17/09/2025
Longevity ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นอนาคตและความมั่นคงของประเทศ
ผมอยากสารภาพเรื่องหนึ่งกับทุกคนครับ ช่วงที่ผ่านมาหลายคนน่าจะเห็นผมหันมาออกกำลังกาย กินอาหารดี ๆ มากขึ้น ซึ่งตอนแรกที่ผมกลับมาดูแลตัวเอง ผมเคยมองว่าเป้าหมายของเรื่องนี้ก็คือการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น มีเรี่ยวแรงในการทำงาน พาบริษัทให้เติบโต
ผมในวันนั้น คิดว่าสนใจแค่สุขภาพของตัวเองก็เพียงพอแล้ว แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด ยิ่งทำ ยิ่งศึกษามากขึ้น ผมก็เข้าใจว่าเรื่องสุขภาพของ ‘ตัวเอง’ มันเล็กแค่ไหน เมื่อเทียบกับวิกฤตใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเจอ นั่นคือวิกฤตสุขภาพ
และที่น่าตกใจกว่านั้น คือการที่ผมไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ดันเป็นจิ๊กซอว์เล็ก ๆ ที่สร้างวิกฤตนี้ให้กับประเทศ
ว่ากันว่าความเคยชินคือพฤติกรรมที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันทำให้เรายอมทนอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าปัญหามันคืบคลานมาใกล้เรามากขึ้นเรื่อย ๆ วิกฤตสุขภาพก็เช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมาเราเคยชินกับการป่วยก็ ‘รักษา’ แต่ไม่เคยให้ความสำคัญกับการ ‘ป้องกัน’
เราเคยชินกับการเห็นคนแก่นอนติดเตียง แต่ไม่เคยตั้งคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะไม่กลายเป็นคนนั้น
เราเคยชินกับการเป็นผู้รับโอกาส แต่ไม่เคยลุกขึ้นมาสร้างโอกาสด้วยตัวเอง
การที่เรามองความเคยชินเป็นสิ่งปกติเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากครับ เพราะมันแปลว่าปัญหาจะสะสมและขยายตัวเป็นปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อนขึ้น เมื่อถึงจุดที่เราทนไม่ไหวและต้องการจะแก้ไข ก็อาจจะสายเกินไปแล้ว
ทุกวันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคม Super-Aged Society พร้อมกับที่เรามีผู้ป่วยติดเตียงมากขึ้นเรื่อย ๆ อายุเฉลี่ย (Lifespan) ของชายไทยอยู่ที่ 75 ปี แต่กลับมีช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี (Healthspan) จนถึงเพียง 65 ปี ซึ่งหมายความว่าช่องว่าง 10 ปีนั้น คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนสุขภาพดี อาจจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือต้องพึ่งพาคนในครอบครัว
นอกจากปัญหาด้านสุขภาพแล้ว ประเทศของเรายังมีปัญหาเรื่องคนเกิดใหม่ที่ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลให้ในระยะยาว สัดส่วนประชากรในประเทศจะไปกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเกิดใหม่น้อย มีคนแก่มาก และคนแก่เหล่านั้นยังเป็นคนป่วยอีก ปัญหาเหล่านี้จะกระทบกันเป็นทอด ๆ ไปถึงเรื่องกองทุนสุขภาพ ประกันสังคม หรือกองทุนเลี้ยงชีพต่าง ๆ
ทุกคนลองจินตนาการดูนะครับ หากประเทศของเรายังติดกับดักนี้ต่อไป ในอีก 5 ปีข้างหน้ากองทุนเหล่านี้จะไม่มีศักยภาพในการดูแลสุขภาพของคนไทย และในอีก 50 ปีข้างหน้า ประชากรจาก 70 ล้านคน จะเหลือราว 33 ล้านคน
นี่แหละครับคือความสำคัญที่แท้จริงของ ‘Longevity’
อย่างที่พูดไปในตอนแรก สำหรับผม Longevity ไม่ใช่เรื่องบุคคลอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นเรื่องความมั่นคง และโอกาสของประเทศ ดังนั้น การจะขับเคลื่อนเรื่อง Longevity ควรเป็นวาระระดับสังคมและโครงสร้าง ที่เราต้องมาทบทวนและเริ่มวางรากฐานกันใหม่ตั้งแต่การทำความเข้าใจกับคนในสังคม ไปจนถึงระดับนโยบาย เพื่อให้ทุกภาคส่วนทำงานสอดคล้องกันมากที่สุด
อย่างแรก ในส่วนของนโยบาย เราควรให้ความสำคัญกับการ ‘ป้องกัน’ มากกว่า ‘รักษา’ เปลี่ยนจาก 30 บาทรักษาทุกโรค ให้กลายเป็น 30 บาทป้องกันทุกโรค
ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้งบประมาณในการรักษาคนเป็นมะเร็ง 1 คน เทียบเท่ากับงบประมาณที่ประเทศฟินแลนด์ทำโปรแกรมป้องกันสุขภาพให้ประชากร 10,000 คน ซึ่งในระยะยาว ประชากรที่มีสุขภาพดี 10,000 คนนี้ ก็จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงให้กับประเทศ อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณในการรักษาโรคต่าง ๆ ในอนาคตอีกด้วย
อย่างต่อมา คือวิถี Longevity ต้องเป็นโปรแกรมพื้นฐานการดูแลสุขภาพในสถานพยาบาล เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ต้องยกระดับทักษะจากการรักษาสู่การป้องกัน เพื่อให้เท่าทันกับสภาพแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับอย่างที่สาม คือ การปรับกติกาและความเข้าใจร่วมในสังคมใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของกองทุนสุขภาพ ประกันสังคม หรือกองทุนเลี้ยงชีพต่าง ๆ ว่าจะมีการจัดสรรและปรับเปลี่ยนอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับสัดส่วนของประชากรที่คนส่วนใหญ่จะกลายเป็นผู้สูงอายุ ขณะที่คนวัยทำงานซึ่งเป็น ‘เดอะแบก’ มีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ผมมองว่าประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องที่ต้องรีบจัดการอย่างเร่งด่วน เพราะหากเราเปลี่ยนแปลงช้าเกินไป จะเกิดผลกระทบจำนวนมากต่อประเทศ
และอย่างสุดท้าย ที่สำคัญที่สุดและมีผลกระทบใหญ่ที่สุดคือ การเปลี่ยนความคิดคนในสังคม ปัจจุบันคนจำนวนมากยังมองว่า Longevity เป็นเรื่องไกลตัว หรือไม่ก็เป็นการดูแลสุขภาพแบบที่มีต้นทุนสูง และเป็นภาระ
ในฐานะที่ผมมีโอกาสได้ทดลองเทคโนโลยีที่ช่วยเรื่องสุขภาพมากมาย ผมบอกได้เลยว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นเป็นแค่ 20% ที่มาช่วยอุดช่องโหว่ของคนที่ยังมีข้อจำกัดในการดูแลตัวเองเท่านั้น สิ่งสำคัญที่แท้จริงคือ 6 Power Laws ซึ่งล้วนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เป็น Longevity 0 บาทที่ไม่ต้องใช้ต้นทุน แถมยังให้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเทคโนโลยีทั้งหมดด้วย
1. การนอน : นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง (หลับฝัน (REM) 2 ชั่วโมง และหลับลึก (Deep) 2 ชั่วโมง) ที่สำคัญพยายามนอนในช่วงนาฬิกาชีวภาพ แม้ปัจจุบันมนุษย์จะไม่ได้อาศัยในป่า นอนในถ้ำ แต่ DNA ในร่างกายของเราไม่สามารถวิวัฒนาการให้ทันสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เราควรนอนให้ตรงตามนาฬิกาชีวภาพเพื่อให้ร่างกายภายในไม่รวน
2. อาหาร : เลี่ยงการกินอาหารแปรรูปขั้นสูง (Ultra-Processed Foods) รวมถึงน้ำตาล แป้ง น้ำมันพืช นมวัว ซึ่งส่งผลให้ร่างกายอักเสบ การเน้นกินอาหารจากธรรมชาติ และโปรตีน จะทำให้ท้องและลำไส้ของเราแข็งแรงมากขึ้นครับ
3. ออกกำลังกาย : สะสมกล้ามเนื้อตั้งแต่วันนี้เพื่อให้เรายังสุขภาพดีเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากหลังจากอายุ 35 ปีไป ร่างกายเราจะเสียกล้ามเนื้อประมาณ 1% ทุกปี เป็นสาเหตุของภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเราสามารถรักษากล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายที่บ้านอย่างสควอต หรือวิดพื้นครับ
4. มีการเคลื่อนไหวและเติมน้ำให้ร่างกาย : การลุกขึ้นเดินทุก 45 นาที ดีกว่าการนั่ง 8 ชั่วโมงและวิ่งทีเดียว 10 กิโลฯ เพราะร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่เฉย ๆ และอย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันครับ
5. สภาพแวดล้อม : พยายามเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ปิดและมีสารเคมี เช่น ห้องที่กำลังทาสี หรือมีเฟอร์นิเจอร์เก่าซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา ไปจนถึงอย่าอยู่กลางแจ้งในช่วงที่ฝุ่นเยอะ เพราะสิ่งที่เราสูดดมไป จะส่งผลโดยตรงต่อร่างกายของเราครับ
6. มีเป้าหมายในชีวิต / มีสังคม : การที่เรามีแรงขับเคลื่อนในชีวิตช่วยให้เราอายุยืนขึ้นได้ราว 7 ปี อีกทั้งการได้อยู่ท่ามกลางคนที่รัก เพื่อนที่ดี สังคมที่ดี และคนที่เข้าใจเรา ก็จะทำให้เรามีสุขภาพใจและสุขภาพกายแข็งแรงขึ้นครับ
ที่ผ่านมา ระบบสาธารณสุขและการแพทย์ของไทยเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ชาวโลกชื่นชมและยอมรับในความสามารถ ซึ่งนี่นับเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ผมเชื่อว่าเราสามารถนำภาพลักษณ์ที่ดีตรงนี้มาต่อยอดร่วมกับเรื่อง Longevity ที่เราจะขับเคลื่อนให้เป็นวาระระดับชาติได้
หากวันนี้เราสามารถสร้าง Ecosystem Longevity ที่ครบครัน ทั้งความเข้าใจของคนในประเทศ ความเชี่ยวชาญของบุคลากรการแพทย์ และความพร้อมของสถานพยาบาล เราก็จะสามารถพลิกวิกฤตเรื่อง Super-aged Economy ให้กลายเป็นโอกาสในการเป็น Longevity Hub ของโลกได้ และนี่จะกลายเป็น New S-Curve ใหม่ที่จะพาเศรษฐกิจไทยกลับมาแข็งแกร่ง (และสุขภาพดี) อีกครั้งครับ