ศูนย์ดีบูนดูแลกระดูกทับเส้น ไขข้อ กล้ามเนื้อBy ประภาพันธ์ 087 4004996

ศูนย์ดีบูนดูแลกระดูกทับเส้น ไขข้อ กล้ามเนื้อBy ประภาพันธ์ 087 4004996 ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก ศูนย์ดีบูนดูแลกระดูกทับเส้น ไขข้อ กล้ามเนื้อBy ประภาพันธ์ 087 4004996, การแพทย์และสุขภาพ, Min Buri.

ศูนย์ดีบูนดูแลกระดูกและข้อ ดีบูนช่วยบำรุงกระดูกทับเส้น ปวดเข่าเสื่อม ข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท เก๊าท์ รูมาตอยด์ นิ้วล๊อก ระบบกล้ามเนื้อ กระดูกเส้นเอ็น เส้นประสาท

รู้ก่อน ! ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(ปวดคอบ่าไหล่ สามารถฟื้นฟูได้)โรคกระดูกคอเสื่อม เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป...
03/01/2018

รู้ก่อน ! ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(ปวดคอบ่าไหล่ สามารถฟื้นฟูได้)

โรคกระดูกคอเสื่อม เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเกิดจากการเสื่อมตามวัย หรือในบางรายก็เกิดจากวิถีชีวิตในการทำงาน เช่น งานที่ต้องเงยหน้าอยู่ตลอดเวลา ช่างไฟ ช่างทาสี หรือในคนที่ชอบนำของหนักๆมาแบกไว้ที่ศีรษะก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคกระดูกคอเสื่อมได้เร็วขึ้น บางรายอายุ 35 ปีก็พบว่ามีสัญญาณของโรคกระดูกคอเสื่อมแล้วละครับ

สาเหตุ ของโรคกระดูกคอเสื่อม

- อายุมากกว่า 40 ปี
- ช้งานศีรษะในท่าก้ม เงย หรือหมุนคอบ่อยๆ
- อยู่ในอิริยาบทที่ไม่เหมาะสมเป้นเวลานานๆ เช่น ทำงานที่ต้องเงยหน้าต้างไว้นานๆเป้นประจำ

- เกิดอุบัติเหตุ เกิดการกระแทกที่กระดูกสันหลังโดยตรง
- การเล่นกีฬาที่มีการกระแทก การปะทะกันบ่อยๆ เช่น อเมริกันฟุตบอล หรือการเล่นโยคะในท่าหัวโหม่งพื้นนานๆ

อาการ ของโรคกระดูกคอเสื่อม

- โดยส่วนใหญ่แล้วมักไม่มีอาการปวดใดๆที่บ่งชี้ได้ว่าเป็นกระดูกคอเสื่อม แต่จะมีอาการเมื่อยคอ เป็นๆหายๆมากกว่า
- ปวดคอเรื้อรัง ทานยาก็หายปวด เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็กลับมาปวดใหม่ซํ้าแล้วซํ้าเล่า

- เมื่อเงยหน้าค้างไว้นานๆจะทำให้เกิดอาการปวดเพิ่มมากขึ้น บางรายมีอาการปวดร้าวลงสะบัก หรือมีอาการชาร้าวลงแขนร่วมด้วย

- รู้สึกแขนอ่อนแรง เมื่อเทียบกับข้างปกติ กำมือได้ไม่สุด ยกของหนักไม่ได้ เมื่อยกแล้วรู้สึกปวดตึงคอเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกระดูกงอกทับเส้นประสาท ทำให้การส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อมัดนั้นๆทำได้ไม่เต็มที่ และหากยังปล่อยทิ้งไว้จะพบว่าแขนข้างนั้นฟ่อลีบจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยละครับ (แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยก็ไม่ยอมให้ถึงขั้นฟ่อลีบหรอกครับ)

- ในรายที่กระดูกงอกทับเส้นประสาทนั้น จะทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนได้ไม่ดีดังเดิม เช่น การเขียนหนังสือ การเย็บผ้า การติดกระดุมเสื้อ เป็นต้น

- กล้ามเนื้อรอบๆคอ บ่า และสะบักเกิดการตึงตัว ในรายที่เป็นโรคคอเสื่อมมาระยะเวลานานแล้วไม่ได้เข้ารับการรักษาจะสังเกตุเห็นว่ากล้ามเนื้อบ่าตึงแข็งเป็นลำ เมื่อให้ยืนส่องกระจกจะพบว่าหัวไหล่ทั้ง 2 ข้างสูงตํ่าไม่เท่ากัน. ปรึกษาโทร คุณยุ้ย 087-4004996

 #รู้ก่อนป้องกันและฟื้นฟูได้ (มารู้จักโรคกระดูกสันหลังคอปวดอักเสบคืออะไร)? มีอาการปวดคอ บ่าไหล่มากกลางคืนนอนไม่ค่อยได้ ต...
13/12/2017

#รู้ก่อนป้องกันและฟื้นฟูได้ (มารู้จักโรคกระดูกสันหลังคอปวดอักเสบคืออะไร)?

มีอาการปวดคอ บ่าไหล่มากกลางคืนนอนไม่ค่อยได้ ตื่นเช้ามาปวดและมีการชาปลายนิ้วมือ มีปวดหัวมึนหัว

อ่านเพิ่มเติมด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ....ฝากกดแชร์..ให้เพื่อนได้อ่านนะคะ

โรคกระดูกสันหลังคอสื่อมคือ กระดูกสันหลังหดตัวเปลี่ยนรูปร่างและเป็นบ่อเกิดทำให้ท่อกระดูกสันหลังคอ เปลี่ยนรูปร่าง แคบลง ทำให้เกิดการกระตุ้นและกดทับบริเวณ....เส้นประสาทจึงทำให้เกิดโรคขึ้น

โรคกระดูกสันหลังคอมีอาการบ่งบอด คือ ปวดไหล่คอ มึนหัวปวดหัว แขนทั้งสองข้างชา เกร็งกล้ามเนื้อ ขาทั้งสองมีการกดทับและทำให้เดินไม่สะดวก รวมถึงแขนขาทั้งสี่มีอาการชา ปัสสาวะอุจจาระไม่เป็นปกติ ............

โรคกระดูกสันหลังคอมักพบในวัยกลางคนและผู้สูงอายุแต่เกิดขึ้นในบุคคลปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตและการขาดการดูแลป้องกัน บางครั้งตรวจพบเจ็บในวัยรุ่นและให้กลางคน และอัตราการพบโรคในเพศชายจะมากกว่าเพศหญิง

ประเภทของโรคกระดูกสันหลังคอมีอะไรบ้าง

โรคกระดูกสันหลังคอมีอาการบ่งบอกถึงบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการถูกเยื่อกดทับและน้ำหนักการกดทับนั้นมีความแตกต่างกัน อาการโรคกระดูกสันหลังคอสามารถแบ่งออกเป็นเช่นชนิดกดทับรากเส้นเส้นประสาท

ชนิดกดทับไขสันหลัง ชนิดกดทับเส้นประสาทสันหลัง และชนิดประสาทซิมพาเทติก ผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคอสามารถพบลักษณะอาการตามประเภทและลักษณะแต่ละประเภทผสมกัน

โรคกระดูกสันหลังคอคืออะไร

1.อาการปวดเมื่อยเรื้อรัง: ศีรษะและลำคออยู่ในลักษณะท่าเดียวเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการต่อตัวของกระดูกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อเส้นประสาทและหลอดเลือดส่วนหนึ่ง ซึ่งบ่อเกิดโรคกระดูกสันหลังคอ

2.แผลบาดเจ็บ ก่อนได้รับแผลบาดเจ็บ หากมีระดับกระดูกสันหลังคอที่ผิดปกติ จะส่งผลทำให้แผลบาดเจ็บนั้น ชักนำอาการของโรคกระดูกสันหลังคอได้อย่างชัดเจน

3.ลักษณะท่าทางไม่ดี ก้มหัวทำงาน ดูโทรทัศน์บนที่นอน หรืออ่านหนังสือในลักษณะท่าทางไม่ดีเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อคอมีอาการปวดเมื่อยเรื้อรังซึ่งง่ายต่อการได้รับความบาดเจ็บที่สันคอ

4.โครงสร้างกระดูกสันหลังคอพัฒนาการไม่เต็มที่ ต้นกำเนิดกระดูกสันหลังตีบและมีการเปลี่ยนแปลงหดตัวเป็นอาการเริ่มต้นของโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อม ซึ่งผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อมจากอาการนี้มากกว่าคนปกติประมาณหนึ่งเท่าตัว

อาการบ่งบอกโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อม

1.คอและไหล่มีอาการปวดร้าว และลามไปยังศีรษะ ลำคอและแขนช่วงบน
2.ตะแคงข้างมีอาการหนักหน่วง แขนไม่มีแรง นิ้วมือมีอาการชา

3.ผิวแขนขาเหี่ยว ไม่มีแรงกำมือ
4.ขาไม่มีแรง เดินไม่ปกติ เท้าทั้งสองข้างมีอาการชา

5.ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะอุจจาระได้ ระบบทำงานไม่เป็นปกติ รวมถึงแขนขาอาจเป็นอัมพาตได้

6.ผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคอสื่อมบางรายมีอาการเวียนหัว อาการหนักก็อาเจียน

7.เมื่อผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อมมีอาการหนัก กดทับเส้นประสาท จะพบอาการปวดหัว ตาทั้งสองข้างบวมและแห้ง สายตาพร่ามัวสองบวมหรือแห้งหูอื้อและใจสั่น รวมถึงอาการท้องอืดและอาการอื่น ๆเป็นต้น

เป็นยังไงบ้างค่ะเมื่อได้อ่านแล้ว ตรงกับอาการของเราไหมค่ะ ถ้ามีอาการคล้ายๆแบบนี้แล้ว ปรึกษากับทางศูนย์เราได้เลยนะคะ เรามีทางออกด้วยการดูแลด้วยธรรมชาติ ปลอดภัยกับร่างกายค่ะ

ปรึกษา ฟรี..!! โทรเลย!!
💢สนใจติดต่อคุณ ยุ้ย 087-4004996

รู้ก่อน !ป้องกัน  !และฟื้นฟูได้  !(ปวดหลัง ปวดก้นกบ เดินก็ปวด นอนก็ปวด หายใจยังปวด คืออะไร?)โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสา...
12/12/2017

รู้ก่อน !ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(ปวดหลัง ปวดก้นกบ เดินก็ปวด นอนก็ปวด หายใจยังปวด คืออะไร?)
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

อ่านอาการดูนะคะ กดแชร์ได้เลยค่ะ

- มีอาการชาร้าวลงขา (อาการคล้ายกับ piriformis syndrome นะคะ)

- พบจุดกดเจ็บกระดูกสันหลังของข้อที่หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน และในรายที่เป็นมากจะมีอาการปวดแปล๊บทั่วไปทั้งแผ่นหลัง แม้เพียงแตะเล็กน้อยก็จะเจ็บมากจนต้องร้องโอดโอย (ในโรค piriformis syndrome จะปวดลึกๆที่ก้นเท่านั้น ไม่มีอาการปวดหลังใดๆ)

- ไอ จามจะกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น (โรค piriformis syndrome ต่อให้ไอทั้งวันก็ไม่ทำให้อาการปวดเพิ่มขึ้น)

- เมื่อนั่งจะรู้สึกสบาย อาการปวดแปล๊บและชาลดลง แต่เมื่อยืนเดินอาการปวดแปล๊บและชาจะเพิ่มมากขึ้น ในผู้ป่วยบางรายเดินเพียง 5 นาทีก็ต้องนั่งแล้วเพราะทนอาการชาไม่ไหว (ผู้ที่เป็นโรค piriformis syndrome อาการปวดจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเมื่อนั่งนาน และรู้สึกปวดลึกๆหน่วงๆไม่ใช่อาการปวดแปล๊บเหมือนไฟช็อต)

- กล้ามเนื้อหลังตึงเกร็งจนสังเกตุเห็นได้ว่าผู้ป่วยจะเดินหลังแข็งเหมือนหุ่นยนต์ก็ไม่ปาน (ในโรค piriformis syndrome ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะเดินขากระเพกเหมือนคนขาเจ็บ แต่ในรายที่ปวดไม่มากนั้นเดินเหมือนคนปกติทั่วไป)

- ในรายที่ไม่ได้เข้ารับการรักษา จะพบว่ากล้ามเนื้อขาข้างที่ชานั้นมีการฝ่อลีบเมื่อเทียบกับข้างปกติ (การฝ่อลีบของกล้ามเนื้อก็เกิดขึ้นได้เช่นกันในผู้ป่วย piriformis syndrome)

- เมื่อแอ่นหลังผู้ป่วยจะปวดและชามากขึ้น แต่เมื่อก้มหลังอาการจะทะเลาลง (จะแอ่นจนหลังหัก หรือก้มหลังจนมองลอดหว่างขาก็ไม่สามาารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดมากขึ้นได้ในโรค piriformis syndrome) :ยินดีให้คำปรึกษาฟรีค่ะ
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันที https://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j
เพื่อรับข้อมูล
คุณประภาพันธ์ ( ยุ้ย )
โทร 087 4004996

รู้ก่อน !ป้องกัน !และฟื้นฟูได้  !(3 สัญญาณอันตรายเสี่ยง)) “ออฟฟิศซินโดรม”)ฝากกดแชร์ ด้วยนะคะโรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syn...
07/12/2017

รู้ก่อน !ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(3 สัญญาณอันตรายเสี่ยง)) “ออฟฟิศซินโดรม”)

ฝากกดแชร์ ด้วยนะคะ

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คืออะไร ?

เป็นภาวะที่มักพบมากในวัยทำงาน เนื่องจากการนั่งทำงานนานหลายชั่วโมง ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากนัก รวมทั้งเคลื่อนไหวไม่ถูกลักษณะ เช่น นั่งหลังงอ เดินห่อไหล่ ไม่ยืดตัว เป็นระยะเวลานาน ทำให้เริ่มมีอาการเมื่อยตาม ไหล่ บ่า หลังและข้อมือ จนอาจกลายเป็นเรื้อรังได้

นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน พวกโต๊ะ เก้าอี้ ก็มีผลต่อการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมเช่นกัน เพราะบางทีความสูงของเก้าอี้และโต๊ะไม่เหมาะสมกัน โต๊ะสูงกว่าเก้าอี้นิดเดียว ทำให้ต้องนั่งก้มหลังงอทำงาน แค่คิดก็รู้สึกเมื่อยแล้ว ยิ่งต้องทำงานทุกวันล่ะก็ ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม



3 สัญญาณเสี่ยงเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม :



1. มือชา นิ้วล็อค เอ็นอักเสบ

เกิดจากการที่มือและนิ้วของเราอยู่ในลักษณะเดิมเป็นเวลานาน นั่นก็คือ การจับเมาส์ ในการทำงานหน้าจอแต่ละวันเราต้องนั่งทำอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะถึงพักเที่ยงหรือเลิกงาน ติดต่อกันทุกๆ วัน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ จึงเกิดอาการมือชา นิ้วล็อค เอ็นอักเสบขึ้นได้



2. ปวดหัวเรื้อรัง (ไมเกรน)

ชีวิตการทำงานย่อมไม่ได้ราบรื่นอยู่ตลอดเวลา อาจมีความเครียดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจากงานหรือสภาพแวดล้อมความเครียดมีผลต่อไมเกรนอย่างมาก รวมทั้งเรื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ความร้อน แสงแดดและการขาดฮอร์โมนบางชนิด หากรู้สึกมีอาการปวดขมับด้านหน้าศีรษะแล้วละก็ รู้ไว้เลยว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นไมเกรนแล้วล่ะ



3. ปวดหลังเรื้อรัง

ถือเป็นปัญหาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าข้ออื่นๆ เพราะการนั่งทำงานนานๆ ย่อมทำให้เกิดอาการล้า เมื่อย จากตอนแรกที่นั่งตัวตรง หลังตรง เมื่อเวลาผ่านไป คุณอาจเริ่มงอหลังลงมาโดยไม่รู้ตัว และเมื่อนั่งหลังงอหลังค่อมเป็นเวลานานๆ ติดต่อกันวันแล้ววันเล่า จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ สะบัก เกร็งอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง



อ่านจบแล้ว ใครที่มีอาการดังกล่าวควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เร็วเลยนะ ไม่งั้นคงต้องทนทรมานกับเจ้าโรคออฟฟิศซินโดรมนี้ไปอีกนาน พยายามอย่าเครียด จัดที่นั่งให้เหมาะสม ลุกออกไปเคลื่อนไหวร่างกายทุกๆ 1-2 ชั่วโมง หากทำได้ตามนี้น่าจะพอช่วยเลี่ยงไม่ให้เจ้าโรคนี้มากล้ำกรายได้มากเลยทีเดียว
:ยินดีให้คำปรึกษาฟรีค่ะ
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันที https://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j
เพื่อรับข้อมูล
คุณประภาพันธ์ ( ยุ้ย )
โทร 087 4004996

รู้ก่อน !ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(หยุดทรมานกับการปวดซะที)!!!เตือนภัยเช็คด่วนก่อนสาย??   ปวดหลัง  ปวดไหล่  ปวดคอ  ร้าวขึ้น...
21/11/2017

รู้ก่อน !ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(หยุดทรมานกับการปวดซะที)

!!!เตือนภัยเช็คด่วนก่อนสาย??

ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ ร้าวขึ้นกกหู
ขมับท้ายทอย

เมื้อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มทำงานหนักขึ้น อยู่หน้าจอคอมวันละ 6 ชั่วโมงและอายุไกล้หรือเลยไวเลขสามขึ้นไปเมื้อไหร่

อาการต่างๆเริ่มมาแนนอนจะมีอาการอย่างไรเป็นสัณญาณเตือน

1.ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ อาการจะปวดโดยไม่ได้ทำอะไรหนักเป็นพิเศษและอาจจะเริ่มปวดเรื้อรังนานขึ้นเรื่อยๆ
มากกว่า1-2สัปดาห์เป็นต้นไป เนื่องจากการนั่งทำงานไปงานๆ
โดยไม่ต้องขยับร่างกาย หรือนั่งในท่าเดิมๆ

2.ปวดศรีษะปวดหัวไมเกรนบ่อยครั้ง เนื่องจากความเครียดสะสม
ใช้สายตาหนัก นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ และพักไม่เป็นเวลา

3.มือชา เอ็นอักเสบ นิ้วล๊อก จากการพิมงานคอมพิวเตอร์
นานเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นเส้นประสาท
เส้นเอ็นอักเสบ นิ้วล๊อก หรือเกิดพังพืดบริเวณมือและนิ้วมือ

อันตรายที่มากับโรค ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง

1.เสี่ยงต่อหมอนรองกระดูกเสื่อม หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งอาจเป็นหนักถึงขั้นกายภาพบำบัด

2.เสี่ยงต่อการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้
เนื่องจากบรรยากาศภายในออฟฟิศมักมีอากาศที่ไม่ถ่ายเทรวมทั้งฝุ่นผงบนฟื้นพรมเครื่องถ่ายเอกสารต่างๆ

3.โรคอ้วน เนื่องจากนำอาหารมาทานบนโต๊ะ หรือทานในอ๊อฟิตไม่มีเวลาออกกำลังกาย ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนมากขึ้น

4.เสี่ยงเป็นโรคติดต่อ เพราะเมื้อไรก็ตามที่คนรอบข้างไม่สะบายเป็นหวัดหรือเป็นโรคติดต่อชนิดอื่นๆๆ

'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''' #ช่วยกันกดไลด์กดแชร์เพื่อเป็นความรู้ต่อด้วยค่ะ

:ยินดีให้คำปรึกษาฟรีค่ะ
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันที https://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j
เพื่อรับข้อมูล
คุณประภาพันธ์ ( ยุ้ย )
โทร 087 4004996

โรงพยาบาลธรรมชาติ ๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ 10 กลีบกับกินหอมหัวให...
16/11/2017

โรงพยาบาลธรรมชาติ

๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ 10 กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว

๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีด และกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ

๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกิน กระเทียม หอม พริกให้มากเข้าไว้

๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)

๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน

๖. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่ หอมแดงต้นหอมและเอาหอมซุก ไว้ใต้หมอน

๗. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง

๘. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)

๙. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ

๑๐. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะ และให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น

๑๑. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระหล่ำปลีให้มาก

๑๒. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย

๑๓. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มาก และกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสง วันละ ๑ กำมือก็ได้

๑๔. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า

๑๕. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมมาก) มะม่วงจิ้มกะปิ และ สับปะรด ซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก( แมงกานีส)

๑๖. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครง และหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้

๑๗. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด

๑๘. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดใน ปอดได้ดี
แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่

๑๙. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย

๒๐. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมัน เก่าออกถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย

๒๑. ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น

๒๒. เบาหวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และ กินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะ มีน้ำตาลอยู่น้อยมาก โรงพยาบาลธรรมชาติ หัวจรดเท้ารักษาเองได้ก่อนไปหาหมอ

"ขอให้ทุกๆคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงๆน่ะครับ"

-------------------------------------------------

**อ่านแล้วหากเห็นว่าเป็นประโยชน์ ... โปรดกดแบ่งปัน**

-------------------------------------------------

ที่มา เพจ พิชิตโรคร้าย โดยไม่ใช้ยา

-------------------------------------------------

"รุ่นเดอะ"
ติดตามข่าวสาร ข้อมูล รีวิว รูปภาพ “รุ่นเดอะ | GenTHE” ได้ที่

-------------------------------------------------

Facebook >> https://www.facebook.com/genthe.co
Youtube>> https://youtube.com/genthetv
Website >> https://www.genthe.co

-------------------------------------------------

#สูงอายุ #สูงวัย #แก่ #คนแก่ #แก่แต่ยังมีไฟ #แก่แต่เก๋า #ไม่ยอมแก่ #ชรา #วัยชรา #ผู้สูงอายุ #ผู้สูงวัย #การดูแลตนเอง #ดูแลตัวเอง #สุขภาพ #สุขภาพดี #อารมณ์ดี #อายุยืน #อายุยืนยาว #จิตใจ #เกษียณ #เกษียณอายุ #ธรรมชาติบำบัด #ธรรมชาติ

-------------------------------------------------

รู้ก่อน !ป้องกันก่อน !และฟื้นฟูได้ !(คุณ ป ว ด ส่วนใดมากที่สุด)?1. คอ บ่า ไหล่2. แขน มือ3. หลัง เอว สะโพก4. ขา เข่า5. ฝ่...
15/11/2017

รู้ก่อน !ป้องกันก่อน !และฟื้นฟูได้ !(คุณ ป ว ด ส่วนใดมากที่สุด)?
1. คอ บ่า ไหล่
2. แขน มือ
3. หลัง เอว สะโพก
4. ขา เข่า
5. ฝ่าเท้า
ในช่วงอายุของแต่ละวัย ปวดแต่ละส่วนแตกต่างกัน
เพราะอะไร

"หากส่วนใหญ่คุณ ป ว ด หลั ง"

>>สามารถฟื้นฟูได้

รู้ก่อน !  ป้องกัน. !  และฟื้นฟูได้  !(" ตะลึงจริงๆ เมื่อรู้ว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุทำให้เกิด ตับแข็งและ มะเร...
12/11/2017

รู้ก่อน ! ป้องกัน. ! และฟื้นฟูได้ !(" ตะลึงจริงๆ เมื่อรู้ว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุทำให้เกิด ตับแข็งและ มะเร็งตับ อย่างง่ายๆ เลย หากปล่อยทิ้งไว้ อาจลุกลาม ถึง ชีวิต) !!!
และนับวัน โรคนี้ จะมีสถิติ พบมากที่สุดในประเทศไทย หยุดเสี่ยง หยุดลังเล ป้องกันก่อนรักษา ช้าอาจเสียใจ
ไปตลอดชีวิต "

โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี ทำ ให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ และการอักเสบจะทำให้เซลล์ตับตาย หากเป็นเรื้อรังจะเกิดพังผืด ตับแข็ง และมะเร็งตับได้

ในประเทศไทย พบผู้ป่วยที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ประมาณ 8-10 ล้านคน โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี จึงนับว่ามีความสำคัญมาก

แต่ในปัจจุบันหลังจากมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีในเด็กแรก เกิดทุกคน ทำให้อุบัติการณ์ในคนไทยลดลง ประมาณร้อยละ 3-5

เมื่อเป็นโรคตับอักเสบบีระยะเฉียบพลันแล้วมีโอกาสจะหายขาดประมาณ ร้อยละ 90 ซึ่งจะกลับเป็นปกติทุกอย่าง ส่วนอีกร้อยละ10 จะไม่หายขาด

โดยบางคนอาจจะเป็นพาหะของโรคโดยไม่มีอาการ หรือบางคนอาจจะเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้บางคนอาจจะเป็นโรคตับแข็งตามมา

ถ้ายังมีการอักเสบของตับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมักต้องเป็นนานประมาณ 10-20 ปี บางคนอาจจะเป็นโรคมะเร็งตับได้โดยเฉพาะถ้ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรค มะเร็งตับ

โอกาสที่จะเป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับ ในแต่ละคนไม่เท่ากัน
ความร้ายแรงของโรคไวรัสตับอักเสบ บี

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรค และมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น แต่ร้อยละ 10-20 ของผู้ป่วยจะมีเชื้อไวรัสในเลือด และตับ โดยอาจมีอาการของตับอักเสบเรื้อรัง หรืออาจไม่มีอาการ บุคคลทั้งสองกลุ่มนี้สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อไปได้ เราเรียกบุคคลทั้งสองกลุ่มนี้ว่าเป็น “พาหะ” หรือตับอักเสบเรื้อรัง

ในประเทศไทย พบผู้ป่วยที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ประมาณ 8-10 ล้านคน ประมาณร้อยละ 10 ของผู้เป็นพาหะจะกลับเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังได้อีก

และบางรายอาจตายด้วยโรคตับแข็ง ตับวาย ท้องมาน และอาจเสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้ ผู้เป็นพาหะมีโอกาสเกิดโรคเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติถึง 100 เท่า

โดยเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับถึงร้อยละ 80 ของผู้ป่วยทั้งหมด โอกาสการเกิดโรคมะเร็งจะมีมากหากผู้ป่วยติดเชื้อชนิดนี้ตั้งแต่วัยเด็ก เช่น ติดมาจากมารดาขณะแรกเกิด เป็นต้น

สาเหตุ
1. เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นเชื้อที่มีความคงทนสูง และทำลายได้ยาก การทำลายเชื้อต้องใช้วิธีต้มเดือดนานอย่างน้อย 30 นาที หรือนึ่งภายใต้ความดันสูงนาน 30 นาที หรืออบในตู้อบแห้งที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นานอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

หรือโดยการแช่ในสารเคมี เช่น แช่ในโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.5% อย่างน้อย 30 นาที แช่ในฟอร์มาลิน 40% อย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือแช่ในแอลกอฮอล์ 70% อย่างน้อย 18 ชั่วโมง

ไวรัส สามารถถ่ายทอดจากมารดาสู่บุตร ซึ่งเป็นสาเหตุการติดเชื้อที่สำคัญประการหนึ่งในประเทศไทย แต่ในปัจจุบันการถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อสู่บุตรลดลงมาก

เพราะบุตรที่คลอดออกมาจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ การฉีดวัคซีนให้ทารกที่คลอดมาจะช่วยป้องกันได้เกือบร้อยละ 100

2. การติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ยังถือเป็นวิธีการติดต่อที่สำคัญใน ปัจจุบัน ทั้งนี้เกิดจากการมีเพศสัมพันธุ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ได้ป้องกัน ซึ่งไวรัสตับอักเสบชนิดบี จะสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าเชื้อไวรัสเอดส์

3. การได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์ของเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับ อักเสบชนิดบี ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ การสัมผัสน้ำคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น เลือด น้ำเหลือง การติดเชื้อจากการไดรับเลือดพบได้น้อยมากในปัจจุบัน เนื่องจากระบบการตรวจกรองของธนาคารเลือดดีขึ้นมาก

4. อาจติดต่อได้จากการสัก เจาะหู หรือการฝังเข็ม โดยอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อไม่ถูกต้อง
รู้แบบนี้แล้ว ป้องกันได้ไม่ยากเลยนะครับ แชร์บอกคนที่คุณ
ห่วงใย

ดังนั้น การล้างพิษตับ เป็นทางเลือกหนึ่ง ที่จำเป็นต้องทำ

#ทำไมต้องล้าง(พิษ)ตับ ‼‼
👉ตับหน้าที่หลักของตับ ผลิตน้ำดีให้ถุงน้ำดี ช่วยกรองเลือด ส่งเลือดดีเข้าสู่ร่างกาย และส่งเลือดไปทีไต ล้างสารพิษ และตับยังช่วยย่อยอาหาร ดูแลเส้นผม ขน เล็บ ถ้าตับทำงานหนัก ไตก็ช่วยทำงานเมื่อทำงานหนัก ตับก็จะเสีย ไตก็เสื่อม

#การล้างพิษตับเหมาะกับใคร
👉💢 เหมาะกับคนที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยงเช่นการสูบบุหรี่ ดื่มสุราเป็นประจำ และผู้ที่ทานอาหารไม่ถูกหลักอนามัย เช่น อาหารรสจัด ปิ้ง ย่าง หรือผู้ที่มีความเครียด พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ

เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้ตับทำงานหนัก แล้วนำไปสู่การเกิดโรค และภาวะต่างๆเช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง ฝีในตับ โรคเบาหวาน 💢

#ประโยชน์จากการล้างพิษตับ
👇👇👇👇👇👇👇👇👇
- ช่วยป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง

- ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ และคืนความสดชื่นให้กับเซลล์ทั่วร่างกาย

- ช่วยลดการสะสมของไขมันที่พอกตับ และลดการเกาะตัวของไขมันที่บริเวณผนังหลอดเลือด

- ช่วยทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กากอาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้

- ช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรีย ที่เป็นโทษต่อร่างกาย และสารพิษต่าง ๆ จะถูกชะล้าง

ผลิตภัณฑ์ ดีท็อกซ์ตับ ช่วยได้ตรงจุด

เพราะใช้ บำรุงและดีท๊อกซ์ระบบตับโดยเฉพาะ

-ลดไขมันพอกตับ
-ไวรัสตับอักเสบ
กลุ่ม A B C D
-ตับอักเสบ
-ตับแข็ง จากการดื่มสุรา
-ผุ้ดื่มเหล้าหนัก / สูบบุหรี่จัด
-ป้องกันตับจากสารพิษ
-ขับและล้างสารพิษในตับ
-ต้านอนุมูลอิสระให้ตับ
-ลดการอักเสบของตับ
ฟื้นฟูสมรรถภาพตับ
-บำรุงตับให้แข็งแรง
-ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม
-ทานยาสะสมมานาน
-ตับแข็ง
-ผุ้เป็นท่อน้ำดีอุดตัน
-ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง
-โรคทางกรรมพันธ์.
เช่นโรควิลสัน มีทองแดงในตับ
-ภูมิคุ้มกันทำลายตับตัวเอง

หยุดความเสี่ยง เรื่องตับ
ตั้งแต่วันนี้ ด้วย
ผลิตภัณฑ์ ดูแล ตับ ที่ สุดยอดมาก ๆเห็นผลไวมากๆ

สนใจสินค้า...ติดต่อช่องทางนี้
1.กดติดตาม ไลน์ ห้องข้อมูล ผลิตภัณฑ์ที่
:
ยินดีให้คำปรึกษาฟรีค่ะ
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันที https://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j
เพื่อรับข้อมูล
คุณประภาพันธ์ ( ยุ้ย )
โทร 087 4004996

เราสามารถป้องกันได้ ด้วย

ถ้าต้องการดีท็อกทั้ง 4 ระบบ #ตับ #เลือด #ลำไส้ #น้ำเหลือง ..ฟื้นฟูดูแลไปด้วยทั้ง
4 ระบบอาการจะฟื้นตัวและดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

รู้ก่อน ! ป้องกัน ! และฟื้นฟูได้ !  (6 กลุ่มอาหารต้านโรคภูมิแพ้ ที่คนเป็นไม่ควรพลาด)!!มีสาระประโยน์...กดแชร์ด้วยค่ะโรคภู...
06/11/2017

รู้ก่อน ! ป้องกัน ! และฟื้นฟูได้ ! (6 กลุ่มอาหารต้านโรคภูมิแพ้ ที่คนเป็นไม่ควรพลาด)!!

มีสาระประโยน์...กดแชร์ด้วยค่ะ

โรคภูมิแพ้ เป็นอีกหนึ่งโรคยอดฮิตที่คนเดียวนี้เป็นกันมาก อาจจะด้วยสาเหตุทางพันธุ์กรรม บวกกับสภาพแวดล้อม ที่มีมลภาะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญของการรักษา นอกจากการทานยา เลี่ยงตัวกระตุ้นต่างๆ หรือการออกกำลังกายแล้ว ก็คือ การเลือกรับประทานอาหาร วันนี้เราเลยมี 6 กลุ่มอาหารต้านโรคภูมิแพ้มาบอกกันค่ะ

6 กลุ่มอาหารต้านโรคภูมิแพ้

1. กลุ่มวิตามินซี

วิตามินซี มีส่วนช่วยในการป้องกันการหลั่งฮีสตามีน ซึ่งเป็นสาระสำคัญ ที่ร่างกายสร้างขึ้นและทำให้เกิดอาการภูมิแพ้

อาหารเพิ่มวิตามินซี : ในผักใบเขียว เช่น ตำลึง ผักโขม บร็อคโคลี กะหล่ำปลี ในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น สับปะรด ส้ม สตรอเบอรี่ มะนาว โดยวัตถุดิบเหล่านี้สามารถดัดแปลงเมนูได้ตามที่คุณต้องการ

2. กลุ่มวิตามินเอ

ช่วยในเรื่องการสร้างเนื้อเยื่อ และช่วยเสริมสร้างเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย ปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในทางเดินหายใจและทางเดินอาหารให้สมดุล

อาหารเพิ่มวิตามิน : วิตามินชนิดนี้พบมากในกลุ่มผักผลไม้ที่มีสีเขียวเข้ม สีส้ม หรือสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป มะเขือเทศ เป็นต้น

3. กลุ่มโปรตีน

อาหารกลุ่มนี้สามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ เพราะหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของโปรตีน คือ กรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารสำคัญในการนำไปสร้างภูมิคุ้มกันต่างๆ

อาหารเพิ่มโปรตีน : อย่างที่ทราบกันดี โปรตีนเป็นหนึ่งในอาหารหลัก 5 หมู่ ซึ่งจะมีมากในเนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อล้วน เช่น เนื้ออกไก่ เนื้อหมู และไข่ไก่ นอกจากนี้ก็ยังพบได้ในถั่วต่างๆ

4. กลุ่มโอเมก้า 3

โอเมก้า 3 จะช่วยลดอาการอักเสบ ปรับภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยในเรื่องของการตอบสนองต่อเชื้อโรค และสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี

อาหารเพิ่มโอเมก้า 3 : คุณสามารถเลือกทานได้จาก ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลากะพง ซึ่งอาหารกลุ่มนี้อาจมีส่วนไปกระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้ ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่นอนก่อนว่า คุณแพ้อาหารทะเลหรือไม่ ส่วนกรดไขมันโอเมก้า 3 ก็มีประโยชน์เช่นกัน พบมากในเมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วเหลือง และผักใบสีเขียวเข้ม

5. กลุ่มซีลิเนียม

สารอาหารกลุ่มนี้จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม หรือสารกระตุ้นภูมิแพ้ได้

อาหารเพิ่มซีลิเนียม : พบมากในพืชตระกูลหอม เช่น หอมหัวใหญ่ หอมแดง เป็นต้น

6. กลุ่มฟลาโวนอยด์เควอเซทิน

สารชนิดนี้เป็นสารต้านอาการแพ้และลดการอักเสบ ช่วยยับยั้งการปล่อยสารฮิสตามิน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้

อาหารเพิ่มฟลาโวนอยด์เควอเซทิน : พบมากในกระเทียม และพืชตระกูลหอม อย่างหอมหัวใหญ่ หอมหัวแดง และในแครอทผักกาดหอม แอปเปิ้ล เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องมั่นใจด้วยว่าคุณไม่มีอาการแพ้กลุ่มอาหารดังที่กล่าวมา หากไม่แน่ใจ ให้ลองปรึกษาแพทย์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ทั้งนี้การเลือกรับประทานอาหารก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย คุณควรออกกำลังกาย รวมถึงหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาหารแพ้ และออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย ก็จะช่วยให้ร่างกายคุณแข็งแรงมากขึ้น :ยินดีให้คำปรึกษาฟรีค่ะ
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันที https://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j
เพื่อรับข้อมูล
คุณประภาพันธ์ ( ยุ้ย )
โทร 087 4004996

รู้ก่อน  ! ป้องกัน ! และฟื้นฟูได้ !  (รู้แล้วอย่าดื่ม! มาดูแท้จริงแล้ว แอลกอฮอล์ ทำร้ายร่างกายคุณอย่างไรบ้าง)กดแชร์...ได...
05/11/2017

รู้ก่อน ! ป้องกัน ! และฟื้นฟูได้ ! (รู้แล้วอย่าดื่ม! มาดูแท้จริงแล้ว แอลกอฮอล์ ทำร้ายร่างกายคุณอย่างไรบ้าง)

กดแชร์...ได้จ้า

“วันศุกร์แล้วไปไหนดี?” ประโยคสุคคลาสสิคที่เรามักโทรหรือส่งข้อความหาเพื่อนสนิทเมื่อเลิกงานแล้ว ก็เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดน่ะสิ จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไปสังสรรค์ ผ่อนคลายหัวสมองจากเรื่องเครียดๆ บ้าง

ซึ่งในการสังสรรค์ส่วนใหญ่ ก็มักจะหลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ไปได้ยาก แม้ว่าจะรู้โทษของมันมากแค่ไหน แต่หลายคนก็ยังคงเลือกดื่ม เพียงเพราะความสนุกแค่ชั่วคราวเท่านั้น มาใช้โอกาสในวันเข้าพรรษานี้หยุดพักตับของคุณดูไหม แล้วลองนึกดูดีๆ ซิว่า นอกจากเราจะต้องเสียเงินให้แอลกอฮอล์แล้ว เรายังต้องเสียอะไรไปอีกบ้าง

องค์การอนามัยโลก ได้ออกมารายงานว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยส่งผลต่อโรค และการบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อพูดถึงเรื่องการดื่มเหล้า อวัยวะในร่างกายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ “ตับ” เพราะตับเปรียบเสมือนโรงงานกำจัดของเสียในร่างกาย

โดยพบว่า เมื่อตับรับแอลกอฮอล์เข้าไปมากเกินกว่าที่จะฟอกได้ แอลกอฮอล์จึงเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย ต้องรอจนกว่าตับจะฟอกออกหมด ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า แทนที่ตับจะสามารถกำจัดแอลกอฮอล์ สารเคมีจากแอลกอฮอล์ก็จะทำลายเนื้อตับแทน และมีผลทำให้เกิดไขมันแทรกตับ, ตับอักเสบ, โรคตับแข็ง, หรือพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับ เป็นต้น

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตับเราถูกทำลายไปเท่าไร

ในการตรวจเอนไซม์ตับ จะช่วยให้เรารู้ว่าเซลล์ตับถูกทำลายมากน้อยแค่ไหน โดยมีเอนไซม์ 4 ตัว คือ AST ALT GGL ALP การหาความผิดปกติ จะดูเอนไซม์ AST และ ALT ต้องไม่เกิน 35IU จากการตรวจกลุ่มตัวอย่างคนทำงานในสถานประกอบการ จ. น่าน ซึ่งเป็น จังหวัดที่มีประชากรดื่มสุราเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ จากจำนวน 3752 คน อายุ 17-65ปี ระหว่างปี 2556-2558 พบว่า ผู้ชายมีค่าเอนไซม์ตับมากกว่า 35 IU จำนวน 840 คน ส่วนผู้หญิงพบ 59 คน ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีโอกาสสูงมากที่จะเสี่ยงต่อภาวะตับแข็ง

การดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ทำให้เราเสียเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันยังทำให้ร่างกายที่แข็งแรงของคุณนั้นเสี่ยงเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย ยังไงก็ลองใช้ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือนนี้ เริ่มต้นหยุดดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อฟื้นฟูร่างกายดู ก็จะช่วยให้สภาพตับก็จะดีขึ้น ส่งผลให้ค่าเอนไซม์จะกลับสู่ภาวะปกติ และจะเป็นผลดีกว่านั้น ถ้าหากคุณเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปได้ตลอดเลย เพราะไม่มีใครทำร้ายร่างกายของคุณได้ดีไปกว่าฝีมือของคุณเองหรอก!ยินดีให้คำปรึกษาฟรีค่ะ
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันที https://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j
เพื่อรับข้อมูล
คุณประภาพันธ์ ( ยุ้ย )
โทร 087 4004996

รู้ก่อน ! ป้องกัน !  และฟื้นฟูได้    (โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ อาการเป็นอย่างไร มีวิธีรักษาได้อย่างไรบ้าง)?กดแชร์ได้เล...
04/11/2017

รู้ก่อน ! ป้องกัน ! และฟื้นฟูได้ (โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ อาการเป็นอย่างไร มีวิธีรักษาได้อย่างไรบ้าง)?

กดแชร์ได้เลยครับ อยากให้คนทั่วไปได้อ่าน ได้รู้จักโรคมากขึ้นครับ

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Lumbar spinal stenosis) อาการปวดหลังบริเวณช่วงเอว เป็นสิ่งที่มักพบได้บ่อยในสาวๆ วัยทำงาน ไม่ว่าจะเป็นคนที่นั่งเก้าอี้ติดต่อกันตลอดเวลา

หรือคนที่อาจจะเคลื่อนไหวผิดท่าผิดทางไป มักจะทำให้เกิดการพลิกตัวของเส้นเอ็น ตามมาด้วยอาการอักเสบที่ปวดร้าวอย่างน่ารำคาญ

ยินดีให้คำปรึกษาคะยุ้ย087-4004996

ซึ่งบางคนรุนแรงถึงขั้นที่ไม่สามารถทำงาน หรือทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายอื่นๆ ได้ไปช่วงระยะหนึ่งๆ เลยทีเดียว อาการเหล่านี้จะหายไปได้เอง

หากเกิดขึ้นจากสาเหตุธรรมดาทั่วไป แต่หากเป็นปรากฏการณ์ที่บ่งบอกถึงการเกิดโรคร้ายนั่นเอง

เรามาทำความรู้จักกับอาการของโรคนี้กันว่า มีที่มาและอาการเป็นอย่างไร เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพตามมาเอาได้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวค่ะ

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ คืออะไร?

กระดูกสันหลังของเราแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกันตั้งแต่ ระดับต้นคอ ระดับอกหรือกลางหลัง และระดับเอวส่วนล่าง

การตีบแคบของโพรงประสาทในกระดูกสันหลัง จะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับโพรงภายในกระดูกสันหลัง (Spinal canal) ภายในคือเส้นทางผ่านของเส้นประสาทที่เรียกกว่า “Neural foramina”

การตีบที่พบได้มากคือ ระดับต้นคอและเอวส่วนล่าง ส่วนกลางหลังหรือระดับอกจะเป็นการตีบที่พบได้ไม่มากนัก ช่องโพรงกระดูกที่เกิดการตีบแคบ

อาจจะเกิดขึ้นจากโรคหรือภาวะของกระดูกที่หนาตัวขึ้น หรือแม้กระทั่งเส้นเอ็นหนาตัว หมอนรองกระดูกหรือกระดูกสันหลังเกิดการเคลื่อนตัว

ทำให้เกิดอาการปวด แม้จะดูเป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหู แต่โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อย

ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และคอยดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมไปพร้อมๆ กันด้วย

สาเหตุของการเกิดโรคโพรงกระดูสันหลังตีบแคบ

สาเหตุโดยทั่วไปที่พบได้บ่อย คือความเสื่อมสภาพของกระดูกไขสันหลังเอง จนทำให้เกิดการหนาตัวของโครงสร้างที่อยู่รอบๆ

ดังนั้นจึง มักพบในผู้สูงอายุมากกว่าในวัยเด็ก บางรายอาจมีสาเหตุมาจากการอักเสบของข้อ ลักษณะทางกรรมพันธุ์ เช่น โรคกระดูกสันหลังผิดรูปตั้งแต่กำเนิด

การเกิดอุบัติเหตุที่กระทบต่อกระดูกสันหลัง เนื้องอก จนเข้าไปกดทับโพรงกระดูก

ลักษณะอาการของโรคกระดูกสันหลังตีบ ที่พบได้ทั่วไป

สำหรับอาการของโรคจะแตกต่างกันออกไปตามระดับความรุนแรง หากเกิดขึ้นบริเวณกระดูกสันหลังต้นคอ

จะทำให้ปวดและชาบริเวณต้นคอ บางรายมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย เนื่องจากการกดทับกันของเส้นประสาท

หากเกิดบริเวณเอวจะทำให้เกิดอาการปวดหลัง ยิ่งจะปวดรุนแรงมากขึ้นในท่ายืนหรือท่าแอ่นหลัง

ร่วมกับอาการชาและอ่อนแรงได้เช่นเดียวกัน แต่อาการอ่อนแรงจะส่งผลไปถึงขาทั้งสองข้างได้

ในขณะเดินหรือยืน เสี่ยงต่อการหกล้มได้หากเกิดอาการในช่วงที่กำลังเดินอยู่ เมื่อนั่งพักอาการจึงจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้น

เมื่อมีอาการเกิดขึ้นผู้ป่วยควรรบเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอาการปวดขาหรือปวดหลังมากจนส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว

ไม่สามารถเดินเหินได้ปกติ เดินได้เพียงระยะทางสั้นๆ หยุดเดินบ่อย หรือมีปัญหาในการขับถ่าย

ในรายที่รุนแรงจะพบการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปวดร่วมกับภาวะไข้ เบื่ออาหาร

น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว และมักพบอาการปวดอย่างรุนแรงในช่วงกลางคืน

ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ (ยุ้ย087-4004996)
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันท. ีhttps://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j

ที่อยู่

Min Buri
10510

เบอร์โทรศัพท์

0874004996

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์ดีบูนดูแลกระดูกทับเส้น ไขข้อ กล้ามเนื้อBy ประภาพันธ์ 087 4004996ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram