือเป็นคนไทยรุ่นที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคเรื้อรังอยู่เพียบ..บ..บ จนสามารถคาดเดาได้เลยว่าคนวัยนี้จะจบชีวิตด้วยการป่วยเป็นโรคเรื้อรังอันได้แก่โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง (อัมพาต) ความดันเลือดสูง โรคไต โรคเบาหวาน เป็นต้น จนผมอยากจะเปลี่ยนชื่อรุ่นจาก Gen X เป็น Gen Sick แทน เพราะว่ายังไม่ทันแก่ก็มีโรคแพลมออกมาให้เห็นเพียบแล้ว เมื่อหลายเดือนก่อนมีหมอน้อยคนหนึ่งมาปรึกษาว่าจะไปฝึกอบรมทางด้านผ่าตัดหัวใจดีไหม อนาคตการทำมาหากินจะฝืดเคืองไหม ผมรีบตอบว่า

“เอาเลยน้อง พี่ดูไขมันในเลือดของคนไข้วัยสี่สิบห้าสิบวันนี้แล้ว เอ็งจบแล้วจะมีงานทำล้นมือไปอีกอย่างน้อยยี่สิบปี”

ขอโทษ เผลอนินทา Gen X ไปซะหลายกระบุง กลับมาที่เรื่องของคุณดีกว่า เมื่อเรียงลำดับปัญหาสุขภาพได้แล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องวางแผนสุขภาพประจำปี ว่าปีนี้คุณต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งกระบวนการนี้ต้องทำร่วมกันระหว่างตัวคุณในฐานะคนไข้กับหมอที่ตรวจสุขภาพประจำปีให้คุณ แต่วันนี้ผมทำให้คุณข้างเดียวก็แล้วกันนะ สิ่งที่คุณจะต้องทำในปีนี้คือ

1.. คุณต้องรีบป้องกันไตของตัวเองไม่ให้เสื่อมไปมากกว่านี้ โดย

1.1 งดยาที่มีพิษต่อไตเด็ดขาด โดยเฉพาะยาแก้ปวดแก้อักเสบ ซึ่งผมเดาว่าคุณคงจะกินแก้ปวดเข่าของคุณอยู่ ต้องเลิก หรือจำกัดให้เหลือน้อยที่สุด เพราะยานี้ทำให้ไตพัง

1.2 งดการตรวจวินิจฉัยด้วยการฉีดสารทึบรังสีอย่างสุดชีวิต เพราะการฉีดสารทึบรังสีเป็นการขย่มเนื้อไตให้พังอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังได้มากที่สุด ถ้าหมอจะทำต้องหาทางหลีกไปทำด้วยวิธีอื่นที่ไม่มีการใช้สารทึบรังสี

1.3 อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะร่างกายขาดน้ำเป็นตัวเร่งการเสื่อมของไต ถ้าขาดน้ำมากๆไตอาจจะพังไปเลยในชั่วข้ามวัน ให้คุณดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร ตั้งน้ำไว้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องทีวี ห้องน้ำ เลิกนิสัยดื่มน้ำจากตู้เย็น เพราะการต้องลุกเดินไปเอาน้ำจากตู้เย็นทำให้ไม่ได้ดื่มน้ำสักที

1.4 สืบค้นให้แน่ใจว่าไม่มีโรคไตที่แก้ไขได้แต่คุณยังไม่รู้ จะให้ดีไปหาหมอไตอย่างน้อยสักหนึ่งครั้ง เพราะขณะนี้คุณเป็นโรคไตเรื้อรังแล้ว ไม่ไปหาหมอไตแล้วคุณจะไปหาลิง (อุ๊บ ขอโทษ) คุณจะไปหาหมอสาขาไหนละครับ การสืบค้นที่ควรทำคืออย่างน้อยควรตรวจอุลตร้าซาวด์ไตดูว่ามีนิ่วซึ่งอาจจะเอาออกได้ง่ายๆหรือเปล่า ตรวจโปรตีน (microalbumin) ในปัสสาวะเพื่อดูว่าการทำงานของไตเสียมากหรือเปล่า คือถ้าเสียมากก็จะมีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะมาก

2.. ในประเด็นไขมันในเลือดสูง อ้วน ใกล้เป็นเบาหวาน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกันคือความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด การจะแก้ปัญหาเหล่านี้คุณต้องวางแผนแก้ปัญหาเป็นชุดแบบเบ็ดเสร็จ เรียกว่าต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง (total lifestyle modification) อันได้แก่

2.1 คุณต้องจัดเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวันไว้ออกกำลังกาย และฝึกตัวเองทุกวันจนสามารถออกกำลังกายได้ถึงระดับมาตรฐาน คือออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง (แอโรบิก) ได้จนถึงระดับหนักปานกลาง คือหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ นานอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 วัน ควบกับการเล่นกล้ามอีกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

2.2 คุณต้องปรับโภชนาการของคุณไปอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือด้านหนึ่งคุณต้องลดการบริโภคอาหารให้พลังงานลงให้เหลือสัก 1 ใน 4 ของที่เคยทานก็พอ อาหารให้พลังงานตัวเอ้สามตัวคือ
(1) น้ำตาลที่เพิ่มเข้ามาในเครื่องดื่มซอฟท์ดริ๊งค์ต่างๆ
(2) ไขมันทรานส์ หมายถึงไขมันผงที่ใช้ทำอาหารอุตสาหกรรมเช่นครีมเทียม เนยเทียม เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ ไอศกรีม เป็นต้น
(3) คาร์โบไฮเดรตที่ขัดสี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่ แป้ง ขนม ต่างๆ
อีกด้านหนึ่งคุณต้องเพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ให้มากๆๆ อย่างน้อยวันหนึ่งให้ได้ 5 เสริฟวิ่ง เรียกว่าให้ทานผักและผลไม้เป็นวัว

2.3 คุณต้องจัดดุลชีวิตคุณใหม่ หมายถึงดุลระหว่างงานกับชีวิต ต้องเรียนรู้วิธีจัดการความเครียดและฝึกทำมันทุกวันจนมีทักษะที่จะลดความเครียดให้ตัวเองอย่างได้ผล

2.4 คุณต้องลดน้ำหนักตัวเองลง ถ้าสามารถลดจนดัชนีมวลกายเหลือสัก 23 ก็จะดี นั่นคือลดน้ำหนักจาก 72 กก. เหลือ 62 กก. แต่ถ้าไม่สามารถ ให้ลดลงจากเดิมสักสิบเปอร์เซ็นต์ คือเหลือ 65 กก. ก็ถือว่าพอรับได้ การลดน้ำหนักเป็นการยิงทีเดียวได้นกสามตัว คือ (1) ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด (2) รักษารักษาอาการปวดเข่า และ (3) ป้องกันโรคเก้าท์ เพราะคุณมีกรดยูริกสูงเป็นทุนอยู่แล้ว

2.5 หลังจากทำตัวดีได้ครบ 3 เดือน แล้ว คุณต้องกลับไปหาหมออีกครั้งหนึ่งเพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจหลอดเลือดซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องไขมัน LDL ซึ่งถ้าหากยังสูงเกิน 130 อยู่อีก คราวนี้คุณต้องทานยาลดไขมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะไขมันในเลือดสูงชักนำคุณให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆถ้าประเมินแล้วพบก็แก้ไขเสียให้หมด เช่นถ้าความดันเลือดสูงก็ต้องรีบรักษา ถ้าสูบบุหรี่อยู่ต้องเลิก

3.. ในประเด็นที่มีเอ็นไซม์ของตับสูงผิดปกตินั้น สิ่งที่พึงทำคือลดสิ่งที่จะเป็นพิษต่อตับออกไปก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอลกอฮอล์ ยาแก้ปวดพาราเซ็ตตามอลนี่ก็เป็นพิษต่อตับ แล้วเมื่อกลับไปโรงหมอในอีกสามเดือนข้างหน้า ให้คุณตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบเอ. และไวรัสตับอักเสบซี.ด้วย เพราะหากยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบเอ. คุณก็ควรจะฉีดวัคซีนซะ เนื่องจากตับไม่ค่อยดีอยู่แล้ว อะไรที่จะป้องกันตับไม่ให้เสียหายมากไปกว่านี้ได้ต้องรีบทำ ในประเด็นการตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี.นั้น หากพบว่าคุณเคยติดเชื้อตับอักเสบซี.คุณต้องไปหาหมอตับ (hepatologist) เพราะตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสซี.อาจเป็นสาเหตุให้เอ็นไซม์สูง ที่สำคัญคือปัจจุบันนี้หมอตับอาจจะตัดสินใจใช้อินเตอร์เฟียรอนรักษาไวรัสซี.ในจังหวะที่เหมาะสม

4.. ในประเด็นกรดยูริกสูงนั้น ยังไม่ใช่วาระหลักในตอนนี้ เพราะคุณยังไม่มีอาการของโรคเก้าท์ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา สิ่งที่พึงทำคือ

4.1 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนมาก เช่น ตับ ไต ปลาซาร์ดีน ไก่งวง ส่วนอาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง เนื้อวัว เนื้อไก่ ปู เป็ด ถั่ว เห็น กุ้ง หมู นั้นก็ควรทานแต่พอควร ส่วนอาหารที่มีสารพิวรีนน้อยเช่น ผลไม้ ธัญพืช ไข่ นม มะเขือเทศ ผักใบเขียวนั้น ทานได้ไม่จำกัด

4.2. ถ้าอ้วน ต้องลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายและปรับโภชนาการ เพราะยิ่งอ้วน ยิ่งเป็นเก้าท์มากขึ้น

4.3. ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ ต้องเลิก เพราะแอลกอฮอล์ทั้งเป็นตัวให้พิวรีนซึ่งจะกลายเป็นกรดยูริกมากขึ้น ทั้งทำให้ไตขับกรดยูริกทิ้งได้น้อยลง

4.4. ถ้าทานยาที่ทำให้เป็นเก้าท์ง่าย ต้องเปลี่ยน ผมไม่ทราบว่าคุณทานยาอะไรอยู่บ้าง ตรงนี้คุณไปดูเอาเองก็แล้วกัน

4.5 ตอนกลับไปหาหมอสามเดือนข้างหน้า ให้ขอหมอตรวจสถานะของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์และพาราไทรอยด์ด้วยว่าเป็นอย่างไร เพราะสาเหตุสองอย่างของเก้าท์คือโรคไฮโปไทรอยด์ และโรคไฮเปอร์พาราไทรอยด์ อย่างน้อยคุณต้องเจาะเลือดดูฮอร์โมนสองตัวนี้

ที่ผมเขียนยืดยาวเนี่ยก็เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นได้ไอเดียว่าเมื่อเราไปตรวจสุขภาพประจำปี เราควรใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ได้อย่างไร นั่นคือเราต้องสรุปให้ได้ว่าจากข้อมูลที่ได้มา เรามีปัญหาสุขภาพอะไรบ้าง แล้วก็จัดทำแผนว่าปีนี้เราจะทำอะไรให้สุขภาพของเราดีขึ้นบ้าง แล้วก็...ลงมือทำ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ที่อยู่

สระบุรี
Maha Sarakam
44000

เบอร์โทรศัพท์

081-6014570

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บ้านอโรคยาสารคามผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram