Health & Care Community

Health & Care Community ปัจจุบันขายของออนไลน์
(280)

20/10/2025
17/09/2025

Longevity ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นอนาคตและความมั่นคงของประเทศ
ผมอยากสารภาพเรื่องหนึ่งกับทุกคนครับ ช่วงที่ผ่านมาหลายคนน่าจะเห็นผมหันมาออกกำลังกาย กินอาหารดี ๆ มากขึ้น ซึ่งตอนแรกที่ผมกลับมาดูแลตัวเอง ผมเคยมองว่าเป้าหมายของเรื่องนี้ก็คือการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น มีเรี่ยวแรงในการทำงาน พาบริษัทให้เติบโต
ผมในวันนั้น คิดว่าสนใจแค่สุขภาพของตัวเองก็เพียงพอแล้ว แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด ยิ่งทำ ยิ่งศึกษามากขึ้น ผมก็เข้าใจว่าเรื่องสุขภาพของ ‘ตัวเอง’ มันเล็กแค่ไหน เมื่อเทียบกับวิกฤตใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเจอ นั่นคือวิกฤตสุขภาพ
และที่น่าตกใจกว่านั้น คือการที่ผมไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ดันเป็นจิ๊กซอว์เล็ก ๆ ที่สร้างวิกฤตนี้ให้กับประเทศ
ว่ากันว่าความเคยชินคือพฤติกรรมที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันทำให้เรายอมทนอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าปัญหามันคืบคลานมาใกล้เรามากขึ้นเรื่อย ๆ วิกฤตสุขภาพก็เช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมาเราเคยชินกับการป่วยก็ ‘รักษา’ แต่ไม่เคยให้ความสำคัญกับการ ‘ป้องกัน’
เราเคยชินกับการเห็นคนแก่นอนติดเตียง แต่ไม่เคยตั้งคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะไม่กลายเป็นคนนั้น
เราเคยชินกับการเป็นผู้รับโอกาส แต่ไม่เคยลุกขึ้นมาสร้างโอกาสด้วยตัวเอง
การที่เรามองความเคยชินเป็นสิ่งปกติเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากครับ เพราะมันแปลว่าปัญหาจะสะสมและขยายตัวเป็นปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อนขึ้น เมื่อถึงจุดที่เราทนไม่ไหวและต้องการจะแก้ไข ก็อาจจะสายเกินไปแล้ว
ทุกวันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคม Super-Aged Society พร้อมกับที่เรามีผู้ป่วยติดเตียงมากขึ้นเรื่อย ๆ อายุเฉลี่ย (Lifespan) ของชายไทยอยู่ที่ 75 ปี แต่กลับมีช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี (Healthspan) จนถึงเพียง 65 ปี ซึ่งหมายความว่าช่องว่าง 10 ปีนั้น คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนสุขภาพดี อาจจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือต้องพึ่งพาคนในครอบครัว
นอกจากปัญหาด้านสุขภาพแล้ว ประเทศของเรายังมีปัญหาเรื่องคนเกิดใหม่ที่ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลให้ในระยะยาว สัดส่วนประชากรในประเทศจะไปกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเกิดใหม่น้อย มีคนแก่มาก และคนแก่เหล่านั้นยังเป็นคนป่วยอีก ปัญหาเหล่านี้จะกระทบกันเป็นทอด ๆ ไปถึงเรื่องกองทุนสุขภาพ ประกันสังคม หรือกองทุนเลี้ยงชีพต่าง ๆ
ทุกคนลองจินตนาการดูนะครับ หากประเทศของเรายังติดกับดักนี้ต่อไป ในอีก 5 ปีข้างหน้ากองทุนเหล่านี้จะไม่มีศักยภาพในการดูแลสุขภาพของคนไทย และในอีก 50 ปีข้างหน้า ประชากรจาก 70 ล้านคน จะเหลือราว 33 ล้านคน
นี่แหละครับคือความสำคัญที่แท้จริงของ ‘Longevity’
อย่างที่พูดไปในตอนแรก สำหรับผม Longevity ไม่ใช่เรื่องบุคคลอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นเรื่องความมั่นคง และโอกาสของประเทศ ดังนั้น การจะขับเคลื่อนเรื่อง Longevity ควรเป็นวาระระดับสังคมและโครงสร้าง ที่เราต้องมาทบทวนและเริ่มวางรากฐานกันใหม่ตั้งแต่การทำความเข้าใจกับคนในสังคม ไปจนถึงระดับนโยบาย เพื่อให้ทุกภาคส่วนทำงานสอดคล้องกันมากที่สุด
อย่างแรก ในส่วนของนโยบาย เราควรให้ความสำคัญกับการ ‘ป้องกัน’ มากกว่า ‘รักษา’ เปลี่ยนจาก 30 บาทรักษาทุกโรค ให้กลายเป็น 30 บาทป้องกันทุกโรค
ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้งบประมาณในการรักษาคนเป็นมะเร็ง 1 คน เทียบเท่ากับงบประมาณที่ประเทศฟินแลนด์ทำโปรแกรมป้องกันสุขภาพให้ประชากร 10,000 คน ซึ่งในระยะยาว ประชากรที่มีสุขภาพดี 10,000 คนนี้ ก็จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงให้กับประเทศ อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณในการรักษาโรคต่าง ๆ ในอนาคตอีกด้วย
อย่างต่อมา คือวิถี Longevity ต้องเป็นโปรแกรมพื้นฐานการดูแลสุขภาพในสถานพยาบาล เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ต้องยกระดับทักษะจากการรักษาสู่การป้องกัน เพื่อให้เท่าทันกับสภาพแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับอย่างที่สาม คือ การปรับกติกาและความเข้าใจร่วมในสังคมใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของกองทุนสุขภาพ ประกันสังคม หรือกองทุนเลี้ยงชีพต่าง ๆ ว่าจะมีการจัดสรรและปรับเปลี่ยนอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับสัดส่วนของประชากรที่คนส่วนใหญ่จะกลายเป็นผู้สูงอายุ ขณะที่คนวัยทำงานซึ่งเป็น ‘เดอะแบก’ มีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ผมมองว่าประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องที่ต้องรีบจัดการอย่างเร่งด่วน เพราะหากเราเปลี่ยนแปลงช้าเกินไป จะเกิดผลกระทบจำนวนมากต่อประเทศ
และอย่างสุดท้าย ที่สำคัญที่สุดและมีผลกระทบใหญ่ที่สุดคือ การเปลี่ยนความคิดคนในสังคม ปัจจุบันคนจำนวนมากยังมองว่า Longevity เป็นเรื่องไกลตัว หรือไม่ก็เป็นการดูแลสุขภาพแบบที่มีต้นทุนสูง และเป็นภาระ
ในฐานะที่ผมมีโอกาสได้ทดลองเทคโนโลยีที่ช่วยเรื่องสุขภาพมากมาย ผมบอกได้เลยว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นเป็นแค่ 20% ที่มาช่วยอุดช่องโหว่ของคนที่ยังมีข้อจำกัดในการดูแลตัวเองเท่านั้น สิ่งสำคัญที่แท้จริงคือ 6 Power Laws ซึ่งล้วนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เป็น Longevity 0 บาทที่ไม่ต้องใช้ต้นทุน แถมยังให้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเทคโนโลยีทั้งหมดด้วย
1. การนอน : นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง (หลับฝัน (REM) 2 ชั่วโมง และหลับลึก (Deep) 2 ชั่วโมง) ที่สำคัญพยายามนอนในช่วงนาฬิกาชีวภาพ แม้ปัจจุบันมนุษย์จะไม่ได้อาศัยในป่า นอนในถ้ำ แต่ DNA ในร่างกายของเราไม่สามารถวิวัฒนาการให้ทันสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เราควรนอนให้ตรงตามนาฬิกาชีวภาพเพื่อให้ร่างกายภายในไม่รวน
2. อาหาร : เลี่ยงการกินอาหารแปรรูปขั้นสูง (Ultra-Processed Foods) รวมถึงน้ำตาล แป้ง น้ำมันพืช นมวัว ซึ่งส่งผลให้ร่างกายอักเสบ การเน้นกินอาหารจากธรรมชาติ และโปรตีน จะทำให้ท้องและลำไส้ของเราแข็งแรงมากขึ้นครับ
3. ออกกำลังกาย : สะสมกล้ามเนื้อตั้งแต่วันนี้เพื่อให้เรายังสุขภาพดีเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากหลังจากอายุ 35 ปีไป ร่างกายเราจะเสียกล้ามเนื้อประมาณ 1% ทุกปี เป็นสาเหตุของภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเราสามารถรักษากล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายที่บ้านอย่างสควอต หรือวิดพื้นครับ
4. มีการเคลื่อนไหวและเติมน้ำให้ร่างกาย : การลุกขึ้นเดินทุก 45 นาที ดีกว่าการนั่ง 8 ชั่วโมงและวิ่งทีเดียว 10 กิโลฯ เพราะร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่เฉย ๆ และอย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันครับ
5. สภาพแวดล้อม : พยายามเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ปิดและมีสารเคมี เช่น ห้องที่กำลังทาสี หรือมีเฟอร์นิเจอร์เก่าซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา ไปจนถึงอย่าอยู่กลางแจ้งในช่วงที่ฝุ่นเยอะ เพราะสิ่งที่เราสูดดมไป จะส่งผลโดยตรงต่อร่างกายของเราครับ
6. มีเป้าหมายในชีวิต / มีสังคม : การที่เรามีแรงขับเคลื่อนในชีวิตช่วยให้เราอายุยืนขึ้นได้ราว 7 ปี อีกทั้งการได้อยู่ท่ามกลางคนที่รัก เพื่อนที่ดี สังคมที่ดี และคนที่เข้าใจเรา ก็จะทำให้เรามีสุขภาพใจและสุขภาพกายแข็งแรงขึ้นครับ
ที่ผ่านมา ระบบสาธารณสุขและการแพทย์ของไทยเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ชาวโลกชื่นชมและยอมรับในความสามารถ ซึ่งนี่นับเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ผมเชื่อว่าเราสามารถนำภาพลักษณ์ที่ดีตรงนี้มาต่อยอดร่วมกับเรื่อง Longevity ที่เราจะขับเคลื่อนให้เป็นวาระระดับชาติได้
หากวันนี้เราสามารถสร้าง Ecosystem Longevity ที่ครบครัน ทั้งความเข้าใจของคนในประเทศ ความเชี่ยวชาญของบุคลากรการแพทย์ และความพร้อมของสถานพยาบาล เราก็จะสามารถพลิกวิกฤตเรื่อง Super-aged Economy ให้กลายเป็นโอกาสในการเป็น Longevity Hub ของโลกได้ และนี่จะกลายเป็น New S-Curve ใหม่ที่จะพาเศรษฐกิจไทยกลับมาแข็งแกร่ง (และสุขภาพดี) อีกครั้งครับ

26/08/2025
23/08/2025

วิธีการตื่นเช้าแบบไม่ทรมาน ตามหลัก Neuroscience (ประสาทวิทยา)
หลายคนคงเชื่อว่าการตื่นเช้า เป็นเรื่องของแรงใจ ต้องฮึดสู้โว้ยยย
ถ้าคุณเคยลองตื่นเช้าแล้วรู้สึกเหมือนซอมบี้ ลองมาดูทางนี้!
นี่ไม่ใช่ self-help เชิง “จิตแข็ง” แนวแบบต้องสู้โว้ย
แต่มันคือ Neuroscience Hacks จาก Dr. Andrew Huberman
นักประสาทวิทยาศาสตร์แห่ง Stanford ที่ใช้จริง
ลองทำตาม [6] วิธีนี้ดูกัน #อ่านจบปุ๊ปเก่งขึ้นปั๊ป
----------------------
[1] แสงแดด = นาฬิกาปลุก ของสมอง
สมองเรามีนาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) ที่ “รักแสงแดด” ยิ่งกว่าอะไร

แค่เราเจอแดดตอนเช้า 2–10 นาที สมองจะ:
1.ลด melatonin (ฮอร์โมนผ่อนคลายที่ทำให้เราง่วง)
2.ดัน cortisol (ฮอร์โมนตื่นตัว)
3.รีเซ็ต circadian clock → หลับง่ายขึ้นตอนกลางคืน
☀️ แสงแดด 10,000 lux = แรงกว่าไฟในบ้าน 100 เท่า!
🟢 ตื่นปุ๊บเปิดม่าน ออกไปยืนรับแดด 2–5 นาที
🔴 อย่าคิดว่าไฟ LED ทดแทนได้ รับแดดจริงดีกว่า
------------------------------
[2] รอกาแฟ 90 นาที = บอกลาบ่ายพังๆ
ใครตื่นแล้วชอบดื่มกาแฟเลยทันที
Dr. Andrew Huberman บอกว่านั่นคือสิ่งที่ต้องปรับเพราะ adenosine (สารง่วง) ยังค้างอยู่ ถ้าดื่มเร็วเกินไป

คาเฟอีนบล็อก adenosine ชั่วคราว → พอบ่าย crash หนัก

แถมรบกวน cortisol spike ธรรมชาติของร่างกาย (ทำให้ร่างกายไม่ค่อยอยากผลิตสารทำให้ตื่นตัวออกมาหลังตื่นนอน)

☕ รอ 90–120 นาที คาเฟอีนจะกลายเป็น turbo boost
🟢 ตื่น 6 โมง → ดื่มกาแฟ 7:30–8:00
🔴 ห้ามดื่มหลังบ่าย 2 → จะทำลาย deep sleep

-----------------------
[3] น้ำ + ขยับ + คุย = Dopamine Loop

อยากให้สมอง “รักการตื่นเช้า”? เริ่มวันด้วย 3 step นี้:

1.ดื่มน้ำทันที (เติมเกลือ/มะนาวเล็กน้อย = รีเฟรชระบบ)
2.ขยับเบา ๆ เดิน ยืดเส้น 5–10 นาที → ร่างกายอุ่น = สมองตื่น
3.Social interaction (คุยกับคน/สัตว์เลี้ยง) → dopamine + oxytocin

🧃 Science Alert: สมองจะจดจำว่า “ตื่นเช้า = ความสุข”
🟢 น้ำ 1 แก้ว + เดินเล่น 5 นาที + ลูบหัวหมาแมว
🔴 ห้ามเปิดมือถือเช็คแจ้งเตือนเป็นสิ่งแรก

---------------------------------
[4] NSDR = Reset ถ้าตื่นมาไม่สดชื่น

เช้าไหนที่เรา ตื่นมาแล้วรู้สึกวันนี้หนักหัวไม่ไหวแล้ว
ลองใช้ Non-Sleep Deep Rest (NSDR) หรือ Yoga Nidra 10–20 นาที
(วิธีคือให้เรานอนนิ่งๆ หลับตา แล้วฟังเสียง guide (จากในเน็ตก็มีเยอะ) ที่จะพาคุณเข้าสู่สภาวะกึ่งนอนกึ่งตื่น
มันจะช่วย
-รีชาร์จ dopamine (ความสุข)
-ลด cortisol (ความเครียด)
-รู้สึกเหมือนนอนเพิ่ม 1–2 ชั่วโมง

🧘 Science Fact : NSDR กระตุ้น parasympathetic system → สมองผ่อนคลายแต่ตื่นตัว
🟢 หา NSDR ใน YouTube ทำได้ฟรี
🔴 Snooze Button ?
เวลาเราตั้งนาฬิกาปลุก แล้วมันดัง → เรากดเลื่อนออกไปอีก 5–10 นาที

ร่างกายเราจะ “หลับต่อ” แต่ไม่ใช่หลับลึก → มันคือ Fragmented Sleep = การนอนที่ขาด ๆ หาย ๆ

สมองสับสน → ง่วงหนักกว่าเดิม
ฝึกนิสัยให้ผิดทาง → ยิ่งตื่นยากไปอีก
------------------------------------
[5] อาบน้ำเย็น = Nuclear Focus
วันไหนต้องโฟกัสหนัก การใช้ Cold exposure (น้ำเย็นจัด) 1–2 นาทีช่วยเราได้
ร่างกาย จะต่อสู้กับความเย็น = ฮอร์โมน adrenaline + dopamine จะตื่นตัว
ความเย็นกระตุ้น locus coeruleus ในสมอง → โหมดโฟกัสเปิดเต็มที่
🟢 ใช้วันมีงานใหญ่/meeting สำคัญ
🔴 อย่าทำก่อนนอน → จะนอนไม่หลับ
---------------------------------
[6] เช้าที่ดี เริ่มจากเมื่อคืน
Dr. Andrew Huberman บอกว่า ถ้าอยากตื่นเช้าง่าย ต้องออกแบบเมื่อคืน

1.ห้องอุณภูมิเย็น + มืด (18–20°C)

2.ลด blue light แสงสีฟ้าจากจอโทรศัพท์ 1–2 ชม. ก่อนนอน

3.เข้านอนให้เหมาะสมกับเวลาตื่น (6 โมง = นอน 22:00–23:00)

🟢 Bedtime routine: อ่านหนังสือ/ทำสมาธิก่อนนอน
(ทำให้หัวใจเต้นช้าลง วิธีไหนก็ได้จะหลับได้ง่ายขึ้น)
------------------------------------------
#สรุปแบบลงดาบ
-แสงแดดเช้า = reset สมองทรงพลังที่สุด

-กาแฟต้องรอ 90 นาที ไม่งั้นบ่ายพัง

-น้ำ + ขยับ + คุย = dopamine loop สร้างสมองที่ “รักเช้า”

-NSDR = รีชาร์จสมองแบบไม่ต้องนอนเพิ่ม

- น้ำเย็น = ไว้อัดวันที่เราต้อง Focus หนักๆ

- คืนที่ดี = รากฐานของเช้าที่ effortless

ถ้าเราใช้แรงใจ แรงฮึดในระยะสั้นเราจะตื่นเช้าได้ง่ายกว่าก็จริงแต่ระยะยาวเราจะกลับไปเป็นนิสัยเดิม เพราะร่างกายเราจะเริ่มไม่ไหว

ลองทำตาม 2 อาทิตย์ สมองคุณจะเริ่มเชื่อว่า
“ตื่นเช้า มันง่ายขึ้นจริงๆ"

ผมหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยสร้างวันของคุณ

https://youtu.be/b4K4ymaar1g?si=diFbA_1SW4HLGFVC
17/08/2025

https://youtu.be/b4K4ymaar1g?si=diFbA_1SW4HLGFVC

สตีฟ จ็อบส์เคยบอกว่าชีวิตคือการ Connect the dots สุดท้ายแล้วทุกสิ่งในชีวิตจะย้อนกลับมาเชื่อมโยงกันทางใดทางหนึ่งเ.....

ที่อยู่

ลาดปลาเค้า
Muang Chainat
10220

เวลาทำการ

อังคาร 09:30 - 19:30
พุธ 10:00 - 19:00
พฤหัสบดี 09:30 - 19:30
ศุกร์ 09:30 - 19:30
เสาร์ 09:30 - 19:30
อาทิตย์ 09:30 - 19:30

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Health & Care Communityผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Health & Care Community:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram