กรีนแอล หน่วยสุขภาพ ว่าด้วยเรื่อง ของตับ

  • Home
  • กรีนแอล หน่วยสุขภาพ ว่าด้วยเรื่อง ของตับ

กรีนแอล หน่วยสุขภาพ ว่าด้วยเรื่อง ของตับ อาหารเสริมคุณภาพล้างสารพิษในตับ ช่วยบำรุง ฟื้นฟู เสริมการทำงานในระดับเซลล์ของตับสำหรับผ

โรคที่เป็นความผิดปกติของตับมีอยู่หลายโรคด้วยกัน ซึ่งอาจเป็นโรคทางพันธุกรรม หรือโรคที่เกิดจากการได้รับเชื้อหรือสารพิษต่างๆ ตัวอย่างของโรคที่เกี่ยวกับตับ ได้แก่ ตับอักเสบ ตับแข็ง ฮีโมโครมาโทซิส บัดด์ ไคอารี่ ซินโดรม กิลเบิร์ต ซินโดรม

ภาวะไขมันสะสมในตับ     ภาวะไขมันสะสมในตับ คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันภายในเซลล์ตับในรูปของไตรกลีเซอไรด์ ในคนไข้บ...
26/07/2019

ภาวะไขมันสะสมในตับ

ภาวะไขมันสะสมในตับ คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันภายในเซลล์ตับในรูปของไตรกลีเซอไรด์ ในคนไข้บางรายอาจพบการอักเสบของตับร่วมด้วยซึ่งการปล่อยให้ตับอักเสบเรื้อรังอาจนำไปสู่การเกิดพังผืดในตับหรือภาวะตับแข็งได้ในที่สุด “ไขมันเกาะตับอาจดูไม่รุนแรง แต่แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงเป็นโรคตับแข็งในระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะคนอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักเกิน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
แต่ก็ใช่ว่าคนที่มีรูปร่างผอมบางจะไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะคนอ้วนซ่อนรูป ซึ่ง 1 ใน 4 กลุ่มนี้พบภาวะไขมันสะสมในตับ”
จากอุบัติการณ์ที่พบทำให้โรคไขมันสะสมในตับกลายเป็นโรคยอดฮิตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลังจากตรวจพบครั้งแรกในอเมริกา จากคนอ้วนกลุ่มหนึ่งที่มีค่าตับที่สูงขึ้น และเมื่อตรวจอย่างละเอียดในคนไข้กลุ่มนี้ ทำให้พบว่ามีไขมันเกาะอยู่เต็มเนื้อตับ
“ปัจจุบันอุบัติการณ์ของโรคดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มคนเอเชียที่มีรูปร่างเล็ก ผอมบาง แต่มีภาวะอ้วนลงพุงจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต กินดีอยู่ดี ไม่ชอบออกกำลังกาย”
ภาวะไขมันเกาะตับมีความเชื่อมโยงกับโรคเบาหวาน ความดันสูง คอเลสเตอรอลสูงและน้ำหนัก และรอบเอวเกิน หรือรวมเรียกว่า โรคเมตาบอลิคซินโดรม อย่างเห็นได้ชัด
http://www.greenl-liver.com/

คำเตือนจากตับ“หากมีปัญหาที่ฉันจัดการได้ด้วยตัวเองละก็ ฉันจะลงมือทำทันทีโดยไม่ปริปากบ่น เมื่อไรที่คุณได้รับสัญญาณเตือนจาก...
12/02/2019

คำเตือนจากตับ
“หากมีปัญหาที่ฉันจัดการได้ด้วยตัวเองละก็ ฉันจะลงมือทำทันทีโดยไม่ปริปากบ่น เมื่อไรที่คุณได้รับสัญญาณเตือนจากฉันละก็ ขอให้รู้ไว้ว่าทั้งฉันและคุณอาจใกล้จะถึงฝั่งแล้วก็ได้นี่เป็นคำเตือนเดียวที่ฉันจะมอบให้คุณได้”
ดูแลสุขภาพตับวันนี้ ทำได้ทันที
ลด ละ เลิกการดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะชนิดใด
มีเพศสัมพันธ์ปลอดภัยกับคู่สมรสของตน ไม่สำส่อน
ไม่ใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ และเข็มฉีดยา
ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
อย่ารับประทานยา ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโดยไม่ทราบที่มา หรือเพียงเพราะคำโฆษณา
ควรปรึกษาแพทย์ขอคำแนะนำก่อน
สวมถุงมือ สวมหน้ากากป้องกัน หากต้องสัมผัส หรือสูดดมสารเคมี
ตรวจสุขภาพร่างกายทุกปี

โทร 090-889-8305

ทักไลน์ สอบถาม กดที่ลิงค์
https://line.me/R/ti/p/%40wvc6670j
https://line.me/R/ti/p/%40wvc6670j

12/11/2018

รู้จัก “เทโลเมียร์” ตัวชี้วัดความแก่ อายุที่แท้จริงของร่างกายอาจไม่ได้สัมพันธ์กับตัวเลขอายุ บางคนแม้จะ.....

10/10/2018

🤹‍♂️ผิวใสขึ้นง่ายๆ แค่ดีท็อกซ์ตับ..🤗

👉ตับสะอาด ระบบภายในก็ดี แถมยังได้ผิวขาวใสขึ้นเอง เพราะทุกอย่างที่เรากินทุกๆวันมีผลต่อการทำงานของตับโดยตรง เราจึงควรล้างตับ เพื่อสุขภาพที่ดี🤹‍♀️

🎉วิตามินที่ต้องมีติดบ้านไว้เลย ตับผลิตกลูต้าไธโอนได้😊ถ้าตับสะอาดก็สามามรถผลิตกลูต้าไธโอนได้มากขึ้น

➡️เพียงเลือกทานผลิตภัณฑ์ กรีนแอล วันละ 1เม็ดก่อนนอน แล้วคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน

✅บรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,765 -
📬จัดส่งด่วน เคอรี่หรือ EMS📮 ชมคลิป https://youtu.be/zT60G_8dzk4

10/10/2018

ภัยเงียบ แต่ อันตราย !
กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว

โรคร้ายแรงแห่งยุคสมัย ไม่ได้มาจากเชื้อโรคเหมือนแต่ก่อน แต่กลายเป็นโรคอันเกิดจากไลฟ์สไตล์ ภาวะโภชนาการ โดยเฉพาะอาการไขมันพอกตับ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก

ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานหลายหน้าที่ มากกว่า500 กระบวนการเพื่อช่วยกำจัดพิษออกจากร่างกาย , ย่อยอาหาร ,ปรับสมดุลฮอร์โมน ,ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ,มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน .

นายแพทย์ Robert Lustig, MD แพทย์ด้านต่อมไร้ท่อแห่ง University of California, San Francisco เปรียบเทียบว่า ภาวะไขมันพอกตับนั้น คล้ายๆกับภาวะความดันโลหิตสูง ที่อาจเป็นอยู่แล้วแต่เจ้าตัวไม่เคยตระหนัก กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว เกินเยียวยา เดิมทีเราเคยขนานนามกันว่า ภาวะความดันสูงคือฆาตกรเงียบ ตอนนี้เราก็จะได้ฆาตกรเงียบใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งโรคนั่นคือ โรคไขมันพอกตับ

กว่า 70% ของผู้ป่วยเบาหวานมักเกิดภาวะไขมันพอกตับ
กว่า 45% ของเด็กอ้วนมักเกิดภาวะไขมันพอกตับ

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาวะโรคนี้ไม่ได้แปรผันโดยตรงกับ มวลร่างกาย (body-mass index) เพราะคนผอมก็เป็นโรคนี้ได้

เดิมทีเคยเชื่อกันว่าสาเหตุที่ทำให้ไขมันพอกตับเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์ แต่ปัจจุบันพบแล้วว่าแม้ไม่ดื่มเลยก็เกิดภาวะโรคนี้ได้

ความน่ากลัวของโรคนี้คือมัน คืบคลาน อย่างเงียบๆ ไม่มีอาการเด่นชัด จนกระทั่งตับใกล้หมดสภาพแล้ว และมักจะตรวจพบหลังไปตรวจร่างกายด้วยปัญหาสุขภาพอื่นที่ดูเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับตับโดยตรง

อันตรายของโรคนี้ก็คือ ตับที่มีไขมันพอกตับจะปล่อยไตรกลีเซอร์ไรด์เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ดังที่รู้กันดีว่า ไตรกลีเซอร์ไรด์สูงนั้นอันตรายไม่ยิ่งหย่อนกว่าLDL cholesterol สูงเลย

ดังนั้นไขมันพอกตับจึงมักเชื่อมโยงไปถึง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เบาหวาน น้ำหนักเกิน ความดันสูง เพิ่มอัตราเสี่ยงต่ออัมพฤกษ์ สมองเสื่อม

หากปล่อยปละละเลยไม่แก้ไข ก็ยังอาจลุกลามไปเป็น ตับอักเสบ ตับแข็ง และตับวายในที่สุด

ต้นเหตุ

อันดับหนึ่งก็คือ น้ำตาล high-fructose corn syrup (HFCS)ที่มีการใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหารอย่างมโหฬาร โดยเฉพาะน้ำอัดลม
นักวิชาการบางท่านจึงเรียกน้ำตาล HFCS นี้ว่ามันคือ“ สารเสพติดหรือบุหรี่ยุคใหม่”

ฟังจากชื่อว่าเป็นน้ำตาลจากข้าวโพด แต่ความจริงแล้วมันแตกต่างจากน้ำตาลธรรมชาติ เช่นน้ำผึ้ง, ผลไม้ ,น้ำตาลอ้อย เพราะมันเป็นน้ำตาลที่ผ่านการดัดแปลงด้วยขบวนการเคมี ทำให้ฟรุ้คโต้สในHFCSอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากธรรมชาติเดิม ทำให้มีรสหวานมากขึ้น ต้นทุนถูกลง มีความเข้มข้นมากกว่าน้ำตาลธรรมชาติมาก

ฟังจากชื่อโรค หลายๆคนคิดว่าเกิดจากบริโภคไขมันเข้าไปมากเกิน แต่ที่จริงคือบริโภคน้ำตาลเข้าไปมากต่างหาก

โดยปกติร่างกายมนุษย์จะเก็บสะสมพลังงานสำรองเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินในรูปของ glycogen แต่เมื่อเราบริโภคฟรุ้คโต้สเข้าไป ตับจะยังไม่สามารถแปรสภาพฟรุ้คโต้สให้กลายเป็น glycogen ได้ทันที ตับต้องขนย้ายฟรุ้คโต้สไปเก็บไว้ก่อนโดยแปรรูปไปเป็นไขมันสะสมเอาไว้

ตับจะแปรรูปแอลกอฮอลล์ไปเป็นไขมันเช่นเดียวกันกับวิธีการแปรรูปฟรุ้คโต้ส ดังนั้นนักวิจัยทางการแพทย์บางท่านจึงเปรียบเทียบว่า ในร่างกายของเด็ก "น้ำตาล ก็คือ แอลกอฮอลล์ ”

ไขมันที่สะสมภายในตับจะก่อผลร้ายกับสุขภาพ
๑) ปล่อยหลุดลอยไปในกระแสเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดอุดตัน

๒) สะสมมากเข้ากลายเป็นภาวะโรคไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง

๓) ขัดขวางกระบวนการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพราะเมื่อตับสะสมฟรุ้คโต้สมากๆ ตับอ่อนก็จะทำงานมากขึ้นชดเชยความอ่อนล้าของตับ โดยการปล่อยอินซูลินออกมามากขึ้น ซึ่งก็มีผลให้มีการขนย้ายน้ำตาลไปสะสมที่ตับเพิ่มมากขึ้น ภาวะไขมันพอกตับจึงเป็นทั้งตัวก่อโรค และผลลัพธ์ของโรคเมตาบอลิค( กลุ่มอาการโรคที่มีการเผาผลาญไขมันเสื่อมประสิทธิภาพ ระดับอินซูลินในเลือดผันผวน) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในที่สุดภาวะไขมันพอกตับจะไปเกี่ยวโยงกับโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด อัมพฤกษ์ ได้อย่างไร ?

๔) ดังที่ทราบกันแล้วว่าตับเป็นอวัยวะสำคัญในการกำจัดพิษในร่างกาย เมื่อไขมันพอกตับ จึงทำให้เหลือพิษตกค้างในร่างกาย เช่นสารตกค้างจากพลาสติกจะรบกวนการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ ตะกั่วจำทำลายเส้นประสาท ในสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันนี้พวกเราล้วนมีอัตราเสี่ยงมากมายที่จะได้รับพิษสารพัดชนิดหรือ สัมผัสกับมลพิษต่างๆ เมื่อตับเสื่อมสภาพลง ก็เท่ากับว่าร่างกายขาดด่านสำคัญในการปกป้องอันตรายจากพิษเหล่านี้

วิธีการปกป้องตับให้รอดพ้นจากไขมันพอกตับ

1) เลิก หลีกเลี่ยง งด ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่เจือปนด้วยHFCS
เลือกสรรอาหารที่ปรุงสดด้วย ผัก ถั่วเปลือกแข็ง ธัญญพืช ผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยๆ

2) พิถีพิถันในการบริโภคผลไม้มากขึ้น เพราะผลไม้โดยธรรมชาติมีน้ำตาลfructoseอยู่มาก แม้จะดีกว่าการดื่มเครื่องดื่มรสหวานโดยตรง เพราะในผลไม้ยังมี มีกากใย(fiber) , pectin, phytonutrients
จึงช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด อย่างไรก็ตามผลไม้รสหวานก็ควรทานแต่น้อย และทานผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย มีกากใยเยอะเป็นหลัก หากติดใจรสชาดผลไม้รสหวานหักห้ามใจไม่ไหวก็ให้ทานร่วมกับ หรือตามด้วยสารอาหารที่มีกากใยเพื่อช่วยดูดซับน้ำตาลผลไม้เช่น เมล็ดchia ,flaxseeds,ถั่วเปลือกแข็ง ,อะโวคาโด ,ผักใบเขียว

3) บริโภคไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่นไขมันปลา มะกอก น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันมะพร้าว

4) งดทานอาหารฟ้าสต์ฟู้ดทั้งหลาย เพราะส่วนมากแล้วล้วนปรุงแต่ง ปนเปื้อนด้วยไขมันทรานส์ และHFCS

5) ทานเสริมโคลีนเพิ่มเติม โคลีนมีมากในไข่ ตับ

ุ6) ลดการใช้ยาเท่าที่จำเป็นจริงๆ เพราะสารเคมีในยามักตกค้างและเป็นพิษกับตับ Dr.Ann Louise Gittleman, PhD, CNS นักโภชนาการชื่อดัง อ้างผลการศึกษาของ University of Texas Southwestern Medical Center ว่า 38% ของคนไข้300 กว่าราย เกิดความเสียหายภายในตับ อันเนื่องจากการทานยาแก้ปวดacetaminophen(Tylenol)เกินขนาด ทั้งนี้เพราะก่อนที่ยาจะซึมไปออกฤทธิ์ในร่างกายต้องผ่านปราการแรกคือตับเสียก่อน ยิ่งทานยาหลายขนาน ทานปริมาณมากๅ ตับก็ยิ่งต้องรับภาระหนักเป็นเงาตามตัว ปัจจุบันยังไม่มียารักษาอาการไขมันพอกตับโดยตรง นอกจากการใช้ยาลดอาการเบาหวานที่มีผลต่อตับบ้างเท่านั้นเอง
7) หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีเกษตร หรือยาฆ่าแมลงเช่น DDT, atrazine, glyphosate; สารเคมีที่มีส่วนผสมด้วยตะกั่ว,สารปรอท,สารหนู สรรหาผักผลไม้ที่เพาะปลูกในระบบอินทรีย์ (organic)

7) ออกกำลังกาย ผลวิจัยพบว่าการลดน้ำหนักส่วนเกินได้เพียง 3 %ถึง 5 % ก็สามารถช่วยแก้ไขอาการไขมันพอกตับได้อย่างมีนัยยะสำคัญแล้ว ยิ่งหากออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและต่อเนื่องก็สามารถบำบัดอาการไขมันพอกตับได้เป็นอย่างดี

กรรมวิธีการตรวจว่าเป็นไขมันพอกตับ แล้วหรือยัง?

ความน่ากลัวของโรคนี้คือ มันมาแบบเงียบเชียบ ไม่กระโตกกระตาก ไม่มีอาการเด่นชัด บางคนอาจมีอาการปวดท้องด้านบนขวา แต่บางคนก็ไม่มีอาการใดๆ กว่าจะรู้ตัวก็เพียบหนักเสียแล้ว

ดังนั้นควรจะมีวินัยในการตรวจสุขภาพตับเป็นระยะๆแม้ไม่มีอาการ

-ตรวจเอ็นไซม์ตับ เพื่อประเมินสภาวะอักเสบ หรือ ความเสียหายภายในตับ ในบางรายอาจต้องตรวจซ้ำด้วย ultrasound

-ตรวจวัด fasting blood sugar, hemoglobin A1cในเลือดทุกๆ3เดือน

-ตรวจวัดระดับไขมัน triglyceride, cholesterol ,

-ตรวจวัดC-reactive proteinในเลือด ( เพื่อบ่งชี้สภาวะอักเสบในร่

ส่วนสำคัญหนึ่งของระบบย่อยอาหาร คือ ตับอ่อน ซึ่งมีหน้าที่หลักถึงสองประการตับอ่อน (Pancreas) เป็นอวัยวะภายในร่างกายที่ถูกจ...
07/07/2018

ส่วนสำคัญหนึ่งของระบบย่อยอาหาร คือ ตับอ่อน ซึ่งมีหน้าที่หลักถึงสองประการ

ตับอ่อน (Pancreas) เป็นอวัยวะภายในร่างกายที่ถูกจัดให้อยู่ทั้งในระบบย่อยอาหารและระบบต่อมไร้ท่อ ระบบย่อยอาหาร คือ ระบบที่ทำการบดอาหารให้เป็นชิ้นเล็กก่อนที่จะย่อยแล้วดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ระบบย่อยอาหารประกอบไปด้วย ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และที่สำคัญคือ ตับอ่อน ระบบต่อมไร้ท่อเป็นอีกระบบหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยต่อมไร้ท่อมากมาย เช่น ต่อมไทรอยด์ ลูกอัณฑะ ต่อมใต้สมอง และตับอ่อน ต่อมเหล่านี้จะคอยสร้างฮอร์โมนและหลั่งออกมาสู่กระแสเลือดได้โดยตรง

โครงสร้างของตับอ่อน
ตับอ่อนวางตัวอยู่ในบริเวณด้านซ้ายบนของช่องท้อง มันจะอยู่หลังกระเพาะอาหารใกล้ๆ กับลำไส้เล็กส่วนต้น เรียกว่า ดูโอดินัม (Duodenum) ตับอ่อนมีความยาวตั้งแต่ 5.5 ถึง 7.9 นิ้ว หรือ 14 ถึง 20 เซนติเมตร มันมีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม หรือเท่ากับ 1/5 ปอนด์

รูปร่างของตับอ่อนดูคล้ายกับมันเทศ มันมีส่วนหัวกลมเหมือนกระเปาะ ส่วนลำตัวที่หนา และส่วนหางที่เล็กแหลม ตับอ่อนมีโครงสร้างคล้ายท่อที่วิ่งจากปลายหางเข้าสู่ส่วนหัว เรียกว่า ท่อตับอ่อนหลัก (main pancreatic duct) มันจะรวมเข้ากับท่อน้ำดีที่วิ่งมาจากด้านบนแล้วจึงออกจากตับอ่อนเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น ในบางรายอาจพบท่อตับอ่อนเสริมขนาดเล็ก (accessory pancreatic duct) ที่เรียกว่า ท่อของซานโตรินี่ (duct of Santorini) ซึ่งเชื่อมต่อเข้าสู่ส่วนอื่นของลำไส้เล็กส่วนต้น

หน้าที่ของตับอ่อนคืออะไร
หน้าที่หลักของตับอ่อนมีสองประการ หนึ่งคือช่วยร่างกายย่อยอาหารและสองคือช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด มากกว่าร้อยละ 95 ของเนื้อเยื่อตับอ่อนประกอบไปด้วยเซลล์สร้างน้ำย่อยที่มีเอนไซม์หลายชนิด ได้แก่ อะไมเลส (amylase) ไลเปส (lipase) อีลาสเตส (elastase) และนิวคลีเอส (nucleases)

เอนไซม์แต่ละชนิดจะทำหน้าที่ย่อยอาหารแตกต่างกันไป อะไมเลสจะย่อยแป้ง ไลเปสย่อยไขมัน และอีลาสเตสย่อยโปรตีน เอนไซม์เหล่านี้จะถูกหลั่งออกมาผ่านท่อตับอ่อนหลัก ไหลรวมเข้ากับน้ำดีจากถุงน้ำดีก่อนที่จะเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้นเพื่อทำการย่อยอาหารต่อไป

ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 1 ถึง 2 ของตับอ่อนถูกเรียกว่า หมู่เกาะของแลงเกอร์ฮานส์ (islets of Langerhans) ส่วนคล้ายหมู่เกาะนี้ประกอบไปด้วยเซลล์ที่สร้างฮอร์โมนกลูคาก้อน (glucagon) ฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) และฮอร์โมนอื่นๆ ที่หลั่งลงสู่กระแสเลือดได้โดยตรง ฮอร์โมนเหล่านี้จะไปช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ปัญหาสุขภาพกับตับอ่อน
โรคตับอ่อนอักเสบเป็นโรคของตับอ่อนที่พบได้บ่อย สาเหตุสองอย่างที่สำคัญคือ การอุดตันของท่อตับอ่อนเนื่องจากนิ่วในถุงน้ำดีและการดื่มสุราอย่างหนักเป็นเวลานาน ในปี ค.ศ. 2009 ประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยโรคตับอ่อนอักเสบมากถึง 275,000 ครั้ง โดยอ้างอิงจากรายงานการวิจัยวิทยาทางเดินอาหาร (Gastroenterology) ในปี ค.ศ. 2013 โรคตับอ่อนอักเสบทำให้เกิดอาการปวดท้อง ไข้ อ่อนเพลีย และคลื่นไส้ ซึ่งมักจะค่อยๆ ดีขึ้นในสองถึงสามวัน ถ้าได้รับการรักษาในโรงพยาบาล

โรคมะเร็งตับอ่อนเป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อย ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ที่เป็นมะเร็งตับอ่อนรายใหม่ประมาณ 46,000 คนต่อปี ในจำนวนนี้ 40,000 คนเสียชีวิตจากตัวโรค ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งตับอ่อนมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้

ปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่
ตัวเหลือง ตาเหลือง
ปัสสาวะสีเข้ม อุจาระสีซีด
เบื่ออาหาร
อ่อนแรงหรืออ่อนเพลียอย่างรุนแรง
การรักษาโรคมะเร็งตับอ่อนทำได้โดยการผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การให้ยาที่จำเพาะต่อตัวมะเร็งตับอ่อน และการฉายแสง

ขอบคุณ ข้อมูลดีๆ จาก honestdocs.com

อาหารเสริม.....ดีจริงไหม?????-ก่อนจะโจมตี  คุณรู้จัก หรือเข้าถึงอาหารเสริม ดีพอหรือยัง✅หากไม่ดีจริง....นายแพทย์ ไลนัส พอ...
11/06/2018

อาหารเสริม.....ดีจริงไหม?????
-
ก่อนจะโจมตี คุณรู้จัก หรือเข้าถึงอาหารเสริม ดีพอหรือยัง
✅หากไม่ดีจริง....นายแพทย์ ไลนัส พอลลิ่ง คงไม่แนะนำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง กินวิตามินซี ที่เป็นกลางสูงถึงวันละ
สี่หมื่นมิลลิกรัม เพื่อป้องกันมะเร็ง จนท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ถึง 2 ครั้ง ท่านเป็นมะเร็งตั้งแต่ 60 ปี มาเสียชีวิตเอาตอน 93 ปี
✅หากไม่ดีจริง....หมอรักษาเบาหวาน คงไม่แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทาน โคเมี่ยม เพื่อป้องกันการลุกลามของอาการเบาหวาน เพื่อกระตุ้น
การทำงานของอีซูลิน
✅หากไม่ดีจริง....ทำไมมีแพทย์ หลายท่าน เป็นเจ้าของบริษัท อาหารเสริม
✅หากไม่ดีจริง.... ทำไมบริษัทยา จึงหันมาทุ่มงบประมาณในการวิจัย และผลิต อาหารเสริม รวมทั้งการซื้อหุ้นบริษัท อาหารเสริม
✅หากไม่ดีจริง.... ทำไมมีการผลิตเครื่องดื่มที่ผสม อาหารเสริมวางขายตามห้างสะดวกซื้อมากมาย ในอัตราที่เพิ่มสูง จนน่าตกใจ และขายดี
✅หากไม่ดีจริง.... ทำไมบริษัทผลิตยาลงมาเล่นเอง โดยผลิต อาหารเสริมบำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจ และทุ่มโฆษณาด้วยงบมหาศาล
✅หากไม่ดีจริง....บุคลากร ทางการแพทย์ จึงเปลี่ยนงานทางการแพทย์ มาทำธุรกิจ ขายอาหารเสริม ในจำนวนที่สูงมากเป็นประวัติการณ์
✅หากไม่ดีจริง....ทำไม ต่างชาติ จึงขอจด Patent เป็นเจ้าของอาหารเสริมนั้นๆ
✅หากไม่ดีจริง....ทำไมยอดส่งออก อาหารเสริมไทย ด้วยสมุนไพร จึงก้าวกระโดด
✅หากไม่ดีจริง....ทำไมยอดขายอาหารเสริม บริษัทขายตรง ระบบเครือข่ายออนไลน์ จึงพุ่งสวนกระแสเศรษฐกิจขาลง และพุ่งแรงเมื่อเศรษฐกิจขาขึ้น
✅หากไม่ดีจริง....ทำไมผู้เข้าฟัง ผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมจึงเพิ่มมากขึ้น ทั้งจำนวน และรอบที่บรรยาย

อาหารเสริม...ดีจริงไหม...????? คงไม่ต้องรอคำตอบ

ภัยเงียบ แต่ อันตราย !กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว โรคร้ายแรงแห่งยุคสมัย ไม่ได้มาจากเชื้อโรคเหมือนแต่ก่อน  แต่กลายเป็นโรคอั...
22/04/2018

ภัยเงียบ แต่ อันตราย !
กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว

โรคร้ายแรงแห่งยุคสมัย ไม่ได้มาจากเชื้อโรคเหมือนแต่ก่อน แต่กลายเป็นโรคอันเกิดจากไลฟ์สไตล์ ภาวะโภชนาการ โดยเฉพาะอาการไขมันพอกตับ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก

ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานหลายหน้าที่ มากกว่า500 กระบวนการเพื่อช่วยกำจัดพิษออกจากร่างกาย , ย่อยอาหาร ,ปรับสมดุลฮอร์โมน ,ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ,มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน .

นายแพทย์ Robert Lustig, MD แพทย์ด้านต่อมไร้ท่อแห่ง University of California, San Francisco เปรียบเทียบว่า ภาวะไขมันพอกตับนั้น คล้ายๆกับภาวะความดันโลหิตสูง ที่อาจเป็นอยู่แล้วแต่เจ้าตัวไม่เคยตระหนัก กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว เกินเยียวยา เดิมทีเราเคยขนานนามกันว่า ภาวะความดันสูงคือฆาตกรเงียบ ตอนนี้เราก็จะได้ฆาตกรเงียบใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งโรคนั่นคือ โรคไขมันพอกตับ

กว่า 70% ของผู้ป่วยเบาหวานมักเกิดภาวะไขมันพอกตับ
กว่า 45% ของเด็กอ้วนมักเกิดภาวะไขมันพอกตับ

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาวะโรคนี้ไม่ได้แปรผันโดยตรงกับ มวลร่างกาย (body-mass index) เพราะคนผอมก็เป็นโรคนี้ได้

เดิมทีเคยเชื่อกันว่าสาเหตุที่ทำให้ไขมันพอกตับเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์ แต่ปัจจุบันพบแล้วว่าแม้ไม่ดื่มเลยก็เกิดภาวะโรคนี้ได้

ความน่ากลัวของโรคนี้คือมัน คืบคลาน อย่างเงียบๆ ไม่มีอาการเด่นชัด จนกระทั่งตับใกล้หมดสภาพแล้ว และมักจะตรวจพบหลังไปตรวจร่างกายด้วยปัญหาสุขภาพอื่นที่ดูเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับตับโดยตรง

อันตรายของโรคนี้ก็คือ ตับที่มีไขมันพอกตับจะปล่อยไตรกลีเซอร์ไรด์เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ดังที่รู้กันดีว่า ไตรกลีเซอร์ไรด์สูงนั้นอันตรายไม่ยิ่งหย่อนกว่าLDL cholesterol สูงเลย

ดังนั้นไขมันพอกตับจึงมักเชื่อมโยงไปถึง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เบาหวาน น้ำหนักเกิน ความดันสูง เพิ่มอัตราเสี่ยงต่ออัมพฤกษ์ สมองเสื่อม

หากปล่อยปละละเลยไม่แก้ไข ก็ยังอาจลุกลามไปเป็น ตับอักเสบ ตับแข็ง และตับวายในที่สุด

ต้นเหตุ

อันดับหนึ่งก็คือ น้ำตาล high-fructose corn syrup (HFCS)ที่มีการใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหารอย่างมโหฬาร โดยเฉพาะน้ำอัดลม
นักวิชาการบางท่านจึงเรียกน้ำตาล HFCS นี้ว่ามันคือ“ สารเสพติดหรือบุหรี่ยุคใหม่”

ฟังจากชื่อว่าเป็นน้ำตาลจากข้าวโพด แต่ความจริงแล้วมันแตกต่างจากน้ำตาลธรรมชาติ เช่นน้ำผึ้ง, ผลไม้ ,น้ำตาลอ้อย เพราะมันเป็นน้ำตาลที่ผ่านการดัดแปลงด้วยขบวนการเคมี ทำให้ฟรุ้คโต้สในHFCSอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากธรรมชาติเดิม ทำให้มีรสหวานมากขึ้น ต้นทุนถูกลง มีความเข้มข้นมากกว่าน้ำตาลธรรมชาติมาก

ฟังจากชื่อโรค หลายๆคนคิดว่าเกิดจากบริโภคไขมันเข้าไปมากเกิน แต่ที่จริงคือบริโภคน้ำตาลเข้าไปมากต่างหาก

โดยปกติร่างกายมนุษย์จะเก็บสะสมพลังงานสำรองเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินในรูปของ glycogen แต่เมื่อเราบริโภคฟรุ้คโต้สเข้าไป ตับจะยังไม่สามารถแปรสภาพฟรุ้คโต้สให้กลายเป็น glycogen ได้ทันที ตับต้องขนย้ายฟรุ้คโต้สไปเก็บไว้ก่อนโดยแปรรูปไปเป็นไขมันสะสมเอาไว้

ตับจะแปรรูปแอลกอฮอลล์ไปเป็นไขมันเช่นเดียวกันกับวิธีการแปรรูปฟรุ้คโต้ส ดังนั้นนักวิจัยทางการแพทย์บางท่านจึงเปรียบเทียบว่า ในร่างกายของเด็ก "น้ำตาล ก็คือ แอลกอฮอลล์ ”

ไขมันที่สะสมภายในตับจะก่อผลร้ายกับสุขภาพ
๑) ปล่อยหลุดลอยไปในกระแสเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดอุดตัน

๒) สะสมมากเข้ากลายเป็นภาวะโรคไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง

๓) ขัดขวางกระบวนการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพราะเมื่อตับสะสมฟรุ้คโต้สมากๆ ตับอ่อนก็จะทำงานมากขึ้นชดเชยความอ่อนล้าของตับ โดยการปล่อยอินซูลินออกมามากขึ้น ซึ่งก็มีผลให้มีการขนย้ายน้ำตาลไปสะสมที่ตับเพิ่มมากขึ้น ภาวะไขมันพอกตับจึงเป็นทั้งตัวก่อโรค และผลลัพธ์ของโรคเมตาบอลิค( กลุ่มอาการโรคที่มีการเผาผลาญไขมันเสื่อมประสิทธิภาพ ระดับอินซูลินในเลือดผันผวน) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในที่สุดภาวะไขมันพอกตับจะไปเกี่ยวโยงกับโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด อัมพฤกษ์ ได้อย่างไร ?

๔) ดังที่ทราบกันแล้วว่าตับเป็นอวัยวะสำคัญในการกำจัดพิษในร่างกาย เมื่อไขมันพอกตับ จึงทำให้เหลือพิษตกค้างในร่างกาย เช่นสารตกค้างจากพลาสติกจะรบกวนการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ ตะกั่วจำทำลายเส้นประสาท ในสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันนี้พวกเราล้วนมีอัตราเสี่ยงมากมายที่จะได้รับพิษสารพัดชนิดหรือ สัมผัสกับมลพิษต่างๆ เมื่อตับเสื่อมสภาพลง ก็เท่ากับว่าร่างกายขาดด่านสำคัญในการปกป้องอันตรายจากพิษเหล่านี้

วิธีการปกป้องตับให้รอดพ้นจากไขมันพอกตับ

1) เลิก หลีกเลี่ยง งด ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่เจือปนด้วยHFCS
เลือกสรรอาหารที่ปรุงสดด้วย ผัก ถั่วเปลือกแข็ง ธัญญพืช ผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยๆ

2) พิถีพิถันในการบริโภคผลไม้มากขึ้น เพราะผลไม้โดยธรรมชาติมีน้ำตาลfructoseอยู่มาก แม้จะดีกว่าการดื่มเครื่องดื่มรสหวานโดยตรง เพราะในผลไม้ยังมี มีกากใย(fiber) , pectin, phytonutrients
จึงช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด อย่างไรก็ตามผลไม้รสหวานก็ควรทานแต่น้อย และทานผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย มีกากใยเยอะเป็นหลัก หากติดใจรสชาดผลไม้รสหวานหักห้ามใจไม่ไหวก็ให้ทานร่วมกับ หรือตามด้วยสารอาหารที่มีกากใยเพื่อช่วยดูดซับน้ำตาลผลไม้เช่น เมล็ดchia ,flaxseeds,ถั่วเปลือกแข็ง ,อะโวคาโด ,ผักใบเขียว

3) บริโภคไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่นไขมันปลา มะกอก น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันมะพร้าว

4) งดทานอาหารฟ้าสต์ฟู้ดทั้งหลาย เพราะส่วนมากแล้วล้วนปรุงแต่ง ปนเปื้อนด้วยไขมันทรานส์ และHFCS

5) ทานเสริมโคลีนเพิ่มเติม โคลีนมีมากในไข่ ตับ

ุ6) ลดการใช้ยาเท่าที่จำเป็นจริงๆ เพราะสารเคมีในยามักตกค้างและเป็นพิษกับตับ Dr.Ann Louise Gittleman, PhD, CNS นักโภชนาการชื่อดัง อ้างผลการศึกษาของ University of Texas Southwestern Medical Center ว่า 38% ของคนไข้300 กว่าราย เกิดความเสียหายภายในตับ อันเนื่องจากการทานยาแก้ปวดacetaminophen(Tylenol)เกินขนาด ทั้งนี้เพราะก่อนที่ยาจะซึมไปออกฤทธิ์ในร่างกายต้องผ่านปราการแรกคือตับเสียก่อน ยิ่งทานยาหลายขนาน ทานปริมาณมากๅ ตับก็ยิ่งต้องรับภาระหนักเป็นเงาตามตัว ปัจจุบันยังไม่มียารักษาอาการไขมันพอกตับโดยตรง นอกจากการใช้ยาลดอาการเบาหวานที่มีผลต่อตับบ้างเท่านั้นเอง
7) หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีเกษตร หรือยาฆ่าแมลงเช่น DDT, atrazine, glyphosate; สารเคมีที่มีส่วนผสมด้วยตะกั่ว,สารปรอท,สารหนู สรรหาผักผลไม้ที่เพาะปลูกในระบบอินทรีย์ (organic)

7) ออกกำลังกาย ผลวิจัยพบว่าการลดน้ำหนักส่วนเกินได้เพียง 3 %ถึง 5 % ก็สามารถช่วยแก้ไขอาการไขมันพอกตับได้อย่างมีนัยยะสำคัญแล้ว ยิ่งหากออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและต่อเนื่องก็สามารถบำบัดอาการไขมันพอกตับได้เป็นอย่างดี

กรรมวิธีการตรวจว่าเป็นไขมันพอกตับ แล้วหรือยัง?

ความน่ากลัวของโรคนี้คือ มันมาแบบเงียบเชียบ ไม่กระโตกกระตาก ไม่มีอาการเด่นชัด บางคนอาจมีอาการปวดท้องด้านบนขวา แต่บางคนก็ไม่มีอาการใดๆ กว่าจะรู้ตัวก็เพียบหนักเสียแล้ว

ดังนั้นควรจะมีวินัยในการตรวจสุขภาพตับเป็นระยะๆแม้ไม่มีอาการ

-ตรวจเอ็นไซม์ตับ เพื่อประเมินสภาวะอักเสบ หรือ ความเสียหายภายในตับ ในบางรายอาจต้องตรวจซ้ำด้วย ultrasound

-ตรวจวัด fasting blood sugar, hemoglobin A1cในเลือดทุกๆ3เดือน

-ตรวจวัดระดับไขมัน triglyceride, cholesterol ,

-ตรวจวัดC-reactive proteinในเลือด ( เพื่อบ่งชี้สภาวะอักเสบในร่างกาย)

เขียนเผยแพร่โดย Laine Bergeson , FMCHC, is a health journalist and functional-medicine-certified health coach based in Minneapolis.

Address


10510

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when กรีนแอล หน่วยสุขภาพ ว่าด้วยเรื่อง ของตับ posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to กรีนแอล หน่วยสุขภาพ ว่าด้วยเรื่อง ของตับ:

  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram