SANYA PHARMACY (สรรยาฟาร์มาซี)

SANYA PHARMACY (สรรยาฟาร์มาซี) Open Mon.-Sat. 10.00am-21.00pm

20/03/2023

"เอาเบตาดีน ป้ายคอ ป้องกันรังสี ... ไม่ได้นะครับ"

ช่วงนี้หลายคนกังวลกันมากเกี่ยวกับเรื่องสารกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 ที่หายไปและน่าจะถูกหลอมไปแล้วนั้น จะหลุดออกมาสู่สิ่งแวดล้อมแล้วรับเข้าสู่ร่างกายเราหรือเปล่า ... เลยเอาเรื่องเก่านี้ มาเขียนดักไว้เลย เพราะเดี๋ยวต้องมีคนเอากลับมาแชร์กันแน่ๆ ฮะๆ

คือตอนที่เกิดเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่นระเบิด จนมีสารกัมมันตรังสีแพร่กระจายออกสู่สิ่งแวดล้อมนั้น ได้มีการแชร์กันว่า "หากอยู่บริเวณที่มีการฟุ้งกระจายของกัมมันตรังสี หรือผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีโอกาสเสี่ยงจะได้รับสารกัมมันตรังสีนั้น ให้ใช้ "เบตาดีน" ทาบริเวณคอ จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ไอโอดีน -131 เข้ามาสะสมที่ต่อมไทรอยด์ได้" !?

ซึ่งไม่จริงนะครับ ! การใช้เบตาดีน (หรือยาทาแผลที่มีไอโอดีน) นำไปทาที่คอ หรือแม้แต่การกิน "เกลือผสมไอโอดีน" ที่มีขายทั่วไปนั้น ไม่สามารถป้องกันอันตรายจากรังสีของสาร ไอโอดีน-131 หรือของสารกัมมันตรังสีอื่นๆ หรือป้องกันการเกิดมะเร็งในอวัยวะอื่นๆ ได้

การเอาเบทาดีนมาทา เพื่อป้องกันความเป็นพิษจากสารกัมมันตรังสี ไอโอดีน-131 ที่ต่อมไทรอยด์นั้น ไม่ใช่วิธีในการป้องกัน ทั้งนี้เพราะว่าในเบตาดีนหรือเกลือ มีปริมาณของไอโอดีนไม่เพียงพอที่จะทำให้ต่อมไทรอยด์อิ่มตัวได้ ไม่เหมือนกับการกิน "ไอโอดีนเสถียร" หรือ "โพแทสเซียมไอโอไดด์"

ถ้าทาเบตาดีนไปบนผิวหนัง ก็จะต้องพิจารณาว่ามีสารไอโอดีนซึมเข้าร่างกายได้เท่าไหร่ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งบริเวณที่ทา อุณหภูมิห้อง หรืออุณหภูมิร่างกาย ซึ่งไม่มีความแน่นอน ขึ้นกับแต่ละบุคคล สารที่เข้าไปจึงไม่สามารถคาดคะเนได้ และไม่รู้ว่าต้องใช้มากแค่ไหน ถึงจะเพียงพอ

ส่วนการกินไอโอดีนเสถียร หรือ โพแทสเซียมไอโอโอด์ ที่ช่วยป้องกันไอโอดีน-131 เข้าสะสมที่ต่อมไทรอยด์ จะต้องกินก่อนที่ได้รับไอโอดีน-131 อย่างน้อย 24 ชั่วโมง จึงได้ผลดีที่สุด และไอโอดีนเสถียรนั้นมีผลป้องกันเพียง 24 ชั่วโมง จึงจำเป็นที่จะต้องกินทุก 24 ชั่วโมงหรือวันละครั้ง จนกว่าจะออกจากบริเวณที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี

ทั้งนี้ ต้องกินให้มากพอที่ต่อมไทรอยด์จะอิ่มตัว และหากรับยาช้าก็มีผลป้องกันน้อยลง ไอโอดีนเสถียร 1 เม็ด มีปริมาณ 130 มิลลิกรัม ซึ่งถือเป็นปริมาณที่ต้องกินสำหรับผู้ที่อยู่ท่ามกลางการปนเปื้อนกัมมันตรังสี ดังนั้น สำหรับผู้ใหญ่ จึงให้กินไอโอดีนเสถียรวันละ 130 มิลลิกรัม ส่วนในเด็กให้ลดปริมาณลงตามน้ำหนัก

ความจริงแล้ว การกินไอโอดีนเสถียรนั้น นอกจากจะไม่ได้จำเป็นต้องกินถ้า ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ที่มีสาร ไอโอดีน-131 แล้ว ยังไม่ปลอดภัยเสมอไปต่อการบริโภค เนื่องจากบางคนอาจแพ้สารไอโอดีน และอาจทำให้ต่อมไทรอยด์หยุดชั่วคราว อีกทั้งยังส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เป็นพิษอีกด้วย และในกรณีของผู้เป็นโรคต่อมไทรอยด์อยู่แล้ว ก่อนกินควรที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัย

#สรุป ประชาชนในประเทศไทยนั้น ยังไม่จำเป็นต้องกินไอโอดีนเสถียร เนื่องจากสถานการณ์ทางรังสีในไทยยังอยู่ในระดับปกติ และผู้ที่แพ้อาหารทะเล หรือเป็นโรคหัวใจ ก็ไม่ควรตัดสินใจกินเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

ข้อมูลจาก https://mgronline.com/science/detail/9540000035136

29/12/2022

📣📣📣ร้านสรรยาฟาร์มาซี

แจ้งปิดทำการตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม
และเปิดให้บริการในวันที่ 9 มกราคม

ดูแลสุขภาพและเดินทางปลอดภัยกันทุกท่านนะคะ♥️♥️♥️

พบกันใหม่ปีหน้าค่ะ 🤩🤩🤩

20/04/2022
09/04/2022

ปิดสงกรานต์
9-17 เมษานะคะ

🐯🐯 สวัสดีปีใหม่ 2565 HNY 2022 🐯🐯🙏🏻 ขอขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่ให้เกียรติทางร้านได้ดูแลนะคะ  🙏🏻🎄เนื่องในโอกา...
01/01/2022

🐯🐯 สวัสดีปีใหม่ 2565 HNY 2022 🐯🐯
🙏🏻 ขอขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่ให้เกียรติทางร้านได้ดูแลนะคะ 🙏🏻

🎄เนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่า2564 ต้อนรับปีใหม่ 2565
❤️ ขอให้ทุกๆท่าน มีความสุขตลอดปีและตลอดไป
💪สุขภาพร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัย
🌟ขอให้ท่านและครอบครัวมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
🤩ร่ำรวยเงินทองทรัพย์สิน มีโชคมีลาภค่ะ

🎉HAPPY NEW YEAR 2022🎉
🐯🐯🐯🐯🐯🐯🐯🐯🐯🐯

✈️✈️ สรรยาฟาร์มาซี พร้อมให้บริการรับรองผลตรวจ ATK แล้วค่ะโดยมี 4 ขั้นตอนง่ายๆ1.แอดไลน์ออฟฟิเชียลLine official : https://...
19/11/2021

✈️✈️ สรรยาฟาร์มาซี พร้อมให้บริการรับรองผลตรวจ ATK แล้วค่ะ

โดยมี 4 ขั้นตอนง่ายๆ

1.แอดไลน์ออฟฟิเชียล
Line official :
https://lin.ee/vl69zs8

2.อัด Clip ระหว่างการตรวจ ATK ด้วยตนเอง + ถ่ายรูปผลการทดสอบ และบัตรประชาชน (ในรูปจะมี 3 องค์ประกอบคือ -ผลตรวจ - กล่อง ATKที่ระบุเลขการประเมินเทคโนโลยี-บัตรประชาชน)

3.ส่งคลิปวีดีโอ พร้อม รูปภาพ ในข้อ 2 พร้อมแจ้งเหตุผลการตรวจ ATK ของท่าน มายังไลน์ออฟฟิเชียลให้เภสัชกรประจำร้านตรวจสอบ

4.รอผลรับรอง ในแอพพลิเคชั่น หมอพร้อม ภายใน 15 นาที

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

02/07/2021

ในช่วงที่ผ่านมาในหลายประเทศเริ่มมีการอนุญาตให้ประชาชนรับวัคซีน COVID-19 แบบ Mix&Match คือรับวัคซีน 2 โดส คนละยี่ห้อกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการวัคซีน กระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัส รวมถึงลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีนบางชนิด
ถึงแม้วิธีฉีดวัคซีนแบบนี้ยังไม่มีการพูดถึงกันมากนัก แต่มีความเป็นไปได้มากว่าในอนาคตวิธีดังกล่าวจะถูกนำมาปรับใช้ตามสถานการณ์วัคซีนและการแพร่ระบาดของไวรัสในไทย
The MATTER ขออาสาชวนผู้อ่านไปเปิดข้อมูลจากงานวิจัย Mix&Match วัคซีนในสองประเทศคือ สเปนและสหราชอาณาจักร รวมถึงฟังความคิดเห็นจาก นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ถึงแนวทางการฉีดวัคซีนรูปแบบดังกล่าว
ทั้งนี้ ก่อนอื่นขอชวนทำความรู้จักแอนติบอดี 3 ตัวได้แก่
1) T Cell เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่หลักในการหาเซลล์ที่ติดเชื้อหรือเชื้อโรคต่างๆ และกำจัดมัน มันมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับไวรัส COVID-19 ภายในร่างกายมนุษย์
2) IGg Antibody คือ ภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งที่ตรวจพบมากในของเหลวของร่างกาย โดยมันทำหน้าที่จดจำและต่อสู้กับไวรัสที่เข้าสู่ร่างกาย และถูกใช้เป็นค่าหนึ่งสำหรับการตรวจ Rapid Test ในผู้ป่วย COVID-19
3) NAb Antibody คือ แอนติบอดีชนิดหนึ่งที่จะเข้าไปจับกับหนามของไวรัส COVID-19 และยับยั้งไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ในร่างกายต่อไปได้ เปรียบเสมือนทหารที่แข็งขันปกป้องร่างกายเราจากไวรัสร้าย
๐ โครงการ CombivacS โดยสถาบันคาร์ลอสที่ 3 ในประเทศสเปน
ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถาบันคาร์ลอสที่ 3 ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ได้เริ่มโครงการวิจัยที่มีชื่อว่า 'CombivacS' โดยได้รับอาสาสมัครทั้งหมด 663 คน ที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี และได้รับวัคซีน AstraZeneca แล้วหนึ่งเข็ม เข้าร่วมการทดลอง
ทางทีมวิจัยได้แบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกมีจำนวน ⅔ ของอาสาสมัครทั้งหมด และให้กลุ่มนี้รับวัคซีนเข็มที่สองเป็นวัคซีน Pfizer แทนวัคซีนชนิดเดิม ขณะที่อาสาสมัครที่เหลือให้รับ AstraZeneca เพียงเข็มเดียว
ผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่ากลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นวัคซีน Pfizer
1) มีแอนติบอดีชนิดอิมมูโนโกลบูลินจี (IgG) ในกระแสเลือด เพิ่มขึ้น 35-40 เท่าเทียบกับคนที่ฉีด AZ เข็มเดียว
2) กลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เป็น Pfizer มีค่าแอนติบอดีชนิด NAb (Neutralising AntiBodies) เพิ่มขึ้น 7 เท่า เทียบกับกลุ่มที่ฉีดวัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม
3) จากการทดลองพบว่า มีอาสาสมัครราว 1.7 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับวัคซีน Pfizer เป็นเข้มที่สองที่มีอาการข้างเคียง อาทิ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ หรือวิงเวียนเล็กน้อย
งานวิจัยจากสเปนได้รับกระแสตอบรับจากนักวิทยาศาสตร์ค่อนข้างดี โดย Dan Barouch ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวัคซีนและไวรัสวิทยาของ BIDMC ในบอสตัน สหรัฐฯ มองว่า “ผลการตอบสนองจากงานวิจัยไม่เกินที่คาดคิด และย้ำถึงประสิทธิภาพของการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยวิธีการฉีดวัคซีนต่างชนิด”
ทางด้าน Daniel Altmann นักภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล กรุงลอนดอน กล่าวถึงการฉีดวัคซีน COVID-19 แบบต่างชนิดว่า “เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้อยู่แล้วในทางภูมิคุ้มกันวิทยา” อย่างไรก็ตาม คำถามต่อมาของเขาคือ จะเป็นอย่างไรหากผู้ได้รับวันซีนต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนเข็มที่ 3 เพราะวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นสารตั้งต้นมีแนวโน้มจะลดประสิทธิภาพลง ส่วนวัคซีนที่ผลิตแบบ mRNA ยิ่งฉีดหลายเข็ม อาจยิ่งกระตุ้นผลข้างเคียงจากวัคซีนได้
๐ โครงการ Com-Cov โดยมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ในสหราชอาณาจักร
งานวิจัยอีกชิ้นอยู่ในโครงการ ‘Com-Cov’ ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ในสหราชอาณาจักร โดยพวกเขาได้ทดลองให้อาสาสมัครจำนวน 850 คนที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีน 4 รูปแบบ ได้แก่ AstraZeneca + AstraZeneca, AstraZeneca + Pfizer, Pfizer + AstraZeneca และ Pfizer + Pfizer โดยแต่ละเข็มมีระยะเวลาห่างกัน 4 สัปดาห์
ผลการทดลองพบว่า (ตัวเลขตามตารางในเว็บไซต์)
1) การฉีดวัคซีน Pfizer + Pfizer สามารถกระตุ้นแอนติบอดีชนิด NAb และ igG ได้สูงที่สุด
2)การฉัดวัคซีน AstraZeneca + Pfizer สามารถกระตุ้น T Cell ได้มากที่สุด
3) การฉีดวัคซีน Astra Zeneca + Pfizer กระตุ้นแอนติบอดีชนิด NAb และ T cell ได้มากกว่าการฉีด Pfizer + AstraZeneca หรือฉีด Pfizer เข็มแรก แล้วตามด้วย Astra Zeneca
4) ทั้งสูตร Astra Zeneca + Pfizer และ Pfizer + Pfizer + Astra Zeneca กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากกว่า AstraZeneca + AstraZeneca
Jonathan Van-Tam รองอธิบดีกรมการแพทย์ของสหราชอาณาจักร กล่าวว่า “การฉีดวัคซีนต่างชนิดจะเพิ่มความยืดหยุ่นในแผนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนแผนการกระจายวัตซีนของประเทศ”
อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรยังไม่มีแผนปรับเปลี่ยนการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน โดยยังยืนยันว่าการเว้นระยะห่างฉีดวัคซีน AstraZeneca ที่ 8-12 สัปดาห์ยังคงมีประสิทธิภาพสูง
นอกจากนี้ ทาง Com-Cov กำลังอยู่ในขั้นตอนศึกษาที่คล้ายกับครั้งที่ผ่านมา แต่คราวนี้จะเว้นระยะการฉีดวัคซีนจาก 4 สัปดาห์เป็น 12 สัปดาห์
ประเทศที่เริ่มให้ Mix and Match
แคนาดา
ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านภูมิคุ้มกันแห่งชาติแคนาดา (National Advisory Committee on Immunization: NACI) อนุญาตให้ประชาชนที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก สามารถเลือกได้ว่าจะรับวัคซีนเข็มที่สองเป็นชนิดใด ระหว่าง Pfizer, Moderna และ AstraZeneca
อิตาลี
ตั้งแต่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการอาหารและยาแห่งอิตาลี (AIFA) อนุญาตให้ผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca หนึ่งเข็มสามารถเลือกได้ว่าจะรับอีกเข็มเป็น Pfizer หรือ Moderna
เกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ได้แถลงการณ์ว่าจะแก้ไขปัญหาการจัดส่งวัคซีนล่าช้าในโครงการ COVAX โดยการอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca เข็มแรกจำนวน 760,000 คน สามารถรับเข็มที่สองเป็น Pfizer ได้
สเปน
19 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสเปนอนุญาตให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี และได้รับวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มแรก สามารถเลือกได้ว่าวัคซีนเข็มที่สองจะรับเป็น Pfizer หรือ AstraZeneca เป็นเข็มที่สอง
ทั้งนี้ ในปัจจุบันหลายประเทศไม่ว่า สหรัฐฯ, รัสเซีย (ทำการทดลองฉีด Sputnik V + AstraZeneca) รวมถึง รพ.จุฬาฯ ของไทยกำลังเริ่มทดลองการฉีดวัคซีนแบบผสมผสานเช่นกัน
แต่หนึ่งประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือ ขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาการฉีดวัคซีนผสมผสานด้วยชนิด Inactivated หรือวัคซีนเชื้อตายร่วมกับวัคซีนตัวอื่น และมีแต่การฉีดวัคซีนชนิด Viral Vector + mR์NA เท่านั้น
ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในไทย
The MATTER ได้ติดต่อขอความเห็นจาก นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ความว่า “จริงๆ ในทางทฤษฎี (การฉีดวัคซีนผสม) ไม่ใช่เรื่องอันตราย เพราะวัคซีนที่ใช้รักษาเชื้อชนิดเดียวกัน ย่อมนำมาผสมกันได้อยู่แล้ว เพราะเราต้องการกระตุ้นภูมิเพื่อต่อต้านเชื้อเดิม”
“ผมคิดว่าในไทยมีคน Mix&Match วัคซีนอยู่แล้ว แต่เราอาจไม่รู้ ในต่างประเทศนี่มีชัดเจน เพราะผลการศึกษาพบว่าการฉีด AstraZeneca ทำให้เกิดปัญหาลิ่มเลือด เพราะฉะนั้นในบางประเทศถึงตัดสินใจให้ประชาชนเลือกวัคซีนเลย โดยไม่ต้องรอผลการศึกษา ขณะที่บางประเทศก็เริ่มศึกษา”
นพ.มานพ ได้แสดงความเห็นไว้ในโพสต์เฟซบุ๊กถึงงานวิจัยจาก Com-Cov ว่า “ดูเหมือนว่าปัจจัยสำคัญของสูตรการฉีดวัคซีนว่าจะกระตุ้นการสร้าง NAb ได้มากแค่ไหน อยู่ที่ว่าเรามี Pfizer vaccine (BNT) อยู่ในสูตรหรือไม่ต่างหาก”
เขาแสดงความเห็นถึงแผนจัดซื้อวัคซีนปี 2565 ที่มีเอกสารออกมาว่าจะมีการซื้อ Sinovac เพิ่มอีก 28 ล้านโดสว่า “เราไม่ควรเลือก Sinovac อีก เพราะข้อมูลตั้งแต่ต้น-ปัจจุบันน่าจะสรุปได้แล้วว่า วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงคือตัวไหนบ้าง และ Sinovac ไม่ใช่วัคซีนประสิทธิภาพสูง”
“ในช่วงต้นของการระบาดที่ยังมีข้อมูลไม่มาก การจัดหาจึงทำไปก่อนได้ แต่มาถึงจุดนี้และอนาคต เราไม่ควรเลือกวัคซีนที่ประสิทธิภาพด้อยกว่า เพราะเรามีตัวเลือกอื่นตั้งเยอะ แถมมีเวลาในการจัดหาด้วย ดังนั้น เลือกวัคซีนที่ดีที่สุดเถอะครับ”
“ผลการศึกษาไม่ว่าประเทศไหนชัดเจนว่า Pfizer และ Moderna เป็นวัคซีนที่ควรเลือก AstraZeneca ยังใช้ได้อยู่ และมีข้อมูลอื่นที่กำลังออกมาและมีผลการศึกษาดี เช่น วัคซีน Novavax ก็ควรเลือกเหมือนกัน”
ในช่วงท้ายของการพูดคุย นพ.มานพ แสดงความกังวลถึงสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ที่กำลังแพร่ระบาดว่า สายพันธุ์ดังกล่าวมีความน่ากลัวสองอย่างคือ แพร่เร็วและดื้อวัคซีน ประกอบกับปัญหาเตียงเต็มในโรงพยาบาลที่คุณหมอเล่าให้ฟังว่า
“ผมขอพูดเฉพาะโรงพยาบาลผมนะ (รพ.ศิริราช) เตียงเราเต็มมาเกือบเดือนแล้ว แต่เราก็พยายามใช้ทรัพยากรให้เต็มที่ เช่น ถ้าคนไข้อาการดีขึ้น ก็สลับไปโรงพยาบาลอื่น สลับกันไปกันมาอยู่เป็นประจำ”
“แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว เราคาดการณ์ว่าอีกอย่างน้อย 2-3 อาทิตย์ข้างหน้า จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นอีก และเตียงมันจะล้น รับไม่ไหวแล้ว” เขากล่าวต่อ
“ไม่ต้องมอง 120 วันหรอก มองไปเดือนหน้ายังไม่รู้จะไหวหรือเปล่า” คุณหมอจากศิริราชทิ้งท้ายถึงคำถามว่าอีก 120 วัน ประเทศไทยจะพร้อมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตามคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่
อ่านบนเว็บไซต์ได้นะ:
https://thematter.co/quick-bite/quickbite-mix-and-match-vaccine-covid19/147590
Illustrator By Sutanya Phattanasitubon

01/02/2021

“อาหารทางการแพทย์” น้องๆให้ข้อมูลเข้าใจง่ายมาก ลองรับชมดูนะคะ🤟

03/01/2021

อันนี้น่าสนใจ คือหลังๆ มีการรายงานอาการของผู้ป่วย covid-19 จากทั่วโลก แล้วเจออะไรแปลกๆอย่างนึง คือ คนไข้จำนวนมาก แทบไม่มีอาการเหนื่อยเลย หรือมีอาการทางทางเดินหายใจน้อยมากๆ แทบจะปรกติเลยก็ว่าได้ แต่พอไปวัดค่าออกซีเจนในเลือด พบว่ามันต่ำกว่าปรกติมาก

ซึ่งปรกติคนที่มีค่าออกซีเจนในเลือดเท่านี้มันควรจะมีอาการหอบเหนื่อยแล้ว ซึ่งถ้ามีอาการขนาดนั้น ร่างกายมันจะมีระบบที่พอรู้ว่าร่างกายขาดออกซีเจนแล้วนะ ก็จะไปสั่งการให้ร่างกายทำงานเพื่อเพิ่มระดับออกซีเจนในเลือด เช่นสั่งการให้หายใจเร็วมากขึ้น ซึ่งหมอจะรู้จากอาการหายใจเร็ว หายใจเหนื่อย ว่าคนไข้มีอาการไม่ค่อยดี แล้วพาไปตรวจรักษาละ แต่คนไข้ที่ติดโควิดจำนวนมาก แม้ค่าออกซีเจนจะต่ำกว่าปรกติมาก แต่ยังชิวๆอยู่เลย

แต่พออาการมากขึ้นถึงจุดนึง จู่ๆคนไข้เหล่านี้ จะมีอาการเหนื่อยแบบรุนแรง จนระบบหายใจล้มเหลว ต้องใส่ออกซีเจน ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเสียชีวิตในเวลาไม่นานหลังจากแสดงอาการ

พวกวารสารและเว็บไซท์ทางการแพทย์ต่างๆ ที่มีรายงานถึงอาการนี้ เรียกอาการนี้ว่า "happy hypoxemia" หรือ " silent hypoxemia"

ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาว่า อะไรที่ทำให้เกิดอาการแบบนี้กับผู้ติดเชื้อ มีนักวิจัยสันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการที่ covid-19 ไปส่งผลต่อสมองหรือระบบประสาททำให้การทำงานของสมองที่ควรจะตอบสนองต่อภาวะขาดออกซีเจน ทำงานได้ลดลง อย่างไรก็ดี สาเหตุที่ชัดเจนต้องรอนักวิจัยเขาศึกษากันต่อไป อันนี้ยังอยู่แค่ในขั้นสมมุติฐาน

แต่ที่สำคัญคือ มีรายงานเคสแบบที่ว่านี้ทั่วโลก และอาจใช้อธิบายเคสที่ ตอนแรกแทบไม่มีอาการอะไรเลย แต่จู่ๆพอมีอาการ ก็ทรุดหนักลงอย่างรวดเร็วในวันสองวันจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และเราอาจต้องปรับเปลี่ยนคำแนะนำว่า หากมีอาการเหนื่อยให้หาหมอทันที เพราะหากรอให้เหนื่อย ก็อาจจะไม่ทันแล้วก็ได้ หากคนไข้คนนั้นเป็น happy hypoxemia และหากเป็นเคสที่ยืนยันว่าติดโควิดแล้วแน่ๆ หากจะขอไปพักที่บ้านหรือพักที่ฮอสพิเทล แค่ดูจากอาการว่าไม่เหนื่อย เดินชิวๆ ก็อาจจะให้เขาไปพักที่บ้านหรือฮอสพิเทลไม่ได้ จนกว่าจะวัดค่าออกซีเจนในเลือดให้ชัวร์ก่อน หรืออาจต้องมีอุปกรณ์ในการวัดค่าออกซีเจนในเลือดติดบ้านหรือฮอสพิเทลด้วย

อ้างอิง
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7362604/
https://www.medicalnewstoday.com/articles/covid-19-how-do-we-explain-happy-hypoxemia -survey
https://www.ugm.ac.id/en/news/19993-recognizing-happy-hypoxia-syndrome-as-a-new-symptom-of-covid-19
https://respiratory-research.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12931-020-01462-5
https://physoc.onlinelibrary.wiley.com/doi/10.14814/phy2.14619
https://www.researchgate.net/publication/343272701_The_pathophysiology_of_'happy'_hypoxemia_in_COVID-19

ที่อยู่

331/5 Sukumvit Road, Nernpra
Mueang Rayong District
21000

เบอร์โทรศัพท์

+6638615321

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ SANYA PHARMACY (สรรยาฟาร์มาซี)ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram